มนุษย์จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยสี่เป็นตัวช่วยในการดำรงชีวิต เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทุกคนต้องกิน ทุกคนต้องการเสื้อผ้ามาเพื่อปกปิดร่างกาย ทุกคนต้องการยารักษาโรค และทุกคนต้องการที่อยู่อาศัยเอาไว้เป็นที่พักพิง ยามที่เราเหนื่อยกายจากภาระหน้าที่ต่างๆ และเป็นที่พักใจยามที่เราท้อแท้กับปัญหาที่รุมเร้าเข้ามา และด้วยปัจจัยสี่ตัวสุดท้ายนี่เอง ที่มีความเกี่ยวข้องกับฟิคMate ที่จะขอพูดถึงต่อไป
ถ้าเทียบกับผู้อ่านคนอื่นๆที่เป็นแฟนคลับมินาแล้ว เราคงเป็นประเภทที่โหล่เลยละ เพราะเพิ่งจะได้รู้จักกับเรื่องนี้จริงๆ ก็ตอนนี้เป็นรอบสต๊อกเสียแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นของรอบสต๊อกก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้ความสนุกของเนื้อหา เรื่องราวอันเข้มข้น และความละมุนในตัวอักษรลดลงไปได้เลย มินาก็ยังเป็นมินา ที่มีเทคนิคในการเขียนบรรยายได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง เห็นภาพชัดเจน ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ทุกความคิด ทุกการกระทำ ทุกการเคลื่อนไหวของตัวละคร มันเกิดขึ้นในหัวเราอย่างช้าๆค่อยๆเป็นค่อยๆไป จวบจนเมื่ออ่านบรรทัดสุดท้าย ความรู้สึกอิ่มเอิบในใจก็เกิดขึ้น ตามประสานักอ่านที่ชอบอะไรละเอียดอ่อนอย่างเรา
เรื่องย่อโดยสังเขป ก็ประมาณว่า แพคฮยอนมาหาห้องเช่า และเขาก็ได้มาห้องหนึ่ง ซึ่งราคาสมน้ำสมเนื้อ แต่ก็มีเรื่องอันน่าประหลาดใจรออยู่ นั่นคือ ณ ห้องเช่าแห่งนั้น กลับไม่ได้มีเพียงแค่แพคฮยอนเท่านั้น แต่มีหนุ่มพนักงานบริษัทร่างสูงอยู่ด้วย สรุปคือเกิดข้อผิดพลาดทางสัญญาที่ทำให้เขาทั้งสองต้องมาอยู่ร่วมห้องกันจนได้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวๆต่าง ที่สามารถหาอ่านต่อได้ในเรื่อง เพราะเกรงว่าหากเล่าเสียหมด อรรถรสในการอ่านจะจืดลงไปมากทีเดียว
เนื้อเรื่องของฟิคนี้ เปิดมาด้วยตัวละครหลักทั้งสองคน แพคฮยอนกับชานยอล ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ มินา (ผู้เขียน) เปิดเผยตัวละคร2ตัวนี้ตั้งแต่ตอนIntro ซึ่งตามปกติแล้ว ฟิคส่วนใหญ่ จะเปิดเผยแค่ตัวละครหลัก (เคะ) แค่คนเดียวก่อน จากนั้นก็มีค่อยๆเปิดเผยอีกคน (เมะ) ขึ้นมา นั่นทำให้เรารู้สึกแปลกใจไม่น้อย ว่าทำไมชานยอลกับแพคฮยอนมาปรากฏตัวพร้อมกันทันทีตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ถ้าอ่านไปเรื่อยๆก็จะพบว่า การพบกันครั้งนี้ละ นำไปสู่เรื่องราวน่ารักๆต่างของเพื่อนร่วมห้องทั้งสอง แม้ว่าตอนแรกการที่แพคฮยอนกับชานยอลได้มาอยู่ห้องเดียวกันถือเป็นอุบัติเหตุและข้อผิดพลาดทางสัญญาการเช่าก็ตามที ต้องขอบคุณสภาพการเงินของแพคฮยอนด้วยละกัน ที่ทำให้คนตัวเล็กมีข้อจำกัดในการย้ายห้อง เมื่อมีงบจำกัด แถมที่พักดีๆราคาหารครึ่งในตัวเมืองก็เป็นของหายากยิ่งกว่าขุมทรัพย์ ทำให้แพคฮยอนเลี่ยงไม่ได้ที่จะปักหลักที่ห้องเช่านี้ต่อไป โดยมีเพื่อนร่วมห้องตัวโย่งอย่างชานยอลพ่วงมาด้วย แพคฮยอนได้ทำข้อตกลงภายในกับชานยอลเรื่องอาณาเขต ซึ่งฉากนี้เราสัมผัสได้ถึงความน่ารักและนิสัยแบบเด็กๆของแพคฮยอนได้ดี นิสัยที่ว่าก็คืออาการ หวงที่ นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ หากใครที่อ่านฟิคก็คงจะรู้แล้วว่า เส้นบางๆที่กั้นชานยอลกับแพคฮยอนได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งถ้าถามเรา มันคือเรื่องปกติ ก็ในเมื่อตัวละครเป็นคนสองคนที่ต่างถิ่นต่างที่ แล้วอยู่ดีๆต้องมาอยู่ร่วมกัน ความอึดอัดมันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา ทีนี้ก็ลำบากคนอ่านอย่างเราๆ ที่ต้องมานั่งลุ้นกันว่า เมื่อไหร่ไอ้เส้นบางๆที่กั้นชานยอลกับแพคฮยอนไว้จะค่อยๆคลายลงเสียที แต่ไม่ต้องห่วง เราจะได้เห็นพัฒนาการของความสัมพันธ์แง่บวกกับคู่นี้แน่ๆ
สไตล์การเขียนของมินามีลักษณะเป็นแบบการเขียนแบบกระจกเงา คือการที่ ที่ใช้เสียงตัวเองเล่าความคิดของตัวละคร เปรียบเหมือนกระจกเงาสะท้อน ว่าผู้เขียนเห็นภาพอะไร รู้อะไร สัมผัสได้ถึงอะไร ซึ่งการรับรู้นี้ไม่ได้มีเพียงแค่มุมมองที่เป็นกายภาพเท่านั้น แต่ในเชิงอารมณ์ความรู้สึกและจิตวิญญาณ ผู้เขียนก็สามารถเล่าให้ผู้อ่านที่อยู่วงนอกได้รับรู้อย่างทั่วถึงและชัดเจน ดูได้จากโครงสร้างประโยคที่มินาใช้ เช่น
แพคฮยอนเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมเสียงของตัวเองถึงได้สั่นเพียงนั้น คนตัวเล็กเลื่อนสายตาของตัวเองจากกระจกเงาขึ้นมาสบตากับคนใจดีที่กำลังจะเริ่มเขียนคิ้วให้เขา
(Fic Mate ฉบับรวมเล่ม ตอนที่5 หน้า51)
ชานยอลวางเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งลงในส่วนที่เป็นห้องครัวก่อนที่จะใช้นิ้วมือของตัวเองจัดระเบียงให้เรียบร้อยอย่างที่แพคฮยอนเคยทำในอดีต เขาจำได้หมดว่าของชิ้นไหนอยู่ตรงส่วนใดของบ้านบ้างเพราะบ้านหลังนี้ที่เป็นแบบอย่างของบ้านจริงที่เขาพยายามเก็บเงินสร้างเพื่อเป็นที่พักพิงของเขาและแพคฮยอน แต่ในเวลานี้ชานยอลเองก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าแพคฮยอนจะยังคงชอบบ้านหลังนี้ออยู่ไหม
(Fic Mate ฉบับรวมเล่ม ตอนที่27 หน้า269)
จากประโยคข้างต้น จะเห็นว่าแพคฮยอนละชานยอลไม่ได้พูดเอง แต่เป็นเหมือนกับความคิดของใครคนหนึ่งที่บอกเล่าความรู้สึกนึกคิดรวมถึงการกระทำของแพคฮยอนและชานยอล ให้ผู้อ่านได้รู้ ทีนี้ใครกันนะ ที่เล่าเรื่องให้พวกเราฟังกันอยู่
มินา...
หลายๆคนคงแบบ เออ ฉันรู้ว่ามินาเขียนนะ แกจะพูดทำไม แต่สิ่งที่เราอยากจะสื่อก็คือ สำหรับโลกภายนอก(Real Life) มินาเขียนเรื่องนี้ก็จริง มินาคือคนแต่งเรื่องแต่งตัวละครขึ้นมาจากอุดมคติที่ได้พบเห็นมา แต่สำหรับโลกของวรรณกรรม (Fictitious Life) มินาได้ละทิ้งความเป็นผู้เขียนที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วดิ่งตัวเองลงในห้วงความคิดและจินตนาการ ไปยังโลกที่ชานยอลและแพคฮยอนมีตัวตนแบบในฟิคแต่กลับเป็นมินาเสียเองที่กลายเป็นเพียงเงาลางๆและไม่มีตัวตนชัดเจน สิ่งที่มินาถ่ายทอดออกมาจึงไม่ต่างอะไรกับการถ่ายทอดสดชีวิตของคนทั้งสองผ่านมุมมองของกลุ่มเงาที่แอบแฝงอยู่โดยรอบ อาศัยจากการจดจำรายละเอียดเท่าที่มินาเห็นมาพบมา เรียงร้อยเป็นตัวอักษรให้พวกเราได้อ่านกันในแต่ละตอน เสน่ห์ของงานเขียนเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยภาพสะท้อนทางความคิดของตัวผู้เขียนที่เปี่ยมจินตนาการและสร้างโลกของวรรณกรรมตัวเองออกมาได้อย่างเหมือนจริง ทำให้ฟิคเรื่องนี้ตอบโจทย์ในเรื่องของความกลมกลืนด้านเนื้อหาไปได้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย มินาเล่าถึงน้ำเสียงของแพคฮยอนได้ว่ามันสั่นแค่ไหน ว่ารวดร้าวและขมขื่นเพียงใด เช่นเดียวกับชานยอล ที่นั่งต่อบ้านจำลองที่ชำรุดลงไปอย่างพิถีพิถัน แต่ทั้งนี้มินาไม่ได้พูดหรือสั่งให้แพคฮยอนหรือชานยอลพูดออกมาหากแต่มินาแค่เล่าให้เรารู้ว่า ชานยอลกับแพคฮยอนคิดอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง ซึ่งหากมองในแง่โลกแห่งความเป็นจริง การกระทำแบบนี้อาจขัดแย้งกันในเชิงตรรกะและเหตุผลอันยอมรับได้ แต่ในแง่ของรสวรรณกรรม องค์ประกอบตัวนี้เองที่ทำให้ฟิคชั่นมีอรรถรสและช่วยให้ผู้อ่านรู้สึกว่า พวกเขาเข้าใกล้ตัวละครที่พวกเขารักและชื่นชมได้อีกก้าวหนึ่ง
และจากประโยคตัวอย่างที่ยกมา ทุกคนจะเห็นภาพเป็นฉากๆได้อย่างชัดเจน เปรียบเสมือนเราอยู่ในห้องเดียวกับชานยอลและแพคฮยอน เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของฟิคนี้ แพคฮยอนและชานยอลไม่เห็นเรา แต่เราเห็นพวกเขา เรารู้ว่าทั้งสองคิดอะไร ทำอะไร เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่า เออ ฉันเห็นนะ ฉันได้ยินนะ ฉันรู้นะเธอคิดอะไรกัน แต่ฉันจับต้องพวกเธอไม่ได้ มินาใช้แนวการเขียนแบบนี้เล่นกับอารมณ์ของคนอ่านได้อย่างดี ก็ในเมื่อเราจับต้องตัวละครและเนื้อเรื่องมันได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่มันบีบหัวใจ เช่นตอนที่ฮเยอึน แฟนเก่าของชานยอลตามกลับมาระรานแพคฮยอน และจะเอาชานยอลของเธอกลับไป(แบบอึนๆตามชื่อเธอ) ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าผู้อ่านอย่างเราๆเกิดอารมณ์โมโหและอยากบันดาลโทสะใส่ฮเยอึนขึ้นมาตะหงิดๆ เสียแต่ว่าเราไม่สามารถทำได้ในเรื่องจริง นอกเสียจากก่นด่าเธอในใจเท่านั้น
สำหรับประเด็นของตัวละคร หากจะวิเคราะห์จากภาพที่เห็น แต่ละคนก็มีบทบาทและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
คนแรกที่พลาดไม่ได้ แพคฮยอน ชายหนุ่มร่างเล็กที่เป็นนักวาดการ์ตูนผู้ซึ่งจับพลัดจับผลูได้มาอยู่ห้องเช่าราคาแสนถูก แต่ได้ของแถมเป็นหนุ่มพนักงานบริษัทร่างสูงอย่างปาร์คชานยอล จากตอนแรกเริ่มที่ได้พบกันในลิฟต์ เรามีความรู้สึกส่วนตัวว่า แพคฮยอนนั้นค่อนข้างจะพึงพอใจและสนใจในชานยอลอยู่พอสมควร มันก็เหมือนกับคนเราทั่วไปที่เจอคนหน้าตาดีก็เกิดอาการถูกใจขึ้นมา แต่อาการนั้นยังไม่รุนแรงเสียจนต้องทำความรู้จักคุ้นเคยกันเลย เป็นแค่ประทับใจแรกพบ แต่ความประทับใจนั้น ก็ถูกบดบังด้วยความขุ่นเคืองในตอนแรก และพัฒนามาเรื่อยๆก็ก่อเกิดเป็นความผูกพันทางใจอันลึกซึ้ง จนท้ายสุด ก็เป็นสิ่งสวยงามที่เรียกกันว่า ความรัก
แพคฮยอนเป็นตัวแทนของคนที่มีทัศนะในการใช้ชีวิตแบบโลดโผน และอยู่กับจินตนาการ ในเรื่องเขารับบทเป็นนักวาดการ์ตูน ซึ่งแน่นอนลักษณะสำคัญของนักวาดการ์ตูนต้องมีฝีมือและมันสมองที่เป็นเลิศด้านศิลปะ แพคฮยอนก็ถ่ายทอดออกมาให้เราได้เห็นกัน อีกทั้งฉากการตกแต่งบ้านจำลอง การบันทึกเรื่องราวขณะความจำเสื่อม ทุกอย่างล้วนเป็นตัวบ่งบอกได้ดีเรื่องความอาร์ตของคนตัวเล็ก และอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านเห็นว่าตัวละครตัวนี้มีความเป็นศิลปินสูงอยู่ในตัว คือฉากที่ชานยอลกลับมาที่ห้องหลังจากที่มีกรณีพิพาทระหว่างแพคฮยอนกับฮเยอึน ฉากนี้ชานยอลตามมาง้อคนตัวเล็กเพราะรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง แต่แพคฮยอนกลับไม่สนใจ เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่พูดจาหรือตอบรับคำขอโทษเชิงอ้อนวอนจากร่างสูงเลย จากตรงนี้ ก็พอบ่งบอกได้แล้วว่า แพคฮยอนนั้นค่อนข้างจะมีความรู้สึกที่เปราะบาง อ่อนไหว และถูกทำให้ขุ่นมัวได้ง่ายไม่ต่างจากงานศิลปะที่เขาทำเลย ตัวละครแบบแพคฮยอนนั้น สะท้อนภาพคนในสังคมปัจจุบันบางกลุ่มเวลาทะเลาะกับคนรักได้อย่างดี เพราะคนบางกลุ่ม เมื่อเวลาทะเลาะกับแฟนหรือคนที่รักก็ตาม คำว่าเหตุผลและข้อแก้ตัวก็ไม่สามารถเข้าสู่โสตประสาท ณ เวลานั้นได้ แต่จะต้องจมอยู่กับความคิดตัวเอง ทนทุกข์กับตัวเองให้ถึงลิมิตเสียก่อน แล้วค่อยเปิดรับสิ่งต่างๆเข้ามาอีกครั้ง
ปาร์ค ชานยอล หนุ่มพนักงานบริษัทร่างสูง ที่เคยมีอดีตอันบอบช้ำเกี่ยวกับความรัก เขาต้องได้มาอยู่กับแพคฮยอนโดยบังเอิญ แต่ถ้าพูดกันตรงๆ เรามีความรู้สึกว่า ชานยอลดูว่าเป็นฝ่ายเชื่อมช่องว่างระหว่างเขากับคนร่างเล็ก เพราะชานยอลทำอาหารเก่ง ก็เลยมีเรื่องปากท้องมาเกี่ยว เมื่อมีเรื่องปากท้องมาเกี่ยว อะไรๆมันก็ง่ายขึ้น
แต่สิ่งที่เราคิดกับตัวละครตัวนี้ คือ ความความไม่ประสีประสา ของชานยอล ร่างสูงก็ดีแทบทุกอย่าง คอยดูแลเอาใจใส่คนรอบข้าง หากแต่ไอ้การที่ใส่ใจคนรอบข้างนี่ละ มันทำให้ทุกอย่างดูก้ำกึ่ง ไม่มีอะไรแน่นอน เหมือนกับว่าสิ่งที่ชานยอลทำให้แพคฮยอน มันก็คือการดูแลปฎิบัติโดยทั่วไปที่เขาทำกับทุกคน อย่างเช่น เรื่องการดูแล เซอึน ลูกชายของฮเยอึน คนรักเก่าของชานยอล ตรงนี้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษของชานยอลได้ดี ที่เขากล้าให้ความช่วยเหลือกับอดีตคนรัก แต่การดูแลนี้เอง เป็นที่มาของปัญหาต่างๆ พอได้อ่านมาถึงตอนที่เซอึนปรากฏตัว เชื่อว่าคนอ่านหลายคนสามารถสัมผัสได้ถึงเมฆหมอกแห่งความดราม่าลอยมา และมันปรากฏชัดขึ้น ไหนจะเป็นตอนที่ชานยอลซ่อนรูปที่ถ่ายกับแบคฮยอนให้พ้นสายตาฮเยอึนอีก ทุกสิ่งถูกทำไปโดยพื้นฐานเจตนาดี หากแต่คนใกล้ตัวกลับตีความไม่ออก นำไปสู่ความคลุมเครือ การไม่เข้าใจกัน และในที่สุดก็บาดหมางกัน เพราะการกระทำของชานยอลเอง
และสำหรับตัวฮเยอึนนั้น มินาได้ จงใจ ทำให้เราตัดสินเธอไปแล้วว่าเธอคือตัวร้ายประจำเรื่อง แน่นอนจุดนี้คงเถียงไม่ได้ เพราะอิงจากสิ่งที่เธอทำกับแพคฮยอนต่างๆนานา และการใช้เด็กตัวเล็กๆอย่างเซอึน ซึ่งเป็นลูกของเธอ มาเป็นตัวยึดชานยอลให้อยู่กับเธอนั้น ก็ค่อนข้างที่จะขัดกับความเป็นแม่อยู่มากทีเดียว
หากแต่มองในมุมวรรณกรรม ทุกตัวละครย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ฮเยอึนเธอร้ายก็จริง แต่ชีวิตเธอก็ผ่านอะไรมาเยอะ สามีฆ่าตัวตาย บ้านก็มีปัญหาทางธุรกิจ ไหนจะต้องเลี้ยงลูก เราว่าตัวละครตัวนี้น่าจะผ่านมรสุมชีวิตมาเยอะ แถมเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง ดังนั้นความยากลำบาก ความโดดเดี่ยวจึงผลักดันให้เธอต้องทำทุกวิธี เพื่อให้ยืนหยัดในโลกที่โหดร้ายนี้ให้ได้ และคนที่เธอนึกถึง คือชานยอล คนรักเก่าของเธอ แม้ว่าอาจจะเห็นแก่ตัวและเลวทรามไปบ้าง แต่สำหรับฮเยอึนคงไม่มีทางเลือกมากนัก เธอต้องการใครสักคนมาเคียงข้างกัน คอยช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองเธอ และทำให้เธอมีความสุขต่อไปได้
และด้วยความคิดนี้ละ ทำให้เธอเข้าสู่ด้านมืด......
ถ้าเปรียบเทียบคนรักของปาร์คชานยอล ทั้งแพคฮยอนและฮเยอึนมีจุดที่เหมือนและต่างกันอยู่ไม่น้อย คือทั้งสองนั้น มีตัวเชื่อมกลางคือชานยอล แต่ฮเยอึนนั้น เธออยากครอบครองชานยอล โดยอาศัยเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา และคำว่าเหมาะสมทางสัมคม ที่ยอมรับความสัมพันธ์ ชาย-หญิงมากกว่า มาเป็นตัวช่วย สิ่งที่เธอทำไปทั้งหมด เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เนื้อแท้แล้ว ความรักเป็นเรื่องห่างไกลจากผู้หญิงคนนี้มากนัก แต่การเอาชนะ การต้องการใครสักคนมาทำให้เธอผ่านมรสุมไปได้นั่นละคือสิ่งที่เธอต้องการ เธอมองชานยอลเป็นเหมือนคนๆนั้น คนที่จะทำให้เธอมีความสุข แต่เธอไม่เคยมองเห็นความสุขโดยเนื้อแท้ของชานยอล ทุกสิ่งทุกอย่างมันหมุนรอบเธอ แค่เธอเท่านั้น ผิดกับแพคฮยอน ที่เขารักชานยอลจากใจ จากการไร้ข้อผูกมัด แพคฮยอนไม่มีเด็กตัวน้อยๆมาล่อ ไม่มีปัญหาชีวิตที่หนักหนามาคอยให้ชานยอลคอยช่วยเหลือ จะมีก็แต่หัวใจดวงน้อยที่เปี่ยมรักอันบริสุทธิ์ รักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน นอกจากการที่ได้มีชานยอลอยู่เคียงข้าง และคอยช่วยเหลือชานยอลยามที่ตัวสูงมีปัญหามารุมเร้า เขาก็พร้อมที่จะผ่านมันไปด้วยกัน ก็ต้องขอบคุณทั้งแพคฮยอนและฮเยอึน ที่ทำให้ชานยอลและผู้อ่าน ได้มุมมองความรักที่แปลกใหม่ไปอีก
หากแต่มรสุมชีวิตนั้นยังมิได้หมดไป ในช่วงท้ายของเรื่อง ตัวชานยอลเองก็ต้องพบกับปัญหาที่เขาเองไม่สามารถแก้ได้ และเป็นปัญหาที่เหนือความคาดหมาย สิ่งเดียวที่ชานยอลทำได้คือรอเวลาให้ช่วยเยียวยา และใช้ความรักที่มีช่วยบรรเทาความทุกข์ระทมของเขาและแพคฮยอน จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ผ่านมันไปได้ แม้จะต้องเสียน้ำตากันไปหลายลิตรก็ตาม
อีกจุดหนึ่งที่เราชื่นชอบมาก คือแนวคิดเรื่องบ้านจำลอง เพราะตลอดทั้งเรื่อง เนื้อหาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายในห้องเช่าเล็กๆ แต่แปลกที่เราอ่านแล้ว กลับไม่รู้สึกถึงความอึดอัดเลย บ้านจำลองที่แพคฮยอนชอบ และค่อยๆบรรจงสร้างมัน เป็นตัวเชื่อมความผูกพันที่ชานยอลและแพคฮยอนมีต่อกันให้แนบแน่นขึ้น บ้านหลังน้อยที่พวกเขาแต่งแต้มสีสัน ตกแต่งให้มันทีละนิด ก็เหมือนกับหัวใจของพวกเขาที่ค่อยๆแต้มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้งนั่นเอง และในตอนท้ายเรื่อง สิ่งที่พวกเขาฝันไว้ มันก็ถูกทำเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เราได้เห็นความสัมพันธ์ของคู่นี้จนจบเรื่อง แต่ด้วยความรู้สึก เรากลับพบว่า ชีวิตคู่ของทั้งสองเพิ่งจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง ในสถานที่แห่งใหม่ที่พวกเขาเฝ้าฝันถึง พออ่านไปแล้วเราก็แอบนึกถึงห้องเช่าเก่านั้นไม่ได้ แม้มันจะคับแคบกว่า และไม่สะดวกสบายเท่าบ้านหลังใหญ่ก็ตาม แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ชานยอลกับแพคฮยอน ได้เรียนรู้ ลองผิดลองถูก และพบเจอกับเรื่องต่างๆไว้เป็นประสบการณ์ เพื่อรอวันที่พร้อม และก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงในบ้านหลังใหม่นั่นเอง.........
ภาษาที่ใช้ในเรื่อง อ่านง่าย เข้าใจง่าย เน้นการพรรณนาและบรรยายความรู้สึกของตัวละคร และสภาพโดยรอบ อ่านแล้วจินตนาการตามได้เรื่อยๆ อ่านไม่ติดขัด แถมการเขียนยังถูกต้องตามหลักภาษา ไม่มีการใช้คำแสลงหรือภาษาวิบัติให้เห็น ซึ่งเรามองว่าจุดนี้สำคัญมาก เพราะผู้เขียนเป็นวัยรุ่น แต่สามารถใช้ถ้อยคำที่เหมาะกับบริบทและเนื้อหา ไม่อ่านแล้วงงหรือไร้แก่นสารเกินไป โดยรวมแล้วจึงถือว่าภาษาของการเขียน ไม่ใช่ภาษาวัยรุ่นจี๊ดจ๊าด แต่ก็ไม่ใช่ภาษาโบราณที่อ่านแล้วจะหลับ ขอชื่นชมจากใจจริง....
สุดท้ายนี้ หากใครที่ได้อ่านบทวิจารณ์ที่เราเขียนเราก็อยากใช้พื้นที่ตรงนี้บอกกับทุกคนว่า อ่านเถอะ แล้วคุณจะไม่เสียใจ ฟิคเรื่องนี้มันจะให้อะไรกับคุณมากมาย เหมาะกับยุคสมัยในปัจจุบันอย่างยิ่ง ในยุคที่ผู้คนมากมาย เทคโนโลยีล้ำสมัย และคอนโดผุดยังกับดอกเห็ด ฟิคนี้สะท้อนภาพคนวัยทำงานในสังคมเมืองหลวงได้ดี ใครจะไปนึก ว่าในความสับสนวุ่นวาย จะมีสถานที่ที่เราได้พักใจ พักกาย และมีความสุขกับตัวตนของเราในแบบที่เราเป็น เหมือนห้องเช่าในเรื่อง ถ้าหากหันกลับมามองสักนิด ก็ไม่แน่นะ คุณอาจจะเจอเพื่อนร่วมห้องแบบชานยอลและแพคฮยอน ที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมชีวิตด้วยก็เป็นได้....
|