ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #8 : สู่แคว้นฉี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.98K
      69
      24 ก.ย. 55

         หลังจากที่เฝ้ามองจนเงาหลังกัวเฮิ่นอี้ลับสายตาไปแล้ว ฟางเหวินหลงค่อยกลับเข้าห้องเรียน

    จี้เสีย

          ปราชญ์กระบี่ ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า

          "เจ้าสามารถเอาชนะ โดยปราศจากความยากเย็นแม้แต่น้อย เพียงแต่ขาดความโอ่อ่าผ่าเผยอยู่บ้าง"

         ฟางเหวินหลง กล่าวตอบว่า

         "ข้าพเจ้าใช้เล่ห์กลเล็กน้อย จะนับเป็นอย่างไรได้ ขอเพียงไม่ละอายใจต่อตนเองนับว่าใช้ได้แล้ว"

         "เจ้าไม่คิดเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่ง?"

         ฟางเหวินหลง ส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวว่า

         "ในยุคสมัยที่เกิดศึกสงครามไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งหามีประโยชน์ใดไม่ กำลังของ

    คนผู้หนึ่งอย่างไรก็ไม่อาจรับมือร้อยดาบ พันหอก หมื่นคันธนูได้"

          ปราชญ์กระบี่ ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า

         "จากคำพูดประโยคนี้ เจ้าคงไม่อาจเป็นยอดมือกระบี่ แต่ภายภาคหน้าคงเป็นขุนศึกที่ไร้ผู้ต้านเป็นแน่"

         ทุกวันจากวันนั้น ปราชญ์กระบี่จะอธิบายถึงเคล็ดวิชาของ กระบี่ไร้ลักษณ์ ให้ฟางเหวินหลงรับฟัง

    หลังจากฟางเหวินหลงท่องจำจนขึ้นใจแล้ว กล่าวว่า

         "ตอนนี้เราถ่ายทอดเคล็ดวิชา กระบี่ไร้ลักษณ์ ให้เจ้าหมดสิ้นแล้ว ต่อไปเจ้าจะสามารถฝึกสำเร็จหรือไม่

    ก็แล้วแต่วาสนาของเจ้า

         ตอนนี้ห่างจากวันคัดเลือก มือกระบี่หน้าบัลลังค์ อีกสองเดือน เราจะให้เจ้าออกไปหาประสบการณ์

    เบื้องนอก"

         ฟางเหวินหลง ทวนคำ

         "หาประสบการณ์?"  

          ปราชญ์กระบี่ ผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวว่า

         "ถูกต้อง มือกระบี่ต้องมีรัศมีกระบี่ สิ่งนี้ไม่อาจฝึกสอนได้ มีเพียงการสั่งสมจากประสบการณ์การต่อสู้จริง

    เท่านั้น ตอนนี้เราจะให้เจ้าออกไปเผชิญโชค หลั่งเลือดเลียคมดาบ จึงจะหล่อหลอมเจ้าให้เป็นยอดฝีมือที่

    แท้จริง

         จำไว้อย่างหนึ่งว่า มือกระบี่ที่แท้จริงจะไม่ชักกระบี่โดยง่าย แต่เมื่อเผชิญกับคู่มือที่ร้ายกาจ สิ่งที่จะสามารถ

    พาเจ้ารอดพ้นจากวิกฤติได้ มีเพียงสามคำ"

         "สามคำใด?"

         ปราชญ์กระบี่ สาดสายตาอันคมกล้า กล่าวว่า  "ตัดเนื้อ บั่นกระดูก ไร้เมตตาปราณี"

         ฟางเหวินหลง ขบคิดชั่วขณะ จากนั้นก้มศีรษะรับคำสอน  ปราชญ์กระบี่ยื่นมือผอมเกร็งไปลูบศีรษะ

    เขาอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า

         "เหวินหลง เรากับเจ้าทั้งมีวาสนา ทั้งถูกชะตา ในบั้นปลายของชีวิต เรามีศิษย์เช่นเจ้า เป็นที่ปลาบปลื้ม

    ประโลมโจนัก วันข้างหน้าในใจเจ้าหากยังนึกถึงความสัมพันธ์ฉันอาจารย์์ศิษย์ เจ้าจงช่วยปกป้องแคว้นฉี

    ก็ถือว่าเจ้าได้ตอบแทนเราแล้ว"

         ฟางเหวินหลงรับคำด้วยน้ำตาคลอ ปราชญ์กระบี่กล่าวต่อว่า

         "ไปเถอะสายมากแล้ว เราให้ศิษย์พี่เจ้ามารอรับแล้ว เจ้าอยากทราบอะไรให้ถามเขาได้ ศิษย์พี่เจ้าผู้นี้มี

    อุปนิสัยไม่เลว อย่างไรมันจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าได้ไม่มากก็น้อย"    

         ฟางเหวินหลงได้รับการถ่ายทอดยอดวิชา ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆแต่นับได้ว่าช่วยเปลี่ยนตนเองจาก

    กบในกะลาให้สามารถเข้าสู่หนทางการเป็นยอดคน ดังนั้นหมอบกราบกรานอย่างนอบน้อมสามครา

         หลังจากร่ำลาปราชญ์กระบี่แล้ว ฟางเหวินหลงก้าวเท้ายาวๆเดินออกมาจนถึงปากทางเข้าสำนักจี้เสีย

    เมื่อมองไปพบว่ามีบุรุษร่างสูงตระหง่านยืนคอยตนอยู่

         เมื่อบุรุษผู้นั้นปรายตามองมา พบเห็นว่าฟางเหวินหลงเดินมายังตนเอง ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า

         "น้องเรา ท่านมาแล้ว"

         ฟางเหวินหลง ประสานมือคารวะ กล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าฟางเหวินหลง คาระวะศิษย์พี่"

         บุรุษผู้นี้ หัวร่อฮาฮา กล่าวว่า

         "น้องเราไม่ต้องมากมารยาท เราทั้งสองต่อไปควรสนิทสนมกันให้มากไว้ เรามีนามว่า จงซุนเสวียนหัว

    ถ้าน้องเราไม่รังเกียจต่อไปเรียกเรา พี่เสวียนหัว ก็ได้"

         ฟางเหวินหลงผงกศีรษะรับคราหนึ่ง ยอมรับว่าคนผู้นี้มีอัธยาศัยไมตรีไม่เลว กล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าเป็นคนป่าคนดอย ก่อนหน้าพบกับท่านอาจารย์เป็นเพียงพรานป่าล่าสัตว์ประทังชีวิต จากนี้ขอ

    พี่ท่านช่วยชี้แนะสั่งสอนให้มาก"

         จงซุนเสวียนหัว มิคาดว่าฟางเหวินหลงจะมีความอ่อนน้อม สัมมาคารวะอันดีเพียงนี้ จึงพยักหน้าอย่างพอใจ

    กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นว่า    

         "น้องเหวินหลงมีรูปลักษณะไม่ธรรมดา ทำให้ท่านอาจารย์ซึ่งไม่รับศิษย์ใหม่มาสิบกว่าปี ถึงยอมรับท่าน

    เป็นศิษย์ ตอนนี้แคว้นฉีเรากำลังต้องการบุคลากรรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก ขอให้ท่านอย่าได้ปล่อยโอกาสอันดี

    ให้ผ่านพ้น อย่างไรต้องมีโอกาสอันดีให้ไขว่คว้าเป็นแน่"

         ฟางเหวินหลงยิ้มมุมปาก คนทั้งสองเดินพลางสนทนาพลาง ครู่ใหญ่พบว่าเดินทางมาถึงประตูเมือง

    หลินจวือแล้ว

         ฟางเหวินหลงเมื่อมองไปเบื้องหน้าพบว่านครที่มีกลิ่นอายโบราณนี้มีสถาปัตยกรรมที่น่าศึกษาเป็นอันมาก

    ตลอดรายทางจึงใช้สายตาศึกษาสภาพภายนอกภายในของเมือง ประกอบกับคำบอกเล่าของจงซุนเสวียนหัว

         นครหลินจวือมีประชากรเเปดหมื่นหลังคาเรือน  ประชากรสี่สิบกว่าหมื่นคน ถือเป็นแคว้นที่มีประชากรมาก

    เป็นอันดับสองรองจากแคว้นฉิน

         เมืองใหญ่ของนครหลินจวือ มีประตูทั้งสิ้นแปดบาน ถนนใหญ่เป็นถนนตะวันออก เชื่อมกับถนนตะวันตก

    ยังมีถนนเชื่อมทิศเหนือกับใต้ เรียกว่าหลินจวือน้อย มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด

         คนทั้งสองเดินไปตามถนนตะวันตก เห็นผิวถนนกว้างสองวา อนุญาตให้รถม้าสี่คันแล่นผ่าน สองฟากข้าง

    เป็นร้านรวงบ้านเรือนถือเป็นที่อยู่อาศัยของคนมั่งคั่ง ตามตรอกซอยค่อยเป็นบ้านช่องห้องหับของชาวบ้าน

    ทั่วไป

         ส่วนสำนักจี้เสียของปราชญ์กระบี่เฉาชิวเต้าก่อตั้งอยู่นอกเมืองตะวันตก ปราชญ์กระบี่เฉาชิวเต้าได้รับ

    แต่งตั้งเป็นพระอาจารย์เจ้ารัฐฉี แม้แต่ขุนนางอำมาตย์พบพานเขา ยังต้องทำความเคารพ

         จงซุนเสวียนหัวกล่าวว่า ท่านอาจาย์มีเพลงกระบี่บรรลุถึงขั้นสูงล้ำสุดยอด ในยี่สิบปีมานี้มีเพียงผู้เดียว

    ที่ต่อสู้กับท่านแล้วสามารถรอดพ้นคมกระบี่ท่านมาได้ นอกจากนั้นมิตายก็รับบาดเจ็บสาหัส

         คนทั้งสองเหยียบย่างเข้าสู่ท้องถนนในนครหลินจวือ มุ่งหน้าสู่จุดตัดของถนนตะวันออกกับถนนเหนือใต้

    ซึ่งมีผู้คนสัญจรคับคั่ง

         ฟางเหวินหลงค่อยทราบว่าตัวเองสูงใหญ่เพียงไหน ผู้คนเหล่านี้ต่อให้เป็นจงซุนเสวียนหัวที่เป็นคนที่

    สูงที่สุดยังเตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะ ทำให้เขาคล้ายเป็นกระเรียนกลางฝูงไก่ก็มิปาน

         คนทั้งสองเมื่อเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ ตลอดรายทางหญิงสาวมากมายต่างชม้ายชายตาให้แก่

    คนทั้งคู่

         จงซุนเสวียนหัวคล้ายกับว่าชินกับการถูกจ้องมองเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ฟางเหวินหลงกลับรู้สึกขัดเขิน

    อยู่บ้าง

         ในที่สุดคนทั้งสองเดินทางมาถึงหน้าตึกหลังหนึ่ง ปลูกสร้างบนบันไดหินขาว ประตูใหญ่สร้างซุ้มประตู

    สวยงาม ป้ายขวางเหนือประตูจารึกอักษร "ตึกจงซุน" แสดงออกถึงความภูมิฐานของเจ้าของ

         ตึกจงซุนประกอบด้วยตึกกลางและตึกสองปีก หลังตึกเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ จากมุมมองในที่นี้

    ดูไม่ออกว่าภายในมีตัวตึกทั้งสิ้นกี่หลัง

         บนลานกว้างหน้าตึกหลักแขวนโคมแปดเหลี่ยมหลายสิบดวง สมกับเป็นของคหบดีใหญ่ที่มั่งคั่งจริงๆ ยามนี้

    หน้าประตูยืนไว้ด้วยชายฉกรรจ์หลายคน เมื่อเห็นฟางเหวินหลงเป็นสหายกับเจ้านายของตน ล้วนแสดงท่าที

    เคารพนบนอบ

         จงซุนเสวียนหัว กล่าวว่า

         "น้องเหวินหลง ข้าพเจ้าจัดห้องพักไว้รับรองท่านห้องหนึ่ง ถ้าเกิดห้องหับคับแคบไปบ้าง ขอน้องเราอย่าได้

    ตำหนิ"

         ฟางเหวินหลง ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า

         "หากพี่เสวียนหัวคิดจะทำการค้าขาดทุนซักครา ข้าพเจ้าปรารถนาจะนำกระท่อมเลิศหรูของข้าพเจ้ามาแลก

    กับห้องคับแคบของท่านจริงๆ"

         คนทั้งสองหัวร่อฮาฮา ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เห็นห้องโถงใหญ่โอ่โถงกั้นผ้าแพรแบ่งออกเป็นสองส่วน

    เครื่องเรือนล้วนเป็นไม้แดงชั้นดี สุดปลายของห้องโถงมีผู้คนนั่งคู่กัน หญิงรับใช้ยืนปรนนิบัติอยู่สองฟากข้าง

    ยังมีนักบู๊สองขบวนแยกย้ายยืนอยู่ด้านหลังตนทั้งสอง

         ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเดินมาบอกกับจงซุนเสวียนหัวว่า "นายผู้เฒ่ากำลังรับแขกอยู่"

         จงซุนเสวียนหัวพยักหน้าคราหนึ่ง จากนั้นคล้องแขนฟางเหวินหลงก้าวยาวๆเข้าไปภายในห้องโถง

         "เสวียนหัวคำนับท่านพ่อ ท่านลุงเผิง"

         ฟางเหวินหลงกวาดตามองไปยังคนทั้งสอง พบว่าบิดาของจงซุนเสวียนหัวเป็นชายสูงอายุสวมใส่ชุดแพร

    ร่างซูบผอมราววานร มีอายุราวห้าสิบปี นั่งเคียงคู่กับชายชราหน้าตาอิ่มเอิบ สวมใส่ชุดผ้าต่วนหรูหราผู้หนึ่ง

         ชายชราซูบผอม กวักมือเรียกคนทั้งสอง พร้อมกล่าวว่า

         "เสวียนหัว นี่คงเป็นศิษย์น้องของเจ้าละสิ มาๆทั้งสองคนมานั่งตามสบาย คนกันเองไม่ต้องมากมารยาท"

         ฟางเหวินหลง ประสานมือคำนับคนทั้งสอง กล่าวว่า

         "ผู้น้อยฟางเหวินหลง คารวะท่านลุงทั้งสอง"

         ชายชราท่าทางภูมิฐาน เมื่อได้ยินชื่อฟางเหวินหลง ถึงกับตาเป็นประกาย หัวร่อฮาฮา แล้วกล่าวว่า

         "หลานชาย เจ้าคือฟางเหวินหลง? หลานสาวเรากล่าวถึงเจ้าอยู่ไม่ขาดปาก วันนี้ได้พบเจอเจ้า

    นับว่าเรามาไม่เสียเที่ยวแล้ว"

         ฟางเหวินหลงขณะที่งุนงงว่าคนผู้นี้รู้จักตนเองได้อย่างไร จงซุนเสวียนหัว ก็แนะนำคนทั้งสองให้เขารู้จัก

         "น้องเหวินหลง ผู้อาวุโสสองท่านนี้ ท่านหนึ่งคือบิดาข้าพเจ้านามจงซุนหลง ส่วนท่านลุงผู้นี้ คือคหบดีใหญ่

    ของแคว้นฉีเรา นาม เผิงหยางผิง"

         เผิงหยางผิง หัวร่อเสียงกังวาน กล่าวว่า

         "ตำแหน่งคหบดีใหญ่อันใด? กิจการเล็กๆของเราไหนเลยเทียบเท่าบิดาท่านได้ เพียงการปล่อยกู้เล็กน้อย

    ก็ทำกำไรมหาศาล อาศัยพ่อค้าเล็กๆ ที่ประกอบการด้วยความยากเย็นเช่นเราไหนเลยเทียบเปรียบได้?"

         จงซุนหลง หัวร่อพลางกล่าวว่า

         "ฐานะของท่านเผิงจะนับเป็นพ่อค้าเล็กๆ ได้อย่างไร เพียงการค้าใบหม่อน ตัวไหม ทองเหลืองและเหล็ก

    ที่ไท่ยาน ส่างตั่งซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของแดนตงง้วน เงินทองที่ได้รับข้าพเจ้าเกรงว่าถ้านำมากองสุมรวมกัน

    บ้านช่องรูหนูของข้าพเจ้า คงถูกกดทับจนพังทลายหมดสิ้นเป็นแน่"

          คำพูดนี้เรียกเสียงหัวร่อครืนใหญ่ บรรยากาศการร่ำสุราสนิทสนมกลมเกรียวยิ่งนัก ฟางเหวินหลงเพิ่งเคย

    ลิ้มรสสุราในยุคโบราณนี้เป็นครั้งแรก ถ้าเปรียบเทียบกับเหล้าในสมัยตนแล้ว นอกจากจะมีรสร้อนแรงกว่าบ้าง

    เล็กน้อย แต่ดื่มได้ไม่ยากเย็นอันใด

         หลังจากสุราผ่านไปสามรอบ ฟางเหวินหลง กล่าวว่า

         "ท่านลุงเผิง ไม่ทราบว่าท่านคือท่านตาของแม่นางเสวี่ยเหมย? ไม่ทราบว่าแม่นางสบายดีหรือไม่?

          เผิงหยางผิง วางถ้วยสุราลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตาการุณย์ขึ้นว่า

         "หลานชาย เสวี่ยเหมยขณะนี้อยู่สุขสบายดี เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่ยอมเสี่ยงชีวิตคุ้มครองนาง มิเช่นนั้น

    เราคงไม่อาจพบหน้าหลานสาวที่เปรียบดั่งแก้วตาดวงใจของเราผู้นี้เป็นแน่"

         จากนั้นเผิงหยางผิง บอกเล่าถึงเรื่องราวในวันนั้นให้กับทุกคนได้รับฟัง

         วันนั้นเมื่อยามฟ้าสาง หลี่เสวี่ยเหมยวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ป้อมตระกูลเผิง หลังจากที่นางแจ้งกับยามเฝ้า

    ประตูพร้อมกับนำปิ่นหยกของมารดาที่เผิงหยางผิงเคยมอบให้กับเผิงไป๋จือผู้เป็นบุตรีของเขา ซึ่งเขามอบให้

    เป็นของขวัญในวันแต่งงานเพื่อยืนยันศักดิ์ศรีฐานะของตนแล้ว

         เมื่อสองตา หลานพบหน้ากัน ต่างร่ำไห้ด้วยความปลาบปลื้มยินดี เผิงหยางผิงเมื่อทราบว่าเผิงไป๋จือ

    ถูกเจ้ารัฐจ้าวส่งคนมาสังหารจนเสียชีวิต เขารู้สึกคับแค้นเศร้าโศกในชะตากรรมของบุตรสาวจนแทบสิ้นสติ

         กระทั่งหลานสาวของเขากระตุ้นเตือน ให้เขารีบส่งคนไปช่วยเหลือฟางเหวินหลง เขาจึงสั่งคนสนิทส่งมือดี

    จำนวนหนึ่งไปช่วยเหลือตน แต่เมื่อคนทั้งหมดไปถึง กลับพบว่าทั้งฟางเหวินหลงและปราชญ์กระบี่

    ได้จากไปแล้ว

         เมื่อหลี่เสวี่ยเหมยทราบข่าวจากเผิงหยางผิงผู้เป็นตา ถึงกับซึมเศร้าจนไม่ยอมพูดจา จนกระทั่ง

    ปราชญ์กระบี่ใช้คนให้นำสาส์นมาแจ้งว่าฟางเหวินหลงปลอดภัยดี ตอนนี้พำนักอยู่ที่สำนักจี้เสีย เผิงหยางผิง

    และหลี่เสวียเหมยจึงรู้สึกวางใจ

         
    หลังจากเผิงหยางผิงบอกเล่าเรื่องราวจนจบ จงซุนเสวียนหัว ยกจอกสุราขึ้นเบื้องหน้า

    กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

         "น้องเหวินหลง ช่างมีน้ำใจลึกซึ้งนัก เพียงเพราะสตรีที่รู้จักโดยผิวเผิน กลับยินดีเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือ

    เป็นที่น่าเลื่อมใส ตอนนี้เราขอคารวะน้องเราก่อนหนึ่งจอก"    

         ฟางเหวินหลงรับฟังคำพูดกึ่งยกย่องกึ่งสัพหยอกของจงซุนเสวียนหัว ยิ้มมุมปาก จากนั้นยกสุราขึ้นดื่ม

    ก่่อนจะกล่าวว่า

         "พี่เสวียนหัวเข้าใจล้อเล่นนัก ครั้งนั้นข้าพเจ้ากระทำไป เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ตอนนี้มาสำนึกตัวภายหลัง

    ยังทำให้อกสั่นขวัญแขวนมิหาย"

         จงซุนหลง หัวร่อเสียงดัง กล่าวว่า

         "หลานชายมิต้องถ่อมตัวไป การที่ท่านเข้าช่วยเหลือสตรีอ่อนแอ นับเป็นวิญญูชนอันเที่ยงธรรม

    ท่านปราชญ์กระบี่
    โดยปรกติท่านไม่รับศิษย์โดยง่าย คราครั้งนี้จึงยอมฝืนกฎ นับว่าได้รับวาสนาในคราวเคราะห์

    โดยแท้"

         เผิงหยางผิง ผงกศีรษะเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ จากนั้นลูบเคราขาวโพลนของตน ก่อนจะกล่าวว่า

         "ประเสริฐ เจ้ากล่าวเช่นนี้แสดงว่ามิใช่วิญญูชนที่แอบอ้างธรรมะ จากนี้ไปเราจะถือว่าเจ้าเป็นลูกหลาน

    ในครอบครัว
    ไม่ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องราวใด ป้อมตระกูลเผิงจะขอยืนอยู่ข้างเจ้า"

         จงซุนหลงกับจงซุนเสวียนหัว เมื่อได้ยินเผิงหยางผิงกล่าวเช่นนี้ต่างหันมาลอบสบตากัน

         เผิงหยางผิงแสดงจุดยืนเช่นนี้ ฟางเหวินหลงเท่ากับว่ามีผู้หนุนหลังเป็นผู้ทรงอิทธิพลของแคว้นฉี หากว่า

    ตระกูลจงซุน สามารถดึงให้เด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ฝ่ายตนได้ จงซุนหลงสองพ่อลูกเท่ากับว่ามีพันธมิตรที่เข้มแข็ง

    สามารถถ่วงดุลย์อำนาจกับมหาเสนาบดีใหญ่เถียนตาน ไม่ตกเป็นรองเช่นที่ผ่านมา

         ฟางเหวินหลงคงครุ่นคิดไม่ถึงว่าเพียงวันแรกที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่นครหลินจวือ ก็ตกเข้าสู่วังวนการแย่งชิง

    อำนาจของแคว้นฉีเสียแล้ว

         หลังจากดื่มกิน สนทนากันอีกครู่หนึ่ง เผิงหยางผิงก็ขออำลากลับ โดยที่ไม่ลืมที่จะนัดหมายกับ

    ฟางเหวินหลงให้ไปพบที่ป้อมตระกูลเผิงในวันรุ่งขึ้น

         จากนั้นฟางเหวินหลงเข้าพักยังเรือนรับรองของตึกจงซุน ซึ่งเป็นบ้านโดดเดี่ยวหลังหนึ่ง จงซุนหลงยังจัด

    หญิงงามสี่นางปรนนิบัติเขาอาบน้ำชำระร่างกาย ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่

         ค่ำคืนนั้นจงซุนหลงจัดโต๊ะเลี้ยงรับรองที่ห้องโถงใหญ่สิบแปดโต๊ะ โดยเชื้อเชิญเครือญาติและสหายสนิท

    หลายคนมาร่วมงาน และจัดนางระบำรำฟ้อน เพิ่มความครึกครื้นสนุกสนาน

         ฟางเหวินหลงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กหนุ่มเยาว์วัย เมื่อดื่มสุราติดต่อกันนานเข้า งานเลี้ยงยังไม่เลิกรา

    เขาก็เมามายล้มพับไป ยามเคลิบเคลิ้มเลอะเลือน คล้ายกับว่าซิงลี่จวินกลับมาข้างกายเกี่ยวก้อยหา

    ความสุขกัน

         เมื่อตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อกลางห้องนอน แสงอาทิตย์สาดส่อง ที่ข้างกายนอนไว้ด้วย

    หญิงเปลือยสองนาง เมื่อเขาพิศดูใบหน้า พบว่าคือสองในสี่หญิงงามที่มาปรนนิบัติเขานั่นเอง

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดว่า เราช่างเหลวไหลนัก ดื่มสุราจนเมามายไม่ได้สติ กลับทำศึกรักกับสตรีถึงสองนาง

    โดยไม่รู้ตัว

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

        ระหว่างคิดคำนึง สายตาก็มองไปยังหญิงงามที่เปลือยร่างขาวโพลนทั้งสองนาง ใบหน้าหญิงสาวทั้งสอง

    แสดงออกถึงความสุขสมหลังพายุฝนพ้นผ่าน

         ฟางเหวินหลง ผุดลุกขึ้นเดินถึงริมหน้าต่างกวาดตามองออกไป หญิงรับใช้สองคนที่เหลือกำลังรดน้ำ

    แต่งกิ่งไม้เมื่อพบเห็นเขา ต่างพากันย่อกายคารวะ หนึ่งในสองกล่าวว่า

         "คุณชายตื่นแล้ว บ่าวจะเข้าไปอาบน้ำใส่เสื้อผ้าให้แก่ท่าน"

         ที่ด้านหลังพลันบังเกิดเสียงลุกขึ้นจากเตียงของหญิงรับใช้ทั้งสอง ผ้าห่มจึงหลุดลุ่ยลงไปถึงระดับเอว

    เผยเห็นร่างท่อนบนที่เต่งตึง กล่าวอย่างประหวั่นลนลานว่า

         "บ่าวคำนับคุณชาย"

         ฟางเหวินหลงมองดูพวกนางถามว่า

         "พี่สาวทั้งสองมีคำเรียกหาอย่างไร?"

         หญิงรับใช้ซึ่งหน้าอกอวบอิ่มเป็นพิเศษนางหนึ่งหัวร่อคิก กล่าวว่า

         "คุณชายยกย่องบ่าวเกินไปแล้ว  บ่าวล้วนเป็นหญิงรับใช้ต้อยต่ำ ข้าพเจ้าเรียกว่าไป๋หลัน

    นางเรียกว่ามู่หลัน ส่วนพี่สาวทั้งสองเบื้องนอกคือ อวี้หลันกับชุยหลัน "

         มู่หลันทอดถอนใจชมเชยว่า

         "คุณชายมีรูปร่างดียิ่ง พวกเราไม่เคยปรนนิบัติบุรุษที่แข็งแรงกว่าคุณชายอีก"

         ยามนั้น อวี้หลันกับชุยหลันมาถึงเบื้องหน้าของเขา ยกอ่างล้างหน้ามาให้แก่เขา

    หลังจากเขาล้างหน้าล้างตาแล้ว

         อวี้หลัน ที่ย่อกายอยู่เบื้องหน้า กล่าวว่า

         "ขอให้พวกเราปรนนิบัติคุณชายอาบน้ำชำระร่างกาย"

         ฟางเหวินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

         "นั่นเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับข้าพเจ้า"

         หญิงรับใช้ทั้งสี่ ล้วนมาพร้อมหน้า เปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง ก้าวลงสระน้ำอันวิจิตร อาบน้ำให้แก่เขา

    ทั้งยังบีบนวดให้เหล่าหญิงรับใช้เติมน้ำร้อนลงในสระตลอดเวลา จนควันร้อนลอยกรุ่น ห้องอาบน้ำทั้งหลัง

    ปกคลุมด้วยไอพร่ามัว

         เมื่อเขาประสานสายตากับประกายตาอันร้อนแรงของหญิงรับใช้ทั้งหลาย ฟางเหวินหลงค่อยๆเข้าใจว่า

    สตรีในที่นี้ไฉนมอบใจมอบกายให้โดยง่ายดาย สาเหตุสำคัญอยู่ที่ไม่สามารถสื่อสาร ในยุคสมัยเลียดก๊ก

    การสื่อสารยากลำบากหลังจากพบหน้าครั้งหนึ่ง อาจไม่มีวันพบกันอีก ดังนั้นคราก่อนซิงลี่จวินจึงหาโอกาส

    เริงรักสักครา ไม่เช่นนั้นอาจไร้ซึ่งวาสนา หญิงรับใช้เหล่านี้ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

          พวกนางหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาเป็นประกาย ชื่นชมกับรูปกล้ามเนื้อบึกบึนแข็งแกร่งของเขา ยื่นมือเรียวงาม

    จากด้านหลังอ้อมมายังทรวงอก ลูบไล้แผงหน้าอกของเขาอย่างนุ่มนวล

         นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางเพิ่งพบพานบุรุษรูปงามเช่นนี้ อดกระสันรัญจวนมิได้

         ฟางเหวินหลงก็ดื่มด่ำกับการสัมผัสของหญิงงาม ซึ่งปราศจากสิ่งกีดขวางกางกั้น รู้สึกว่าหน้าอกอวบอิ่ม

    ของพวกนางเสียดสีกับแผ่นหลังของเขาตลอดเวลา หวนนึกถึงรสสัมผัสที่เพิ่งพ้นผ่าน เพลิงราคะเริ่มลุกโชน

    ขึ้นมา

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          ยามนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นหญิงรับใช้กลางคนนางหนึ่ง กล่าวเสียงลอดร่องประตูเข้ามาว่า

         "คุณชาย ขออภัยที่บ่าวมาขัดความสำราญของท่าน แต่นายท่านสั่งไว้ว่ากำหนดนัดกับท่านเผิงกระชั้น

    เข้ามาแล้ว ถ้าท่านไม่รีบชำระร่างกาย เกรงว่าจะไปไม่ทันนัดหมาย"

         หญิงรับใช้ทั้งสี่ กล่าวอย่างประหวั่นลนลานว่า

         "บ่าวสมควรตาย นายท่านสั่งไว้ ท่านพอชำระร่างกายเสร็จ ให้นำท่านไปพบโดยเร็ว"

         ฟางเหวินหลง ยิ้มมุมปาก ยื่นมือโอบเอวเพียงหยิบมือเดียวของอวี้หลันกับชุยหลัน หอมแก้มพวกนาง

    คนละครั้ง ส่ายหน้าเป็นความหมายว่าไม่ต้องกังวลใจ จากนั้นตะโกนออกไปว่า

         "ทราบแล้ว บอกพี่เสวียนหัวด้วยว่า ข้าพเจ้าจะรีบตามไป"

         หญิงรับใช้กลางคนรับคำคราหนึ่ง เสียงฝีเท้าค่อยๆเดินห่างประตูออกไป ฟางเหวินหลงยิ้มอย่างสง่างาม

    กล่าวว่า

         " พี่สาวทั้งหลาย ขออภัยที่ข้าพเจ้ามีความจำเป็นคับแค้น หลังจากเสร็จธุระ ค่ำคืนนี้เราทั้งห้าค่อยมาสานต่อ

    สิ่งที่กระทำคั่งค้าง"

         หญิงรับใช้ทั้งสี่นางหน้าแดงเข้มขึ้นมา ก้มศีรษะแย้มยิ้มอย่างเอียงอาย จากนั้นหญิงทั้งสี่เดินเข้ามา

    ปรนนิบัติเขาใส่เสื้อผ้า

         ฟางเหวินหลงสวมเสื้อผ้านักบู๊ที่ตัดเย็บมาอย่างรับรูป คลุมเสื้อคลุมอีกชั้นหนึ่ง สะพายดาบที่หว่างเอว

    ติดตามหญิงรับใช้เดินเข้าไปที่ห้องโถงของตึกจงซุน

         ฟางเหวินหลงทอดตามอง เห็นจงซุนเสวียนหัวรอคอยอยู่ข้างโต๊ะอาหาร พอเห็นเขามาถึง ก็ยิ้ม

    ให้เล็กน้อย เชื้อเชิญเขานั่งประจำโต๊ะ

         ทั้งสองนั่งเคียงคู่กัน หญิงรับใช้ยกสุราอาหารมา จงซุนเสวียนหัวรินสุราให้แก่เขา พลางกล่าวว่า

         "น้องเราชมชอบหญิงรับใช้ที่ข้าพเจ้าจัดหามาหรือไม่? นางทั้งสี่ได้ชื่อว่าเป็นสี่บุปผางามที่ถูกคัดเลือกมา

    จากสตรีนับพัน พวกนางคงจะไม่ทำให้ข้าพเจ้าต้องขายหน้ากระมัง?"

         ฟางเหวินหลงยอมรับว่าหญิงรับใช้ทั้งสี่เป็นสาวสะคราญโฉม ต้องลอบชมเชยจงซุนสองพ่อลูกช่างร้ายกาจ

    จัดหาหญิงงามเช่นนี้ให้เขา เขาไหนเลยไม่ขายชีวิตให้ได้ จึงประสานมือคารวะ กล่าวว่า

         "ขอบคุณพี่เสวียนหัว พี่สาวทั้งสี่งดงามยิ่ง"

         "หากน้องเหวินหลง พึงพอใจ ก็ให้พวกนางติดตามรับใช้ท่านเถอะ"

          หญิงรับใช้ทั้งสี่อุทานดังอา สีหน้าปรากฎแววปิติยินดีขึ้น หากสามารถเป็นหญิงรับใช้คอยปรนนิบัติบุรุษ

    เช่นนี้ พวกนางแม้ตายก็ยินยอมพร้อมใจ

         ฟางเหวินหลงทราบว่านี่เป็นวิธีการผูกมัดใจของจงซุนเสวียนหลง ดังนั้นกล่าวขอบคุณ

         คนทั้งสองรับประทานอาหารกันชั่วครู่ จากนั้นโดยสารรถม้าออกจากตึกจงซุน เพื่อไปพบเผิงหยางผิงตาม

    กำหนดนัดหมาย

                                                        (จบตอน)

     







                                                              

     

     

     

         

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×