ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลาลาลา

    ลำดับตอนที่ #5 : [ไม่ต้องรู้ว่าเรา[เขียน]กันแบบไหน - Feb 2014] - สุญญากาศสีขาว

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 57


    ร่วมกิจกรรม ไม่ต้องรู้ว่าเรา[เขียน]กันแบบไหน ของสมาคมนัก(อยาก)เขียน
     

    พล็อต > สำหรับ 02 เคียซา

    โลกของฉันมีแต่สีขาวกว้างไกลสุดสายตาไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดใด ไม่ว่าจะเป็นพื้นเบื้องล่างหรือภาพเบื้องบนก็มีแต่สีขาวว่างเปล่าไร้ความหมาย ฉันเป็นมนุษย์ในชุดสีขาวเรียบๆ แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ฉันรู้จักถ้อยคำต่างๆ รู้จักมนุษย์ ผู้หญิง และผู้ชาย แต่กลับนึกไม่ออกว่ามนุษย์ผู้หญิงมีสภาพเป็นเช่นไร ฉันรู้จักถ้อยคำแต่กลับไม่สามารถแปลความหมาย ฉันมีชีวิตเพราะฉันรู้ว่าตัวเองกำลังหายใจ แต่กลับไม่รู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรในโลกสีขาวอันว่างเปล่าแห่งนี้ เหตุใดฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ ฉันไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปเช่นไร แต่บางครั้งจะมีถ้อยคำปรากฏ ดังนั้นฉันจึงคิดเอาว่าทุกๆ วันฉันจะรู้ถ้อยคำใหม่ๆ ในหัว ฉันได้แต่เดินไปเรื่อยๆ บางครั้งก็หยุดนั่งอยู่กับที่ก่อนจะลุกเดินต่อ บางคราก็ล้มตัวลงนอนมองโลกสีขาวอันว่างเปล่ารอบๆ ตัว

    จนกระทั่งวันหนึ่ง มี เก้าอี้ ปรากฏอยู่ตรงหน้า เก้าอี้สีดำสนิทที่ปรากฏขึ้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกของฉัน เพราะเก้าอี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันมีฉันจึงนำมันไปด้วยกันกับฉันตลอดเวลา ยามแรกฉันรู้สึกสนุกเมื่อได้พักบนเก้าอี้ยามเหนื่อย แต่ไม่นานน้ำหนักของเก้าอี้ก็ทำให้ฉันไม่ใช่ฉันคนเดิม ถึงกระนั้นฉันก็ไม่อาจปล่อยมือจากมัน ตกอยู่ในบ่วงไม่กล้าละทิ้ง ทนแบกภาระนี้ก้าวเดินต่อไปด้วยความยึดติด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเก้าอี้เลยแม้แต่น้อย โลกสีขาวอันว่างเปล่าของฉันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะเก้าอี้สีดำเพียงตัวเดียว

     

     เจ้าของพล็อต คือ “01 ซัวร์” (AzureIce)



    ______________________________________________

    สุญญากาศสีขาว

    - “ผมไม่มีตา -

     

     

                หนึ่ง  สอง  สาม

                ฉันก้มหน้านับก้าวเดิน

                สี่  ห้า  หก

                เท้าซ้ายขวาสลับกันนำหน้า สม่ำเสมอแต่เนิบนาบไม่เร่งร้อน

                บางครั้งฉันจรดปลายเท้าลงแผ่วเบา บางครั้งฉันกระแทกส้นเท้ารุนแรงเหมือนกระทืบใคร แต่ไม่ว่าครั้งไหน ฉันก็ไม่เคยได้ยินเสียงฝีเท้าเลย

                หากว่าหยุดและหมุนตัวกลับไปมองทางที่เหยียบย่างผ่านมา ฉันก็จะมองไม่เห็นร่องรอยใดๆ ทั้งของสรรพสิ่งทั้งของตัวเอง ราวกับว่าไม่เคยขยับเคลื่อนไหวออกจากตำแหน่งนี้มาก่อน

                หากว่าละสายตาจากพื้นเบื้องล่างแล้วมองยังทางเบื้องหน้า ฉันก็จะเห็นสุดปลายทางอันห่างไกล... เป็นเพียงสีขาว ไม่ต่างอะไรจุดที่ฉันยืนหยัดอยู่

                สีขาวสีเดียวกับเสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่ สีขาวใกล้เคียงกับสีผิวของฉัน

                ฉันอาศัยเป็นส่วนหนึ่งของโลกอันพิสุทธิ์นี้

                ไม่เคยทราบว่าเพราะเหตุใด ทว่านับตั้งแต่การกะพริบตาหนึ่งในล้านล้านครั้งนั้น ฉันก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ วันเวลาไหลเลยผ่าน จนกระทั่งลืมเลือนหลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมกับถ้อยคำมากมาย ทั้งส่วนสำคัญและส่วนไม่สำคัญ

                ฉันไม่รู้ว่าตนเองมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร แต่ฉันก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกสีขาวที่ไร้ซึ่งสรรพสิ่งนี้

                ปราศจากสิ่งอื่นใด ไม่เว้นแม้อากาศธาตุ

                ในสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นเพียงความว่างเปล่า ฉันเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับหายใจ

                หายใจ... เพื่อนำความว่างเปล่านั้นเข้าไปในร่างตน

     

                น่าเบื่อหน่าย ฉันอดคิดไม่ได้ในขณะที่ก้าวต่อไป

                ที่แห่งนี้มีแค่ฉัน แค่ฉัน แค่ฉันคนเดียวเท่านั้น

                ไม่ว่าจะคาดหวังอะไร ก็ไม่เคยได้มันดังปรารถนา

                .

                แต่แล้วเวลาหนึ่ง

                ฉันกลับได้ยินเสียงร้องเรียกของใครอีกหนึ่งตัว

     

                คุณครับ

                เสียงนั้นดังก้องในหัวฉัน กังวานท่ามกลางความเงียบสงบ

                ฉันหันไปรอบๆ สอดส่องสาตาหาเจ้าของเสียง ฉันไม่อาจใช้เสียงที่ได้ยินระบุทิศทาง เพราะมันไม่ใช่เสียงที่เปล่งออกจากลำคอ แต่เป็นเหมือนเสียงที่อยู่แค่ในตัวฉัน เสียงของความคิด

                ที่ประมาณองศาหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ด ฉันเห็นของสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ มันแปลกตาจนฉันต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

                เริ่มออกเดินอีกครั้งหลังจากหยุดชะงัก หนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้า สม่ำเสมอ เร่งรีบและเร่งร้อน  จนกระทั่งระยะห่างระหว่างกันลดน้อยลงเหลือเพียงไม่กี่ก้าว ฉันจึงหยุด

                สิ่งของด้านหน้าฉันตัดกับโลกอันไพศาลนี้มาก มันคือวัตถุแปลกตาสูงถึงเอว มีแท่งสี่แท่งประคองแผ่นสี่เหลี่ยมซึ่งขนานตามแนวนอนให้ยึดวางได้ แผ่นสี่เหลี่ยมอีกอันหนึ่งตั้งตรงขึ้นจากแผ่นสี่เหลี่ยมอันเดิมเป็นมุมฉากที่ขอบ แผ่นสี่เหลี่ยมกับพวกแท่งเหล่านั้นค่อนข้างหนา ดูแข็งแรงขณะอยู่บนความว่างเปล่า ทั้งมันยังดำสนิท สีนี้ที่แตกต่างจากฉันโดยสิ้นเชิง ให้ความรู้สึกลึกลับ มืดมิด คล้ายว่าตนจะถูกกลืนกิน

                ฉันชอบมันมาก

                จึงอดเข้าไปลูบๆ มันดูไม่ได้

                สวัสดีครับคุณเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

                ฉันยิ้มให้มัน ก่อนจะคิดตอบว่า สวัสดี

                มันฟัง นิ่งเงียบ แล้วค่อยบอกฉันอย่างชัดเจนว่า ผมคือเก้าอี้ครับ

                ฉันก็เลยบอกมัน ฉันคือมนุษย์

                ‘ยินดีที่ได้รู้จักครับมนุษย์

                มือฉันยังคงไล้ไปตามผิวเรียบมันของเก้าอี้ ลื่นๆ ดี สำหรับฉันมันสวยมาก แน่นอนว่าน่าสนใจจนฉันลืมทุกอย่างด้วย

                ฉันไม่เคยรู้จักเก้าอี้มาก่อนเลย สีของมันช่างแสนมหัศจรรย์ รูปร่างของมันก็งามล้ำ สมบูรณ์แบบจริงๆ ฉันเห็นคำว่าหลงใหลปรากฏขึ้นในหัว นี่ฉันคงหลงใหลเก้าอี้สุดหัวใจใช่ไหมนะ

                เขินจัง

                มันก็น่ารักดี ฉันชอบมัน ฉันยินดีพามันไปกับฉันตลอดกาล เพื่อให้ฉันได้ลูบมันไปเรื่อยๆ นะ

                มนุษย์ควรจะนั่งผมมากกว่านะครับ ผมมีไว้นั่ง นั่ง? ควรจะนั่งมันมากกว่าอย่างนั้นหรือ?

                ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเก้าอี้มีไว้นั่ง แล้วฉันต้องนั่งตรงไหนกัน? ฉันจ้องแผ่นสี่เหลี่ยม สมองปรากฏคำว่าที่นั่งกับพนักพิงรางๆ จึงเข้าใจว่าส่วนประกอบของเก้าอี้นั้นเรียกว่าอะไรบ้าง ฉันค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเก้าอี้ และ

                ...ฉันนั่งมันแล้ว

                ต้องอย่างนี้สิครับเก้าอี้เอ่ยชื่นชม มนุษย์นี่ยอดไปเลยนะ รู้สึกยังไงบ้างล่ะ

                สบายดี แล้วก็สนุกดี

                ก็ว่าล่ะมันทำท่าทางภูมิใจ มนุษย์ช่วยบอกทีสิ ที่แห่งนี้เป็นยังไงเหรอครับ

                ฉันนิ่งมองมัน ที่แห่งนี้เป็นยังไง?

                มันไม่รู้จริงๆ น่ะหรือ ก็เป็นสีขาวยังไงล่ะ สีขาวที่สะอาดบริสุทธิ์ ทอดตัวยาวสู่ทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าก้าวเดินอย่างไร ก็คล้ายว่ามีเพียงความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด

                ชัดเจนออกเสียขนาดนี้ ทำไมเก้าอี้ต้องถามฉัน?

                ผมไม่มีตามันตอบ

                ฉันตกใจ จึงสำรวจทุกซอกทุกมุมทั้งตัวมันอีกรอบ มันไม่มีตาจริงๆ ด้วย จะที่พนักพิง ที่รองนั่ง หรือขาเก้าอี้ทั้งสี่ ก็ไม่มีดวงตาเลยสักดวง

                แล้วเก้าอี้ที่ไม่มีตาเห็นโลกนี้เป็นยังไงกันนะ?

                มันตอบว่า เป็นสีดำครับ สีดำที่น่าอึดอัด ทอดตัวยาวสู่ทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าก้าวเดินอย่างไร ก็คล้ายว่ามีเพียงความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด สีดำเงียบเหงามากๆ ถ้าไม่ได้พบคุณ ผมต้องจมอยู่กับเสียงของความคิดตนเองจนเบื่อตายแน่ๆ

                คำตอบของเก้าอี้ทำให้ฉันลองเปรียบเทียบ สีขาวกับสีดำแทบไม่ต่างกันเลยนี่นา? ทั้งสองไร้เสียงและว่างเปล่า แต่ตอนนี้ก็มีข้อแตกต่างอยู่หนึ่งเดียว คือฉันเห็นเก้าอี้สีดำท่ามกลางสีขาว ก็แล้วมันเห็นฉันสีขาวท่ามกลางสีดำบ้างไหม?

                ไม่เห็นครับ

                เก้าอี้น่าสงสารเหลือเกิน

                ตอนนี้ฉันยังมีมันเป็นความแตกต่าง แต่โลกของมันไม่มีความแตกต่างเลย นี่คงมีแต่เสียงอันยืดยาวของฉันกระมังที่จะทำลายความน่าเหนื่อยหน่ายของโลกสีดำลงได้

                ถ้าหากว่าฉันทิ้งเก้าอี้ไว้ตรงนี้ มันจะอยู่ต่อไปอย่างไร ฉันนึกไม่ออกเลย

                แล้วถ้าฉันเดินต่อไปโดยทิ้งเก้าอี้ไว้ตรงนี้ ออกห่างจากสิ่งน่าสนใจเพื่อไปสู่ความจำเจของโลกที่ซ้ำเดิม ฉันจะทนได้หรือ?

                ฉันตัดสินใจแล้ว

                ฉันจะพาเก้าอี้ไปด้วย พาเก้าอี้ไปยังทุกๆ ที่ที่ฉันไป

                พาเก้าอี้สีดำเดินทางไปในโลกสีขาวด้วยกัน

     

                ฉันยกเก้าอี้ขึ้นมาอุ้มไว้ แต่มันหนักเกินคาด แขนทั้งสองข้างจึงต้องเกร็งเต็มที่ ระหว่างยกมัน ฉันก็เดิน ก้าวไปสองสามก้าว วางมันลง แล้วก็เริ่มใหม่

                วนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ระยะทางรวมประมาณหกสิบก้าว

                ฉันกลัวเก้าอี้เจ็บ จึงยกเก้าอี้เหนือขึ้นจากพื้น

                แต่ท่าทางมันจะไม่เป็นอะไรหรอก

                เพราะครั้งหนึ่งฉันเผลอทำมันหล่นลง ขาเก้าอี้กระแทกเข้ากับความว่างเปล่า ฉันไม่ได้ยินเสียงความคิดร้องโอดโอยเลยสักนิดเดียว นับว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชมอีกอย่างของมันดีไหม ตัวฉันเองไม่เคยล้มลงกระแทกความว่างเปล่า เดาว่ามันไม่เจ็บ แต่มันอาจจะเจ็บมากๆ ก็ได้

                ยังไงฉันก็ไม่สนอะไรแล้ว ฉันเหนื่อย ฉันควรลากมันไปเลย น่าจะดีกว่า

                จากนั้นฉันจึงจับมันตรงพนักพิง ลากไถลไปกับพื้นขาวประมาณหกร้อยก้าว

                มันไม่ได้หนักขึ้นเป็นเท่าทวีหรืออะไรเทือกนั้นหรอก เพียงแต่ฉันเมื่อยมาก ฉันจึงนั่งพักบนตัวมัน รอให้ตนกลับมามีพลัง ค่อยลากมันต่อ

                วงจรการลากวนเวียนอย่างนี้ซ้ำๆ จนฉันเริ่มไม่เห็นว่าเก้าอี้เป็นของดีแล้ว

                มันทักทายฉันขณะถูกฉันลากแค่ไม่กี่ครั้ง เสียงความคิดผะแผ่วและสะดุดเหมือนมีเรื่องลำบากใจ

                บางทีเก้าอี้อาจจะไม่อยากถูกฉันลากก็ได้?

                ‘มนุษย์ปล่อยผมก็ได้นะ

                จนกระทั่งมันบอกฉันอย่างนั้น ฉันจึงต้องคิดพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าอย่างจริงจัง

                ฉันอยากจะทิ้งเก้าอี้ไปใจจะขาด เพราะว่าเก้าอี้หนักเกินไป แต่ฉันทำไม่ลง เพราะเก้าอี้น่าสงสาร

                ทุกครั้งที่ฉันหยุดพักและนั่งลงบนมัน ได้ยินเสียงมันพูดคุย ความเหนื่อยล้าก็แทบจะเป็นเรื่องทนได้ กำลังใจเอ่อล้นจนไม่สนอะไรอื่น

                คำว่าความยึดติดแวบผ่านเข้ามา ฉันก็รู้หรอกนะว่านี่เป็นความยึดติด แต่ฉันเลิกยึดติดไม่ได้หรอก

                เพราะฉันชื่นชมเก้าอี้ เพราะฉันหลงใหลเก้าอี้ ผิวเรียบลื่นของมันทำให้ฉันรู้สึกดี มันหนาและแข็งแรง เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นสีดำ สีที่ตรงข้ามกับฉัน ทั้งยังทำให้ฉันสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ด้วย

                เพราะฉันชอบเก้าอี้มาก ฉันจึงไม่อาจทำตามคำขอของมันได้

                อย่างไรนี่ก็เป็นความตั้งใจของฉัน ถึงจะหนักแต่ก็ไม่อาจปล่อยมันไป มีมันอยู่ข้างๆ ดีกว่าอยู่โดดเดี่ยวตั้งเท่าไหร่ๆ

                ฉันหวังว่าเก้าอี้จะเข้าใจ

                ขอบคุณที่อุตส่าห์ลากผมมานะ

                ฉันน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ฉันชอบคำขอบคุณนั่นมาก ความดีใจครอบครองสติ แต่มันกลับพูดต่อว่า

                ผมจริงจังมาก มนุษย์ปล่อยผมลงเถอะ

                ทำไมถึงพูดอย่างนั้นกันล่ะ? ด้วยเสียงของความคิดที่หนักแน่นและจริงใจจนน่าหวาดหวั่นนั่น

                ฉันขมวดคิ้วอย่างฉงนสงสัย ทั้งๆ ที่เก้าอี้ได้ยินความคิดของฉันแล้วแท้ๆ หรือว่ามันยังไม่เข้าใจฉันอีก ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการแบกมัน นั่นสื่อถึงใจฉันไม่ชัดเจนพอหรือ

                ฉันมองเก้าอี้ แต่เก้าอี้ไม่ได้มองฉัน เราอยู่นิ่งๆ กันเนิ่นนาน

                ...สุดท้ายฉันก็ยอมปล่อยมือจากมัน

                ชั่วขณะนั้น ฉันคาดหวังว่าตนจะตัดสินใจไม่ผิดพลาด ฉันไม่ต้องการให้เก้าอี้หายไป ไม่ต้องการ

                ผมเห็นความตั้งใจของมนุษย์ ผมเลยไม่กล้าขัด แต่ผมทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่มีตา…’ เสียงความคิดของเก้าอี้ฟังดูจริงใจอย่างที่สุด ‘…ผมก็ยังมีขา

                ฉันมึนงง แต่ทันใดนั้น เหตุการณ์น่าพิศวงก็เริ่มต้นขึ้น

                ท่อนไม้แท่งๆ ทั้งสี่ของมันริ่มขยับเขยื้อน เคลื่อนที่ไปมา งอเด้งและบิดเบี้ยว ฉันมองมันตาค้าง ความหนาของเก้าอี้ผสมผสานกับความอ่อนตัวยวบยาบ ราวกับช้างเผือกเล่นยิมนาสติก เก้าอี้ยื่นขาดำมะเมื่อมของมันออกหนึ่งข้าง งอตรงกลางแล้วสะบัดขึ้น อาจเรียกว่าน่ารักก็ได้ถ้าชอบแมงมุมหรือแมลงสาบ แต่สำหรับฉันในเวลานี้แล้ว ท่าทางเยี่ยงนี้ทำให้ความแข็งแกร่งงามสง่าของเก้าอี้สลายไปหมดสิ้น

                มันกระโดดเหยงๆ ไปรอบๆ ตัวฉันที่ยืนอึ้ง บอกฉันว่า คราวนี้ให้ผมแบกมนุษย์บ้างนะครับ

                ฉันไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธ ขาก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่ทราบว่าเป็นผลจากการเดินไปลากเก้าอี้ไป หรือเพราะถูกทำร้ายจิตใจทางอ้อมกันแน่

                เก้าอี้เข้ามารับฉันไว้อย่างพอดิบพอดี  แล้วเราสองคนก็ออกวิ่งไปบนเส้นทางสีขาว... ที่ทอดยาวไกลแสนไกล

                ตอนนี้จิตใจของฉันเป็นเหมือนสุญญากาศ
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×