ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไซอิ๋ว-วานรเทพ สะท้านฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : ไซอิ๋ว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 848
      3
      3 ก.พ. 50

    “ ไซอิ๋ว”
    ซอง โกคู (ซุน หงอคง)




    เนิ่นนานมาแล้วเมื่อหลายร้อยปีหลายพันปีที่ผ่านมา....ที่บนยอดเขาลูกหนึ่งนั้น มีก้อนหิน ก้อนใหญ่ที่มีรูปร่าง ลักษณะเป็นเหมือนรูปไข่อยู่ก้อนหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา อันสูงลิบ ในท่ามกลางภูเขาลูกน้อยใหญ่ที่มีอยู่ล้อมรอบอยู่มากมายที่ในป่าลึก มาเป็นเวลาที่เรียกว่า นาน เป็นร้อย ๆปี เลยก็ว่าได้...ก้อนหินก้อนนี้เล่าลือกันว่าเป็น ก้อนหินที่ได้บรรจุวิญญาณของโลกเอาไว้... และแล้วจากกาลเวลาที่ยาวนาน... อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือหินก้อนนั้นอยู่ ๆ ก็แตกแยกออกมาเป็นสองซีก...และได้ ให้กำเนิดลิงตัวหนึ่งขึ้นมา


    เมื่อลิงหินตัวนั้นเติบโตขึ้น...ก็มีความเก่งกล้าสามารถมากจนเรียกว่าเป็นเลิศเกินมวลสัตว์ ต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งหมดที่ มีอยู่ในป่านั้นเลยทีเดียว...มันใช้ชีวิตเรียบ ๆอยู่ในหมู่พวกลิงป่าฝูงหนึ่ง แต่ความ ที่เจ้าลิงหินตัวนี้นั้น มันมีความคิด ที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากสัตว์ธรรมดา ๆทุกตัวก็ว่าได้ คือมันมี ความทะเยอทะยานและมักใหญ่ไฝ่สูงอย่างไม่มีที่สิ้น สุด มันไม่มีความพอใจกับการที่จะมาใช้ชีวิต แบบธรรมดา ๆ ให้หมดไปวัน ๆ อย่างน่าเสียดายแบบพวกลิงหรือ สัตว์ป่าทั้งหลายแบบนี้ มันเฝ้าครุ่นคิด เพื่อหาหนทางที่ดี ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...แล้ววันหนึ่งมันก็เกิดความคิดขึ้นมา ได้ว่า " ก่อนอื่นเหนือสิ่งอื่น ใดทั้งหมด ในเมื่อข้านั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถมากมายและเก่งกาจออกจะขนาดนี้ ข้า จะต้องได้เป็น กษัตริย์และได้ปกครองพวกเจ้าทั้งหมดก่อนอื่นเลยถึงจะถูก สิ "


    เมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว เจ้าลิงหินตัวนั้นจึงกระโดดลงไปจากหน้าผา ลงไปสู่บึงน้ำลึกสายใหญ่สายหนึ่ง ต่อหน้าต่อ ตาพวกลิงทั้งหลาย เหมือนดังกับว่ามันต้องการให้เป็นเหมือนกับการเบ่งอวด บารมีแห่งความ กล้าหาญของมัน อย่างไรอย่างนั้นแหละ แต่เมื่อมันได้ดำลงไปสู่ใต้น้ำลึกนั้นแล้ว มันก็โชคดีได้ไปพบกับ ถ้ำใต้บาดาลเข้าให้ถ้ำหนึ่ง ข้าง ในถ้ำใต้บาดาลนี้เป็นเสมือนกับเมือง ๆหนึ่ง จะเรียกว่าเปรียบเหมือนกับ เมืองสวรรค์ก็ไม่ปาน เพราะมีต้นไม้ที่ออกดอกเบ่งบานสะพรั่ง ซึ่งดอกไม้พวกนั้นพอเบ่งบานเต็มที่แล้ว ก็จะกลับกลายเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาญต่าง ๆไปทั้ง หมดทันทีอย่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ๆ เจ้าลิงหินจึง ว่ายน้ำขึ้นไปตามพวกลิงมากมายที่กำลังเฝ้ารอ เพื่อดูว่ามันจะขึ้น มาจากน้ำได้หรือปล่าวนั้นอยู่ มันจึง ชวนพวกลิงทั้งหมดให้มาเป็นบริวารของมันแล้วไปอาศัยอยู่ที่ในถ้ำใต้บาดาลถ้ำ นั้น แล้วแต่งตั้งตัวขึ้น เป็นกษัตริย์ของพวกลิงเหล่านั้น ตั้งแต่บัดนั้นมา และจากนั้นวันเวลาก็ผ่านไปวันแล้ววันเล่า อย่างมี ความสุขและสนุกสนาน แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาว่า ได้มีลิงตัวที่อาวุโสและมีอายุมากที่สุด ในหมู่พวกลิงบริวารทั้งหมดของมันนั้น ได้เกิดเจ็บเพราะแก่มากและได้ตายจากโลกไปในที่สุด


    เจ้าลิงหินให้เป็นเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดจะประมาณ มันได้รำพึงขึ้นกับพวกบริวารทั้งหลายที่ มาเฝ้าและเข้ามาล้อม รอบเพื่ออยากที่จะปลอบใจกับมันว่า " ตอนนี้ข้ายังหนุ่มก็ยังมีความสุข และสนุกสนานอยู่ทุกวัน คงจะมีสักวันในไม่ นานกว่านี้หรอก ที่ข้าก็จะแก่ และจะต้องตายไปในที่สุด " พวกบริวารก็พยายามพูดเพื่อที่ว่าจะให้เจ้าลิงหินผู้เป็น กษัตริย์สุดที่รักของพวกมันได้ปลงเสีย พวกมัน ทั้งหลายได้พูดปลอบใจว่า " เป็นปุถุชนสิ่งมีชีวิตธรรมดาก็จะต้องมี วันและถึงวันที่จะต้องแก่และตายไป นะท่านไม่มีใครที่จะได้อยู่ค้ำฟ้าสักคนหรอก ที่ไม่ตาย และมีชีวิตดำรงค์อยู่ ชั่วนิรันทร์นั้นก็เห็นจะมีก็ แต่พวกเทพเจ้ากับพวกฤษีที่เก่งกล้านั่นนะท่าน สงบใจเสียบ้างเถิด" เมื่อเจ้าลิงหินได้ฟังบริวารบอกว่า มีเทพเจ้ากับฤษีที่อยู่ค้ำฟ้าและไม่มีวันตายได้เข้าเท่านั้น มันก็เกิดความคิดอันแยบ คายขึ้นมาทันที ทันใดเลยทีเดียว


    " ข้าจะมานั่งเสียใจเพราะกลัวความตายที่จะมาถึงอยู่อย่างนี้ต่อไปทำไมเล่า? ในเมื่อพวกฤษีหรือเทพเจ้า นั้น สามารถที่จะอยู่ค้ำฟ้าและไม่ตายได้ละก็ ฮ่า ๆๆๆ ข้าก็จะต้องไปศึกษาหาความรู้กับฤษีเพื่อที่จะให้ ทำให้ข้าได้อยู่ ค้ำฟ้าไม่มีวันตายได้บ้างเหมือนกันดีกว่า " และเมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็ทิ้งเมืองทิ้ง บริวารและออกเดินทางไปในทันที...มันเดินทางไปเรื่อย ๆผ่านข้าม ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าข้ามผ่านแม่น้ำ สายแล้วสายเล่า...จนไปพบกับ " เซ็ง นิน " (ฤษี)ผู้ที่มีความรู้และเก่งกล้าสามารถมาก ตนหนึ่งที่บน ภูเขาลูกหนึ่งเข้าจนได้...มันจึงเข้าขอเป็นลูกศิษย์ของฤษีตนนั้นทันที ฤษีตนนั้นเมื่อตกลงใจรับเจ้าลิง หินตัวนั้นเป็น ลูกศิษย์แล้วก็ได้ตั้งชื่อให้กับมันใหม่ว่า (ซุน หงอคง ) เจ้าลิงหินหรือ " หงอคง " นั้น มีความตั้งใจสูงและขยันหมั่นเพียรมาก จากนั้นไม่นานมันจึงได้ร่ำเรียนกลยุทต์ และ " คาถาอาคม " มากมายจากฤษีตนนั้นจนสำเร็จจบหลักสูตรสูงสุดของฤษีตนนั้น ทั้งหมดเอาเลยทีเดียวก็ว่าได้...


    " หงอคง " เมื่อร่ำเรียนวิชาจนคิดว่าฤษีตนนั้นไม่มีอะไรที่จะสอนตนอีกต่อไปแล้ว...ก็อำลาฤษี ผู้เป็นอาจารย์ กลับบ้านเมืองของตนไป และในระหว่างที่ " หงอคง " เป็นลูกศิษย์ของฤษีอยู่นั้นก็ได้ ไปตามจับ " คินตอน " (ก้อนเมฆกายสิทธิ์ ) ได้ มาเป็นบริวารและยานพาหนะคู่ชีพของตนเสียด้วย... เมื่อ " หงอคง " ขี่ " คินตอน "(ก้อนเมฆกายสิทธิ์ ) เหาะมา ถึงเมืองใต้บาดาลของตนนั้น ก็ปรากฏว่า ได้มีปีศาจร้ายกำลังทำการก่อกวนพวกพ้องบริวารและเมืองของ ตัวเองอยู่ " หงอคง " เมื่อเห็นดังนั้น ก็ให้เป็นโมโหอย่างมาก...จึงได้ดึงขนที่อยู่บนตัวของตน เป่าลงไป...แล้ว ขนของ " หงอคง " ที่ปลิว ออกไป นั้นก็ได้กลายเป็นตัวแบ่งแยก ออกเป็นตัวของ " หงอคง "มากมายเป็นกองทัพ พวกตัวแบ่งแยก ได้ลงไปต่อสู้ และปราบ พวกปีศาจร้ายได้จนสำเร็จและแพ้ราบคาบแทน " หงอคง " เลยทีเดียว...


    เมื่อปราบปีศาจร้ายได้แล้ว " หงอคง " ก็กลับมาอาศัยอยู่กับพวกบริวารของตนอย่างสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง แล้วจากนั้นไม่นาน " หงอคง " ก็ได้ยินข่าวว่าที่เมืองข้าง ๆนั้น มีไม้กระบองกายสิทธิ์ อยู่อันหนึ่ง เป็นของ ที่สำคัญประจำ เมืองนั้น...กระบองกายสิทธิ์อันนี้มีความสามารถเป็นพิเศษหลายอย่าง สามารถยืด ให้ยาว จนสูงขึ้นไปถึงบนฟ้าได้ แล้วยังสามารถหดให้สั้นจนเหลือเล็กนิดเดียวพกไปไหน ๆมาไหนได้สะดวก และที่สำคัญเมื่อถูกแกว่งไปมาแล้วนั้น พวกปีศาจ,มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะกลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ และจะยอมสยบก้มหัวให้ทันที " หงอคง " จึงมีความต้อง การที่อยากจะเป็นเจ้าของและนำมาเป็นอาวุธ ประจำตัวของตนให้จงได้ แล้วด้วยความที่ห้ามใจตัวเองไว้ไม่ได้แล้ว นั้น " หงอคง " จึงบุกเข้าไปขโมย กระบองกายสิทธิ์ อันนั้นมาเป็นเจ้าของของตนจนได้จริง ๆ...เมื่อมีของดีเป็นเจ้าของ แล้ว " หงอคง " ก็ยิ่งบ้าอำนาจกำเริบมากหนักขึ้นไปอีก เพราะ ไม่ว่า " หงอคง " จะออกไปปรากฏตัวในที่ไหนก็จะแกว่ง กระบองวิเศษอันนั้นออกหน้าก่อนอยู่เสมอและตลอดเวลาไม่เลือกสถานที่ไม่ว่าในที่แห่งใด ทุกคนจึง ต้องยอมสยบ และก้มหัวให้อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน..ให้เป็นที่เดือดร้อนไปทั้วทุกหัวระแหง เอาเลยทีเดียว ก็ว่าได้


    เมื่ออาระวาดบนโลกมนุษย์จนหมดสนุกแล้ว " หงอคง " ก็ใช้กระบองกายสิทธิ์ยืดจนสูงขึ้นไปสู่สวรรค์ แล้วเลยโลด กระโดดขึ้นไปอาระวาดอวดเบ่งบารมี ที่บนสวรรค์เข้าให้เสียอีกด้วย เทพเจ้าทั้งหลายให้ เป็นเดือดร้อนอยู่ไม่เป็นสุข ไปทั่วทุกองค์ไป ร้อนถึงผู้เป็นกษัตริ์" เทพเจ้าเง็กเซียน ฮ่องเต้ " เจ้าแห่ง สวรรค์ ซึ่งเฝ้ามองและเพ่งดู " หงอคง " อยู่ตลอดเวลามานานแล้ว และเห็นว่า " หงอคง " คงจะมีเวลา ว่างมากไปกระมัง จึงเที่ยวออกอาละวาดมากขึ้นอย่างนี้เข้าทุกวัน จึงออกคำสั่งให้ " หงอคง " ขึ้นมาอยู่ เสียบนสวรรค์และได้มอบหน้าที่ให้เป็นคนเลี้ยงม้าของสวรรค์เสียให้รู้แล้ว รู้รอดไป " เทพเจ้าเง็กเซียน ฮ่องเต้ " เจ้าแห่งสวรรค์ คิดว่าเมื่อมีงานและหน้าที่ทำ " หงอคง " คงจะสงบลงได้ แต่ที่ไหนเล่า " หงอคง " เมื่อโดนมอบหน้าที่ให้ เป็นแค่คนเลี้ยงม้าและแต่ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงม้าที่อยู่บนสวรรค์นี่ก็ตามเถอะ " หงอคง " ก็ให้เป็นโมโหอย่างที่สุด จึง อาละวาดแผลงฤทธิ์ และฆ่าม้าทุกตัวตายเสียจนหมดคอก เลยทีเดียว " เทพเจ้าเง็กเซียน ฮ่องเต้ " เจ้าแห่งสวรรค์ จึงเกิดพิโรธขึ้นมาจริง ๆ และได้ออกคำสั่งให้ เทพบุตรผู้เป็นพระราชโอรสออกไปตามจับและให้ นำตัว " หงอคง " มาลงโทษเสียให้เข็ดหลาบ และสาสมกับการกระทำอันชั่วร้ายนั้นให้จงได้


    ทีนี้ก็เลยจำต้องเกิดศึกหนักขึ้นระหว่างเทพบุตรราชโอรสกับ " หงอคง " เข้าให้อย่างไม่มีทางลีกเลี่ยง ได้เสียแล้ว เมื่อ เทพบุตรราชโอรส ได้ตาม " หงอคง " มาจนทันก็ได้แปลงร่างเป็นเสือลายพลาดกลอน ตัวใหญ่หมายเข้าปะทะ แต่ " หงอคง " ก็มีคาถาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมาจากฤษีผู้เป็นอาจารย์มากโขอยู่ จึงได้แปลงร่างเป็นสิงห์โตแล้วคำรามขึ้นอย่าง น่ากลัวเสียงดังกึกก้องสนั่นไปทั่วทั้งสวรรค์ คือไม่ยอม แพ้และลดละให้เลยสักนิดเดียว และก่อนที่สวรรค์จะต้อง พินาจพังทลายเสียหายลงไปมากกว่านี้ และด้วยลิงที่บ้าอำนาจมากตัวหนึ่งตัวนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น...นั้น ก็เกิด อัศจรรย์ขึ้นมา อย่างกระทันหัน เพราะอยู่ ๆก็เกิดแสงเรืองรองขึ้นมาและบรรดาลให้มีสว่างจ้าขึ้นที่ขอบฟ้า แล้วตรงนั้น องค์" โอ จากา ซามะ " ( พระพุทธเจ้า ) จึงออกมาปรากฏกายขึ้นเพื่อหมายจะยับยั้งเหตุการณ์ที่ร้ายแรงอันนี้ไว้ นั่นเอง


    องค์" โอ จากา ซามะ " ( พระพุทธเจ้า ) ได้บอกกับ " หงอคง " ว่า " หงอคง ...ถ้าเจ้าอยากจะมี อำนาจเหนือใคร ๆทั้งหมดให้ ได้แล้วละก็ ก่อนอื่นเจ้าก็ลองเหาะออกไปให้พ้นจากอุ้งมือของตถาคต ออกไปให้ได้เสียก่อนสิ " หงอคง ...จึงตอบ " โอ จากา ซามะ " ไปอย่างสุดแสนที่จะจองหองว่า " ฮ่า ๆๆไม่ ต้องออกไปแค่พ้นอุ้งมือของท่านแค่นี้หรอก...เดี๋ยวจะ เหาะไปให้จนสุดขอบโลกเลย ทีเดียว ฮ่า ๆๆๆ " ว่าแล้ว " หงอคง " ก็สั่งให้ " ก้อนเมฆกายสิทธิ์ " ยานคู่ชีพให้เหาะและ พาไปที่ สุดขอบโลกทันที..." ก้อนเมฆกายสิทธิ์ " พา " หงอคง " เดินทางมา ไกลมากโขอยู่ และยังเดินทาง ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีทีท่าว่าจะหาที่สุดขอบโลกได้เลยสักที แต่เมื่อเหาะพามาได้ไกลมากพอดู " หงอคง " ก็แลเห็นมีเสาปักอยู่ 5 ต้น เสาทั้ง 5 ได้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าลิบ ๆนั่น


    หงอคง ...ด้วยความดีใจและเข้าใจผิดคิดว่า...เสาทั้ง 5 ต้นนั้นคือจุดที่กำหนดบอกถึงที่สุดขอบโลก อย่างแน่นอนเพราะ ว่ามันคิดว่าก็เหาะมาไกลมากแล้วด้วย...จึงด้วยความดีใจว่าตนต้องชนะแน่แล้วนั่นเอง และเพื่อความรอบคอบ มัน จึงเข้าไปเขียนชื่อของตัวเองไว้เป็นที่ระลึกด้วยว่า " หงอคง " หมายให้ เป็นหลักฐานอ้างอิงกับ " โอ จากา ซามะ " ได้ และได้เหาะย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง...แต่ว่า" องค์โอ จากา ซามะ " นั้นท่านมิได้เอ่ยว่าอันใดทั้งสิ้น..เพียงแต่แค่ยก พระหัตถ์ของพระองค์ขึ้นให้ " หงอคง " ดู...และที่นิ้วพระหัตถ์ของพระองค์นั้นได้มีอักษรคำว่า" หงอคง " ที่ หงอคง ได้ เขียน เอาไว้ปรากฏหลา ให้เห็นอยู่....แล้วก็ไม่ต้องบอกอะไรก็รู้อยู่แก่ใจว่า...ไม่ว่า " หงอคง " จะเหาะออกไปให้ไกลแค่ ไหน ? มันก็ยังไปไม่ได้ไกลสักแค่ไหนเลยสักนิด...ยังคงบินเหาะอยู่แค่แต่ในบริเวณหรือในพระหัตถ์ของ " องค์โอ จากา ซามะ " แค่นั้น อย่างเดียวเอง.....


    " หงอคง " เหมือนจนแต้มที่จะโต้เถียงกับองค์" โอ จากา ซามะ " ยอมรับผิดและยอมพ่ายแพ้ไป โดยปริยาย " เจ้าคิดการใหญ่และหมายก่อกวนความสงบสุขให้ทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่างทั้งในโลก มนุษย์และโลกสวรรค์นั้นได้รับความเดือด เนื้อร้อน ใจมาเป็นเวลานานทีเดียว เจ้าต้องได้รับโทษ หงอคง !!! เราขอสาปให้เจ้าได้ถูกจองจำ และกักขังเจ้าไว้ที่ใต้หินที่ภูเขา โกเคียว เป็นเวลานาน 500 ปี แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะพ้นโทษโดยจะได้รับความช่วยเหลือจากพระตถาคตผู้เดินทางผ่านมาองค์หนึ่ง จำไว้นะ หงอคง เจ้าจะพ้นโทษเอาได้ก็ต่อเมื่อได้พบกับพระตถาคตองค์นั้น" " องค์โอ จากา ซามะ " จึงได้สาป และได้จองจำ " หงอคง " ไว้ที่ใต้หินที่ภูเขา " โกเคียว "ในแต่กาลบัดนั้น ....แล้วจากวันนั้นมาวันเวลาก็ ได้ผ่านมานานถึง 500 ปี...แล้ววันหนึ่ง ที่เป็นวัน ที่" หงอคง " รอคอยด้วยเวลาอันยาวนานก็มาถึง.. เพราะได้มีพระตถาคตองค์หนึ่ง จำเป็น ที่จะต้องเดินทางผ่านมาทางนั้นเข้าพอดี เป็นตามคำที่" องค์โอ จากา ซามะ "ได้เคยบอกเอาไว้ ตอนก่อนที่หงอคงจะโดนสาป จริง ๆสมดังคำที่ทรงทำนายไว้ตอนนั้นเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×