ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลกามเทพ

    ลำดับตอนที่ #1 : เพื่อน...รัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.61K
      15
      20 ก.ย. 55

                    ปัณจรีชะงักเท้าเมื่อก้าวขึ้นบันไดมาถึงขั้นสุดท้ายของชั้นที่เธอพักอยู่ หญิงสาววัยยี่สิบห้ามองร่างที่นั่งพิงกับประตูห้องพักของเธออยู่อย่างไม่เชื่อสายตา

                    “อาณพ เฮ้ย..มาได้ยังไงนี่” หญิงสาวรีบสาวเท้ามาหาร่างสูงที่เงยหน้ามองทันทีที่ได้ยินเสียงของเธอ อาณพรีบลุกเมื่อเห็นคนที่เขามานั่งรอหลายชั่วโมง

                    “ปัณ กว่าจะมาได้นะแก ฉันรอจนเมื่อยไปหมดแล้ว” ชายหนุ่มบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเพื่อนสาวเดินมาหยุดลงตรงหน้า บิดตัวไล่อาการเมื่อยขบ

                    “พอดีหัวหน้าพาไปเลี้ยงน่ะ.. ฉลองโปรเจคเสร็จทันกำหนด... ทำไมไม่โทรเข้ามือถือฉันล่ะ?” หญิงสาวพูดพลางไขกุญแจเข้าห้อง ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน

                    “ทำไมฉันจะไม่โทร โทรเป็นสิบเที่ยว”

     อาณพพูดอย่างอารมณ์เสีย ขณะทิ้งตัวลงนอนแผ่หราไปตามความยาวของโซฟาในห้อง ปัณจรีหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดู ก่อนจะยิ้มแหยๆให้เพื่อน “สงสัยแบตหมดว่ะ โทษที” คนที่นอนอยู่ส่งสายตาค้อนให้ทันทีเมื่อฟังคำแก้ตัวของเพื่อนสนิท

    “อย่าโกรธเลยนะ..... ฉันไม่รู้นี่หว่า ว่านายจะมาหา นี่ไปไงมาไงถึงมาได้ล่ะ”

                    “มาประชุมกับสาขาที่นี่ กะจะมาเซอร์ไพรส์แกซะหน่อย หมมู้ดเลย” อาณพพูดสีหน้าหงุดหงิด

                    “ขอโทษจริงๆ กินอะไรมาหรือยัง ฉันหาอะไรให้กินนะ” หญิงสาวเขย่าแขนเพื่อนอย่างง้อๆ

                    “ยัง.... รีบไปทำมาเลย หิวจะตายอยู่แล้ว เดี๋ยวฉันจะนอนรอ เหนื่อยฉิบ..เลย” อาณพพูดพร้อมกับหลับตาลง เลยไม่ได้เห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของเพื่อนสาวที่ทอดมองเขาด้วยความหมายมากมาย

                    “เอ่อ รอแป๊บ เดี๋ยวฉันจัดการให้” หญิงสาวพูดพร้อมกับรวบผมขึ้นไปมวยไว้ง่ายๆ ขณะเดินเข้าครัว รีบจัดการทำอาหารรอบดึกให้เพื่อนที่อุตสาห์มาหาเธอ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันหน้ากันมาเกือบสามปีตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย      

    ทั้งเธอและอาณพต่างก็แยกย้ายไปทำงาน เธอได้มาทำงานที่บริษัทออกแบบทางภาคเหนือ ส่วนอาภพเลือกทำงานในบริษัทที่บิดาของเขาถือหุ้นอยู่ เธอกับเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กเพราะอาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน พ่อแม่ของปัณจรีเป็นข้าราชการครูฐานะปานกลางไม่ได้ขัดสนอะไร สามารถส่งลูกสาวคนเดียวให้เรียนจนเป็นบัณฑิตได้โดยไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินให้ต้องมาเป็นภาระตอนผ่อนส่ง ตอนนี้บ้านที่กรุงเทพฯของเธอ ปล่อยให้คนเช่าอยู่ชั่วคราว เพราะทั้งบิดาและมารดาของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะที่เดินทางไปทอดผ้าป่ายังต่างจังหวัดกับเพื่อนบ้านตั้งแต่ที่เธอเรียนจบในปีแรก ญาติที่เหลืออยู่ก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้สนิทสนม หรือไปมาหาสู่กันมากนัก  ปัณจรีจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่เชียงใหม่นี่ซะมากกว่า

    “ณพ ตื่นได้แล้ว ลุกเร็ว ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าว” หญิงสาวเรียกเพื่อนที่ยังนอนหลับอุตุ เขย่าแขนชายหนุ่มให้รู้สึกตัวอย่างแรงเพราะรู้ว่าอาณพค่อนข้างจะนอนขี้เซา

                    “อุ้ย!!” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อคนที่นอนหลับอยู่ ดึงแขนเธอจนเสียหลักล้มไปบนตัวเขานอนอยู่บนโซฟา

    ปัณจรีมองสบตาเพื่อนสนิทที่ลืมตาขึ้นมาพอดี ลมหายใจร้อนแผ่วที่เป่ารดแก้มในระยะกระชั้นชิด ทำให้หญิงสาวต้องรีบดึงตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของเขาอย่างร้อนรน

                    “ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ นี่ของฉันใช่ไหม” อาณพลุกขึ้นนั่ง  มองอาหารบนโต๊ะตาเป็นประกาย เหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นแค่อุบัติเหตุเล็กๆเท่านั้น ผิดกับอีกคนที่ใจเต้นแรงจนจะปะทุออกมาข้างนอกอยู่แล้ว

                    “ใช่ เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินไปรินน้ำในตู้เย็นมาให้คนที่นั่งกินข้าวด้วยอาการหิวโหย

                    “ฝีมือแกนี่ไม่มีตกเลย ว่าแต่...มาอยู่ที่นี่ตั้งหลายปีแล้ว มีแฟนยังล่ะ” คำถามที่ดังมาจากโซฟา ทำให้คนที่กำลังจะปิดตู้เย็นชะงักไปนิดหนึ่ง

                    “เยอะแยะจนเลือกไม่ถูก” ปัณจรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเล่นลิ้น ผิดกับสีหน้านิ่งๆของตัวเอง

                    “จริงหรือ ฉันอยากเห็นแฟนแกจริงๆใครวะที่จะทนยัยโหดอย่างแกได้ แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ” ชายหนุ่มเอ๋ยแซวตามประสาเพื่อนที่ไม่เจอกันมานาน

                    “แล้วแกล่ะ จะตกลงปลงใจกับใครหรือยัง น้องฟ้า น้องเฟิร์นอะไรของแกที่เคยจีบๆไว้น่ะ” หญิงสาวถามอีกฝ่ายบ้าง

                    “ฉันเลิกไปหมดแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงานปีแรกโน่น ตอนนี้ก็มีอยู่คนเดียวไว้มีโอกาสจะแนะนำให้รู้จัก” คนพูดที่พูดไปกินไปจนไม่ได้สังเกตสีหน้าของเพื่อนสาวที่ซีดลงไปทันตาเมื่อได้ฟังประโยคนั้น

    ปัณจรีเสเดินไปเก็บทำอุปกรณ์ทำครัวต่างๆที่นำออกมาทำอาหารให้เพื่อนเมื่อครู่ หลังจากวางแก้วน้ำลงตรงหน้าอาณพ

                    “แน่แล้วหรือ คนนี้” หญิงสาวพูดออกมาจากในครัวด้วยน้ำเสียงเรียบ

                    “ชัวร์วะ รับรองเร็วๆนี้แกได้ลงไปงานแต่งฉันแน่เตรียมลางานไว้ได้เลย” อาณพพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข

                    เพล้ง!!

                    “เสียงอะไร แกเป็นอะไรหรือเปล่าปัณ” อาณพส่งเสียงถามอย่างห่วงใย

                    “ไม่เป็นไร พอดีจานมันลื่นเลยหล่นแตก แกกินข้าวต่อเถอะ” หญิงสาวตะโกนบอกเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอีกฝ่ายกำลังจะเดินเข้ามา

                    “ฉันอิ่มพอดี มาเดี๋ยวอันนี้ฉันล้างเอง” ร่างสูงเพรียวเดินเข้ามายืนใกล้ๆ ทำให้หญิงสาวต้องรีบกระถดตัวหนีการใกล้ชิดนั้นอย่างรวดเร็ว

                    “เป็นอะไรของแก ยืนใกล้แค่นี้ทำเหมือนรังเกียจ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ

                    “เอ่อ ใช่นะสิ ตัวแกเหม็นมากขอบอก ไปๆอิ่มแล้วก็รีบกลับที่พักแกไปได้แล้วไป ฉันจะพักผ่อนบ้าง” หญิงสาวได้ทีถือโอกาสไล่อีกฝ่ายทันที

                    “เสียใจโว้ย วันนี้ฉันจะนอนที่นี่” ประโยคที่เพิ่งออกจากปากของอาณพทำเอาหญิงสาวตาโต

                    “นอนนี่ แกจะบ้าหรือ อย่ามาตลก กลับไปเลยไป” หญิงสาวพูดพลางดันร่างของเพื่อนสนิทออกไปด้านนอก

                    “เฮ้ยไอ้นี่ ฉันพูดจริงนะ ฉันไม่ได้จองห้องพักไว้ แล้วช่วงนี้มันก็ไฮซีซั่นด้วยห้องพักมันเต็มหมดแล้ว ที่มีก็ไกลจะตาย ให้ฉันนอนนี่สองคืนนะ”

                    “ไม่ได้! คนอื่นเขาจะคิดยังไง อยู่ๆฉันมีผู้ชายมาค้างด้วย” หญิงสาวยืนยันเสียงแข็ง

                    “นี่แกแคร์คนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะปัณ ทุกทีไม่เห็นเรื่องมากขนาดนี้เลย ทำยังกับไม่เคยนอนห้องเดียวกันอย่างนั้นแหละ กลัวฉันปล้ำแกรึไง” อาณพพูดยั่วเย้า

                    “รับรองฉันไม่หน้ามืด มีอะไรกับแกหรอก มองแกทีไรเหมือนมองเพื่อนเพศเดียวกัน ไม่มีอารมณ์วะ” พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะขำ ก่อนจะหลบหมัดที่ปัณจรีกระแทกไปที่ลำตัวของเขา

                    “โอ๊ย ฉันยอมแล้ว เจ็บนะโว้ย ปัณ แรงแกไม่ใช่น้อยๆนะต่อยมาได้”

                    “ก็แกอยากปากหมาก่อนทำไม” หญิงสาวพูดอย่างโมโห

                    “พูดแค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยวะ เมื่อก่อนพูดแรงกว่านี้อีก ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย หรือแกมีแฟนแล้วจริงๆ โฮโมนหญิงเลยทำงานขึ้นมา”

                    “หยุดพูดไปเลยนะ ก่อนที่ฉันจะหาอะไรแพ่นกบาลแกอีกรอบ” ปัณจรีมองเพื่อนที่ยังปากเสียไม่เลิกตาเขียว

                    “เออ เออ หยุดแล้ว แต่ฉันพูดจริงๆนะ เรื่องที่จะนอนที่นี่ ฉันมาแค่สองสามวันเอง ค้างพรุ่งนี้อีกคืนก็กลับแล้ว มีเรื่องจะเล่าให้แกฟังเยอะแยะ แล้วคืนพรุ่งนี้ฉันอยากให้แกพาไปตระเวนราตรีที่เชียงใหม่นี่หน่อย โอเคนะ.... ขอบใจมาก” คนที่พูดเองเออเองเสร็จสรรพ ทิ้งตัวลงบนโซฟานอนหลับตายิ้มกริ่มเหมือนเป็นบ้านของตัวเองก็ไม่ปาน

                    “ลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันยังไม่อนุญาตให้แกนอนที่นี่นะ ณพ ตื่น ตื่นเดี๋ยวนี้”

     ปัณจรีถอนหายใจเมื่อเรียกอีกฝ่ายจนเหนื่อย คนที่นอนอยู่บนโซฟาก็ไม่มีทีท่าจะทำตามคำพูดของเธอ หญิงสาวมองหน้าเพื่อนก่อนจะส่ายหัวอย่างจนปัญญา เดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน หยิบผ้าห่มออกมาคลุมให้อีกฝ่ายที่นอนเงียบอยู่บนโซฟาแผ่วเบา ก่อนจะปิดไฟและเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง หญิงสาวทิ้งตัวลงบนเตียงเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงหยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นขึ้นมามองเนิ่นนานอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน หญิงสาวลูบมือไปยังกรอบรูปที่บรรจุภาพสมัยที่เธอยังเป็นนักศึกษาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นภาพเดียวที่เธอถ่ายคู่กับคนที่นอนอยู่ด้านนอก อาณพมองกล้องด้วยรอยยิ้มสดใสในขณะที่เธอเลือกที่จะมองหน้าเขามากกว่า ชายหนุ่มไม่เคยเห็นรูปนี้ด้วยซ้ำ เมื่อตอนที่เพื่อนนำมันมาให้ เธอแอบเก็บไว้เอง นำมันไปใส่กรอบและเก็บไว้ดูคนเดียวเท่านั้น หญิงสาวขอเก็บมันไว้เป็นความทรงจำในส่วนลึกของหัวใจเท่านั้นก็พอ ปัณจรีคิดก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูเตรียมตัวอาบน้ำเข้านอนตามปกติ

     

    “ปัณ ตื่นหรือยัง” เสียงเคาะประตูที่ด้านนอกทำให้คนที่แต่งตัวในชุดทำงานเรียบร้อยแล้ว และกำลังหวีผมอยู่หน้ากระจก ต้องเดินไปเปิดประตูให้กับชายหนุ่มที่ด้านนอก

    “ฉันจะอาบน้ำ ห้องน้ำข้างนอกไม่มีฝักบัว” อาณพบอกสั้นๆได้ใจความ

    “ฉันเสร็จพอดี เชิญแกใช้ตามสบาย เดี๋ยวฉันไปชงกาแฟรอข้างนอก” ปัณจรีเดินออกไปยังห้องด้านนอกเพื่อให้เพื่อนใช้ห้องน้ำได้สะดวก

    อาณพมองห้องนอนของเพื่อนสาวที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยสมกับเป็นลูกสาวข้าราชการครู ผิดกับท่าทางกระโดกกระเดกของอีกฝ่าย สายตาหยุดลงบนหัวเตียงเมื่อเห็นกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายกรอบรูปที่คว่ำอยู่ “รูปแฟนยัยนั่นหรือเปล่าวะ”

    “นายจะทำอะไร?” เสียงที่ดังขึ้นอย่างตกใจของปัณจรี ทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบสิ่งที่วางอยู่บนเตียงชะงักไปทันที อาณพมองเพื่อนสาวที่รีบก้าวเข้ามาในห้องหยิบสิ่งที่เขาหมายตาไว้ไปแอบข้างตัว

    “อะไรของแก ฉันก็แค่จะดูว่ามันรูปอะไร แค่นี้ก็หวงด้วยหรือ รูปแฟนแกใช่ไหม” อาณพถามยิ้มๆ ไม่ได้รู้สึกผิดที่ถือวิสาสะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเพื่อน

    “แกไม่ต้องมายุ่ง จะอาบน้ำก็ไปอาบสิ ประชุมกี่โมง เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก” หญิงสาวพูดพลางเก็บรูปไว้ในลิ้นชักหัวเตียง พร้อมกับล็อคกุญแจแน่นหนา

    อาณพมองการกระทำนั้นก่อนจะยักไหล่ “ไม่ดูก็ได้ แค่นี้ทำหวง” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเฉยๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าของตัวเองเดินเข้าห้องน้ำไป

    หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อลับร่างชายหนุ่มไป เกือบไปแล้ว ความลับเกือบจะไปเป็นความลับแล้ว เธอจะให้อาณพรู้เรื่องนี้ไม่ได้ เพื่อนเท่านั้นระหว่างเรา เพื่อนเท่านั้นจริงๆ..เพื่อนรัก...ไม่ใช่..ที่รัก......

     

     

    “เฮ้อ...อากาศที่นี่มันดีอย่างนี้นี่เอง แกถึงไม่อยากกลับไปสูดมลพิษในกรุงเทพฯ” อาณพพูดขึ้นเมื่อทั้งเขาและปัณจรี นั่งดื่มเบียร์กันต่อที่ระเบียบห้องพักของหญิงสาว หลังจากที่ให้เธอพาไปตระเวนราตรีมาแล้วครึ่งคืน

    “เฮ้ยปัณ แกหลับแล้วหรือ เงียบเชียว” อาณพหันไปมองเพื่อนที่นอนหลับตาอยู่บนเสื่อข้างๆกัน

    “ยัง นายล่ะง่วงหรือยัง พรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพฯแล้วไม่ใช่หรือ” ปัณจรีหันไปมองเพื่อนที่ตอนนี้ทิ้งตัวลงนอนข้างๆเธอ

    “เดี๋ยวก่อนก็ได้ ฉันงีบบนเครื่องบินได้ คุยเรื่องแกดีกว่า ไม่คิดจะกลับไปอยู่กรุงเทพฯแล้วหรือ” อาณพถามขึ้นสายตามองไปยังท้องฟ้าที่มีดาวแข่งกันส่องแสงเต็มไปหมด

                    ปัณจรีมองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิทด้วยสายตาลึกซึ้ง เมื่อแน่ใจว่าเขาคงไม่เห็น ก่อนจะมองออกไปยังจุดเดียวกันกับที่ชายหนุ่มมองอยู่

                    “อยู่อย่างนี้ก็สบายดี ฉันกลับไปก็ไม่มีใคร” ปัณจรีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหงาๆ

                    “ก็ฉันไง แกลืมฉันไปแล้วหรือ...ฉันเพื่อนแกนะโว้ยไม่มีวันทิ้งแกอยู่แล้ว”

    “ให้มันแน่เถอะ เดี๋ยวแต่งงานมีลูกมีเมียก็ไม่มีเวลาให้เพื่อนอย่างฉันแล้ว” ปัณจรียิ้มกับตัวเองหยันๆ

    ไม่ใช่เพราะต้องทนปกปิดความรู้สึกของตัวเอง เวลาที่อยู่ใกล้คนข้างๆนี่หรือ เธอถึงต้องระเห็จมาอยู่ถึงที่นี่...อยู่ห่างกันอย่างนี้ดีแล้ว

                    “ปัณ แก...” อาณพชะงักคำพูดเมื่อหันมามองเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆ กลับได้เห็นแววตาแบบที่เจ้าของปกปิดไม่ทัน ปัณจรีกระดกตัวลุกขึ้นนั่งอย่างทำอะไรไม่ถูก เสยกเบียร์ในกระป๋องขึ้นมาดื่มอั๊กๆ บดบังสีหน้าขัดเขินของตัวเอง

    “เบียร์ไม่ค่อยเย็นแล้ว เดี๋ยวฉันไปเอามาใหม่ดีกว่า” คนที่ไม่ค่อยถนัดกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เอ่ยทำลายความเงียบ หาทางเลี่ยงหลบสายตาของเพื่อนที่ยังมองเธอด้วยความสงสัย

    “พอแล้วล่ะ ฉันว่าแกเมาแล้วนะ” คนที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น

    “พอได้ไง แกไม่ใช่หรือที่ขนซื้อมา กินให้หมดเลยนะ เอาไว้ฉันก็ไม่ได้กินหรอก ไหนๆพรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว นานๆเจอกันที ต้องเต็มที่หน่อย” ปัณจรีเดินไปขนเบียร์อีกสี่ห้ากระป๋องที่เหลืออยู่ในตู้เย็นออกมาวางไว้ตรงที่ทั้งสองนอนคุยกันอยู่เมื่อครู่

    “เอ้า..ดื่ม...เราคงไม่เจอกันอีกนานเลย..แต่งงานเมื่อไหร่อย่างลืมส่งการ์ดล่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงครื้นเครง ส่งรอยยิ้มสดใสให้เพื่อน...รัก

    “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะแจกการ์ดแกคนแรกเลยไอ้ปัณ” อาณพยิ้มกับคำพูดของเพื่อนก่อนกระดกเบียร์เข้าปาก

    เขาคงตาฝาดไปเอง...ที่เห็น...เฮ่อ..เป็นไปไม่ได้ ปัณจรีเนี่ยนะ อาณพขำกับความคิดเหลือเชื่อของตนเองยกเบียร์เข้าปากอึกใหญ่

    “เฮ้ย ปัณ..ปัณไปนอนในห้องสิวะ” อาณพเรียกคนที่นอนหมอบอยู่ข้างๆด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้

    “อืม..” หญิงสาวปัดมือที่เขย่าตัวออกอย่างรำคาญ ก่อนจะส่งเสียงประท้วงเมื่อแขนทั้งสองข้างถูกดึงด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่า

    อาณพที่สติเหลืออยู่ไม่มากไปกว่าเพื่อนสาวเท่าไหร่ พยุงปัณจรีเข้ามา ในห้องนอนก่อนจะล้มลงไปบนเตียงด้วยกันเพราะทรงตัวไม่อยู่ ชายหนุ่มมองหน้าคนที่นอนอยู่ใต้ตัวเขาด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นเสยไปยังผมที่ตกลงมาปิดหน้าปิดตาอีกฝ่าย

    “ปัณ..ปัณจรี” อาณพส่งเสียงแหบพร่าเรียกคนที่ครางอือฮาเพราะฤทธิ์น้ำเมา

    ปัณจรีปรือสายตาขึ้นมองคนที่ก้มลงมองเธอ ยิ้มและยกมือขึ้นลูบไปยังใบหน้าเข้มของคนที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจตลอดหลายปีมานี้ หญิงสาวหลับตาลงเมื่อคนที่อยู่เหนือร่างเธอ ก้มใบหน้าลงมาจนริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกัน สติอันน้อยนิดไม่เหลือพอจะต้านทานความต้องการจากส่วนลึกของหัวใจไปได้อีกต่อไป.....

     

     

    อาณพขยับตัวอย่างปวดเมื่อย ยกมือวางบนหน้าผากตัวเองอย่างมึนๆก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งกุมขมับ

    สงสัยเมื่อคืน ดื่มหนักไปหน่อย...เพราะไอ้เบียร์สามสี่กระป๋องสุดท้ายแน่เลย                                                                               ความคิดของชายหนุ่มสะดุดลงขณะก้มมองสภาพตัวเอง ใบหน้าคมคล้ามซีดเผือดเมื่อความทรงจำเมื่อคืนโผล่ขึ้นมาเป็นฉาก เขามองหา

    เพื่อน..ไม่ใช่สิ..ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว..แต่เป็น โอ๊ย!’ อาณพไม่มีเวลาคิดอะไรมากไปกว่านี้ เขารีบคว้าเสื้อผ้าที่พาดอยู่ปลายเตียงเหมือนมีคนเก็บมันวางอย่างเป็นระเบียบขึ้นใส่อย่างรีบด่วน

                    ปัณ ปัณจรี..อยู่ไหน?

    อาณพชะงักเท้าที่เดินออกมาจากห้องนอนปัณจรีอย่างรีบเร่ง เมื่อเห็นร่างที่เขาตามหายืนมองพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมาจากฟากฟ้าทีละน้อย

    “ปัณ..” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆนึกหาคำพูดไม่ออกเลยกับสถานะที่เปลี่ยนไปของเขาและปัณจรี

    “ปัณ..ฉัน..ฉันขอโทษ..ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้น” อาณพพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดจริงๆ

    “ถ้าแกต้องการให้ฉัน..”

    “ช่างมันเถอะ” ประโยคเรียบๆ ทว่าน้ำเสียงหนักแน่นนั้น ยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

    “ไม่ได้หรอก..ฉันจะรับผิดชอบ”

    “ฉันบอกแล้วไงว่าช่างมันเถอะ มันก็แค่..อุบัติเหตุ” คนที่ยังยืนหันหลังให้เขา ยักไหล่ประกอบคำพูดเหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก มิหนำซ้ำยังหันหน้ามายิ้มให้เขาเหมือนปกติอีกด้วย

    “ปัณ แกไม่เป็นไร..แน่นะ” อาณพถามเพื่อนสาวอย่างไม่แน่ใจ แม้ส่วนลึกจะยอมรับว่ารู้สึกโล่งใจกับท่าทีที่เหมือนไม่คิดอะไรมากของอีกฝ่าย

    “ฉันบอกแล้วไง..ว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ..เรา..ฉันกับนายจะลืมเรื่องเมื่อคืนนี้ซะ..ไปแต่งตัวเถอะ เครื่องออกเก้าโมงไม่ใช่หรือ แกต้องไปให้ถึงสนามบินก่อนเวลานะ”

    กลายเป็นอาณพซะเองที่ทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนปัณจรีต้องเป็นฝ่ายจี้ขึ้นมาอีก

    “ที่ยังยืนบื้ออยู่นี่ เพราะอยากจะแต่งงานกับฉันจริงๆหรือไง ฉันจะได้โทรไปบอกคุณแม่แก ให้ท่านเตรียมตัวรับลูกสะใภ้ได้เลย” ปัณจรีเย้าขึ้นอย่างนึกสนุก แกล้งไม่เห็นสีหน้าซีดเผือดทันทีที่เธอเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงาน

    “ถ้าแกต้องการ ระ.. เราแต่งงานกันก็ได้นะ” อาณพพูดอย่างฝ่อๆแต่ก็ยอมรับผิดเต็มที่

    “งั้นหรือ แต่ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากแต่งกับแก กระล่อนอย่างนี้บอกตรงๆไม่อยากน้ำตาเช็ดหัวเข่าวะ เป็นเพื่อนกันอย่างนี้ดีแล้ว” ปัณจรีพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนคนเก่าที่เคยเป็น

    “เอ่อๆ ตามใจ แล้วแกจะเสียใจที่ปฏิเสธฉันวันนี้” อาณพพูดขึ้นด้วยอารมณ์แจ่มใสขึ้นเมื่อเพื่อนสาวกลับมาเป็นคนเดิม

    “ฉันว่าแกรีบไปเถอะ ก่อนจะตกเครื่อง..ไม่ไปส่งนะ วันนี้ต้องเข้าออฟฟิชแต่เช้า” ปัณจรีพูดไล่หลังคนที่เดินกลับเข้าไปยังห้องนอนของเธอเพื่ออาบน้ำแต่งตัว

     

    “ฉันไปนะ..แล้วจะโทรหา” อาณพบอกลาเพื่อนที่หน้าประตูห้องในสิบห้านาทีต่อมา

    “อืมม์..โชคดี ฝากความคิดถึงๆ แม่แกด้วยนะ” หญิงสาวส่งถุงของฝากที่เธอจะให้อาณพนำไปให้คุณแม่ของเขาด้วย

    “ปัณ..ถ้ามีอะไรที่ฉัน..เอ่อ..ถ้าแกเกิด..” อาณพลำบากใจที่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดเอ็กซ์ซิเดนขึ้นในอนาคต

    “ฉันรู้ว่าแกจะพูดอะไร..รับรองฉันจะรีบลงไปกรุงเทพฯล็อคคอแกให้มาแต่งงานกับฉันทันทีเลยคอยดู” ปัณจรีพูดทีเล่นทีจริง

    “แกนี่จริงๆเลย ฉันซีเรียสนะโว้ย พูดเป็นเล่นไปได้” อาณพบ่นก่อนจะขยี้ผมเพื่อนสาวอย่างมันเขี้ยว

    “ไปล่ะ..ลงไปกรุงเทพฯเมื่อไหร่แวะหาฉันด้วยล่ะ” ชายหนุ่มสั่งอีก

    “แน่นอน ไปได้แล้ว”

    ปัณจรีลดมือที่โบกให้เพื่อนลง ก่อนจะปิดประตูห้องยืนพิผนังประตูอย่างอ่อนแรง ปล่อยน้ำตาทื่ฝืนทนเก็บไว้ ให้มันไหลออกมาอย่างไม่ต้องอดกลั้นอีกต่อไป

    ขอโทษ...ไม่ได้ตั้งใจ...จะรับผิดชอบ ถ้าฉันต้องการงั้นหรือ สิ่งที่ออกพูดมามันจะมีประโยชน์อะไร ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะความจำใจ ฉันไม่ต้องการหรอก...

    หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง ความเข็มแข็งที่มีมาตลอดดูจะหายไปจนหมด เมื่อแน่ใจแล้วว่าความรักของเธอ มันคงไม่มีวันเป็นไปได้ น้ำตาที่ไม่เคยเสียให้เรื่องอะไรง่ายๆ ยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย....

     

    ปัณจรีมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังไม่ขาดสายอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจกดรับ หลังจากที่ปล่อยให้มันดังอยู่พักใหญ่

                    “ฮัลโหล..ปัณ แกได้ยินฉันไหม ปัณ” เสียงร้อนรนที่พูดมาตามสายของอาณพ ทำให้เธอแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างลำบากใจ ก่อนจะกรอกเสียงเบาๆตอบกลับไป

                    “ได้ยินแล้ว” หญิงสาวกรอกเสียงสดใสตอบกลับไป

                    “เห็นคุณแม่บอกว่าแกโทรมาหาฉัน มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงที่ดูเฝื่อนๆนั้นถึงจะพยายามปกปิดเพียงใด แต่คนที่คบกันมาเป็นสิบปีมีหรือจะจับสังเกตไม่ได้

                    “อืม..โทรไปมือถือนายปิดเครื่อง ฉันก็เลยโทรเข้าบ้าน..”

                    “มีอะไรหรือเปล่า พอดีฉันเอ่อ ไป..ไป” ปลายสายเหมือนไม่อยากจะเอ่ย

                    “ไปดูหนังกับแฟน คุณแม่บอกฉันแล้ว” ปัณจรีพูดแทนเมื่อเห็นชายหนุ่มมัวแต่อ้ำๆอึ้งๆ

                    “ฉันมีข่าวจะบอก” หญิงสาวพูดเป็นงานเป็นการ จนปลายสายใจไม่ดี

     “ผู้ชายอย่างแกไม่มีสิทธิ์เป็นพ่อของลูกฉันหรอก นายอาณพ” ปัณจรีพูดต่อด้วยน้ำเสียงเล่นลิ้น ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง

                    “แก..แกหมายความว่าไง ปัณ” คนที่เพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

                    “หมายความว่าฉันไม่ท้อง ก็แค่นั้น แกสบายใจได้ เชิญหาฤกษ์แต่งกับแฟนแกได้เลย” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสดใสจนเกินพอดี

                    “แกรู้ได้ไง ว่าฉันจะแต่งงาน” อาณพถามอย่างสงสัย

                    “คุณแม่บอก ฉันโทรไปแล้วท่านรับพอดีก็เลยได้คุยกัน เห็นว่ากำลังจะไปขอสาวให้แกเร็วๆนี้ไม่ใช่หรือ แต่แกบอกท่านว่าขอเวลาอีกหน่อย ฉันจะโทรมาบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้น ไม่มีอะไรอย่างที่แกกำลังกลัวเกิดขึ้นหรอก” หญิงสาวอธิบายยืดยาวด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ

                    “ปัณ ขอบใจแกมาเลยที่โทรมาบอก ขอบใจมากเพื่อน” อาณพเพิ่งจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติเป็นครั้งแรก

                    “ขอบใจทำไม นึกว่าตัวเองเก่งนักหรือไงห๊ะ... ไร้น้ำยา” หญิงสาวตวัดน้ำเสียงดูถูก

                    “ไอ้ปัณ ไอ้บ้า ถ้าอยู่ใกล้ๆฉันจะเขกหัวแกให้” อาณพพูดอย่างเข่นเขี้ยว ไม่ได้โกรธน้ำเสียงดูถูกของเพื่อน

                    “จ้างให้แกก็ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก.... เออ แค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องทำงานต่อ” หญิงสาวตัดบทง่ายๆ

                    “อืมม์..ได้ฤกษ์แน่นอนเมื่อไหร่ ฉันจะส่งการ์ดไปให้นะ มาให้ได้ล่ะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นในตอนท้าย

                    “ได้..แค่นี้นะ แล้วเจอกัน” ปัณจรีวางโทรศัพท์ลง แบมืออีกข้างที่เธอกำสิ่งที่อยู่ในนั้นไว้แน่น ระหว่างคุยโทรศัพท์กับอาณพ ก่อนจะตัดสินใจเอามันไปทิ้งลงชักโครกห้องน้ำ

     

     

                    หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่เดินเข้ามาในงานกับชายหนุ่มหน้าคม ทำให้เจ้าบ่าวที่ยืนรับแขกอยู่หน้างานยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปพูดอะไรกับเจ้าสาวและเดินปลีกตัวออกมา

                    “ปัณ ฉันนึกว่าแกจะไม่มาแล้ว ไหนบอกจะมาตั้งแต่เมื่อวาน” อาณพในชุดสูทสีขาวทั้งตัวเอ่ยขึ้น

                    “พอดี..ติดงานด่วนนะ โทษทีนะ เลยไม่ได้ไปช่วยงานตอนเช้าเลย” ปัณจรีพูดขึ้น

                    “ไม่เป็นไร ว่าแต่ใครอ่ะ ไม่แนะนำหน่อยหรือ” อาณพเดินเข้ามากระซิบกระซาบกับเพื่อนสนิท

                    “เพื่อนที่ทำงานนะ ชื่อเตวิช พี่เตคะ นี่เพื่อนปัณ อาณพค่ะเจ้าบ่าววันนี้” สองหนุ่มจับมือทักทายกันอย่างสุภาพ เจ้าบ่าวหันมาขยิบตาให้เพื่อนสนิทอย่างล้อเลียน ปัณจรีเพียงยิ้มรับเรียบๆ

    “เข้าท่านี่หว่า คนนี้หรือเปล่าวะ ที่อยู่ในรูปบนหัวเตียงแก” ชายหนุ่มกระซิบถามเพื่อนเบาๆ

                    “แกไม่ต้องมายุ่ง โน่นเจ้าสาวแกมองมาแล้ว ไปช่วยเขารับแขกไป” หญิงสาวไล่เจ้าบ่าวให้ไปยืนเคียงคู่กับนางเอกของงาน

                    “เออ รู้แล้ว ไม่ต้องมาไล่ แกมากับฉันก่อนสิ ฉันจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนสะใภ้” อาณพจูงมือเดินนำแขกพิเศษของเขาไปหาเจ้าสาวที่ยืนยิ้มรออยู่

                    “ปัณ นี่อิงอร ภรรยาสุดที่รักของฉัน อรจ๊ะนี่ปัณจรีเพื่อนสนิทของผมจ้ะ” พูดจบชายหนุ่มก็สูดปากด้วยความเจ็บ เมื่อคนที่เขาโอบเอวไว้จิกเล็บเข้าไปที่ท่อนแขน

                    “อร ผมเจ็บนะที่รัก หยิกมาได้” ชายหนุ่มโอดครวญ

                    “ก็อยากรุ่มร่ามไม่รู้กาลเทศะทำไมล่ะคะ” เจ้าสาวคนสวยดุคนที่ยืนข้างๆด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับปัณจรีและชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ

                    “สวัสดีค่ะ คุณปัณจรี อรได้ยินแต่ชื่อคุณมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะรู้จักตัวจริงวันนี้เอง คุณณพชอบเล่าให้ฟังถึงวีรกรรมของเขากับคุณปัณจรีให้อรฟังบ่อยๆ”

                    “เรียกปัณเฉยๆดีกว่าค่ะ คุณอร ปัณก็จะเรียกคุณอรเฉยๆ...ได้ใช่ไหมคะ” ปัณจรีบอกคนที่ยื่นไมตรีให้อย่างจริงใจ

                    “ได้ค่ะ เรียกอรเฉยๆก็ได้ เพื่อนของคุณณพก็เหมือนเพื่อนของอรด้วย” อิงอรกล่าวเสียงนุ่มในมิตรภาพใหม่

                    “คุณณพ เชิญคุณปัณกับเพื่อนไปนั่งด้านในก่อนดีกว่านะคะ” เจ้าสาวหันมาบอกคู่ชีวิต

                    “ไม่เป็นไรค่ะคุณอร.... แกกับคุณอรอยู่รับแขกเถอะ เดี๋ยวฉันเดินเข้าไปเอง คุณแม่อยู่ข้างในใช่ไหม” ปัณจรีบอกอย่างเป็นกันเอง

                    “เออ แกรีบเข้าไปหาเถอะ บ่นหาแกกับฉันตั้งหลายวันแล้ว หาว่าฉันไม่ยอมบอกให้แกมาแต่เนิ่นๆ”

                    ปัณจรีอมยิ้ม ก่อนจะพยักหน้ากับชายหนุ่มข้างๆชวนกันเข้าไปในงาน

                    “ปัณ ไหวไหม..พี่ว่าเรากลับกันก่อนก็ได้มั้ง...หน้าปัณซีดมากเลยนะ” เตวิชรีบพยุงร่างที่เดินผ่านประตูหน้างานเข้ามาไม่กี่ก้าวก็ซวนเซจนเขาต้องพยุงไว้

                    “ไม่เป็นไรค่ะพี่เต ปัณแค่เวียนหัวนิดหน่อย” หญิงสาวบอกไม่เต็มเสียงนัก

                    “นี่เอายามาหรือเปล่า ยาดม ยาหม่องอะไรมีไหม ถ้าปัณเป็นอะไรไป ม่านเล่นงานพี่เละแน่ๆเลย” ชายหนุ่มบ่นเบาๆถึงภรรยาที่สั่งนักสั่งหนาให้ดูแลน้องสาวร่วมโลกคนนี้ให้ดี

                    คำพูดทีเล่นทีจริงของคนข้างๆ ที่เอ่ยถึงภรรยานั้น ทำให้หญิงสาวอดเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาไม่ได้ “นี่แสดงว่า ที่มาเป็นเพื่อนปัณ เพราะขัดพี่ม่านไม่ได้ใช่ไหมคะ” หญิงสาวพูดยิ้มๆ

                    “นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งพี่ก็ห่วงเราด้วย ยิ่งไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ช่วงนี้ไม่อยากให้ล้มหมอนนอนเสื่อไป งานยิ่งยุ่งๆ เดี๋ยวพี่ไม่มีคนช่วย” อรรถพูดก่อนจะมองหน้ากันแล้วหัวเราะ

                    อาณพยิ้มกับตัวเองอย่างโล่งใจ เมื่อเห็นเพื่อนสาวยิ้มแย้มแจ่มใสกับชายหนุ่มข้างตัวที่ดูเหมาะสมกัน ความรู้สึกผิดในใจเริ่มคลี่คลายไปอย่างมาก เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ในคืนนั้น..ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตของปัณจรี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×