คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #50 : รากษส (There giants) ยักษ์มีจริงหรือ?
รากษส (There giants)
เรื่องราวที่นำมาตีแผ่แฉความตามท้องเรื่องครั้งนี้ มิใช่เรื่องจากจิตนาการหรือเทพนิยายรามเกียรต์ มิใช่เรื่องของสัตว์ประหลาดอย่างเช่น ไอ้ตีนโต (Big Foot) เยติ (Yeti) หรือมนุษย์หิมะ มิใช่เรื่องของลิงยักษ์ มนุษย์วานร (Ape Man) หรือซูเปอร์แมน และไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตำนานยักษ์วัดแจ้ง ท้าตีกับยักษ์วัดโพธ์แถวๆ ท่าเตียน
.
หากแต่ว่ามันเป็นเรื่องปริศนาทางข้อมูลประวัติศาสตร์โบราณคดีเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต อะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่มีร่างกายใหญ่โต พอๆกับยักษ์วัดแจ้งมันอาจเป็นมนุษย์โลกสมัยดึกดำบรรพ์พันธุ์หนึ่ง หรืออาจเป็นอมุษย์พวกหนึ่งก็มิทราบได้ มันอาจเป็นลูกหลานของมนุษย์หินโบราณตระกูลไจแกนโตพิธิคัส (Gigantopithecus) หรืออาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันนี้ก็ได้ คำอธิบายที่แน่นอนยังคงเป็นความลี้ลับของ มิติภพแห่งนี้อยู่
ไม่ว่ามันจะเป็น มนุษย์แต่มีขนาดใหญ่กว่าจึงต้องเรียกมันว่า "รากษส" เพื่อให้แปลกและดูเป็นปริศนาน่าตื่นเต้นเท่านั้นแหละครับ
ลองไปถามใครๆดูก็ได้ว่ารู้จัก "ยักษ์" หรือ "รากษส" บ้างไหม? รับรองว่า 80 % ของคนที่อ่านออกเขียนได้ทั่วโลกจะต้องตอบว่า "รู้จัก" แต่คงมีไม่ถึง 1 % ที่จะบอกว่าเคยเห็น
สำหรับคนไทยนั้นไม่ต้องพูดถึง เราคุ้นเคยกับความหมายของคำว่า "ยักษ์" กันดีทุกคน และส่วนใหญ่คงเคยเห็นรูปปั้นยักษ์ตามวัดหรือไม่ก็ในรูปภาพเรื่องรามเกียรติ์ แต่ท่านอาจแปลกใจถ้าจะบอกว่าคนเราแทบทุกชาติในโลกนี้ ต่างเคยรู้เรื่องหรือมีเรื่องเล่าในเชิงเทพนิยายตำนานอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับยักษ์ทั้งนั้น
อย่างนี้แล้วไซร้ลองคิดกันดูที่ว่าเรื่องของยักษ์มันมีความเป็นจริงมากน้องเพียงใด หรือว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกโม้แต่งกันขึ้นมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องที่แต่งยกเมฆขึ้นมาแล้วไซร้ ทำไมชนชาติต่างๆเกือบทั่วโลก จึงมีเรื่องของยักษ์คล้ายกันหมด คนทั้งโลกจะคิดยกเมฆโม้โกหกเรื่องเดี่ยวกันนี้ได้คล้ายกันนั้นเชียวรึ ? หรือว่าเรื่องของยักษ์ ซึ่งหมายถึงมนุษย์หรืออมนุษย์ที่มีร่างการใหญ่โตมีตัวตนอยู่จริงๆในอดีตกาล และบรรพบุรุษของเราสมัยดึกดำบรรพ์ เคยเผชิญหน้ากับพวกยักษ์หรือรากษสแล้วจึงนำมาเล่าให้ลูกหลานฟัง หรือสืบต่อกันมาเป็นเรื่องนิยาย โกหกยกเมฆกันไปฉิบ
เรามาลองวิเคราะห์ดูทีเป็นไง
จากตำนานเชื่อถือได้ ซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของโลกคือ พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า ในบทของเจนีซิส (Genesis '6:4') ก็มีใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
"There were giants in the earth in those days;
." ซึ่งแปลได้ความว่า แต่ก่อนโน้นเคยมียักษ์อาศัยอยู่บนโลกของเรานี้เช่นกัน
อย่างนี้พอจะใช้เป็นข้อยืนยันได้หรือไม่ว่ารากษสนั้นเคยมีอยู่จริงในสมัยดึกดำบรรพ์
ในประเทศอังกฤษนั้น มีนิยายปรัมปราอยู่มากมายที่กล่าวถึงรากษสและแถมมีการเสริมทับให้เห็นจริงด้วยหลักฐานทางโบราณวัตถุมากมาย เป็นสิ่งก่อสร้างประหลาดๆที่มีขนาดใหญ่โตและยังไม่มีนักโบราณคดีหน้าไหนสามารถอธิบายให้เจ๋งๆได้เลยว่าสิ่งก่อสร้างมหึมาแปลกประหลาดเหล่านี้นั้นใครเป็นคนสร้าง สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด และสร้างไว้ทำไม อย่างเช่น กองหินประหลาดที่มีฉายานามบันลือโลกว่า "สโตนเฮนจ์" (
พูดง่ายๆก็คือ ใครเป็นผู้สร้างตั้งแต่สมัยไหน อ้าว
.ไม่รู้แล้วทำไมตอบได้หล่ะว่าไม่ใช่ยักษ์เป็นผู้สร้าง
นอกจากตัวอย่าง สโตนเฮนจ์ดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ พวกรอยแกะสลักมหึมาตาม พื้นหินตามหน้าผาของภูเขาและเนินหืนเนินเขาหลายแห่ง มีรูปร่างเป็นวงโค้งกว้างใหญ่หรือไม่ก็เป็นรูปมนุษย์ขนาดมหึมาทำท่าอะไรบางอย่างที่คนรุ่นหลังดูไม่ออก แต่พวกชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีถิ่นกำเนิดสืบต่อกันมาชั่วลูกชั่วเหลนในแถบนั้นมีเรื่องเล่าปรมปราสืบทอดกันมาว่า สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาพิสดารเหล่านี้เป็นฝีมือ ของพวกยักษ์ในสมัยโบราณทำเอาไว้ตอนรับการมาของเทพเจ้าของเขาครับผม
สิ่งก่อสร้างบนพื้นหินในทำนองนี้มิใช่จะมีอยู่แต่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ในแถบอเมริการเหนือและอเมริกาใต้ก็มีเหมือนกัน แถมยังมีโบราณสถานที่สร้างด้วยหิน แต่มีขนาดสแกลที่ใหญ่ผิดปกติอีกจำนวนมากมายหลายพันแห่ง มีทั้งวิหารที่มีประตูและหน้าต่างขนาดใหญ่ ใหญ่เกินความเหมาะสมสำหรับคนธรรมดา มีทางลาดและขึ้นบันไดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถก้าวขึ้นได้ทีละก้าว และที่น่าพิศวง ก็คือมีการแกะสลักหินเอาไว้เป็นแท่นลักษณะคล้ายที่นั่งหือเก้าอื้ แต่ก็มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะขึ้นไปนั่งได้ ต้อนปีนขึ้นไปนั่งถึงจะนั่งได้.
สิ่งก่อสร้างมหึมาสแกลผิดปกติเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาของที่มาและวัตถุประสงค์ และยังคงลี้ลับสุดก้นบึ้งก็คือไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง
แต่ที่พวกนักโบราณวิทยา ส่ายหน้าไม่ยอมเชื่อก็คือ คำบอกเล่าปรัมปราที่เล่าสิบทอดกันมาในหมู่ชนพื้นฐานโบราณ ที่ยังคงอาศัยอยู่ในแถบนั้นพวกเขาบอกว่า
"นั่นคือเมืองของพวกยักษ์ ซึ่งกาลครั้งกระโน้นเคยมีอำนาจรุ่งเรื่องอยู่ในแถบนั้น"
เป็นไงครับ หลักฐาน กล่าวอ้างยกมาให้คิดกันเล่นๆแค่นี้ยังคงไม่เป็นไรนะครับ คราวนี้มาดูรายงานจากหนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุชื่อ "History and Antiquities of Afterdate" ของอังกฤษมีรายงานแปลกๆซึ่งน่าเชื่อถือได้อยู่คอลัมน์หนึ่งกล่าวถึงการค้นพบสิ่งแปลกประหลาดมนประเทศอังกฤษเป็นประวัติการค้นพบเกิดขึ้นในสมัยกลาง (Middle Ages) มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า
"ในการขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ (
ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่า มีหัวกระโหลก หน้าผากกว้างถึง
"ปัจจุบันนี้เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพ ได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของมิสเตอร์แซนด์แห่งเรดิงตัน (Sand's of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ได้ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อมิสเตอร์ไวเบอร์ แห่งเซนท์บีส์ (Wyber's of St.Bees)
."
นี่แหละครับ รายงานเก่าแก่ฉบับแรกจากสมัยแรกจากสมัยยุคกลางในอังกฤษ โครงกระดูกมนุษย์ขนาดสูง
อ้อลืมบอกไปตามหนังสือเข้าบอกไว้ด้วยว่า ชิ้นส่วนต่างๆของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้นถูก พวกนักสะสมของเก่า หรือของแปลกๆแย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกันอีกเลยหล่ะครับ
รายงานอีกชิ้นหนึ่ง เป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ (Dr.Mazurier) เขียนบันทึกเอาไว้เป็น "แพมเฟลต" (pamphlet) หรือเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า
"
.มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ (Chaumont) ในอังกฤษ ในสุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกระโหลกถึงปลายเท้าวัดได้
ในรายงานกล่าวว่า ดร.มาซูริเออร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไป ขายในตลาดมืด ของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Mus'ee de Pale ontologie ในกรุงปารีส
เอ้า
ใครไม่เชื่อลองไปดูเอาเองก็แล้วกันนิ
ลองย้อนรอยถอยกลับไปค้นหาบันทึกเก่าแก่สักฉบับเป็นไง คราวนี้เป็นบันทึกจากปูมเรือแมกเจลแลน สมัยปี พ.ศ. 2063 ในบันทึกกล่าวว่า
"
.ในเดือนมิถุนายน ของปีพ.ศ. 2063 กองเรือสำรวจทวีปแมกแจลแลนได้แล่นเรือใบเข้าสู่ฝั่ง
.(ปัจจุบันคือบริเวณชายฝั่ง "Port San Julian" ในประเทศอาเจนติน่า)
.ปรากฏมีมนุษย์ตัวโตยีนอยู่ริมหาดเป็นพวกคนป่าที่มีความสูงใหญ่มาก ถ้าวัดเทียบขนาดกับพวกเรา พวกเราคงสูงแต่เอวของมนุษย์พวกนั้น (พวกลูกเรื่อแมกแจลแลนมีความสูงเฉลี่ย
ไงครับกระผม พอเห็นแนวโน้มริยังว่ารากษสมั้นมีจริง หรือมีความเป็นไปได้จริงแท้แค่ไหน ?
.
นอกจากบันทึกโบราณจากปูมเรือแมกแจลแลนแล้วยังมีบันทึกปูมเรื่องที่น่าสนใจอีกฉบับหนึ่งเป็นบันทึกจากการเดืนเรื่อของคณะสำรวจทวีปใหม่โดยหัวหน้าคณะชื่อ คอมโมดอร์ ไบรอน (Commodore Byron) ซึ่งเป็นกัปตันอาวุโสของกองเรือดอลฟิน (Dolphin) ได้ออกปฏิบัติการสำรวจดินแดนในแถบช่องแคบแมกแจลแลน ในปีพ.ศ.2307 และได้พบกับคนพื้นเมือง ที่มีรูปร่างใหญ่โตมหึมา ผิดมนุษย์มนาเข้าอย่างจัง กัปตันไบรอนได้บันทึกลงในสมุดปูมเรือสำรวจมีใจความตอนหนึ่งว่า
.
"คนหนึ่งในพวกนั้น ซึ่งตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นหัวหน้าเผ่า ได้ตรงรี่มาหาข้าพเจ้า ซึ่งเดินนำหน้าคณะลงจากเรือบดขึ้นมาบนหาดทรายถึงชายป่าละเมาะพอดี
เขามีโครงร่างใหญ่โตมหึมาจริงๆ เขาสวมหนุงสัตว์บางชนิดพาดคาด คลุมไหล่ห้อยลงมใาปิดถึงต้นขา มีเชือกมัดคาดเอว
..ข้าพเจ้าไม้ได้วัดขนาดรูปร่างของเขาแต่ประมาณการเทียบกับตัวข้าพเจ้าซึ่งสูง
บันทึกของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เป็นนักเดินทางสำรวจธรรมชาติ นักสัตว์ศาสตร์ และนักมนุษย์วิทยา ตัวยง ของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการจดบันทึกแบบ "แพมแฟลต" (สมุดจดย่อเล็ก ๆ ) ส่วนตัวของเขา ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งในบันทึก ขณะที่เขาได้เดินทางไปสำรวจดินแดนแถว ๆ แหลม เกรกอรี (
ยังครับ ยังมีหลักฐานการค้นพบ ราษสจริง ๆ อีกเยอะแยะที่สามารถนำมาตีแผ่นอนยันกันได้ ... ในปี พ.ศ. 2512 นักโบราณคดีขาวอิตาเลี่ยน ได้ขุดพบสุสานรากษส ซึ่งมีโครงกระดูกอยู่ 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโรงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผา ซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใด ๆ ไว้ให้เห็นเลย ขุดพบอยู่ในบริเวณตำบล Terracina อยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ
"โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า
และยังมีตำนานของพวกอินเดียแดงในอเมริกาอีกเผ่าหนึ่งซึ่งเป็นเผ่าที่เก่าแก่มาก อยู่ทางเหนือ พวกนี้คือ เผ่า Sioux Indian จากหนังสือประวัติศาสตร์ชื่อ Ohio Historical and Archaelolgical Society Vol.2 ได้กล่าวถึงตำนานที่เล่าสืบถอดกันมาแต่โบราณว่า
"บรรพบุรุษเคยอาศัยอยู่ในดินแดนป่าหนาวตอนเหนือ (แถบมินเนโซต้า) มาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน กาลครั้งนั้นก็ปรากฏมีพวกยักษ์สูงใหญ่ล่ำสันน่ากลัวบุรุกเข้ามาจากทางใต้ จึงเกิดการต่อสู้กันเวลาช้านาน พวกมนุษย์ยักษ์ทยอยกันเข้ามาแต่ก็ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ จนพวกมันหายสาบสูญไปในที่สุด "
จากตัวอย่างที่ยกมาโม้ มีทั้งตำนานเรื่องเล่าจากประวัติศาสตร์และการค้นพบ ทางโบราณคดี นี้ คงพอทำให้ท่านผู้อ่านมองเห็นความเป็นไปได้แล้วนะครับว่า รากษส หรือยักษ์ บนโลกนี้น่าจะเคยมีอยู่จริง ที่มาของเทพนิยาย ต่าง ๆ ของคนหลายชาติ หลายวัฒนธรรม นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่แต่งเติมให้สนุกสนานดูตื่นเต้น ด้วยจินตนาการ แต่เนื้อแท้อาจมีมูลเค้า ความจริงปนอยู่ด้วยก็เป็นได้ ว่าง ๆ ลองไปเที่ยววัดแจ้งหรือ วัดโพธิ์แล้วลองไปดูยักษ์ตัวจริงที่นั้นซิครับ ลองพินิจให้ดี ถ้าสมมติว่าท่านเจอมนุษย์ที่หน้าตา เหมือนท่านนี้ แต่มีรูปร่างสูงใหญ่โตเท่านั้น ท่านจะคิดอย่างไร เขาควรจะเป็นคน หรือ รากษส กันแน่ ?
จากหนังสือชีวิตพิศวง จากวารสารมิติที่ 4+ +
ความคิดเห็น