หน้าที่ 1
 
ชื่อเรื่อง :  ` {fic exo} 。m a t e ♡ chanbaek
ใครแต่ง : mina
20 ธ.ค. 57
100 %
1 Votes  
#1 REVIEW
 
เห็นด้วย
4
จาก 4 คน 
 
 
จากเพื่อนร่วมห้องสู่คู่ชีวิต

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 5 ก.พ. 57


มนุษย์จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยสี่เป็นตัวช่วยในการดำรงชีวิต เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทุกคนต้องกิน ทุกคนต้องการเสื้อผ้ามาเพื่อปกปิดร่างกาย ทุกคนต้องการยารักษาโรค และทุกคนต้องการที่อยู่อาศัยเอาไว้เป็นที่พักพิง ยามที่เราเหนื่อยกายจากภาระหน้าที่ต่างๆ และเป็นที่พักใจยามที่เราท้อแท้กับปัญหาที่รุมเร้าเข้ามา และด้วยปัจจัยสี่ตัวสุดท้ายนี่เอง ที่มีความเกี่ยวข้องกับฟิคMate ที่จะขอพูดถึงต่อไป

ถ้าเทียบกับผู้อ่านคนอื่นๆที่เป็นแฟนคลับมินาแล้ว เราคงเป็นประเภทที่โหล่เลยละ เพราะเพิ่งจะได้รู้จักกับเรื่องนี้จริงๆ ก็ตอนนี้เป็นรอบสต๊อกเสียแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นของรอบสต๊อกก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้ความสนุกของเนื้อหา เรื่องราวอันเข้มข้น และความละมุนในตัวอักษรลดลงไปได้เลย มินาก็ยังเป็นมินา ที่มีเทคนิคในการเขียนบรรยายได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง เห็นภาพชัดเจน ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ทุกความคิด ทุกการกระทำ ทุกการเคลื่อนไหวของตัวละคร มันเกิดขึ้นในหัวเราอย่างช้าๆค่อยๆเป็นค่อยๆไป จวบจนเมื่ออ่านบรรทัดสุดท้าย ความรู้สึกอิ่มเอิบในใจก็เกิดขึ้น ตามประสานักอ่านที่ชอบอะไรละเอียดอ่อนอย่างเรา

เรื่องย่อโดยสังเขป ก็ประมาณว่า แพคฮยอนมาหาห้องเช่า และเขาก็ได้มาห้องหนึ่ง ซึ่งราคาสมน้ำสมเนื้อ แต่ก็มีเรื่องอันน่าประหลาดใจรออยู่ นั่นคือ ณ ห้องเช่าแห่งนั้น กลับไม่ได้มีเพียงแค่แพคฮยอนเท่านั้น แต่มีหนุ่มพนักงานบริษัทร่างสูงอยู่ด้วย สรุปคือเกิดข้อผิดพลาดทางสัญญาที่ทำให้เขาทั้งสองต้องมาอยู่ร่วมห้องกันจนได้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวๆต่าง ที่สามารถหาอ่านต่อได้ในเรื่อง เพราะเกรงว่าหากเล่าเสียหมด อรรถรสในการอ่านจะจืดลงไปมากทีเดียว


เนื้อเรื่องของฟิคนี้ เปิดมาด้วยตัวละครหลักทั้งสองคน แพคฮยอนกับชานยอล ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ มินา (ผู้เขียน) เปิดเผยตัวละคร2ตัวนี้ตั้งแต่ตอนIntro ซึ่งตามปกติแล้ว ฟิคส่วนใหญ่ จะเปิดเผยแค่ตัวละครหลัก (เคะ) แค่คนเดียวก่อน จากนั้นก็มีค่อยๆเปิดเผยอีกคน (เมะ) ขึ้นมา นั่นทำให้เรารู้สึกแปลกใจไม่น้อย ว่าทำไมชานยอลกับแพคฮยอนมาปรากฏตัวพร้อมกันทันทีตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ถ้าอ่านไปเรื่อยๆก็จะพบว่า การพบกันครั้งนี้ละ นำไปสู่เรื่องราวน่ารักๆต่างของเพื่อนร่วมห้องทั้งสอง แม้ว่าตอนแรกการที่แพคฮยอนกับชานยอลได้มาอยู่ห้องเดียวกันถือเป็นอุบัติเหตุและข้อผิดพลาดทางสัญญาการเช่าก็ตามที ต้องขอบคุณสภาพการเงินของแพคฮยอนด้วยละกัน ที่ทำให้คนตัวเล็กมีข้อจำกัดในการย้ายห้อง เมื่อมีงบจำกัด แถมที่พักดีๆราคาหารครึ่งในตัวเมืองก็เป็นของหายากยิ่งกว่าขุมทรัพย์ ทำให้แพคฮยอนเลี่ยงไม่ได้ที่จะปักหลักที่ห้องเช่านี้ต่อไป โดยมีเพื่อนร่วมห้องตัวโย่งอย่างชานยอลพ่วงมาด้วย แพคฮยอนได้ทำข้อตกลงภายในกับชานยอลเรื่องอาณาเขต ซึ่งฉากนี้เราสัมผัสได้ถึงความน่ารักและนิสัยแบบเด็กๆของแพคฮยอนได้ดี นิสัยที่ว่าก็คืออาการ “หวงที่” นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ หากใครที่อ่านฟิคก็คงจะรู้แล้วว่า เส้นบางๆที่กั้นชานยอลกับแพคฮยอนได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งถ้าถามเรา มันคือเรื่องปกติ ก็ในเมื่อตัวละครเป็นคนสองคนที่ต่างถิ่นต่างที่ แล้วอยู่ดีๆต้องมาอยู่ร่วมกัน ความอึดอัดมันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา ทีนี้ก็ลำบากคนอ่านอย่างเราๆ ที่ต้องมานั่งลุ้นกันว่า เมื่อไหร่ไอ้เส้นบางๆที่กั้นชานยอลกับแพคฮยอนไว้จะค่อยๆคลายลงเสียที แต่ไม่ต้องห่วง เราจะได้เห็นพัฒนาการของความสัมพันธ์แง่บวกกับคู่นี้แน่ๆ
สไตล์การเขียนของมินามีลักษณะเป็นแบบการเขียนแบบกระจกเงา คือการที่ ที่ใช้เสียงตัวเองเล่าความคิดของตัวละคร เปรียบเหมือนกระจกเงาสะท้อน ว่าผู้เขียนเห็นภาพอะไร รู้อะไร สัมผัสได้ถึงอะไร ซึ่งการรับรู้นี้ไม่ได้มีเพียงแค่มุมมองที่เป็นกายภาพเท่านั้น แต่ในเชิงอารมณ์ความรู้สึกและจิตวิญญาณ ผู้เขียนก็สามารถเล่าให้ผู้อ่านที่อยู่วงนอกได้รับรู้อย่างทั่วถึงและชัดเจน ดูได้จากโครงสร้างประโยคที่มินาใช้ เช่น

แพคฮยอนเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมเสียงของตัวเองถึงได้สั่นเพียงนั้น คนตัวเล็กเลื่อนสายตาของตัวเองจากกระจกเงาขึ้นมาสบตากับคนใจดีที่กำลังจะเริ่มเขียนคิ้วให้เขา
(Fic Mate ฉบับรวมเล่ม ตอนที่5 หน้า51)
ชานยอลวางเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งลงในส่วนที่เป็นห้องครัวก่อนที่จะใช้นิ้วมือของตัวเองจัดระเบียงให้เรียบร้อยอย่างที่แพคฮยอนเคยทำในอดีต เขาจำได้หมดว่าของชิ้นไหนอยู่ตรงส่วนใดของบ้านบ้างเพราะบ้านหลังนี้ที่เป็นแบบอย่างของบ้านจริงที่เขาพยายามเก็บเงินสร้างเพื่อเป็นที่พักพิงของเขาและแพคฮยอน แต่ในเวลานี้ชานยอลเองก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าแพคฮยอนจะยังคงชอบบ้านหลังนี้ออยู่ไหม
(Fic Mate ฉบับรวมเล่ม ตอนที่27 หน้า269)

จากประโยคข้างต้น จะเห็นว่าแพคฮยอนละชานยอลไม่ได้พูดเอง แต่เป็นเหมือนกับความคิดของใครคนหนึ่งที่บอกเล่าความรู้สึกนึกคิดรวมถึงการกระทำของแพคฮยอนและชานยอล ให้ผู้อ่านได้รู้ ทีนี้ใครกันนะ ที่เล่าเรื่องให้พวกเราฟังกันอยู่

มินา...


หลายๆคนคงแบบ เออ ฉันรู้ว่ามินาเขียนนะ แกจะพูดทำไม แต่สิ่งที่เราอยากจะสื่อก็คือ สำหรับโลกภายนอก(Real Life) มินาเขียนเรื่องนี้ก็จริง มินาคือคนแต่งเรื่องแต่งตัวละครขึ้นมาจากอุดมคติที่ได้พบเห็นมา แต่สำหรับโลกของวรรณกรรม (Fictitious Life) มินาได้ละทิ้งความเป็นผู้เขียนที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วดิ่งตัวเองลงในห้วงความคิดและจินตนาการ ไปยังโลกที่ชานยอลและแพคฮยอนมีตัวตนแบบในฟิคแต่กลับเป็นมินาเสียเองที่กลายเป็นเพียงเงาลางๆและไม่มีตัวตนชัดเจน สิ่งที่มินาถ่ายทอดออกมาจึงไม่ต่างอะไรกับการถ่ายทอดสดชีวิตของคนทั้งสองผ่านมุมมองของกลุ่มเงาที่แอบแฝงอยู่โดยรอบ อาศัยจากการจดจำรายละเอียดเท่าที่มินาเห็นมาพบมา เรียงร้อยเป็นตัวอักษรให้พวกเราได้อ่านกันในแต่ละตอน เสน่ห์ของงานเขียนเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยภาพสะท้อนทางความคิดของตัวผู้เขียนที่เปี่ยมจินตนาการและสร้างโลกของวรรณกรรมตัวเองออกมาได้อย่างเหมือนจริง ทำให้ฟิคเรื่องนี้ตอบโจทย์ในเรื่องของความกลมกลืนด้านเนื้อหาไปได้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย มินาเล่าถึงน้ำเสียงของแพคฮยอนได้ว่ามันสั่นแค่ไหน ว่ารวดร้าวและขมขื่นเพียงใด เช่นเดียวกับชานยอล ที่นั่งต่อบ้านจำลองที่ชำรุดลงไปอย่างพิถีพิถัน แต่ทั้งนี้มินาไม่ได้พูดหรือสั่งให้แพคฮยอนหรือชานยอลพูดออกมาหากแต่มินาแค่เล่าให้เรารู้ว่า ชานยอลกับแพคฮยอนคิดอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง ซึ่งหากมองในแง่โลกแห่งความเป็นจริง การกระทำแบบนี้อาจขัดแย้งกันในเชิงตรรกะและเหตุผลอันยอมรับได้ แต่ในแง่ของรสวรรณกรรม องค์ประกอบตัวนี้เองที่ทำให้ฟิคชั่นมีอรรถรสและช่วยให้ผู้อ่านรู้สึกว่า พวกเขาเข้าใกล้ตัวละครที่พวกเขารักและชื่นชมได้อีกก้าวหนึ่ง


และจากประโยคตัวอย่างที่ยกมา ทุกคนจะเห็นภาพเป็นฉากๆได้อย่างชัดเจน เปรียบเสมือนเราอยู่ในห้องเดียวกับชานยอลและแพคฮยอน เหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของฟิคนี้ แพคฮยอนและชานยอลไม่เห็นเรา แต่เราเห็นพวกเขา เรารู้ว่าทั้งสองคิดอะไร ทำอะไร เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่า เออ ฉันเห็นนะ ฉันได้ยินนะ ฉันรู้นะเธอคิดอะไรกัน แต่ฉันจับต้องพวกเธอไม่ได้ มินาใช้แนวการเขียนแบบนี้เล่นกับอารมณ์ของคนอ่านได้อย่างดี ก็ในเมื่อเราจับต้องตัวละครและเนื้อเรื่องมันได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่มันบีบหัวใจ เช่นตอนที่ฮเยอึน แฟนเก่าของชานยอลตามกลับมาระรานแพคฮยอน และจะเอาชานยอลของเธอกลับไป(แบบอึนๆตามชื่อเธอ) ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าผู้อ่านอย่างเราๆเกิดอารมณ์โมโหและอยากบันดาลโทสะใส่ฮเยอึนขึ้นมาตะหงิดๆ เสียแต่ว่าเราไม่สามารถทำได้ในเรื่องจริง นอกเสียจากก่นด่าเธอในใจเท่านั้น

สำหรับประเด็นของตัวละคร หากจะวิเคราะห์จากภาพที่เห็น แต่ละคนก็มีบทบาทและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป

คนแรกที่พลาดไม่ได้ แพคฮยอน ชายหนุ่มร่างเล็กที่เป็นนักวาดการ์ตูนผู้ซึ่งจับพลัดจับผลูได้มาอยู่ห้องเช่าราคาแสนถูก แต่ได้ของแถมเป็นหนุ่มพนักงานบริษัทร่างสูงอย่างปาร์คชานยอล จากตอนแรกเริ่มที่ได้พบกันในลิฟต์ เรามีความรู้สึกส่วนตัวว่า แพคฮยอนนั้นค่อนข้างจะพึงพอใจและสนใจในชานยอลอยู่พอสมควร มันก็เหมือนกับคนเราทั่วไปที่เจอคนหน้าตาดีก็เกิดอาการถูกใจขึ้นมา แต่อาการนั้นยังไม่รุนแรงเสียจนต้องทำความรู้จักคุ้นเคยกันเลย เป็นแค่ประทับใจแรกพบ แต่ความประทับใจนั้น ก็ถูกบดบังด้วยความขุ่นเคืองในตอนแรก และพัฒนามาเรื่อยๆก็ก่อเกิดเป็นความผูกพันทางใจอันลึกซึ้ง จนท้ายสุด ก็เป็นสิ่งสวยงามที่เรียกกันว่า “ความรัก”


แพคฮยอนเป็นตัวแทนของคนที่มีทัศนะในการใช้ชีวิตแบบโลดโผน และอยู่กับจินตนาการ ในเรื่องเขารับบทเป็นนักวาดการ์ตูน ซึ่งแน่นอนลักษณะสำคัญของนักวาดการ์ตูนต้องมีฝีมือและมันสมองที่เป็นเลิศด้านศิลปะ แพคฮยอนก็ถ่ายทอดออกมาให้เราได้เห็นกัน อีกทั้งฉากการตกแต่งบ้านจำลอง การบันทึกเรื่องราวขณะความจำเสื่อม ทุกอย่างล้วนเป็นตัวบ่งบอกได้ดีเรื่องความอาร์ตของคนตัวเล็ก และอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านเห็นว่าตัวละครตัวนี้มีความเป็นศิลปินสูงอยู่ในตัว คือฉากที่ชานยอลกลับมาที่ห้องหลังจากที่มีกรณีพิพาทระหว่างแพคฮยอนกับฮเยอึน ฉากนี้ชานยอลตามมาง้อคนตัวเล็กเพราะรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง แต่แพคฮยอนกลับไม่สนใจ เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่พูดจาหรือตอบรับคำขอโทษเชิงอ้อนวอนจากร่างสูงเลย จากตรงนี้ ก็พอบ่งบอกได้แล้วว่า แพคฮยอนนั้นค่อนข้างจะมีความรู้สึกที่เปราะบาง อ่อนไหว และถูกทำให้ขุ่นมัวได้ง่ายไม่ต่างจากงานศิลปะที่เขาทำเลย ตัวละครแบบแพคฮยอนนั้น สะท้อนภาพคนในสังคมปัจจุบันบางกลุ่มเวลาทะเลาะกับคนรักได้อย่างดี เพราะคนบางกลุ่ม เมื่อเวลาทะเลาะกับแฟนหรือคนที่รักก็ตาม คำว่าเหตุผลและข้อแก้ตัวก็ไม่สามารถเข้าสู่โสตประสาท ณ เวลานั้นได้ แต่จะต้องจมอยู่กับความคิดตัวเอง ทนทุกข์กับตัวเองให้ถึงลิมิตเสียก่อน แล้วค่อยเปิดรับสิ่งต่างๆเข้ามาอีกครั้ง





ปาร์ค ชานยอล หนุ่มพนักงานบริษัทร่างสูง ที่เคยมีอดีตอันบอบช้ำเกี่ยวกับความรัก เขาต้องได้มาอยู่กับแพคฮยอนโดยบังเอิญ แต่ถ้าพูดกันตรงๆ เรามีความรู้สึกว่า ชานยอลดูว่าเป็นฝ่ายเชื่อมช่องว่างระหว่างเขากับคนร่างเล็ก เพราะชานยอลทำอาหารเก่ง ก็เลยมีเรื่องปากท้องมาเกี่ยว เมื่อมีเรื่องปากท้องมาเกี่ยว อะไรๆมันก็ง่ายขึ้น


แต่สิ่งที่เราคิดกับตัวละครตัวนี้ คือ ความความไม่ประสีประสา ของชานยอล ร่างสูงก็ดีแทบทุกอย่าง คอยดูแลเอาใจใส่คนรอบข้าง หากแต่ไอ้การที่ใส่ใจคนรอบข้างนี่ละ มันทำให้ทุกอย่างดูก้ำกึ่ง ไม่มีอะไรแน่นอน เหมือนกับว่าสิ่งที่ชานยอลทำให้แพคฮยอน มันก็คือการดูแลปฎิบัติโดยทั่วไปที่เขาทำกับทุกคน อย่างเช่น เรื่องการดูแล เซอึน ลูกชายของฮเยอึน คนรักเก่าของชานยอล ตรงนี้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษของชานยอลได้ดี ที่เขากล้าให้ความช่วยเหลือกับอดีตคนรัก แต่การดูแลนี้เอง เป็นที่มาของปัญหาต่างๆ พอได้อ่านมาถึงตอนที่เซอึนปรากฏตัว เชื่อว่าคนอ่านหลายคนสามารถสัมผัสได้ถึงเมฆหมอกแห่งความดราม่าลอยมา และมันปรากฏชัดขึ้น ไหนจะเป็นตอนที่ชานยอลซ่อนรูปที่ถ่ายกับแบคฮยอนให้พ้นสายตาฮเยอึนอีก ทุกสิ่งถูกทำไปโดยพื้นฐานเจตนาดี หากแต่คนใกล้ตัวกลับตีความไม่ออก นำไปสู่ความคลุมเครือ การไม่เข้าใจกัน และในที่สุดก็บาดหมางกัน เพราะการกระทำของชานยอลเอง


และสำหรับตัวฮเยอึนนั้น มินาได้ จงใจ ทำให้เราตัดสินเธอไปแล้วว่าเธอคือตัวร้ายประจำเรื่อง แน่นอนจุดนี้คงเถียงไม่ได้ เพราะอิงจากสิ่งที่เธอทำกับแพคฮยอนต่างๆนานา และการใช้เด็กตัวเล็กๆอย่างเซอึน ซึ่งเป็นลูกของเธอ มาเป็นตัวยึดชานยอลให้อยู่กับเธอนั้น ก็ค่อนข้างที่จะขัดกับความเป็นแม่อยู่มากทีเดียว


หากแต่มองในมุมวรรณกรรม ทุกตัวละครย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ฮเยอึนเธอร้ายก็จริง แต่ชีวิตเธอก็ผ่านอะไรมาเยอะ สามีฆ่าตัวตาย บ้านก็มีปัญหาทางธุรกิจ ไหนจะต้องเลี้ยงลูก เราว่าตัวละครตัวนี้น่าจะผ่านมรสุมชีวิตมาเยอะ แถมเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง ดังนั้นความยากลำบาก ความโดดเดี่ยวจึงผลักดันให้เธอต้องทำทุกวิธี เพื่อให้ยืนหยัดในโลกที่โหดร้ายนี้ให้ได้ และคนที่เธอนึกถึง คือชานยอล คนรักเก่าของเธอ แม้ว่าอาจจะเห็นแก่ตัวและเลวทรามไปบ้าง แต่สำหรับฮเยอึนคงไม่มีทางเลือกมากนัก เธอต้องการใครสักคนมาเคียงข้างกัน คอยช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองเธอ และทำให้เธอมีความสุขต่อไปได้



และด้วยความคิดนี้ละ ทำให้เธอเข้าสู่ด้านมืด......



ถ้าเปรียบเทียบคนรักของปาร์คชานยอล ทั้งแพคฮยอนและฮเยอึนมีจุดที่เหมือนและต่างกันอยู่ไม่น้อย คือทั้งสองนั้น มีตัวเชื่อมกลางคือชานยอล แต่ฮเยอึนนั้น เธออยากครอบครองชานยอล โดยอาศัยเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา และคำว่าเหมาะสมทางสัมคม ที่ยอมรับความสัมพันธ์ ชาย-หญิงมากกว่า มาเป็นตัวช่วย สิ่งที่เธอทำไปทั้งหมด เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เนื้อแท้แล้ว ความรักเป็นเรื่องห่างไกลจากผู้หญิงคนนี้มากนัก แต่การเอาชนะ การต้องการใครสักคนมาทำให้เธอผ่านมรสุมไปได้นั่นละคือสิ่งที่เธอต้องการ เธอมองชานยอลเป็นเหมือนคนๆนั้น คนที่จะทำให้เธอมีความสุข แต่เธอไม่เคยมองเห็นความสุขโดยเนื้อแท้ของชานยอล ทุกสิ่งทุกอย่างมันหมุนรอบเธอ แค่เธอเท่านั้น ผิดกับแพคฮยอน ที่เขารักชานยอลจากใจ จากการไร้ข้อผูกมัด แพคฮยอนไม่มีเด็กตัวน้อยๆมาล่อ ไม่มีปัญหาชีวิตที่หนักหนามาคอยให้ชานยอลคอยช่วยเหลือ จะมีก็แต่หัวใจดวงน้อยที่เปี่ยมรักอันบริสุทธิ์ รักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน นอกจากการที่ได้มีชานยอลอยู่เคียงข้าง และคอยช่วยเหลือชานยอลยามที่ตัวสูงมีปัญหามารุมเร้า เขาก็พร้อมที่จะผ่านมันไปด้วยกัน ก็ต้องขอบคุณทั้งแพคฮยอนและฮเยอึน ที่ทำให้ชานยอลและผู้อ่าน ได้มุมมองความรักที่แปลกใหม่ไปอีก

หากแต่มรสุมชีวิตนั้นยังมิได้หมดไป ในช่วงท้ายของเรื่อง ตัวชานยอลเองก็ต้องพบกับปัญหาที่เขาเองไม่สามารถแก้ได้ และเป็นปัญหาที่เหนือความคาดหมาย สิ่งเดียวที่ชานยอลทำได้คือรอเวลาให้ช่วยเยียวยา และใช้ความรักที่มีช่วยบรรเทาความทุกข์ระทมของเขาและแพคฮยอน จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ผ่านมันไปได้ แม้จะต้องเสียน้ำตากันไปหลายลิตรก็ตาม


อีกจุดหนึ่งที่เราชื่นชอบมาก คือแนวคิดเรื่องบ้านจำลอง เพราะตลอดทั้งเรื่อง เนื้อหาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายในห้องเช่าเล็กๆ แต่แปลกที่เราอ่านแล้ว กลับไม่รู้สึกถึงความอึดอัดเลย บ้านจำลองที่แพคฮยอนชอบ และค่อยๆบรรจงสร้างมัน เป็นตัวเชื่อมความผูกพันที่ชานยอลและแพคฮยอนมีต่อกันให้แนบแน่นขึ้น บ้านหลังน้อยที่พวกเขาแต่งแต้มสีสัน ตกแต่งให้มันทีละนิด ก็เหมือนกับหัวใจของพวกเขาที่ค่อยๆแต้มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้งนั่นเอง และในตอนท้ายเรื่อง สิ่งที่พวกเขาฝันไว้ มันก็ถูกทำเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เราได้เห็นความสัมพันธ์ของคู่นี้จนจบเรื่อง แต่ด้วยความรู้สึก เรากลับพบว่า ชีวิตคู่ของทั้งสองเพิ่งจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง ในสถานที่แห่งใหม่ที่พวกเขาเฝ้าฝันถึง พออ่านไปแล้วเราก็แอบนึกถึงห้องเช่าเก่านั้นไม่ได้ แม้มันจะคับแคบกว่า และไม่สะดวกสบายเท่าบ้านหลังใหญ่ก็ตาม แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ชานยอลกับแพคฮยอน ได้เรียนรู้ ลองผิดลองถูก และพบเจอกับเรื่องต่างๆไว้เป็นประสบการณ์ เพื่อรอวันที่พร้อม และก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงในบ้านหลังใหม่นั่นเอง.........

ภาษาที่ใช้ในเรื่อง อ่านง่าย เข้าใจง่าย เน้นการพรรณนาและบรรยายความรู้สึกของตัวละคร และสภาพโดยรอบ อ่านแล้วจินตนาการตามได้เรื่อยๆ อ่านไม่ติดขัด แถมการเขียนยังถูกต้องตามหลักภาษา ไม่มีการใช้คำแสลงหรือภาษาวิบัติให้เห็น ซึ่งเรามองว่าจุดนี้สำคัญมาก เพราะผู้เขียนเป็นวัยรุ่น แต่สามารถใช้ถ้อยคำที่เหมาะกับบริบทและเนื้อหา ไม่อ่านแล้วงงหรือไร้แก่นสารเกินไป โดยรวมแล้วจึงถือว่าภาษาของการเขียน ไม่ใช่ภาษาวัยรุ่นจี๊ดจ๊าด แต่ก็ไม่ใช่ภาษาโบราณที่อ่านแล้วจะหลับ ขอชื่นชมจากใจจริง....

สุดท้ายนี้ หากใครที่ได้อ่านบทวิจารณ์ที่เราเขียนเราก็อยากใช้พื้นที่ตรงนี้บอกกับทุกคนว่า อ่านเถอะ แล้วคุณจะไม่เสียใจ ฟิคเรื่องนี้มันจะให้อะไรกับคุณมากมาย เหมาะกับยุคสมัยในปัจจุบันอย่างยิ่ง ในยุคที่ผู้คนมากมาย เทคโนโลยีล้ำสมัย และคอนโดผุดยังกับดอกเห็ด ฟิคนี้สะท้อนภาพคนวัยทำงานในสังคมเมืองหลวงได้ดี ใครจะไปนึก ว่าในความสับสนวุ่นวาย จะมีสถานที่ที่เราได้พักใจ พักกาย และมีความสุขกับตัวตนของเราในแบบที่เราเป็น เหมือนห้องเช่าในเรื่อง ถ้าหากหันกลับมามองสักนิด ก็ไม่แน่นะ คุณอาจจะเจอเพื่อนร่วมห้องแบบชานยอลและแพคฮยอน ที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมชีวิตด้วยก็เป็นได้....
     
 
ใครแต่ง : JustPhloi
12 ม.ค. 59
100 %
4 Votes  
#2 REVIEW
 
เห็นด้วย
3
จาก 3 คน 
 
 
รักหลายเหลี่ยม

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 14 ม.ค. 57
“ความรักหลายเหลี่ยม”




ขณะที่เรากำลังเขียนคำนิยมที่กึ่งๆจะไร้สาระด้านวิชาการนี้ แฟนฟิคเรื่องEx-boyfriendคือเรียกกันสั้นๆว่า คริสยอลแฟนเก่า ก็ยังดำเนินต่อไปไม่รู้จบ เนื้อเรื่องดำเนินมาถึงตอนที่13 นับว่าเป็นลัคกี้นัมเบอร์ อ่านแล้วรู้สึกคันไม้คันมืออยากเขียนอะไรมาบอกเล่ากันหน่อย



เนื้อหาของฟิคนี้ ก็มีว่าแฟนเก่าที่อยากจะกลับมาเป็นคนรักกันอีกครั้ง บลาๆๆๆ ใครบางคนคงคิดว่าพลอตเดิมๆ เนื้อหาชิงรักหักสวาทเศร้าเคล้าน้ำตาแบบเดิมๆ อะ อันนี้ไม่เถียง มันเคล้าน้ำตาแน่นอน แต่เป็นน้ำตาแห่งความเย้ยหยันสะใจ และสมน้ำหน้า (ถ้าคุณอยู่ฝ่ายชานยอลนะ) และคงเป็นน้ำตาแห่งความเคียดแค้น หวงแหนคนรัก จนสุดจะกลั้น (แน่ละถ้าคุณอยู่ฝ่ายน้องป๋าย ซึ่งก็ไม่รู้จะมีหรือเปล่า) ฟิคเรื่องนี้นำเราก้าวกระโดดไปสู่มิติใหม่แห่งแฟนฟิค ที่มุ่งเน้นการบอกเล่าอารมณ์ของตัวละคร เหตุผลของการกระทำ และความรู้สึกนึกคิดต่างๆผ่านออกมาทางตัวอักษร ตามปกติทั่วไป คนเรามักคุ้นชินกับความแตกต่างที่ตรงข้ามสิ้นเชิง เช่น ขาวกับดำ ดีกับเลว เป็นต้น แต่ถ้าคุณคิดจะอ่านฟิคเรื่องนี้แล้วละก็ ขอให้ละทิ้งศีลธรรมจรรยาอันดีงามเลิศหรูออกไปให้หมด เพราะนี่คือเรื่องราวที่สะท้อนมุมมืดของใจคนได้อย่างดี!!!
อ่านมาถึงตรงนี้คงตาเหลือก เอ๊ะ นี่ฉันอ่านแฟนฟิคหรือนิยายฆาตกรรม....เอาจริงก็ไม่ต่างอะไรกันมาก แค่ไม่มีเลือดสาดซ่านกระเซ็นก็แค่นั้น แต่ที่ฟิคเรื่องนี้มีการเล่นกับอารมณ์ และสัญชาตญาณแห่งการหวงแหนของรักและแก่งแย่งของมนุษย์ได้อย่างดี ถ้าใครได้อ่านฟิคนี้คุณจะเห็นความเจ็บปวดของการจากลาของ คริสยอล ในตอนแรกๆ ที่ทำเอาแฟนๆที่ชิปคู่นี้น้ำตาตกในไปตามๆกัน ทำไมพี่คริสน้องยอลต้องจากัน โฮๆๆๆๆ T^T แต่พออ่านไปได้สักพัก คนอ่านที่เข้าข้างปาร์คชานยอลมีเฮ้ เพราะน้องยอลนั้นกลับมาร้ายลึก เป็นแฟนเก่าที่แพรวพราย มีการวางแผนแยบยล แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิม นั่นคือหัวใจดวงน้อยที่รักแค่ คริสอู๋ คนเดียวคนนี้เท่านั้น




คริสของเราก็ใช่ย่อย ถึงแม้การกระทำบ่งบอกว่าลืมน้องยอลไปได้แล้ว แต่ใจกลับวูบไหวและโอนอ่อนตามได้ง่ายดาย จนในที่สุด กำแพงที่กั้นมาก็พังทลายลง (แน่ละก็ไปจบกันที่เตียงนิ) หลายๆคนอาจมองว่า เย้ๆ ในที่สุด พระ-นางก็จะได้กลับมาครองคู่ แต่ถ้าเป็นชีวิตจริง จะง่ายขนาดนี้ไหม? จะไม่มีอุปสรรคอะไรเลยเหรอ?






พยอนแบคฮยอนคือคำตอบ.....







น้องป๋าย คนที่งามทั้งกาย และใจ(?) ตามเนื้อเรื่องแบคฮยอนคือแฟนใหม่ของพี่คริส คนที่มาทำให้ร่างสูงกลับมามีชีวิตชีวาและเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ถ้าพูดกันตามเนื้อเรื่อง นี่คงเป็นตัวละครที่ใครๆก็ตัดสินกันทันทีว่านี่ละ “ตัวร้าย”…





โอ้แหม ใจเร็วกันไปหรือเปล่า?





เราไม่ปฎิเสธหรอก ว่าแบคฮยอนดูร้ายๆ ดูจิกๆ จนบางทีก็น่าหมันไส้ แต่บทบาทของน้อง คือ “แฟนปัจจุบัน” นะจ๊ะ หาใช่แฟนเก่าอย่างชานยอล ก็คงไม่ผิดหรอกมั้งที่แบคฮยอนอยากปกป้องของรักของหวงของตัวเอง ถึงแม้ว่าต้องหลอกใช้จื่อเทา มาเป็นหมากในเกมส์รักนี้ก็ตาม แต่เทาเองก็รู้ว่าแบคฮยอนก็หลอกใช้เขา แต่ก็ยังยืนยันที่จะช่วยแบคฮยอนต่อไป เพราะมันทำให้เทาได้อยู่กับคนที่เขารักนานขึ้นไปอีก.......





เพราะถ้าเป็นคุณ....จะยอมไหม?
แบคฮยอนน่าสงสาร....ลองจินตนาการว่าคุณมีแฟน แล้วสายตาที่เขาส่งมาให้คุณ มันสะท้อนเงาของใครอีกคนมาสิ คงเจ็บน่าดูนะ แบคฮยอนมีความรักแสนอบอุ่น แต่แฝงไปด้วยความหวาดระแวง ความกลัว กลัวที่จะสูญเสียคนรักได้ตลอดเวลา






แล้วอย่างนี้คือชานยอลก็ผิดงั้นเหรอ?







ไม่เลย ยอลไม่ผิด เพราะคริสยอลมีสัญญาใจกันไว้ ชานยอลบอกไว้ชัดเจน ว่าถ้าหัวใจยังคงเดิม ก็คงได้กลับมารักกัน แล้วชานยอลก็มั่นคงกับหัวใจตัวเองเสมอมา มีแต่พี่คริสที่หนีไปมีความรักครั้งใหม่ เพราะงั้นยอลเลยไม่ผิด ไม่ผิดเลยที่จะกลับมาทวงสิ่งที่ตัวเองเคยมี กลับมาทวงความเป็นคนรัก กลับมาทวงความสำคัญของหัวใจคืน ถ้าใครเคยอยู่ในสถานะแบบชานยอล ก็คงพูดได้เต็มปากว่า คงทำแบบชานยอล เพราะมันคงเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่จะปล่อยอดดีตคนรักไปมีความสุขกับคนใหม่ที่ได้ยืนอยู่ข้างพี่คริส ยอลคงทำใจไม่ได้ที่ที่ตรงนั้นจะไม่มีเขา ที่ๆคริสกับชานยอลเคยมีความรัก ความผูกพัน และความทรงจำดีๆต่อกัน





แต่ใครที่ไหนจะทำได้ละ?





ชานยอลจึงเป็นตัวแทนของคนที่รอคอยความรัก และหาทางกลับไปยืนข้างคนรักอีกครั้ง แม้ต้องดูเป็นคนเลวในสายตาใคร แต่เพียงแค่ได้อยู่ในสายตาและหัวใจของพี่คริส ก็เพียงพอแล้ว.....ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว






คริสอู๋ ตัวแทนแห่งความโลเล






เอาจริงๆ ถ้าเรามองกันแบบตรงไปตรงมา เรื่องนี้แบบนี้จะจบลงได้อย่างรวดเร็ว ตรงที่คริสเลือกใครสักคนเลือกคนๆนั้นมาเพื่อเคียงข้างเขา แลกกับความเจ็บปวดของคนอีกคน ที่ต้องทนทุกข์กับความโดดเดี่ยว






กับแบคฮยอน คริสมองว่ามันคือการเริ่มต้นใหม่ ทำให้หัวใจที่ชินชาได้รับไออุ่นเป็นคนที่เขาคิดจะลงหลักปักฐาน สร้างอนาคต สร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับจากชานยอล ทำให้คริสไม่กล้าที่จะปล่อยมือแบคฮยอน เขาไม่อาจตอบแทนความรักของคนตัวเล็กนี้ได้ด้วยการจากไป เพราะอย่างไรซะ แบคฮยอนคือคนที่เคียงข้างคริสในวันนี้ที่ไม่มีชานยอล
ทั้งเกรงใจ ทั้งซาบซึ้ง






แต่กับชานยอล มันไม่มีอะไรที่ตายตัวแบบนั้น สำหรับคริส ชานยอลคือความรักที่ทำให้เขามีความสุข มีรอยยิ้ม และสร้างโลกส่วนตัวอันสวยงามได้ ไม่ต้องสนใจกับปัญหาใดๆ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร ก็ผ่านมันไปได้เพราะมีความรักอันแนบแน่นคอยผูกกันไว้ คริสไม่เคยต้องกังวลหรือห่วงอะไรทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีชานยอล คริสก็พร้อมที่จะสู้ไปไม่หวั่น ถึงแม้ชานยอลจะเลือกที่จะจากเขาไป แต่เมื่อชานยอลกลับมา คริสก็ไม่ลังเลเลยที่ดึงร่างบางมาสู่อ้อมอกอีกครั้ง





ทั้งโหยหา ทั้งรักฝังใจ










คุณว่าคริสควรเลือกใครละ????
     
 
ใครแต่ง : chiffon_cake
10 มิ.ย. 57
80 %
54 Votes  
#3 REVIEW
 
เห็นด้วย
3
จาก 3 คน 
 
 
ผู้จัดการของผม กับความอิ่มเอมของเรา

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 7 ก.พ. 57
เบื้องหน้าของดารา คือดาวเจิดจรัสส่องประกายด้วยแสงไฟและแสงแฟลช ดูสง่า งดงาม ไร้ที่ติ เป็นศูนย์รวมของความสมบูรณ์แบบที่ใครๆก็เฝ้าฝันจะได้เป็น ส่วนเบื้องหลังนั้น น้อยคนนักที่จะได้รับรู้และสัมผัสถึงมัน เพราะนอกจากตัวดาราเองแล้วนั้น ก็เห็นจะไม่มีใครเข้าใจ และเข้าไปถึงไปได้อีก นอกจาก ผู้จัดการส่วนตัว



ดาราขี้เก๊กกับผู้จัดการน่าฟัด..... เป็นคำโปรยสั้นๆ ที่บอกตัวตนและเรื่องราวของฟิคนี้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แวบแรกที่เห็นก็ยอมรับว่าแอบรู้สึกแปลกตาหน่อยๆที่เจอคำอธิบายเนื้อเรื่องน้อยมาก แต่นั่นก็ทำให้เรารู้สึกสนใจฟิคเรื่องนี้ขึ้นมา จากตอนแรกที่เฉยๆกับมัน สารภาพเลยว่าการที่ได้เข้ามาอ่านฟิคเรื่องนี้ เกิดจากเหตุบังเอิญล้วนๆ เนื่องจากว่าวันนั้นเรานึกครึ้มอกครึ้มใจ เลยนั่งค้นกูเกิ้ล แล้วพิมพ์คำง่ายๆลงไปว่า sehun+Luhan เว็บอากู๋ก็ได้แสดงผลการค้นหาออกมาต่างๆนานา แต่ที่เด่นสุด เพราะอยู่อันดับต้นๆ ก็คงเป็นฟิคเรื่องนี้ สิ้นความคิด นิ้วเราก็กดคลิกเข้าไป และจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่เราจะไม่กดเข้าไปอ่านมัน แม้ฟิคจะจบลงแล้วก็ตาม........




อารัมภบทที่ยืดยาวแต่ครอบคลุม เป็นตัวแนะนำเรากับฟิคนี้ได้พอสมควร และแน่นอน เนื่องจากฟิคนี้มีพลัง มีแรงดึงดูดบางอย่าง ทำให้เราต้องมานั่งขบคิดถึงประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะเรารู้สึกว่า มันไม่ใช่แค่ฟิคธรรมดาที่เกิดขึ้นจากแฟนคลับhunhanเท่านั้น แต่มันมีหลายๆสิ่งซ่อนอยู่ หลายๆสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกฉงน สงสัย และอมยิ้มไปในคราวเดียวกัน จนในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว ต้องหาคำตอบให้กับตัวเอง




ฟิคเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องย่อๆเกี่ยวกับ เซฮุน เด็กหนุ่มที่พลิกผันมาเป็นดาราดัง เนื่องจากต้องการเรียกร้องความสนใจจากมารดา ที่ในตอนแรกๆยังไม่ปรากฏตัวออกมา โดยเซฮุนได้รับการทาบทามจาก แจซอก ผู้จัดการหนุ่มใหญ่ร่างหมี (อ้างอิงตามคำบรรยายของผู้เขียน) ให้มาเป็นดาราในสังกัด โอเซฮุนไม่เป็นเพียงแต่มีปมเรื่องของแม่ หากแต่ในวัยเด็กเขาได้มีประสบการณ์”จูบแรก” จากใครก็ไม่รู้ ที่เพื่อนๆเรียกกันว่าลู่หาน และจูบนั้นเอง เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวน่ารักๆ ตามประสาคู่แท้ พรหมลิขิต ซึ่งหาอ่านต่อได้ ในเรื่อง หากพูดไปมากกว่านี้ อาจเป็นการสปอยล์และเสี่ยงโดนผู้เขียนกระทืบโดยไม่รู้ตัว




โครงเรื่องถูกแบ่งอย่างชัดเจน มีสถานที่และฉากที่แตกต่างกันไป และแน่นอนจะต้องมีฉากที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง นั่นหมายถึงการถ่ายละคร การออกงานสังคม ออกอีเว้นต์ งานโฆษณา และบลาๆ แม้ว่าฉากพวกนี้จะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดของพวกแสงสีและเทคนิคเฉพาะตามหลักนิเทศศาสตร์ แต่ก็ทำให้เราพอเห็นภาพกิจกรรมที่เกิดขึ้น แม้ไม่ทุกซอกทุกมุม แต่ก็พอจินตนาการและรับรู้ถึงความเป็นไปของตัวละครได้อย่างดี อีกจุดหนุ่งที่เด่นของโครงเรื่อง คือการบรรยาย ต้องขอชื่นชมผู้เขียนไว้ ณ จุดนี้เลยว่าบรรยายได้ดีเยี่ยม เน้นว่าดีเยี่ยม เราเรียนอยู่ในแวดวงของภาษาและวรรณกรรม ได้อ่านได้สัมผัสวรรณกรรมมาหลายรูปแบบ เราเลยต้องขอบอกว่า ฟิคของผู้เขียน มีรสทางวรรณกรรมที่อยู่ในระดับ ละเมียดละไม เลยทีเดียว




ทำไมต้องละเมียดละไม? รู้สึกกันบ้างไหมละ ว่าเวลาเราอ่านไปทุกตอนๆ มันจะมีฉากนึง หรือสักมุมนึง ที่ปากของเรายกยิ้มขึ้นมาเล็กๆ ไม่ใช่ยิ้มที่ฉีกจนถึงรูหู แต่เป็นยิ้มที่เกิดจากความรู้สึกชุ่มชื่นในใจ อย่างตอนที่เราได้เจอเรื่องราวดีๆ อะไรประมาณนั้น ผู้เขียนมีวิธีการเขียนที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ จนทำให้เราพลาดอะไรสำคัญไป การเขียนเป็นไปอย่างลงตัว มีความสมดุล ไม่โน้มเอียงไปฉากหวานจัด หรือดราม่าน้ำตาไหลพรากหมดตัว แถมยังมีNCเล็กๆน้อยพอให้ครื้นเครง กับฉากบีบหัวใจหลายๆฉาก เช่นแหวนหาย....อะไรทำนองนั้น



ถ้างั้นจะสรุปได้เลยละสิว่ามีNCก็เลยทำให้รู้สึกละเมียดละไม...





ผิดถนัดเลยละ เพราะความละเมียดละไมที่เรากำลังพูดกรอกหูอยู่นี้ อีกนัยหนึ่ง มันก็คือความพอดีและความลงตัวของเนื้อเรื่องต่างหาก ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นแบบเป็นเหตุเป็นผล เนื้อเรื่องมีความสมจริงในตัว ดูได้จากตอนที่ลู่หานยอมมาเป็นผู้จัดการของเซฮุน เราจะเห็นกันว่า เออ พี่ลู่แกมีเหตุผลนะ เป็นอะไรที่ยอมรับกันได้ว่าเกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่ว่า เพราะเรากำหนดไว้แล้วว่าฟิคเรื่องนี้เป็นคู่HunHan เราก็เลยจะทำไงก็ได้ให้เขามาคู่กัน มันไม่ใช่ ผู้เขียนให้ความเคารพกับผู้อ่าน ให้เราค่อยๆรับรู้เรื่องราวทีละนิดๆ จนในที่สุด เราก็ผูกติดกับเรื่องนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว





วิธีการใช้ภาษาและการบรรยายก็เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมแก่เนื้อหาและวัยของผู้เขียน-ผู้อ่าน ภาษาที่ใช้มีความเข้าใจง่าย ไม่ต้องเปิดราชบัณฑิตยสถาน แต่ก็ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ของเนื้อหาได้อย่างหมดจด ไม่มีตรงไหนที่ติดขัดหรือทำให้ข้องใจเลย เราขอชื่มชมตรงที่การตรวจทานของผู้เขียนอยู่ในเกณฑ์ที่แม่นยำพอสมควร เพราะแทบจะไม่เจอคำผิดเลย (หรือบางทีเราอาจเจอแต่จำไม่ได้เพราะมันอาจไม่ได้ผิดร้ายแรงและเยอะมากเกินไป) และที่สำคัญ ผู้เขียนรู้ว่าเมื่อใดควรใช้ภาษาระดับใด เช่น เมื่อถึงการบรรยายฉาก ผู้เขียนใช้ภาษาเขียนที่ถูกต้องตามหลักภาษาและเลือกเฟ้นคำที่ตรงกับความต้องการจะสื่อไปยังผู้อ่าน แต่เมื่อเป็นฉากสนทนาระหว่างตัวละคร ก็จะมีระดับที่เพิ่มขึ้นและลดหลั่นกันไป อาจมีการสะกดแบบใช้ภาษาพูดบ้าง แต่นั่นก็เป็นไปตามบริบท ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ใช้แต่ภาษาพูด แม้แต่ช่วงที่บรรยาย เวลาเซฮุนพูดกับลู่หาน หรือลู่หานพูดกับเซฮุน ภาษาที่ใช้ในการสนทนาก็ง่ายๆสบายๆ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนได้ยินคนรักพูดกันตามปกติ แต่ถ้าเวลาพูดกับคนอื่นๆ น้ำสียงและการใช้คำก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์และความรู้สึก เช่นตอนที่เซฮุนพูดกับอีวอนและอึน เป็นต้น (คงเห็นภาพนะว่าใช้น้ำเสียงแบบไหน)



เรื่องการใช้ภาษาที่เรากล่าวมา มันแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละคร ที่มี กาลเทศะในตัว และด้วยความมีกาลเทศะในตัวภาษานี่เอง ทำให้ฟิคเรื่องนี้มีความสมจริง ไม่เหมือนเรากำลังอ่านฟิค แต่เหมือนกับว่าเราจมอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง โลกที่เซฮุนกับลู่หานไม่ใช่สมาชิกวงเอ็กโซ หากแต่เป็นเซฮุนดาราดังกับลู่หานผู้จัดการหน้าหวานแบบในฟิค และโลกที่เราพูดถึงนี้ละ คือเสน่ห์การเขียนอีกแบบหนึ่งที่หาตัวจับยาก......




จากที่ได้อ่านมา การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่ จะเล่าผ่านมุมมองและคำพูดของโอเซฮุนเป็นหลัก มีบ้างที่ลู่หานจะมาเสริม การเขียนลักษณะนี้ จะยกให้ตัวละครหลักๆ เป็นผู้เล่า (Narrator) ส่วนตัวนักเขียนเอง จะทำหน้าที่เป็นผู้เขียนและผู้บรรยายสภาพแวดล้อม (STROYTELLER) ซึ่งตัวผู้เล่า (เซฮุน) นั้น จะรับผิดชอบในการเล่าความรู้สึก ความคิด และอารมณ์ของตัวเอง ผ่านทางตัวอักษรให้ผู้อ่านได้รับรู้ โดยที่ส่วนนี้ ในทางวรรณกรรม จะถือว่าผู้เขียนไม่มีสิทธิ์เข้ามาก้าวก่าย เป็นหน้าที่ของตัวละคร ที่จะเป็นผู้เล่า เป็นผู้ถ่ายทอดทั้งหมด เรคิดว่าการเขียนแบบนี้มันมีเสน่ห์ มันเหมือนกับให้อิสระตัวละคร ให้มีความคิดและอารมณ์เป็นของตัวเอง ไม่มีขีดจำกัดอะไรมากั้น ซึ่งพอไม่มีอะไรมาปิดกั้น ผู้อ่านอย่างเราๆก็สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบฟินๆ ไม่ต้องเกรงใจใคร แต่อาจจะมีบางครั้งที่ผู้เขียนแอบสอดแทรกความเห็นตัวเองมาเล็กๆน้อยๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราเข้าใจและรู้สึกตามได้ง่ายขึ้น





ประเด็นของฉากNCเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราขอพูดถึง...... ต้องยอมรับเลยว่า ในปัจจุบัน ฟิคแทบทุกเรื่องที่ได้อ่านมา (ส่วนใหญ่จะฟิคยาว) จะมีฉากNC ส่วนมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้เขียน ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเคยออกมาพูดเรื่องNCว่ามีคนมาตำหนิว่าเธอเขียนได้ไม่ดีพอ แต่เธอก็บอกไปว่าต่อให้เขียนกี่ครั้ง เธอก็เขียนได้แต่แบบนี้ ซึ่งเราต้องขอปกป้องผู้เขียนเลยว่า เธอเป็นผู้หญิง การที่เธอต้องมาบรรยายฉากอะไรแบบนี้ก็นับว่ายากพอดูแล้ว เธอเองก็ทำได้ดีที่สุดเท่าที่เธอและความสามารถจะอำนวย แล้วถ้าหากว่าจะต้องทุ่มเทพลังงานทั้งหมดที่มีไปกับฉากเหล่านั้น เชื่อได้เลยว่า คุณค่าของฟิคนี้จะถูกลดทอนโดยไม่ได้ตั้งใจ ความสนุกจะถูกบิดเบือน และสาระสำคัญต่างๆจะลดความหนักแน่นลง เราขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า ในความคิดของเรา NCถือเป็นฉากสีสันของเรื่อง ที่ช่วยเพิ่มให้เนื้อเรื่องมีอะไรที่แปลกใหม่ และช่วยกระตุ้นคนอ่านให้รู้สึกหวาบหวามและตื่นตัวเพียงเล็กน้อย หากแต่ประเด็นสำคัยกลับไปอยู่ที่ เนื้อหาหลักต่างหากที่ควรใส่ใจ เพราะถ้าNC20+ แต่เนื้อหามีความสนุกและน่าสนใจติดลบ ไอ้ที่เขียนฉากแบบนั้นมา ก็ไม่ได้ช่วยอะไร บ่อยครั้งที่เราเห็นคนเขียนฟิครุ่นใหม่ พยายามยิ่งยวดที่จะผลักดันฟิคของตนเอง ให้ได้รับความสนใจโดยการเขียนNCบานตะไท เขียนกันแบบมีแทบทุกตอน ซึ่งการทำอะไรแบบนั้นมันฝืนธรรมชาติ และยังไปสร้างภาพลักษณ์ที่ดูหมกหมุ่นให้กับเหล่าตัวละครโดยไม่จำเป็นอีกต่างหาก จริงอยู่ที่ฟิคเรื่องนี้มีฉากNCอยู่ประมาณหนึ่ง ไม่เยอะและน้อยเกินไป แต่ถ้าสังเกตดีๆ ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ โอเซฮุนมีความรักที่ล้นเอ่อรอมอบให้กับลู่หาน และลู่หานเองก็พร้อมที่จะรับรักจากเซฮุน วิธีการมอบความรักที่เราเห็นๆกันในเรื่องก็มีหลากหลาย และสุดท้ายก็คือ เซ็กส์ ซึ่งถามว่า ณ สังคมปัจจุบันถือเป็นเรื่องเปิดกว้างไหม ก็ไม่ แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเข้าใจและยอมรับกลายๆ เพราะฉะนั้น ฉากNC HunHanเกิดขึ้นตามความเหมาะสม และมีความพอเหมาะพอควร อ้างอิงจากอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ ไม่ใช่อารมณ์หมกหมุ่นจนเกิดจริง และเชื่อเราเถอะว่า ถ้าตัดฉากncออกไป ความสนุกของฟิคนี้ก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่นิดเดียว




สำหรับตอนจบที่อาจดูห้วนๆ เรามองว่านี่มันเป็นตอนจบของฟิคไง แต่ถ้าเอาจริง ชีวิตของโอเซฮุนกับผู้จัดการลู่หานเพิ่งเริ่มนะ เพราะงั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องจบแบซึ้งๆน้ำตาไหล เราคิดว่าจบแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ ให้คนอ่านจินตนาการต่อ ให้มีความสุขกันต่อไป ดีแล้วละ




มาพูดถึงเรื่องของตัวละคร ในฟิคเรื่องนี้มีเยอะพอสมควร ละแทบทุกตัวก็มีบทบาทและสีสันให้กับเนื้อเรื่องไม่ได้หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน




โอเซฮุน ดาราหนุ่มวัยรุ่นพุ่งแรงสุดขีด ที่ผันตัวจากเด็กกะโปโลธรรมดามาเป็นดาราดัง เพียงเพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากคังมิร่า ผู้เป็นมารดา เซฮุนเป็นตัวแทนของเด็กรุ่นใหม่ในสังคมที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษจากครอบครัว แม้ตนเองจะมีชื่อเสียงหรือเงินทองขนาดนั้น ความรักและความห่วงใยจากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญอยู่ดี ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดศีลธรรมและอะไรหลายๆอย่างผ่านเซฮุน ผู้เขียนสร้างเซฮุนให้เป็นเด็กหนุ่มรูปงาม พร้อมด้วยทรัพย์และชื่อเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนภายนอกมองว่าดี มองว่าเหมาะ แต่หากลึกๆแล้วเซฮุนกลับมีปมหลายเรื่องเหลือเกิน ที่บรรดาแฟนคลับไม่ล่วงรู้ ตัวละครของเซฮุนมีมิติ มีหลายมุมที่ทำให้เราต้องขบคิด เขาคือเด็กหนุ่มที่ต้องการความรักจากแม่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเด็กหนุ่มที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน มีความรักกับจูบแรกในวัยเด็ก และฝังใจเขาเรื่อยมาจนโต เซฮุนกลายเป็นหนุ่มผู้มั่นคงในรัก ซึ่งขัดกับบุคลิกที่ดูเย็นชา พูดน้อยเมื่ออยู่ในบทบาทนักแสดง ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ตัวละครมีมุมพัฒนาการตามวัย และไม่ต่งอะไรจากสังคมในปัจจุบัน ที่เวลาทำงานอาจต้องใส่หน้ากากปิดบังตัวตนที่แท้จริง เพื่อการยอมรับในสังคมนั้นๆ




ลู่หาน หนุ่มหน้าหวานที่ทางบ้านมีฐานะค่อนข้างขัดสน ลู่หานมีภาพลักษณ์เป็นเด็กดี ขยัน และคอยดูแลจุนเจือครอบครัวที่มียายกับลู่ถิงน้องสาว (ผู้ซึ่งภายหลังกลายเป็นแม่สื่อกลายๆให้กับพี่ชายตัวเอง) ลู่หานคือตัวแทนของคนที่เห็นหน้าที่มาก่อนสิ่งอื่นใด แม้ว่าเขาจะรู้สึกดีๆกับเซฮุน แต่ด้วยคำว่าผู้จัดการมันค้ำคอ เขาจึงขีดเส้นมากั้นเอาไว้ ไม่ให้เซฮุนถลำลึกเข้ามา แต่ท้ายสุดก็เป็นเขาเองที่ก้าวข้ามเส้นบางๆนั้น ลู่หานคือคนที่มีความรักคนหนึ่ง ที่คิดว่าเขาช่างไม่เหมาะสมกับเซฮุนเอาเสียเลย เซฮุนมีทุกอย่างที่ลู่หานปรารถนาจะมี แต่ถึงกระนั้นลู่หานก็เป็นคนเดียวที่รู้ว่าสิ่งที่เซฮุนมีมันไม่ได้ทำให้เซฮุนมีความสุข แต่กลับเป็นลู่หานที่มาเติมเต็มชีวิตเซฮุน เช่นเดียวกับลู่หาน ที่ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่มีอะไรมาเคียงข้างเซฮุนได้ เขาไม่ได้รวย ไม่ได้มีชื่อเสียง หากแต่มีใจที่มั่นคง อยู่ข้างเซฮุนตลอด และไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากได้ดูแลเคียงข้างเซฮุนไปอย่างนี้ จนในที่สุด เขาก็รู้ตัวว่า ชีวิตของเขามีพร้อมทุอย่างแล้ว ไม่ได้ต้องการอะไรเมอีก เพราะแค่มีเซฮุน ชีวิตของเขาก็สุขล้นมากมาย




เจ๊ใหญ่ พี่แจซอก และคังมิร่า คือตัวแทนของผู้ใหญ่ในเรื่อง ที่คอยสอดส่องดูแลคู่รักวัยรุ่นคู่นี้ เจ๊ใหญ่จะเปรียบเสมือนผู้ใหญ่ที่คอยควบคุม จัดการต่างๆให้อยู่กับร่องกับรอย จนดูเหมือนว่าบางครั้งก็เป็นการบังคับมากเกินไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่บนเจตนาดี ส่วนแจซอกนั้น ก็คือภาพแทนของพวกผู้จัดการดาราทั่วไป ที่คอยดูแลไม่ให้เด็กในควบคุมมีอะไรที่ขาดตกบกพร่อง แจซอกจะต่างจากเจ๊ใหญ่ตรงที่จะตามใจและไม่ค่อยขัดขวางอะไรเท่าไหร่ แต่จะเป็นแนว อะไรก็ได้ ตลบเท่าที่มันไม่ส่งผลเสียกับตัวเซฮุนและลู่หานเอง ส่วนคังมิร่า คือตัวแทนของผู้ปกครองที่มีวิธีการแสดงออกในเรื่องความรักแบบิดๆ ไม่ค่อยชัดเจนจนเห็นได้ชัด แต่ก็ยังสัมผัสได้ เราชอบโมเม้นต์ที่คังมิร่ามักจะซื้อหุ่นกันดั้มให้เซฮุนเสมอๆ และมันก็ดูจะเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวหัวใจสองแม่ลูกนี้ไว้ คังมิร่าสมกับเป็นแม่เซฮุน ที่ดูออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับผู้จัดการไม่ธรรมดา แต่เธอเลือกที่จะไม่ก้าวก่าย แถมยังให้การสนับสนุนเสียอีก เราว่าแม่แบบคังมิร่านี่ถือว่าเป็นแม่ตัวย่างเลยก็ว่าได้ คือให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถ้าทางไหนถูก ลูกจะได้ก้าวเดินอย่างภูมิใจ แต่หากวันไหนที่ลูกก้าวพลาด แม่ก็จะไปช่วยพยุงแล้วผลักดันให้เดินได้อย่างภาคภูมิอีกครั้ง.......




อีวอนกับเยอึน เห้อ......... เอาเป็นว่า เราไม่ได้มองว่าสองคนนี้เป็นตัวร้ายนะ เรามองว่าสองคนนี้คือผลผลิตจากสังคมทุนนิยม ที่เน้นเชื่อเสียงและเงินทองเป็นหลัก คนแบบนี้โดยเนื้อแท้อาจไม่เลวร้าย แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่กดดัน ทำให้พวกเขาต้องแข่งขันและเหยียบหัวผู้อื่นเพื่อให้มีที่ยืนต่อไป ยังไงซะพวกนี้ก็ยังเด็ก อาจขาดสติกับอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งผู้เขียนน่าจะสร้างตัวละครเหล่านี้มาให้เราเห็นผลเสีย ต่อการที่ให้เด็กเติบโตมาในระบบทุนนิยมที่เห็นเงินคืออำนาจ เห็นชื่อเสียงคือเป้าหมาย




จากที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงชื่นชอบฟิคเรื่องนี้มาก จนต้องมานั่งเขียนวิจารณ์และคำนิยมให้แบบนี้ จนไปถึงการสั่งจองรวมเล่ม ทั้งๆที่ตอนนั้นอ่านไปได้แค่2ตอนเอง.......




ฟิคเรื่องนี้คือภาพสะท้อนของมุมมองความรัก และการใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบ ที่มีความสมจริงเหมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพสังคมปัจจุบันที่เราได้พบได้เจอ ความรักกับหน้าที่ คุณควรเลือกอะไร เงินคือทุกสิ่งจริงหรือ ความรักของพ่อแม่คือการแสดงออกอย่างชัดเจนเท่านั้นหรือเปล่า ทุกๆคำถามมันไม่มีคำตอบตายตัว ทุกคนต้องหาคำตอบเฉพาะ ซึ่งถ้าใครได้อ่านฟิคเรื่องนี้ ก็คงได้อไรที่แตกต่างกันไป อาจจะเหมือนกับเราบ้าง ไม่เหมือนบ้างก็อย่าได้วิตกไป เพราะตัวพวกเรามีจิตวิญญาณที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ เราจะเข้าถึงประเด็นของฟิคได้แค่ไหน ไม่มีใครตอบแทนใครได้ ลองหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยให้ฟิคนี้เป็นตัวช่วยสิ แล้วคุฯจะได้อะไรกลับไปเยอะ ที่แน่ๆมีอย่างหนึ่งที่พออ่านจบแล้วทุกคนรวมถึงเราจะเป็น นั่นก็คือ อาการอมยิ้มและหัวเราะกับตัวเองเบาๆตอนต้นเรื่อง อารมณ์ลุ้นๆตอนกลางๆเรื่อง และอารมณ์ซึ้งเศร้าตอนท้ายๆเรื่อง ทุกรสมันอยู่ในฟิคนี้หมด มีครบทุกรสชาติ ตั้งแต่บรรทัดแรกยันบรรทัดสุดท้ายซึ่งพอเราอ่านจบทีไร ก็น้ำตาไหลแปลกๆ เหมือนกับว่าเป็นความรู้สึกที่....ไม่รู้สิ










อิ่มเอม......











แหม ต้องรีบไปหาผู้จัดการส่วนตัวมาสักคนแล้ว






ขอบคุณผู้เขียนที่เขียนฟิคเรื่องนี้มาให้อ่านกันนะครับ



ขอบคุณจากใจจริง และจะรอติดตามผลงานต่อๆไปนะ 
     
 
หน้าที่ 1