ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #2 : ปลอกแขนเพิ่มพลัง (Power ARM)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.08K
      32
      13 ส.ค. 55

         เสียงแผดคำรามกึกก้องของเจ้าป่าดังขึ้น ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของทุกคน

         เสือดำขนาดมหึมา ปรากฦกายขึ้นอย่างดุร้าย และในพริบตา มันก้อกระโจนเข้าใส่คนงานที่ยืนตะลึง

    ขวางหน้าอยู่ใกล้ที่สุด ด้วยสัญชาตญาณอันดุร้าย ชายคนนั้นร้องแหลมออกมาสุดเสียง ล้มครืนลงดิ้น

    พราดอยู่กับพื้น ใบหน้าถูกอุ้งเล็บตะปบยับเยินไปทั้งแถบ ลูกตาหลุดหายไปข้างหนึ่งโลหิตสาดกระจาย!

         เสือดำพุ่งปราดเข้าใส่คนต่อๆไป เท่าที่ทิศทางเผ่นทะยานของมันจะผ่านไปได้ ท่ามกลางเสียงร้องโวยวาย

    เอ็ดอึงอย่างตื่นตระหนกของคนงานผู้ประสบเหตุทั้งหลาย โกลาหลไปตลอดทั้งบริเวณ

         ทุกคนเผ่นหนีหลบเข้าหาที่ซ่อนอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมทั้งตะโกนบอกกันไม่ได้ศัพท์

         "เสือดำเข้าโจมตีเรา ทุกคนระวัง!"

         ฟางเหวินหลง ได้สติในพริบตานั้น เจ้าป่าพุ่งวิ่งลื่วผ่านคนงานที่วิ่งหลบกันอยู่จ้าละหวั่นในขณะนั้น มายังเขา

    ทียืนอยู่หน้ากระโจมอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกระโจนวูบหลบไปด้านข้าง มันเผ่นหน้าเขาไปอย่างหวุดหวิด

    แล้ววิ่งเตลิดส่งเสียงคำรามตรงไปยังบริเวณกระโจมอื่นๆ ซึ่งบัดนี้ผู้คนพากันส่งเสียงร้องกันลั่นด้วยความแตกตื่น

         เขาหันไปตะโกนสั่งซิงลี่จวินซึ่งแตกตื่นตกใจ ให้อยู่แต่ในกระโจมห้ามออกมาเป็นอันขาด!

         ทุกคนวิ่งกันวุ่นชุลมุนไปหมด หลายต่อหลายคนได้รับบาดเจ็บจากเขี้ยวเล็บของพยัคฆ์ร้าย แต่ไม่มีใครถึง

    กับเสียชีวิตในขณะนี้ หลายต่อหลายคนคว้าคันธนูวิ่งกันออกมา และระดมยิงกัน ถูกที่ไม่สำคัญ ไม่สามารถจะ

    หยุดยั้งมันไว้ได้ นอกจากจะเป็นการยั่วยุให้มันทวีความดุร้ายขึ้นอีก การยิงไม่สามารถจะยิงได้ถนัดนัก เพราะ

    กลุ่มคนงานที่วิ่งหนีแตกตื่นกระจัดกระจายอยู่ในขณะนี้ และแต่ละคนก้อยิงด้วยความตื่นเต้นตกใจไม่ได้สติ

         ฟางเหวินหลงยืนนิ่ง เขาไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร จะร้องห้ามพวกคนงานที่กำลังถืออาวุธทะเล่อทะล่าพวก

    นั้น ก้อดูเหมือนจะไม่ได้ผลเสียแล้ว

         ทันใดนั้นชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ฟางเหวินหลงพบเห็นก่อนที่จะหมดสติไป ก้อวิ่งกระหืดกระหอบออกจาก

    กระโจม ร้องตะโกนบอกคนงานเสียงหลง

         ฟางเหวินหลงเพ่งตามอง คนผู่นี้เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ เพียงเตี้ยกว่าตนครึ่งศีรษะ ผิวคล้ำคางเหลี่ยม มีเส้น

    หนวดเรียวอยู่เหนือริมผีปาก

         'คนผู้นี้คงเป็นโจวหย่งเต๋อที่แม่นางซิงลี่จวินกล่าวถึงเป็นแน่'

         "หยุดยิง ทุกคนไม่ต้องยิงลูกธนู เดี๋ยวจะถูกพวกเดียวกันเอง ล้อมมันไว้ก่อน!"

         ทุกคนจึงสามารถระงับสติอันแตกตื่น ตั้งกระบวนล้อมเสือดำไว้เป็นชั้นๆ

         ชายคนนั้นเดินช้าๆไปยืนอยู่หน้าพยัคฆ์ร้าย มือขวาชักกระบี่ยาวออกมากระชับมั่น เดินไปขวางหน้ามัน

    การต่อสู้ระหว่างหนึ่งเสือร้ายกับบุรุษผู้นั้น เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด เป็นการต่อสู้แลกชีวิต ท่ามกลางการจับจ้อง

    ของทุกผู้คน

         ฟางเหวินหลงที่เดินออกมา หน้ากระโจม กวาดตามองไปรอบๆ มองเห็นวัตถุสีดำอยู่ในพงหญ้าห่างไกล

    ลอบยินดีในใจ

         'สวรรค์ สิ่งนั้นถูกส่งมาด้วย เรามีทางรอดแล้ว'

         ขณะที่ทุกผู้คนจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ เขารีบวิ่งไปที่วัตถุทรงกลมนั้น ยื่นนิ้วมือกดไปที่ช่องว่างเล็กๆขนาดเท่า

    นิ้วมือ เสียง 'ตี๊ด' ดังขึ้น ตรงกึ่งกลางวัตถุนั้น เกิดรอยเล็กๆขึ้น

         ที่แท้ช่องนี้เป็นที่สแกนนิ้วมือเปิดล๊อค!

         ฟางเหวินหลงยื่นมือเข้าไปบิดวัตถุนั้นไปทางขวา เสียง 'แกร๊ก' ดังขึ้น ฟางเหวินหลงแยกวัตถุนั้นออกเป็น

    สองส่วน ภายในมีสิ่งของหลายอย่างบรรจุอยู่

          เขาล้วงมือเข้าไป หยิบปลอกแขนคู่หนึ่งเข้ามาใส่ที่ข้อมือ ที่แท้วัตถุทรงกลมนี้เป็นที่ใส่สิ่งของที่ฟาง

    เหวินหลงนำติดตัวมาด้วย

         การเดินทางมาในอดีตอย่างน้อยมีสิ่งของที่เป็นนวตกรรมในอนาคตมาด้วย ถือว่ามีทุนรอนในการเอาชีวิต

    รอดอยู่บ้าง

         ปลอกแขนที่ฟางเหวินหลงใส่อยู่ คือปลอกแขนเพิ่มพลัง (Power ARM) เป็นปลอกแขนที่ช่วยเพิ่ม

    พลังได้อย่างมาก  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าและพลังแม่เหล็กกระตุ้นจุดที่กล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มพลังให้ถึงขีดสุด

         ระหว่างที่ฟางเหวินหลงขุดพื้นดินแล้วนำกระเป๋ารูปทรงกลมฝังกลบ เพื่อซ่อนไม่ให้ใครพบเห็น แล้วรีบ

    เดินเข้าไปที่บริเวณการต่อสู้

         เมื่อไปถึงก้อพบว่าโจวหย่งเต๋อหลั่งเลือดโทรมกาย เสือร้ายก้อมีบาดแผลสองสามแห่ง ทุกผู้คนน้าวคันธนู

    ไปที่เสือร้ายเป็นจุดเดียว แต่ไม่มีใครกล้าปล่อยลูกธนู กลัวว่าอาจจะพลั้งมือไปถูกโจวหย่งเต๋อ

         ฟางเหวินหลงก้มกายเก็บหอกยาวที่พื้นมาถือไว้ด้ามหนึ่ง เมื่อเงยหน้ามองพบว่าโจวหย่งเต๋อเสียท่าถูกแรง

    กระแทกจากการกระโจนเข้าใส่ของเสือดำจนล้มหงายลงไปด้านหลัง

         ขณะที่ทุกคนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ฟางเหวินหลงสืบเท้าเข้าไปขวางระหว่างเสือร้ายกับโจวหย่งเต๋อ!

         สายตาทั้งหมดจับนิ่งมาที่ฟางเหวินหลงเป็นตาเดียว ด้วยใจอันสั่นระทึก รวมทั้งชายผู้เป็นผู้นำขบวนผู้นั้น

    สายตาอันคมกริบเฉียบไวของเขา สบตากับเสือดำที่ดุร้าย มองเห็นดวงตาสีเขียวปัด ปากแแดงฉานที่อ้าแสยะ

    และกรงเล็บเขี้ยวขาว   ตามลำตัวมีบาดแผลจากลูกธนูคราบโลหิตเกรอะกรัง

         เขาตวัดหอกยาวขึ้นอย่างใจเย็น ตาจับอยู่ที่เป้าหมายอันมีระยะห่างไม่เกินสิบเมตร เสือร้ายเผ่นพรวดขึ้น

    อย่างรวดเร็ว สยายเล็บพุ่งมาอย่างดุร้าย ท่ามกลางเสียงร้องของทุกผู้คน

         ฟางเหวินหลงกระชับหอกยาวในมือ ขว้างออกด้วยความเร็วสุดเปรียบปาน เสียงหอกแหวกอากาศเป็น

    เสียง เฟี้ยว! ระคายหู

         ร่างของเสือดำขนาดใหญ่ ถูกหอกยาวเข้าที่กลางหน้าผาก ความรุนแรงของการปะทะ ทำให้ร่างของเสือ

    ร้ายกระเด็นไปข้างหลังอย่งไร้ทิศทางไปห้าเมตรจึงหยุดนิ่งลง

         เสือร้ายม้วนตัวสั่นริกๆอยู่กับที่ มีแต่ส่วนหางยาวเท่านั้นที่แกว่งวาดไปมาอยู่สองสามครั้ง แล้วก้อสงบนิ่งลง

         บรรดาผู้คนที่ตอนแรกยังตกตะลึงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ผ่อนลมหายใจที่สะกดกลั้นไว้ออกมา

    อย่างโล่งอก  ชั่วครู่ต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ พากันวิ่งกรูเข้ามาหาฟางเหวินหลงที่ยังยืนสงบนิ่ง

    อยู่เบื้องหน้าซากพยัคฆ์ร้าย

         หอกเจาะแสกหน้าของมันทะลุออกต่ำกว่าต้นคอเล็กน้อย!

         โจวหย่งเต๋อซึ่งมีชายสองคนพยุงแขนสองข้าง เดินช้าๆเข้ามากล่าววาจากระท่อนกระแท่นสองสามประโยค

    ฟางเหวินหลง ปกติยังฟังภาษาโบราณไม่ค่อยคล่อง ตอนนี้ฟังคำพูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง เนื่องจากได้รับบาด

    เจ็บของโจวหย่งเต๋อยิ่งมึนงงเหมือนตกอยู่ในหมอกควันหนาทึบ

         ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะตอบว่าอย่างไร  ซิงลี่จวินพอดีออกจากกระโจมมาถึงด้านหลังฟางเหวินหลง กล่าว

    วาจาตอบรับแทน ถือว่าช่วยตนไว้อย่างไม่ตั้งใจ

         กล่าวจบโจวหย่งเต๋อก้อถูกพยุงกายเดินไป ซิงลี่จวินไม่สนใจคนที่รุมล้อม ดึงมือฟางเหวินหลงเดินกลับไป

    ที่กระโจม ท่ามกลางสายตาที่มองดูด้วยความอิจฉากึ่งชื่นชมหลายสิบคู่

         พอทั้งสองเข้าไปถึงภายในกระโจม ซิงลี่จวินโถมเข้ามาโอบกอดฟางเหวินหลง ใช้ดวงตาดำขลับจ้องมองที่

    ใบหน้าของเขา แล้วกล่าวว่า

         "สวรรค์ ท่านกล้าหาญจริงๆ ข้าพเจ้าไม่เคยเจอบุรุษที่แข็งแรงเท่าท่านมาก่อนเลย"

         ฟางเหวินหลง ยื่นมือหนึ่งโอบเอว ประทับจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่มของนาง

         ซิงลี่จวินมีปฏิกิริยาตอบสนอง ยกมือโอบรอบคอของเขา ปราศจากท่วงท่าเขินอายแม้แต่น้อย

         ฟางเหวินหลงเชื่อแล้วว่า สตรีในยุคสมัยนั้นพอพบพานชายคนรัก ยังเปิดเผยจริงใจกว่าหญิงสาวใน

    ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอีก

         ซิงลี่จวินถอยห่างจากริมฝีปากของเขา ใบหน้าแดงซ่านสดใส กล่าววาจาเสียงอ่อนหวานว่า

         "ท่านลุงบอกท่านว่าคืนนี้ให้ท่านพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าจะขอให้ท่านเข้าไปพบท่าน"

         ฟางเหวินหลงรับว่าฟังเข้าใจแล้ว พานวางมือบนหน้าอกและตะโพกของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า

         "ขอเพียงแม่นางซิงยินยอมนอนพักเป็นเพื่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องพักผ่อนได้สนิทเป็นแน่"

         ซิงลี่จวินหัวร่อคิกออกมา เบียดอกอูมตูมเข้าหาทั้งยังบิดส่ายตะโพกสองครา กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

         "ปีศาจราคะ"

         ฟางเหวินหลงยิ้มพลางกล่าวว่า

         "ต่อหน้านางสวรรค์เช่นนี้ บุรุษทุกคนย่อมล้วนกลายเป็นปีศาจราคะ"

         ซิงลี่จวินแย้มยิ้มต่อคำหวานของฟางเหวินหลงอย่างพอใจ ส่งสายตาหวานเยิ้มปานน้ำผึ้งให้ เดินหมุนตัวอยู่

    เบื้องหน้าเขารอบหนึ่ง พลันปลดเปลื้องเสื้อผ้า เผยเห็นเรือนร่างขาวผุดผาดชวนละลานตาแล้วกล่าวว่า

         "สิ่งนี้สวยงามหรือไม่? บุรุษทุกผู้คนที่ข้าพเจ้าพบเจอล้วนชมชอบดูเรือนร่างของข้าพเจ้า"

         ฟางเหวินหลง ต้องสูดลมหายใจคำหนึ่ง กล่าวเป็นเชิงออกคำสั่งว่า

         "ท่านเข้ามา"

          ซิงลี่จวินโผเข้ามาในอ้อมอกของเขา ทางหนึ่งถอดเสื้อผ้าให้แก่เขา แล้วครวญครางว่า

         "ที่แล้วมามีแต่บุรุษร้องขอต่อข้าพเจ้า ครั้งนี้ข้าพเจ้าร้องขอต่อท่าน.....มาเถอะ"

         ฟางเหวินหลงตื่นมาอีกครั้งพบว่าซิงลี่จวินไม่อยู่แล้ว ภายในกระโจมเหลือเพียงตนนอนหลับอยู่ผู้เดียว

    จึงเดินออกมานอกกระโจม พบว่าตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

         ฟางเหวินหลงเห็นเป็นจังหวะเหมาะจึงรีบไปขุดเอากระเป๋าทรงกลมที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมา เมื่อมาถึง

    กระโจมก้อเปิดฝากระเป๋าออกตรวจดูสิ่งของภายใน พบว่าสิ่งของทุกอย่างยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

         'โชคเรายังดีที่อุปกรณ์พวกนี้ไม่มีชิ้นใดเสียหาย'

         มองจากภายนอกกระเป๋าใบนี้มีขนาดเล็กกว่าลูกฟุตบอลเล็กน้อย แต่ภายในคล้ายๆกับเป็นกระเป๋าสี่มิติจึง

    สามารถเก็บสิ่งของได้มากมายพอๆกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบหนึ่งทีเดียว

         ฟางเหวินหลงเห็นว่าตอนนี้ตนเองอยู่ว่างๆ มิสู้ทดลองใช้เครื่องมือเหล่านี้ดูว่าใช้การได้หรือไม่ นึกถึงตอนนี้

    บังเกิดความคึกคะนองขึ้น หยิบฉวยเอาแผ่นรองรองเท้าเหินบิน (power insole) อุปกรณ์นี้ใช้

    ใส่รองพื้นรองเท้า อาศัยหลักการต้านแรงโน้มถ่วง ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้ดุจวิหคบนท้องฟ้า

     

    ฟางเหวินหลงมองเห็นต้นไม้โบราณสูงร่วมสิบวาต้นหนึ่ง จึงคิดกระโดดขึ้นไป เพียงออกแรงกระโดดเบาๆก้อ

    บรรลุถึงกิ่งขวางที่อยู่สูงเกือบแปดวา จากนั้นเขาก้อกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นอย่างคล่องแคล่ว

         ลมพัดยะเยือกกวาดพัดผ่านพสุธา จันทร์ครึ่งซีกประดับนภาราตรี  โลกเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ดินแดนนอก

    เมืองยังรักษาความเป็นธรรมชาติอันลึกลับไว้ ด้านซ้ายมือของเขาเป็นบึงน้ำใสสะท้อนเงาจันทร์ราวกระจก

    แห่งหนึ่ง

         ฟางเหวินหลงค่อยมีจิตใจปลอดโปร่งกว่าเดิม ทิวทัศน์ที่ปรากฏแก่สายตา ยิ่งสร้างความลุ่มหลงแก่เขาผู้มา

    จากมิติของกาลเวลา ค่อยทราบว่าโลกอีกสองพันกว่าปีให้หลัง เกิดการทำลายล้างธรรมชาติจนผู้คนทนทาน

    ไม่ได้

         ฟางเหวินหลงโลดแล่นไปดุจกระรอกปราดเปรียว น้ำในบึงสีเขียวใสอยู่ท่ามกลางหมอกควันคลอเคล้า

    ฝั่งตรงข้ามเป็นขุนเขาเขียว ไผ่ขจีสนโบราณชอุ่มงาม

         เพียงชั่วเวลาไม่นานเขาพบว่าตัวเองออกห่างจากค่ายที่พักร่วมร้อยลี้ (50ก.ม.) แล้ว จึงคิดจะหันกายกลับ

    ไปที่ที่พัก

         แต่ระหว่างที่กำลังจะตัดสินใจหันกลับ เขาถูกหุบเขาอีกแห่งหนึ่งดึงดูดความสนใจไว้ ในหุบเขาปรากฏแสง

    ไฟจากคบเพลิงสว่างไสว เสียงฝีเท้าม้าและคนดังสับสน เขาจึงหมอบซุ่มตัวอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆห่างไปไม่กี่ร้อย

    ก้าว

         เขาชำเลืองมองพบเห็นคนเหล่านี้ล้วนหน้าตาดุร้าย หนึ่งในจำนวนนั้นนั่งตะหง่านบนหลังม้า ไว้หนวดเครา

    ดกหนา เขามองปราดเดียวก้อทราบว่าคนหลายร้อยคนนี้เป็นโจรภูเขา

         'โจรพวกนี้ล้วนดูดุร้าย มาตั้งค่ายที่พักใกล้ๆกับที่พักของเรา น่ากลัวจะไม่มีเจตนาดีเป็นแน่'

         ฟางเหวินหลงได้รับข่าวสารล้ำค่าโดยที่ไม่ได้คาดหมาย จึงโลดแล่นกลับไปที่พัก เมื่อกลับไปถึงที่พัก

    อีกครู่หนึ่งซิงลี่จวินก้อนำอาหารเข้ามาหา ทั้งสองกอดรัดกันตั้งแต่หัวค่ำพัวพันกันจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

         ฟางเหวินหลงผ่านคืนรัตติกาลที่สองในอดีตกาลไปอีกหนึ่งคืน.......

         ฟ้ายังไม่ทันรุ่งสางดี ซิงลี่จวินปลุกเขาให้ตื่นขึ้น พร้อมกับหยิบฉวยเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้

         "นี่เป็นเสื้อผ้าที่ผู้อื่นหยิบยืมมาแแล้วแก้ไขให้กับท่าน พอสวมใส่แล้วต้องน่าดูยิ่ง"

         พลางปรนนิบัติเขาสวมใส่เสื้อผ้า พบว่ามีขนาดพอดีกับรูปร่างเขากว่าเสื้อผ้าตัวเก่ามาก จากนั้นนำผ้า

    ผืนหนึ่งมาผูกรัดผมยาวเขา

         ฟางเหวินหลงมีรูปร่างสูงตระหง่านเกือบสองเมตร ผิวเป็นสีทองแดง ตาใหญ่คมกริบ ในกรอบลึกเป็น

    ประกายสดใส ผมหยักศกยาว ปรกท้ายทอย เมื่อใส่เสื้อผ้ารับรูปกับไหล่บ่ากว้าง เอวคอดกิ่ว ช่วงขายาว

    และกล้ามเนื้ออันบึกบึนของเขาแล้ว ทำให้เขาประหนึ่งเทพบุตรจากสวรรค์

         ซิงลี่จวินชมดูอย่างพินิจ จนตาเป็นประกาย แล้วบอกกับตัวเองว่า เขาไม่เคยเห็นบุรุษคนไหนมีรูปร่างและ

    ใบหน้าคมสันเท่าคนผู้นี้มาก่อนเลย

         "ข้าพเจ้าไม่เคยคาดคิดว่า ในโลกมีบุรุษที่น่าดูเช่นท่านมาก่อน"

          ฟางเหวินหลงติดตามซิงลี่จวินไปยังกระโจมใหญ่ตรงกึ่งกลางที่เป็นที่พักของโจวหย่งเต๋อ พบว่า

    โจวหย่งเต๋อนั่งคอยอยู่ภายใน สีหน้ายังคงซีดเซียวอยู่บ้าง

         เขาจับจ้องฟางเหวินหลงที่เดินตามซิงลี่จวินเข้ามา เมื่อเขานั่งเรียบร้อยซิงลี่จวินก้อล่าถอยออกไป

         "สหายน้อยช่วยชีวิตเราไว้ ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี?"

         ฟางเหวินหลง ประสานมือ กล่าวตอบว่า

         "เรื่องเพียงเล็กน้อย เทียบกับบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้ามิได้ ขอโปรดอย่าได้ใส่ใจ"

         โจวหย่งเต๋อพยักหน้าพอใจ แนะนำตัวเองว่า

         "ข้าพเจ้าโจวหย่งเต๋อ เป็นหัวหน้าผู้คุ้มภัยย่อยที่สิบสามของปศุสัตว์ม้าบิน ท่านกล่าวด้วยสำเนียงแปลก

    ประหลาด  ไม่ทราบว่าเป็นคนพื้นเมืองใด แล้วตกลงมาจากเบื้องบนได้อย่างไร?"

         ฟางเหวินหลงเตรียมคำพูดโป้ปดอยู่แล้วว่า

         "ข้าพเจ้าเป็นพรานล่าสัตว์อยู่ที่หุบเขาพยัคฆ์ เมื่อหลายวันก่อนข้าพเจ้าออกล่าสัตว์เผอิญเจอกับไฟป่า

    เพื่อเอาชีวิตรอดจึงกระโดดลงมายังหุบเหวเบื้องล่าง"

         โจวหย่งเต๋อเห็นฝีมือในการกำหราบเสือดำของฟางเหวินหลงแล้ว จึงไม่ได้สงสัยอันใด พยักหน้าเล็กน้อย

    แล้วพูดว่า

         "วันนั้นโชคดีที่น้องเราตกลงมาทับถูกโจรภูเขาที่เข้ามาปล้นสะดมเราพอดี ด้วยวิทยายุทธ์ของท่าน สามารถ

    ต้านศัตรูนับร้อย หากยินยอมเป็นผู้คุ้มกันข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ค่าตอบแทนอย่างงาม ไม่ทราบว่าท่านสนใจ

    หรือไม่?"  

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดว่าเงื่อนไขที่โจวหย่งเต๋อเสนอมาให้กับตนนั้นก้อไม่เลวอยู่ ประจวบกับว่าเขาเพิ่งมา

    ถึงอดีตกาลยังสบสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ถ้าติดตามคณะเดินทางนี้จะได้ทั้งประสบการณ์และเชยชิดหญิงงาม

    จึงตอบตกลง

         จากนั้นฟางเหวินหลงบอกเล่าเรื่องราวที่ได้พบกองโจรภูเขา โดยโป้ปดว่าก่อนที่จะตกลงมาจากหุบเขา

    ได้พบเจอโดยบังเอิญให้โจวหย่งเต๋อรับฟัง

         โจวหย่งเต๋อรับฟังจบ ใบหน้าเคร่งเครียดลง ชั่วครู่ค่อยกล่าวว่า

         "คราครั้งนี้ท่านเท่ากับช่วยชีวิตข้าพเจ้า ตอนนี้ปัญหาของเรามิใช่กองโจรเหล่านั้น แต่ในกลุ่มเราต้องมี

    ไส้ศึก"

         ฟางเหวินหลงผงกศีรษะกล่าวว่า

         "ตอนนี้เรื่องราวเร่งด่วนของเราคือหาไส้ศึกที่คอยส่งข่าวให้พบก่อน"

         โจวหย่งเต๋อส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวว่า

         "เรื่องนี้พูดง่าย แต่กระทำยากยิ่ง ในคณะเดินทางของเรามีจำนวนคนอยู่เกือบหนึ่งร้อยคน จะหาไส้ศึกคง

    จะเป็นไปได้ยาก"

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดชั่วครู่ ก้อหาวิธีหาไส้ศึกได้ จึงร้องโพล่งขึ้นว่า

         "ข้าพเจ้าหาวิธีได้แล้ว!"

         โจวหย่งเต๋อถามว่ามีวิธีการอันใด ฟางเหวินหลงตอบว่า

         "วันนี้ให้ท่านโจวเรียกประชุมทุกคนในกลุ่มของเรา แล้วบอกกับทุกคนว่าท่านรู้ว่ามีไส้ศึกอยู่ภายใน

     จากนั้นท่านให้ทุกคนเขียนชื่อของตัวเองมาใส่กล่องใบหนึ่ง"

          โจวหย่งเต๋อทำหน้างุนงงสงสัยว่าวิธีนี้จะหาไส้ศึกได้อย่างไร ฟางเหวินหลงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า

         "ขอเพียงท่านบอกต่อทุกคนว่ากล่องใบนี้เป็นกล่องวิเศษที่ข้าพเจ้าจัดหามา ถ้าใครเป็นไส้ศึกเมื่อนำ

    กล่องใบนี้มาเปิดดู ชื่อของคนผู้นั้นจะเลือนหายไป"

          โจวหย่งเต๋อถามต่อว่า

         "ท่านสามารถจัดหากล่องวิเศษใบนั้นได้จริงๆหรือ?"

         ฟางเหวินหลงหัวร่อฮาฮา แล้วตอบว่า

         "ข้าพเจ้าไม่มีกล่องเช่นนั้นหรอก เพียงแต่วิธีนี้เป็นการใช้จิตวิทยา ตอนนี้ทุกผู้คนเมื่อเห็นฝีมือที่ข้าพเจ้า

    จัดการเสือร้ายเมื่อวาน อย่างไรต้องเกิดความกลัวเกรงขึ้นบ้าง ขอเพียงท่านโจวบอกทุกคนว่ากล่องนี้เป็น

    กล่องของข้าพเจ้า

          คนที่กระทำความผิดต้องมีความกลัวเกรง จนไม่กล้าเขียนชื่อของตนเองลงไป เท่านี้เราก้อจะทราบว่า

    ใครคือไส้ศึกแล้ว"

         โจวหย่งเต๋อตื่นเต้นตระหนกต่อความคิดอ่านอันปราดเปรียวของฟางเหวินหลง ชมเชยว่า

         "ข้าพเจ้าดูท่านไม่ผิด ท่านไม่เพียงมีรูปลักษณะพิศดาร ยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม"

          ทั้งสองหัวร่อออกมาพร้อมกัน ฟางเหวินหลงอำลาออกมา ส่วนโจวหย่งเต๋อไปดำเนินการวิธีจับไส้ศึก     

     

     

     

     

     

     

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×