ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #39 : นางไม้ (Fairies)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.28K
      9
      12 ส.ค. 51


    นางไม้
    (Fairies)

     

                    ผมคิดอยู่นานเลยล่ะว่าจากแฟรี่นี้เป็นสัตว์ลึกลับหรือเปล่า เพราะไม่เห็นนักวิทยาศาสตร์คนไหนมันไปค้นหาจริงๆ จังๆ เลยนี้น่าแต่ถ้าพูดถึงมนุษย์จิ๋วละก็................โอ้น่าสนหน่อยอย่างน้อยก็มีรายงานเกี่ยวกับตัวมันเป็นระยะๆ(ว่าแล้วไปหาดูก่อนเรื่องของมนุษย์จิ๋วนี้)

     

                    แฟรี่มีจริงหรือ? ก็ไม่มีใครตอบได้หรอกครับว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงในตำนาน

    ในตำนาน แฟรี่ มีรูปร่างคล้ายคนตัวเล็กๆ หูแหลม และมีปีกเหมือนผีเสื้อ คำว่า Faery(หรือบางทีเค้าก็ใช้ Fairy)มาจาก Fer-Sidhe(อ่านว่า ฟาร์ ชีห์) อันแปลว่า ชายแห่งเนินเขา หรือเป็นคำเรียกที่หมายถึง เทพ ของชาวเคลติค ซึ่งเทพเจ้าของชาวเคลติคเรียกว่า Aes Sidhe หมายถึง คนแห่งเนินเขา(ส่วนเทพีเรียกว่า Bean Sidhe หมายถึง หญิงแห่งเนินเขา เพราะเทพของเคลติคนั้น เป็นผู้ปกครองเนินเขาต่างๆ ที่เรียกว่า Sidhe) ซึ่งหลังจากศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท เหล่าเทพเจ้าก็ถูกลืม และคำว่า ฟาร์ ชีห์ นี้ก็ได้กลายมาเป็นคำว่า Fairy

    แต่ความเชื่อเกี่ยวกับภูตน้อยแฟรี่นั้นมีมานานแล้ว ก่อนคริสตศาสนาจะเข้ามา นั่นคือ พิกซี่(Pixie) แต่เท่าที่รู้มา แฟรี่กับพิกซี่รูปร่างเหมือนกัน แต่พิกซี่จะป่าเถื่อนกว่าหรือไม่นั้น มิอาจบอกได้ ในเมื่อคำว่าแฟรี่นี้มีหลังจากคริสตศาสนา แต่ตัวแฟรี่เองกับมีมาก่อน ก็เข้าใจว่าทั้งสองอาจจะเป็นพวกเดียวกัน(แต่แฟรี่ไม่ใช่นางฟ้า ก็เพราะการเห็นแฟรี่เป็นเป็นนางฟ้านี่แหละ ทำให้ยศของพิกซี่ต้องต้อยต่ำลง) แฟรี่เป็นดวงวิญญาณที่กำเนิดแต่ธรรมชาติครับพวกเค้ามีอยู่ทั่วโลก(จริงๆนะ) และอยู่มาก่อนเรานานแล้ว

     

    ในด้านนิสัย แฟรี่มักมีนิสัยที่ออกจะซุกซน แต่บางตำนานก็โหดเหี้ยม โดยเฉพาะตำนานบางเรื่องที่ถ่ายทอดจากความเชื่อแบบคริสต์เพราะแฟรี่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของมายิก หรือเวทมนตร์อยู่เอามากๆ และยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของแม่มดโดยภูตพวกนี้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ และไม่เคยที่จะเกี่ยวข้องศาสนาใดๆ จึงถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีต

    ความจริงแล้วนิสัยของแฟรี่ส่วนใหญ่คือ  มักจะอวยพรให้กับเด็กเกิดใหม่ แต่ถ้าดูถูกล่ะก็โดนสาปให้ได้โชคร้ายเหมือนกัน หัวหน้าของพวกแฟรี่คือ ราชาหรือราชินีแฟรี่ ซึ่งมีรูปร่างงดงาม และมีอำนาจมาก ราชินีของพวกแฟรี่จะสวมใส่ชุดสีขาว พวกเขาจะรักในความสนุกสนานรื่นเริง และดูเป็นมิตรอย่างมาก(ถึงแม้จะไม่ค่อยยุ่งกับพวกมนุษย์) แฟรี่มีแพร่หลายในหลายๆตำนาน เช่นเคลติค(ตัวเริ่ม) กรีกก็มีบ้าง แต่ไม่ได้เป็นแบบดั่งเดิม กล่าวคือ มักนำไปเกี่ยวกับภูตอื่นๆเช่น ฟอน หรือเทพแพน ครึ่งคน ครึ่งแพะ ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นเกี่ยวข้องกับปีศาจ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของซาตานด้วย(แพะกับหัว โดยจริงๆคือ มังกร) และที่ควรรู้คือ แฟรี่มีเวทมนตร์กำบังตนจากสายตาของมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นการล่องหนด้วยการเบียงเบนแสงนะครับ(พรีเดเตอร์ไง) ที่จริงเป็นเพราะมนุษย์ส่วนมากไม่มีความเชื่อในเรื่องแฟร์รี่ ก็จะไม่ได้เห็นกัน แม้ะเชื่อก็ใช่ว่าจะได้เห็นกันง่ายๆนะ

    วิธีการมองเห็นแฟรี่ก็คือ นำหินที่มีทะลุเป็นรูตรงกลางสามารถมองรอดผ่านได้ จากกลางลำธาร(ไม่ใช้เอาสว่างมาเจาะล่ะ)

    ในด้านที่อยู่อาศัยในตำนานก็บอกอีกแหละว่าส่วนใหญ่พวกเขาอาศัยอยู่ในป่า หรือสร้างพื้นที่และอาณาจักรขึ้นเอง โดยเป็นมิติย่อยที่แทรกอยู่ในบนมิติของเรา แต่มีพื้นที่จำกัด ระยะเวลาบนโลกเรากับที่ของแฟรี่ จะไม่เท่ากันและบางที แฟรี่อาจมีมิติที่อยู่แยกเป็นเอกเทศจากโลกของเรา ที่เรียกว่า Other World ในความเชื่อของชาวเคลต์นั้นแหละ เวลาบนโลกของเราแค่ไม่กี่นาที แต่ในโลกของแฟรี่อาจเป็นปีๆเลยก็ได้

    ความจริงพวกแฟรี่ไม่น่าจะถูกเรียกว่าภูตน้อยสักเท่าไหร่ เพราะแฟรี่นั้นเป็นทั้งพรายและภูตในตัวเดียวกัน สามารถที่จะขยายร่างกายให้มีขนาดเท่าๆกับมนุษย์ และย่อตัวเล็กจิ๋วได้ เวลาแฟรี่อยู่ในร่างของภูต จะมีปีก และมีแสงสว่าง แต่พอขยายตัวใหญ่ จะมีลักษณะของพราย(หรือเทพ) และดูจะไม่ต่างจากเอลฟ์หรือมนุษย์เลย

     

    แน่นอนครับ ความเชื่อของแฟรี่เป็นเรื่องหอมหวานสำหรับคนช่างฝันอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่มีหลายเรื่องคนมักอ้างว่าเห็นตัวมันจะๆ พบเจอเล่าให้คนอื่นฟัง แต่ทุกเรื่องที่อ้างกลับไม่มีหลักฐานว่ามันมีจริงหรือไม่

    จนกระทั้ง.....

                    เดือนกรกฎาคมปี 1917 เด็กหญิงสองคนคือ เอลซี่ ไรท์ อายุ 16 ปี และ ฟรานซิส กรีฟิส อายุ 11 ปี ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ได้ถ่ายรูปอันน่าประหลาดใจชุดหนึ่ง เป็นรูปแฟรี่ในป่า ที่บ้านของเอลซี่ ในหุบเขาคอททิงเลย์ ประเทศอังกฤษด้วยกล้องที่ยืมมาจากพ่อ พวกเธอบอกว่ามีแฟรี่อยู่ที่นี่ และพวกเขาเป็นเพื่อนของพวกเธอ

                    
                     ตอนที่ถ่ายรูปแรกสุดนี้ พ่อของเอลซี่ยังคงคิดว่าเป็นการเล่นตลกของเด็กๆอยู่ และใน 2 เดือนถัดมา ทั้งสองก็ถ่ายรูปใหม่มาอีก คราวนี้ ในรูปมีโนม (ภูตชนิดหนึ่ง) อยู่ในรูปด้วย

                    และแล้วเรื่องนี้ก็กลายเป็นใหญ่โตขึ้นมา เมื่อพ่อของเด็กส่งภาพไปให้ เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ นักเขียนนามกระบือลือเรื่อง ผู้แต่งเซอร์ล็อคโฮล์มนั้นเอง

                    ทำไมต้องเป็นให้ เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ นั้นก็เพราะเป็นรู้กันในวงในว่าเป็นนักวิจัยรูปถ่ายวิญญาณชนิดแฟนพันธุ์แท้ขนาดชีวิตในบั้นปลายของเขานั้นยังต้องเข้าร่วมสมาคมวิจัยเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับและทุ่มสมบัติเกือบทั้งหมดของตัวเองเพื่อการวิจัยเกี่ยวกับไสยศาสตร์อีกด้วย

                    เมื่อรูปถูกส่งไปหาดอยล์ และเขาก็จ้างให้ผู้เชี่ยวชาญด้านรูปถ่ายทำการตรวจสอบว่ารูปทั้งสองนี้เป็นการซ้อนภาพหรือใช้เทคนิคพิเศษหรือไม่ ผลการตรวจปรากฏว่าไม่มีการซ้อนภาพถ่ายและรูปทั้งสองเป็นของจริง

                    เดือนธันวาคมปี 1920 ดอยล์ได้ทำการประกาศรูปเหล่านี้ลงนิตยสารพร้อมกับยืนยันว่าแฟรี่ในรูปเป็นของจริง ซึ่งเรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับมากมาย ทำให้นักข่าวและผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังคอททิงเลย์ ดอยล์นั้นถึงกับออกหนังสือเกี่ยวกับแฟรี่แห่งคอททิงเลย์และกล่าวว่าเขาเชื่อเด็กหญิงทั้งสองคนว่าพวกเธอพูดจริง

                  

    รูปของแฟรี่นี้มีทั้งหมด 5 ใบ 3 รูปในนั้นเป็นรูปที่ถ่ายขึ้นตามคำขอของดอยล์ ในยามนั้นมีการโต้เถียงกันอย่างกว้างขวางว่ารูปเหล่านี้เป็นของจริงหรือไม่ซึ่งดอยล์ก็ยืนยันโดยกล่าวว่า"เด็กๆของคนชั้นกรรมกรจะมีความรู้เรื่องการตัดต่อภาพได้ยังไง"(โอ้โหสุดดูถูกคนเลยนี้)

                     และจนวาระสุดท้ายของชีวิต เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ เชื่อว่าแฟรี่มีจริง

                    และเมื่อดอยล์เสียชีวิตไปเมื่อ 7 กรกฎาคม 1930 ภาพถ่ายนางไม้ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันอย่างแพร่หลายก็ค่อยๆถูกลืมเลือนไป

                    และในวันที่ 24 พฤษภาคม 1965 เอลซี่ก็ได้ให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารเดลี่เอกซ์เพรสว่ารูปของแฟรี่เหล่านั้นเป็นภาพที่เธอกับฟรานซิสทำปลอมขึ้นมา

                    
                    วันที่ 4 เมษายน 1983 ฟรานซิสและเอลซี่ได้ลงบทความสารภาพเกี่ยวกับความจริงของภาพนางไม้ ว่ามันเป็นของปลอม โดยรูปทั้งหมดไม่ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพใดๆเลย ทั้งสองแค่วาดรูปของแฟรี่ลงบนกระดาษแข็ง ระบายสีและตัดออกมาติดไว้กับต้นไม้หรือพื้นเพื่อถ่ายรูป สรุปก็คือรูปเหล่านี้จะตรวจไม่พบการตัดต่อใดๆเลยก็ไม่แปลก เพราะมันไม่ได้ใช้เทคนิคขั้นสูงอะไรนั่นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

                    ทั้งสองกล่าวว่าพวกเธอเพียงแต่ต้องการจะล้อเล่นเล็กน้อย หากภาพก็ถูกส่งไปยังดอยล์และดอยล์ก็ประกาศเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาจนทั้งสองไม่สามารถสารภาพออกมาได้

                     
                     จะอย่างไรก็ดี เอลซี่ยืนยันว่ารูปสุดท้ายเป็นของจริง และทั้งสองก็บอกว่าพวกเธอเห็นแฟรี่จริงๆแต่ไม่สามารถถ่ายรูปของพวกเขาเอาไว้ได้

                   

    ………………………………

     

                    มีนักเขียนกลุ่มหนึ่งได้เชื่อมโยงเรื่องนางฟ้าเข้ากับเรื่องยานอวกาศจากนอกโลก.........ซึ่งในจำนวนรูปภาพจานบินบางภาพนั้นมีรูปร่างคล้ายแสงของนางไม้ไม่มีผิด

                    บางคนบอกว่ามันน่าจะมาจากประสบการณ์ของบรรพบุรุษประเภทโครมันยอนที่มีกับประเภทมนุษย์นีอันเดอร์ธัลที่มีขนาดเล็กกว่า แน่นอนความทรงจำเหล่านี้อาจจะภายทอดมาถึงเราว่าครั้งหนึ่งเราอาจเห็นพวกนีอันเดอร์ธัลเป็นมนุษย์จิ๋วและพัฒนามาเป็นแฟรี่ในเวลาต่อมา

                    มันอาจเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ, ภาพลวงตา, หรือเป็นเรื่องจริง ซึ่งก็แล้วแต่วิจารณาญาณของคุณครับ

     

    http://ohx3.exteen.com/20061020/the-cottingley-fairies และ Cammy เพิ่มข้อมูล+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×