ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #68 : แวมไพร์ ( Vampire ) ตำนานผีดูดเลือด

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.31K
      6
      21 ธ.ค. 51



    แวมไพร์ (
    Vampire )

     

    สังคมแทบทุกสังคมรู้จัก ผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ โดยผีดูดเลือดปรากฎครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี นอกจากนั้นก็มีตำนานเกี่ยวกับผีดุดเลือดมากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดเช่นกัน

    มีประเทศหนึ่งที่มีผีดูดเลือดอยู่มากมายจนนักปราชญ์บันทึกไว้เป็นหลักฐานก็คือ ประเทศจีนสมัยโบราณ มีเรื่องเล่าขานอยู่อื้อถึงที่นักศึกษาชาวจีนไดพบปะเสวนากับผีดูดเลือดผู้ตายไปแล้วนานนมแต่ยังดูเหมือนมีชีวิตชีวาด้วยเลือดที่อาศัยจากเหยื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย

    ปลายศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาว ไอริช เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้าย ทารุณ แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปิศาจ


                   ในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (
    Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบเห็นศพและไม่ได้ถูกฝังตามพิธี  ผีดูดเลือดที่แท้จริงเป็นประเภทที่ฝรั่งเรียกว่า"TheUndead"หมายถึงคนที่ตายไปแล้วแต่ยังเคลื่อนไหวและล่าเหยื่อได้เหมือนคนเป็นๆและการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความดุร้าย น่าสะพรึงกลัว มักมีเขี้ยวแหลมยาว กัดคอเหยื่อได้แล้วไม่ยอมปล่อย จะดูดเลือดจนอิ่ม หรือจนกระทั่งเหยื่อตายคาเขี้ยวไปเลยทีเดียว


                    แต่ถ้าจะขุดค้นไปถึงต้นตอผีดูดเลือดจริงแล้ว จะพบว่า ตำนานผีดูดเลือดนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันเจริญขึ้นเมื่อเกือบ
    3,000 ปีก่อน ในตำนานกรีก มีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งชื่อ ลาเมียเอ (Lamiae ) เป็นสตรีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมักเที่ยวดูดเลือดเด็กเล็กๆจนตาย และยังชีพด้วยเลือดสดๆเช่นนั้นตลอดมา โรมันซึ่งรับอารยธรรมจากกรีก ก็มี " ลาเมียเอ " ของตนเหมือนกัน เมื่อโรมันแพร่อิทธิพลให้กับชาติอื่นๆ ต่างก็รับเอาตำนานผีดูดเลือด ลาเมียเอ นี้ไปโดยทั่วหน้า

    ในประเทศมาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ที่เรารู้จักกัน ประเพณีโบราณมักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้และบางประพณีก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน

    ที่อินเดีย ที่นี่ก็มีเรื่องเล่าลือและตำนานเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายแวมไพร์อยู่มากมาย เป็นต้นว่าภูต(Bhuta) วิญญานของคนที่ตายแบบผิดปกติชนิดวิญญาณยังสิงสู่อยู่ในร่าง ภูตเหล่านี้จะเดินท่อมๆไปตามถนนสายเปลี่ยวในยามค่ำคืน คอยทำร้ายและดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหา

    แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอินเดียเห็นจะได้แก่ Kali หรือเจ้าแม่กาลีนั่นเอง นางนับเป็นภาคหนึ่งของพระแม่ทุรคา กาลีมีรูปร่างที่ดุร้าย สวมสายสังวาลย์ที่ทำจากหัวกะโหลก เจ้าแม่กาลีนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดเรื่องราวของยิปซีแวมไพร์  แวมไพร์อีกชนิดหนึ่ง

    ส่วนคำว่า " ผีดูดเลือด " ที่ฝรั่งเรียกว่า แวมไพร์ ( Vampire ) ซึ่งที่จริงเป็นชื่อของค้างคาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่ดาษดื่นในทวีปอเมริกาใต้ มันมักกัดกินเลือด จากสัตว์อื่นที่ใหญ่กว่ามันจนตายไปคาที่ คำว่า แวมไพร์ มาจากภาษาฮังกาเรียนว่า Vampir อีกต่อหนึ่งและดินแดนฮังการี่นี่เองที่มีตำนานผีดูดเลือดโด่งดังกว่าที่อื่นในโลก เคาน์แดร็กคูล่าทั้งตัวจริงและตัวปลอมต่างก็มีถิ่นฐานบ้านเกิดในดินแดนทรานส์ซิลวาเนียใกล้เคียงกับฮังการี - รูมาเนีย นี้หละ

     

    โรคตื่นแวมไพร์ในศตวรรษที่ 18


                    ตำนานแวมไพร์เป็นที่คุ้นเคยกับซีกโลกต่างๆมานมนาน แต่เชื่อมั๊ยครับว่าอังกฤษเพิ่งรู้จักแวมไพร์เอาเมื่อศตวรรษที่
    18 นี้เอง ช่วงนั้นโรคกลัวแวมไพร์ระบาดหนักในยุโรปตะวันออกลามมาถึงอังกฤษ ชาวบ้าชาวช่องกลัวกันมาก ขนาดเดินไปไหนมาไหนยังต้องมีพวงกระเทียมแขวนคอไปด้วย มีการโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มผู้นำว่าเรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ และควรใช้นโยบายใดทำให้บ้านเมื่องสงบลง สมัยนั้นการสื่อสารยังไม่เจริญนัก แต่ก็น่าแปลกที่ข่าวลือกระจายข้ามประเทศอย่างรวดเร็ว บางเรื่องก็เป็นตลกร้ายที่เหลือเชื่อเอามากๆ เช่นกองทัพแวมไพร์บุกเข้าพระราชวังในฮังการเล่นงานจนทหารและคนในวังเป็นแวมไพร์กันหมด แม้แต่ข่าวที่ว่าพระราชวังเครมลินเต็มไปด้วยแวมไพร์ก็ยังมีออกมา ของแถมที่มากับข่าวลือก็คือการออกล่าแวมไพร์ มีคนถูกย่างสดไม่เว้นแต่ละวันในข้อหาเป็นแวมไพร์ หลายรายถูกทรมานอย่างทารุณก่อนเอาลิ่มตอกอก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวแวมไพร์ของชาวยุโรปได้เป็นอย่างดี

    ผีดูดเลือดนั้นตามตำนานและนิยายต่างๆไม่มีทางป้องกันได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็อาจหาทางกำจัดได้ด้วยกรรมวิธีดังต่อไปนี้ตามหาหลุมศพผีดูดเลือดนั้นให้พบ ผีดูดเลือดจะกลับหลุมก่อนฟ้าสว่างเพราะมันกลัวแสงแดด เมื่อพบศพนอนอยู่ในหลุม ก็ให้ใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมแทงทะลุอกในครั้งเดียว คือจะแทงซ้ำแทงซ้อนกันไม่เกิดผล ผีดูดเลือดจะไม่ตายสนิทเมื่อแทงอกทะลุหัวใจแล้วยังไม่พอ ต้องเอากระเทียมยัดปากศพ แล้วตัดหัวให้ขาดในแบบเดียวด้วย นับเป็นการกำจัดผีดูดเลือดคืนชีวิตอย่างเด็ดขาด เสร็จสรรพแล้วก็เผาเสียให้สิ้นซากไปเลย

    ว่ากันว่า ผีดูดเลือดซึ่งมักเป็นฝรั่งนั้น กลัวสิ่งของอยู่หลายอย่างเหมือนกัน ที่กลัวมากที่สุดคือไม้กางเขน ข้าวเกรียบศักดิ์สิทธิ์และดอกกระเทียม คนที่กลัวผีประเภทนี้จึงแขวนช่อดอกกระเทียมไว้ตามประตูหน้าต่างบ้าน

    แต่สิ่งที่ทำลายผีดิบได้ฉกาจฉกรรจ์อีกอย่างนอกจากมือคนที่จะตอกไม้แหลมเข้ากับอกมันแล้ว ได้แก่แสงแดด ซึ่งจะทำให้มันมอดไหม้เป็นจุณไป หรือสายน้ำไหลก็ทำให้ผีดุดเลือดสิ้นฤทธิ์

     

                    เรื่องเล่าขาน

     

    เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับผีดูดเลือดที่เป็นเรื่องจริงในอดีตมีหลายเรื่องครับ เท่าที่หามาพอที่จะเชื่อถือกันได้ มีดังต่อไปนี้

    เหตุการณ์แรก เกิดขึ้นช่วงกลาง ค.ศ. 1700 ปีเตอร์ โปลโกโจวิทช์ ชาวไร่ชาวเซอร์เบียอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านกิสิโลวาแห่งตำบลราห์น เสียชีวิตลงเมื่ออายุ 62 ปี โดยไม่ทราบสาเหตุเสยชีวิตแน่ชัด หลังจากที่ฝังศพเขาได้นานสิบอาทิตย์ ชาวบ้านก็เห็นโปลโกโจวิทช์ปรากฏกายขึ้นในยามค่ำคืน บรรดาผู้คนที่ได้พบเห็นเขากล่าวว่าเขาบุกรุกเข้าถึงเตียงนอนและทำร้ายเหยื่อ โดยภายในเวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็มีผู้ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตถึงเก้าคน หลังจากนั้นภรรยาของปีเตอร์ โปลโกโจวิทช์ก็บอกว่าเขาเคยมาพบเธอและร้องขอร้องเท้าจากเธอ(เป็นความเชื่อของยุโรปว่าผีดูดเลือดแม้ตายแล้วยังมีกิเลสและยึดติดกับทรัพย์สมบัติอยู่) ภรรยาของเขาหวาดกลัวแล้วเผ่นหนีออกจาหมู่บ้านทันที ผลสุดท้ายชาวบ้านทนไม่ไหวจึงลงมิติขุดศพของนายโปลโกโจวิทช์ขึ้นมาเพื่อทำลายให้สิ้นซากเสียเลย

    เมื่อชาวบ้านขุดศพขึ้นมา ชาวบ้านต่างตะลึงเมื่อศพไม่ส่งกลิ่นเน่าออกมาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งสภาพศพก็ไม่เน่าเปื่อย นอกจากบริเวณจมูกและผิวด้านนอกของร่างกาย ที่น่าแปลกคือเกิดผิวหนังใหม่เข้ามาแทนที่ผิวด้านนอกที่เปื่อยหลุดออก(ประมาณคล้ายงูลอกคราบ) เล็บของเขาหลุดออกก็ปรากฏเล็บอ่อนที่กำลังงอกขึ้นมาใหม่เช่นกัน และบริเวณปากของเขาก็มีเลือดไหลซึมเป็นทาง

    ชาวบ้านรีบจัดการทำลายผีดูดเลือดตนนี้ ดดยการใช้ตอกแท่งไม้แหลมทะลุผ่านหัวใจ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างยืนยันว่ามีเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมามากมาย หลังจากนั้นชาวบ้านก็เผาศพทันที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผีดูดเลือดก็ไม่มาทำร้ายชาวบ้านอีกเลย

                   

    เรื่องที่สอง อาร์โนลด์ โพล (Arnold Paole) หนุ่มร่างกำยำล่ำสัน เป็นทหารที่เข้าประจำหมู่บ้านเมดูเอ็นยาหมู่บ้านแถบกอสโซวา (เตอร์กิชเซอร์เบีย ค.ศ.1729) (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) แต่ในระหว่างทางเขาถูกทำร้ายโดยผีดูดเลือดระหว่างทางเสียก่อน

    เมื่ออาร์โนลด์ถูกผีดูดเลือดกัดคอหอยจนบาดเจ็บ เขารู้สึกเจ็บแค้นผีดูดเลือดตัวนั้น จึงหาวิธีกำจัด โดยเดินทางไยังสุสานที่ฝังศพผีดูดเลือดและทำพิธีแก้อาถรรพน์ โดยขุดศพผีดูดเลือดข้นมา เจาะเลือดของมันชโลมกาย และกินดินหลุมศพของมันเข้าไป

    แต่ผลสุดท้ายนายอาร์โนลด์ก็ไม่พ้นความตายได้ เมื่อวันหนึ่งเขาได้ขับเกวียนเข้าไปในไร่ แล้วเกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากเกวียน ศีรษะพาดพื้นอย่างแรงตายคาที่

    หลังจากอาร์โนลด์ตายแล้ว ก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เมื่อมีผู้พบเห็นนายอาร์โนลด์ออกมาตะเวนไปตามที่ต่างๆ ด้วยร่างกายแข็งทื่อ เขียวคล้ำทั้งตัว

    ชาวบ้านต่างหวาดผวา อาร์โนลด์ผีดูดเลือดที่ออกจากหลุม ตระเวรหาเหยื่อไปเรื่อย ผลคือทำให้ชาวบ้านเคราะห์ร้ายต้องเอาชีวิตสังเวยถึงสี่คน จนชาวบ้านไม่กล้าออกไปนอกบ้านยามค่ำคืน

    เมื่อมีคนตายในลักษณะถูกกัดคอหอยแหอะหวะถึงสี่คนนี้ ชาวบ้านก็ทนไม่ไหวจึงรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วยกโขยงไปในสุสานประจำหมู่บ้านจัดแจงขุดศพอาร์โนลด์เพื่อขึ้นมาพิสูจน์ความจริง

    ครั้นแล้วทุกคนต้องผงะ และตกใจกลัวกับภาพทีอยู่ตรงหน้าเมื่อซากศพอาร์โนลด์ยังเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด ที่มุมปากมีเขี้ยวยาวแหลมคมงอกออกมาด้วย และมีเลือดที่ปากไหลเป็นทางยาว

    และเมื่อแสงแดดจัดจ้าส่องเข้ามาในโลงศพ อาร์โนลด์เบิกตากว้างรีบพลิกตัวหลบแดดทันที

    ชาวบ้านก็ไม่รอช้า ต่างเฮโลขุดศพผู้ตกเป็นเหยื่อผีดูดเลือดอีกสี่ศพมาด้วยแล้วช่วยกันเอาไม้เสี้ยนปักอก ใช้ค้อนตอกจนมิด เลือดสดๆ ทะลึกออกมากลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว ผีดิบทั้งห้าบิดกายอย่างเจ็บปวด ส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนที่สงบนิ่งไป

    เมื่อผีดูดเลือดสงบ ชาวบ้านก็ตัดหัวเอากระเทียมยัดปาก และเผาศพจนมอดไหม้เป็นขี้เถ้า

    แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ อีกหกปีต่อมาหมู่บ้านเมดูเอ็นยาก็ประสบกับเหตุการณ์สยอดสยองอีกครั้ง เมื่อมีชาวบ้านหลายคนตายโดยปราศจากสาเหตุ

    เมื่อทางการทราบข่าวจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจข้อเท็จจริงเหล่านี้ร่วมกับชาวบ้าน และเมื่อขุดศพขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ก็พบว่าศพแต่ละศพล้วนมีเลือดฝาด มีเขี้ยวงอกยาวที่มุมปาก และมีเลือดแห้งกรักติดอยู่

    และชาวบ้านก็ทำจากศพทั้งหมด 16 ศพตามกรรมวิธีของนายอาร์โนลด์ ผลสรุปเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเมดูเอ็นยาสรุปว่า ผีดูดเลือดอาร์โนลด์นอกเหนือจากล่าคนแล้วยังจับสัตว์มาดูดเลือดอีกด้วย และทิ้งซากเอาไว้

    และเมื่อชาวบ้านพบซากสัตว์ดังกล่าวจึงนำไปทำอาหาร และได้รับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นผีดูดเลือด แพร่เชื้อออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ

     

    ปี ค.ศ.1763นักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) บันทึกว่า ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็น แวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม

     

    เรื่องที่สาม ในปี 1970 - 1980 นี้เอง ที่เมือง มานอส ประเทศ บราซิล มีผู้พบศพเด็กอายุประมาณ 10 ขวบคนหนึ่งนอนตายอยู่ในเวลาพลบค่ำ ก่อนพบศพเด็กคนนั้นพยานได้เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินจ้ำออกไปอย่างลุกลี้ลุกลนเจ้าหล่อนผู้นั้นผิวขาวสวยผมสลวยลงเคลียไหล่ แต่งกายด้วยกระโปรงชุดมินิสเกิ๊ตสีอ่อน และสวมถุงน่องสีดำเมื่อหล่อนลับตัวไปแล้วพยานจึงเข้าไปพบศพเด็กชายคนนั้นอยู่ข้างพุ่มไม้ทึบ สิ้นใจแล้วแต่เนื้อตัวยังอุ่นอยู่ ตรงลำคอมีรอยรูเล็กๆ 2 รู ตรงจุดที่เป็นเส้นเลือดใหญ่พอดี สันนิษฐานว่าคงถูกกัดเจาะด้วยเขี้ยวแหลมคมเหมือนเขี้ยวสัตว์ต่อมาก็เกิดคดีเด็กเสียชีวิตแบบนี้อีก 2 - 3 รายทุกรายล้วนแต่มีผู้พบเห็นสตรีสาวในชุดมินิสเกิ๊ตป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยทั้งนั้น จึงโจษขานกันไปต่างๆนานาบ้างก็แจ้งความให้ตำรวจจับ ซึ่งตำรวจก็ไปซุ่มด้อมๆมองๆตามที่ซึ่งคิดว่ามีผีดูดเลือดสาวสวยจะไป แต่ก็ปราศจากผล

    จนกระทั่งคืนหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นไปบนโรงพักกุมลำคอที่โชกเลือดไปให้ดูด้วยว่ามันมีรูเล็กๆเหมือนเขี้ยวสัตว์ 2 รูที่นั่นเลือดไหลรินออกมาไม่หยุดชายหนุ่มเล่าว่าเขาได้พบสาวสวยคนหนึ่ง และ แต่งชุดมินิสเกิ๊ตเดินอยู่ชายหาดเจ้าหล่อนชายหูชายตาให้เขาอย่างเป็นนัยๆ ชายหนุ่มก็เลยเข้าไปผูกสัมพันธ์ด้วยจนกระทั่งถึงขั้นกอดรัดในความมืดแต่ทันใดนั้นเอง" ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ " ชายหนุ่มเคราะห์ร้ายเล่า " ทำให้นึกถึงเรื่องผีดูดเลือดขึ้นได้จึงสะบัดเต็มแรงจนผู้หญิงคนนั้นผงะไปผมเห็นหล่อนอ้าปากกว้างมีเขี้ยวแหลมยาวสองซี่เปรอะเลือดของผมแดงเถือก เห็นเท่านั้นผมก็ตกใจเกือบสิ้นสติ รีบสะบัดจนหลุดแล้ววิ่งมานี่หละครับ "คราวนี้ตำรวจยกกำลังไปที่ชายหาดนั้นทันทีแต่ไม่พบร่องรอยสาวสวยผีดูดเลือดคนนั้นเลยแม้แต่เงาจนป่านนี้ก็ยังหาตัวไม่ได้ แต่คดีคนถูกดูดเลือดจนตายไม่เกิดขึ้นอีกแล้วจึงเข้าใจว่า แวมไพร์ ตัวจริงคงหลบหนีไปหาเหยื่อที่อื่นห่างไกลออกไป

     

    จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหลและน่าหวาดกลัวมีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัย แวมไพร์ ใน นิวยอร์ก ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ แวมไพร์ ใน ยุโรป และ อเมริกา อีกด้วย

     

    แล้วแท้ที่จริงมันคืออะไรละ?


                   ความจริงแล้ว อาการกระหายเลือดที่ปรากฏกับคนยุคนั้นสามารถอธิบายได้ในเชิงวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์ แต่เนื่องจากในสมัยนั้นวิทยาศาสตร์ยังล้าหลังและยังมีความเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจอยู่ จึงไม่มีใครโต้แย้งว่า "ผีดูดเลือดไม่มีจริง แต่มันเป็น.......

    นักจิตวิทยาก็พยายามศึกษาค้นคว้าว่าทำไมจึงเกิดมีตำนานเกี่ยวกับผีดูดเลือดแวมไพร์ขึ้นในโลก จนในที่สุดก็ลงความเห็นน่าจะเกิดจากสมัยดึกดำบรรพ์ที่คนเราเพิ่งเริ่มพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์นั่นเอง คนสมัยนั้นนิยมกินเนื้อคนด้วยกัน อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า"แคนนิบาลิสม์"Cannibalism" ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านเลยไปแต่สัญชาติญาณดึกดำบรรพ์ที่ป่าเถื่อนนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในสันดานของคนบางคนอย่างถอนไม่ออกสัญชาติญาณป่าเถื่อนนี้จึงแสดงออกมาในรูปของความโหดร้ายทารุณ ฆ่ากันแล้วดื่มเลือดกัน เป็นต้น การรักษาพยาบาลคนประเภทนี้ต้องรักษาทางจิต ซึ่งก็มีน้อยรายนักที่จะหายได้

    ประเพณีทางศาสนาเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดผีดูดเลือดทางอ้อมขึ้น กล่าวคือ ศาสนาเก๋าต่างๆ มักเกี่ยวข้องกับความโหดร้าย เช่นพวกอินเดียนแดงในแถบอเมริกาใต้และอเมริกากลางบางพวก นิยมเชือดคอเหยื่อเอาเลือดเซ่นสังเวยเทวรูป

    พวกฮินดูโบราณก็เหมือนกัน มักเชือดคอสัตว์เป็นๆสังเวยเจ้าแม่กาลีหรือเจ้าแม่ทุรคาอยู่เสมอ มีวิหารแห่งหนึ่งในอินเดียที่เซ่นสังเวยเจ้าแม่กาลีชนิดไม่ยอมให้เลือดแห้งที่บูชาเลยทีเดียว การบูชาเทวดาแบบนี้หละทำให้คนคุ้นเคยกับเลือด และเห็นว่าเป็นของวิเศษของเทวดา หากมนุษย์ได้เสพเข้าบ้างอาจเก่งกาจเหมือนเทวดาก็ได้ บางคนจึงลองดื่มเลือดดู จึงก่อให้เกิดนิยายผีดูดเลือดขึ้น เป็นต้น

    คนแทบทุกคนมีแนวโน้มจะกลัวผีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจด้วยกันทั้งนั้นเมื่อพบเห็นความผิดปรกติบางอย่างของคนด้วยกัน ก็มักเอาไปโจษขานต่อเติมเสริมแต่งให้กลายเป็นเรื่องผีที่น่าสะพรึงกลัวใหญ่โตเช่น คนบางคนฆ่าเพื่อนตายแล้วกินเลือดไปบ้างเช่นนี้ แทนที่จะพิจารณาว่าบุคคลนั้นมีความวิปริตทางจิต ก็ลงความเห็นว่าเขาเป็นผีดูดเลือดหรือผีดิบเข้าไปเลย เสียงเล่าลือเกี่ยวกับผีดูดเลือดจึงกระฉ่อนไปทั่วโลกจนถึงเดี๋ยวนี้ แม้ในปัจจุบันอันเจริญเต็มที่ด้วยวิทยาการทันสมัย ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่เชื่อถือในเรื่องผีดูดเลือดอาละวาดอยู่เสมอ จนเป็นข่าวหนังสือพิมพ์เกรียวกราวเกี่ยวกับการล่าผีดูดเลือด

     

    ปี ค.ศ.1982 ศาสตร์จารย์เดวิด ดอลฟิน ได้ชี้ว่าบุคคลเหล่านี้อาจป่วยเป็นโรคเลือดโดยกำเนิด คือความบกพร่องในเซลเม็ดเลือดและขาดธาตุเหล็ก อาการเหล่านี้ขนานนามว่า "โรคแดร็กคิวล่า" ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีร่างกายอ่อนแอ แพ้แสงแดดอย่างรุนแรงถึงขั้นปวดแสบปวดร้อนและมีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง เพื่อเลี่ยงอาการเหล่านี้คนเหล่านั้นจึงมักปรากฏกายในยามค่ำคืน และนอกเหนือจากอาการป่วยทางผิวหนังแล้ว โรคนี้ยังส่งผลให้เหงือกของผู้ป่วยหดรัดตัวเข้าไปและมีฟันยืนออกมา ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จึงมีรูปร่างลักษณะและอุปนิสัยคล้ายผีดูดเลือด

    ความจริงที่น่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งก็คือกระเทียมจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการทำลายเม็ดเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในร่างกายผู้ป่วย

    สรุปง่ายๆ ก็คือผู้ป่วยโรคนี้ไม่ถูกกระเทียมนัก!!

     

    (ต่วยตูน)

    http://members.thai.net/myth/dark/vampire_1.htm

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×