ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #36 : คนโบราณมีโอกาสเห็นไดโนเสาร์จริงหรือ ? (ตอนที่2)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.97K
      0
      2 ส.ค. 51


    เราเรียกหลักฐานเหล่านี้ว่า OOPARTS หรือภาษาไทยแปลว่า วัตถุลึกลับในประวัติศาสตร์               OOPARTS โอพาร์ทส หรือย่อมาจาก Out Of Place Artifacts นี้แปลตรงตัวแล้วหมายถึง"วัตถุเหนือยุค" หมายถึงวัตถุซึ่งไม่น่าจะมีปรากฏอยู่ในยุคนั้นๆซึ่งถูกสร้างขึ้น ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เครื่องบินเจ็ตทองคำ(โคลัมเบีย) กระโหลกคริสตัล(แอสเทคและที่อื่นๆ) รูปวาดนักบิน(มายา) รูปเฮลิคอปเตอร์+รถถัง+เครื่องบินรบ(อียิปต์) ฯลฯ กล่าวกันว่าการค้นพบสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานว่า ในสมัยโบราณ มนุยษ์มีวัฒนธรรมซึ่งล้ำหน้ากว่าที่เราคาดคิดไว้มากนัก ถือเป็นการค้นพบที่พลิกประวัติศาสตร์โลกทีเดียว

                    แต่

                    ในความเป็นจริงแล้ว โอพาร์ทสเหล่านี้ กว่าครึ่งหนึ่งเป็นความบังเอิญ ความเข้าใจผิดหรือการคิดไปเองของผู้ค้นพบเสียมากกว่า แน่นอนว่าที่เป็นของจริงมันก็มี (โมอายที่เกาะอีสเตอร์เป็นต้น)

                    และในจำนวน  OOPARTS ก็มีหลักฐานว่าคนโบราณก็มีโอกาสเห็นไดโนเสาร์เหมือนกัน....

     

                    
                    Acambaro Dinosaurs Figures ตุ๊กตาไดโนเสาร์หลงยุค


                    เดือนกรกฎาคมปี
    1945 ที่หมู่บ้านอคัมบาโรในเม็กซิโกมีการขุดค้นพบรูปดินปั้นจำนวนมากซึ่งมีลักษณะคล้ายกับไดโนเสาร์ (ซึ่งตามทฤษฏีในปัจจุบันกล่าวว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 65 ล้านปีก่อน) ผู้ค้นพบคือนักธุรกิจชาวเยอรมัน วาลเดมาร์ จูลสรู้ด ซึ่งผู้รับใช้ของเขาใช้เวลาถึง 7 ปีหลังจากนั้นในการขุดค้นตุ๊กตาจำนวนกว่า 32,000 ตัวออกมา

                     ปี 1968 ชาร์ลส แฮปกู้ด ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยประจำรัฐได้นำตัวอย่างการค้นพบ 3 ชิ้นส่งไปยังบริษัทไอโซทอปเพื่อตรวจอายุของวัตถุโดยการตรวจเรดิโอคาร์บอน (การใช้คาร์บอน-14 ในการตรวจหาอายุวัตถุ*) ผลปรากฏว่าแต่ละชิ้นถูกสร้างขึ้นเมื่อ 1110 ปีก่อนคริสตกาล 1640 ปีก่อนคริสตกาลและ 4530 ปีก่อนคริสตกาล

                    ในปีถัดมา มีการนำเทคนิคเทอร์โมลูมิเนสเซนส์ (การตรวจอายุวัตถุด้วยการวัดปริมาณสะสมของคลื่นรังสีในธรรมชาติ*) ซึ่งเพิ่งถูกคิดค้นโดยมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย มาใช้กับตุ๊กตาดังกล่าว ผลปรากฏว่าทั้ง 3 ชิ้นถูกสร้างขึ้นเมื่อ 2500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งผลการตรวจนี้กลายมาเป็นเครื่องยืนยันว่าตุ๊กตาทั้งสามตัวเป็นของจริง และมีความเป้นไปได้ว่าไดโนเสาร์ที่เราเข้าใจกันว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อนนั้น ที่จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับมนุษยชาติจนถึงอย่างน้อยเมื่อ 5500 ปีก่อนนี้เอง

                    แต่กระนั้นเรื่องนี้ก็มีผู้เชี่ยวชาญค้านเหมือนกัน โดยเหตุผลที่มาอ้างว่านี้อาจเป็นของไม่จริง โกหก คือ

                    
                    - โดยปกติ เรดิโอคาร์บอนเป็นการตรวจที่ใช้กับอินทรีย์วัตถุ ในขณะที่ตุ๊กตาเหล่านี้เป็นอนินทรีย์วัตถุ ซึ่งทั่วไปแล้ว จะใช้เรดิโอคาร์บอนในการตรวจชิ้นไม้ซึ่งติดมากับวัตถุมากกว่าจะตรวจตัววัตถุเองเลย เพราะการตรวจตัวตุ๊กตานี้จะทราบเพียงอายุของดินที่เป็นวัตถุดิบ ไม่ใช่ปีที่ตุ๊กตาถูกทำขึ้น

                    - เกี่ยวกับเทอร์โมลูมิเนสเซนส์นั้น เนื่องจากเมื่อดินถูกเผา รังสีสะสมในดินซึ่งเป็นวัตถุดิบก็จะหายไป ทำให้เป็นวิธีที่สามารถทราบอายุหลังจากตุ๊กตาถูกสร้างขึ้นได้ชัดเจนกว่า แต่ในทำนองเดียวกันก็มีคำค้านว่า ถ้าตุ๊กตาถูกเผาด้วยอุณหภูมิต่ำทำให้รังสีแต่เดิมไม่หายไป หรือถ้ามีการนำวัตถุไปอาบรังสี ก็จะทำให้อายุของวัตถุมากกว่าที่ควรจะเป็นได้เช่นกัน

                    
                    - ชิ้นที่ถูกนำมาเผยแพร่เป็นการเลือกเฉพาะชิ้นอย่างจงใจ ซึ่งในความจริงแล้ว ยังมีชิ้นที่เหมือนกับมนุษย์จระเข้ มนุษย์ช้าง มังกรมีปีก หรือกระทั่งบราซิโอเซารัสที่ยืนสองขา(ในสมัยนั้นยังมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับบราซิโอเซารัสว่าเป็นไดโนเสาร์ยืนสองขา)

     

    Ica Stone แห่งเปรู


                   บนแถบยอดเขาแอนดีสแห่งทวีปอเมริกาใต้ ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณที่แห้งแล้งที่สุดในโลก มีที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของปริศนาชิ้นเบ้อเริ่มชิ้นหนึ่งของโลก ปริศนาที่ว่าเราๆท่านๆจะคุ้นเคยกันดีกับภาพอันมหึมาของลายเส้นบนพื้นโลก นาซก้า คือชื่อของที่ราบแห่งนั้น

    ที่ราบนาซก้าปัจจุบันอยู่ในดินแดนของทวีปเปรู ซึ่งประเทศนี้ได้มีปริศนามากมายทิ้งเหลือไว้ให้โลกได้ขบคิด เช่นเรื่องของอารยธรรมอินคา ที่มีเทวสถานอันโอฬารและมั่งคั่งไปด้วยทองคำ ความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมของชนเผ่านี้เรียกได้ว่าคือหนึ่งในความมหัศจรรย์ของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งนอกจากเมืองของชาวอินคาแล้ว ก็มีที่ราบนาซก้านี่แหละครับที่นักโบราณคดีพากันสนใจ เพราะที่ราบดังดังกล่าว ได้ปรากฏคลองหรืออะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงยาวเหยียด ลากไปมากลายเป็นรูปเรขาคณิตหน้าตาท่าทางประหลาด และที่สำคัญคือรูปพวกนี้ สามารถมองเห็นได้เฉพาะจากทางอากาศเท่านั้น เรียกว่าต้องอยู่บนเครื่องบินนั่นแหละครับ ถึงจะพอมองเห็นเป็นรูปร่าง ข้อนี้เองที่ทำให้หลายต่อหลายคนสงสัยกันว่า คนโบราณ(ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใคร)ที่สร้างลายเส้นเหล่านี้ขึ้นมา เขามีจุดประสงค์ใดหนอ ถึงได้สร้างภาพลายเส้นที่มองเห็นได้จากเฉพาะทางอากาศนี้ขึ้นมา ทั้งที่สมัยนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะมีเครื่องบินใช้สักนิด นักโบราณคดีบางคนเรียกลายเส้นเหล่านี้ว่าสนามบินโบราณครับ เพราะมันคล้ายกับรันเวย์ของสนามบินเสียจริงๆ

    แล้วเรื่องของลายเส้นนาซก้านี้ มันเกี่ยวกับไดโนเสาร์ตรงไหน?

    ก็ไม่เกี่ยวแหละ....แต่ มีการค้นพบปริศนาเล็กๆที่พบในบริเวณนั้นนั้นครับ ซึ่งมันสร้างความปวดหัวให้กับนักโบราณคดีได้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว

    ความจริงบริเวณเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกันดารแทบไม่มีฝนตกเลยครับ แต่ในช่วงปี 1960 ได้เกิดอุทกภัยขึ้นบริเวณแม่น้ำแถบนั้น เป็นผลให้ตลิ่งและบริเวณริมฝั่งแม้น้ำ Ica ถูกกัดเซาะ ตอนนั้นเองแหละครับที่หินจำนวนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดขึ้นมาบริเวณฝั่ง นักโบราณคดีคาดว่าหินเหล่านี้อาจถูกฝังอยู่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว และโผล่หน้าออกมาเพราะแรงเซาะจากกระแสน้ำ พวกเขาเรียกมันว่า Ica Stones ตามแหล่งที่ค้นพบครับ

    แล้วหินพวกนี้มันน่าสนใจยังไงเหรอ?... จะว่าไปมันก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ ก็แค่หินก้อนกลมเกลี้ยงที่มีภาพสลักของคนโบราณสลักเอาไว้อย่างที่ท่านเห็นในรูปเท่านั้นแหละ แต่ว่านะครับ เจ้ารูปที่อยู่บนก้อนหินพวกนี้นี้สิแปลกจริงๆ คือมันมีสิ่งที่ไม่มีในยุคนั้นด้วย เช่น รูปกิจกรรมทางการแพทย์ เช่นผ่าตัด รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศเมื่อ 13,000,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง

    ที่สำคัญคือ มันมีรูป มีรูปของคนกับไดโนเสาร์ซะด้วยสิ!!

     

     

    (ซ้าย)คนขี่ Pterodactyl กำลังล่าไดโนเสาร์ (กลาง)ภาพทวีปต่างๆของแผนที่โลก (ขวา)ภาพการผ่าตัดศัลยกรรมอะไรบางอย่าง

     

    ปัจจุบันยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้ Ica Stone นับเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนแกะสลักมันเอาไว้เมื่อไหร่ และแกะเอาไว้ทำไม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นทฤษฎีการเคลื่อนตัวของทวีป ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งยอมรับแล้ว ว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน ทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกา ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น และการที่มันไปปรากฏในมรดกของคนโบราณเช่น แผนที่ปีเรรีส หรือ ไอก้า สโตน ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อก่อน ยังมีมนุษย์ส่วนหนึ่งที่อาจจะอาศัยอยู่ก่อนหรือ รอดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในครั้งกระโน้น แต่ว่า ครั้งกระโน้นมันตั้งหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้วเชียวนา...

    ดร.Javier Cabrera นักฟิสิกข์ชาวเปรูผู้เป็นหนึ่งในทีมศึกษาไอก้าสโตนได้พบภาพของปลาที่สูญพันธุ์ไปแล้วบนหินก้อนหนึ่ง เขาสนใจมันเอามากๆ จนชาวเมืองในแถบนั้นคนหนึ่งรู้เข้า ก็เลยเชิญ ดร.Cabrera ไปดูสิ่งที่เขาสะสมเอาไว้ Javier Cabrera เรียกสิ่งนั้นว่าพิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดครับ เพราะมันเป็นคอเล็คชั่นสะสมก้อนหินและรูปปั้นโบราณนับหมื่นชิ้น มีขนาดนับตั้งแต่มะเขือเทศลูกเล็กๆไปจนถึงลูกบาสเก็ตบอลนั่นเชียว


                    ในบรรดาคอลเล็คชั่นที่
    Javier Cabrera ได้ไปศึกษาส่วนหนึ่งเป็นรูปปั้นของสัตว์หน้าตาประหลาดๆอย่างที่เห็นในภาพ เขาคิดว่าสัตว์พวกนี้ น่าจะเป็นรูปของสัตว์ที่เคยมีตัวตนมากกว่าจะทำออกมาในรูปของงานศิลปะ มันเหมือนไดโนเสาร์เอามากๆ นอกจากรูปปั้นดินเผาแล้ว หินแกะสลักลักษณะเดียวกับไอก้าสโตน ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แล้วก็มีลวดลายที่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเสียด้วยสิครับ

     

    นี่มันรอยเท้าของใครฟะ?


                     รู้จักไทรโลไบต์ไหมครับ
    ? มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อาศัยอยู่ในน้ำในยุคดึกดำบรรพ์นู้น ปัจจุบันไทรโลไบต์สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ทรากฟอสซิลให้มนุษย์รุ่นหลังได้ศึกษา นักวิทยาศาสตร์บอกกับพวกเราว่าไทรโลไบต์ นับเป็นหนึ่งในจำนวนสิ่งมีชีวิตโบราณที่สุดกลุ่มหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บนโลก มันเป็นบรรพบุรุษของสัตว์จำพวกปูและกุ้ง มีชีวิตอยู่ในช่วง 320 ล้านปีก่อนและสูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อราวๆ 280 ล้านปีมาแล้ว นานจนจินตนาการไม่ออกใช่ไหมล่ะครับ แน่นอนว่านานก่อนหน้าที่มนุษยชาติจะถือกำเนิดขึ้นมาโขนัก(3 ล้านปีก่อนหน้านี้)

    William J. Meister มีงานอดิเรกคือสะสมฟอสซิลของไทรโลไบต์ซึ่งอยู่ในภูเขาบริเวณรัฐยูทาห์ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 1968 เขาบังเอิญได้พบรอยเท้ามนุษย์ซึ่งฝังอยู่ในดินบริเวณที่เขาขุด มันเป็นหินซึ่งมีรอยเท้ามนุษย์โบราณพิมพ์ติดอยู่ และเซอร์ไพรส์ครับท่าน... มีซากของไทรโลไบต์ติดอยู่ด้วย!! สถานที่ที่เขาพบรอยเท้ามนุษย์ดังกล่าวอยู่ที่ Antelope Springs ประมาณ 43 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเดลต้า มลรัฐยูทาห์

    ด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆ เขาใช้ค้อนและเครื่องมือขุด กระเทาะหินออกมาอย่างระมัดระวัง แทบไม่น่าเชื่อเลย สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็คือ รอยเท้าประทับเท้าข้างขวาของมนุษย์พร้อมด้วยตัวไทรโลไบต์ในหินก้อนเดียวกัน รอยประทับนี้คาดว่าเป็นรอยที่เจ้าของเท้าเหยียบลงไปในดินโคลน ซึ่งภูเขานี้เคยเป็นทะเลมาก่อน เวลาที่ผ่านไปก็ได้ทำให้ดินนี้แข็งเป็นหินและฝังรอยประทับเอาไว้ นี่มันอะไรกันครับคนที่ไหนถึงได้ไปมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับตัวไทรโลไบต์ 300 - ล้านปีก่อน... และที่มหัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้น อย่างที่ท่านสามารถเห็นได้ด้วยตาของท่านเองจากในภาพ เท้าข้างนั้นดันสวมรองเท้าเสียอีกแน่ะ

    รอยเท้าดังกล่าวยาวประมาณ 10 นิ้ว เป็นเท้าขวาอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะรูปทรงของส่วนส้นเท้ามันชี้อยู่เห็นๆ แถมด้วยซากของตัวไทรโลไบต์ที่กับฝ่าเท้าอีก ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของรอยเท้าข้างนี้ เขาได้ทำกรรมขนานใหญ่คือเหยียบตัวไทรโลไบต์จนแบนแต๋ติดเท้า กลายเป็นหลักฐานรุ่นเก๋ากึ๊กให้คนรุ่นใหม่อย่างเราฉงนใจกันเล่นๆ

    จากนั้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 1968 Antelope Spring ได้ถูกนักธรณีวิทยานาม Dr. Clifford Burdick เข้ามาสำรวจบ้าง ด้วยเวลาไม่นานนัก ดร.คลิฟฟอร์ด ก็ได้พบรอยเท้าของเด็กประทับอยู่ในหินเช่นกัน ท่านด็อกกล่าวว่า มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ได้พบรอยเท้าเช่นนี้ นี่เป็นรอยเท้าเด็กมีความยาวประมาณ 6 ฟุต ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ทางโบราณคดีเลยทีเดียว

    ครั้งสุดท้ายที่ค้นพบหลักฐานสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ เดือน กันยายน 1968 Mr. Dean Bitter แห่ง Salt Lake City public schools system ได้พบรอยประทับเท้าแบบเดียวกันอีกสองรอยในบริเวณ Antelope Spring คราวนี้ไม่ยักกะมีไทรโลไบต์แบนแต๋ติดอยู่ครับ แต่พบไทรโลไบต์และสัตว์น้ำตัวเล็กๆอีกหลายชนิดกลายเป็นหินฝังอยู่ในก้อนเดียวกัน ...คนจากโลกนี้หรือโลกไหนครับที่มาฝากรอยเท้าเอาไว้บนโลก ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ หึ หึ อย่าบอกนะว่าพี่หนุ่ยอำพล...

     

    รอยเท้าอะไรกันนี้


                    ในปี
    1908  มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่ Glen Rose มลรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นแหล่งขุดค้นหลักฐานที่สำคัญในยุคครีเตเชียส (Cretaceous; dating from 135 million to 65 million years ago) นักสำรวจได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้โลกต้องหันมาทบทวนทฤษฎีวิวัฒนาการเสียใหม่ มันเป็นรอยเท้าของมนุษย์โบราณขนาดมหึมา ซึ่งประทับอยู่บนพื้นที่กลายเป็นหิน นั่นคงไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ถ้าหากว่า บริเวณใกล้ๆรอยประทับเท้านั้นไม่มีรอยเท้าของกิ้งก่าโบราณบางชนิด ที่เราเรียกว่าไดโนเสาร์รวมอยู่ด้วย...

    Clifford L. Burdick และ Roland T. Bird นักโบราณคดีได้ทำการสำรวจรอยเท้าดังกล่าวอย่างใกล้ชิด Bird เป็นนักชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ยุคโบราณ หลังจากทำงานอย่างหนักถ้อยแถลงที่ทีมสำรวจนี้มีต่อ American Museum of Natural History ได้ทำให้ใครต่อใครพากันอึ้งไปหมดครับ เพราะตรงรอยประทับเท้าดังกล่าว นอกจากรอยเท้ามนุษย์แล้วยังมีรอยขนาดใหญ่ที่เจ้าของเท้ามีนิ้วเท้าสามนิ้วประทับซ้อนกันอยู่ ครับ มันเป็นรอยเท้าของสัตว์โบราณไดโนเสาร์ไม่ผิดแน่ และจากการวัดอายุ รอยเท้าทั้งสองอยู่ในยุคสมัยเดียวกันครับไม่ได้เกิดจากการทับรอยเมื่อเวลาผ่านไปอย่างที่หลายๆคนกำลังคิดอยู่ แปลกดีแฮะ

    จะไม่แปลกได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อไดโนเสาร์น่ะมีอยู่ในยุคครีเตเชียสและจูราสสิค ตั้ง 135-65 ล้านปีที่ผ่านมาแล้วนะครับ ส่วนมนุษย์นั้นเพิ่งจะมามีตัวตนเมื่อประมาณ 4 ล้านปีที่ผ่านมานี่เอง ไกลกันจนสุดกู่ การพบว่ามนุษย์(หรืออย่างน้อยก็สัตว์จำพวกมนุษย์)กับไดโนเสาร์เป็นสิ่งมีชีวิตร่วมสมัยกันเนี่ย แทบจะหักล้างทฤษฎีวิวัฒนาการไปจนหมดสิ้น นักวิทยาศาสตร์จากหลายวงการคิดกันหัวแทบแตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะยิ่งนานวันหลังฐานที่พบก็สร้างความงุนงงให้กับพวกเขามากขึ้นทุกที

     

                    ไดโนเสาร์ที่ปราสาทตาพรม

                    
                    ใช่ว่าจะมีต่างประเทศไกลบ้านไกลเมืองเท่านั้นนะครับที่มีหลักฐานพวกนี้ ใกล้ๆ ไทยก็มีครับ ประเทศเพื่อนบ้าน กัมพูชาของเรานี้เอง

    ปราสาทตาพรม สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗  (ศตวรรษที่ ๑๒) ในเขตปราสาทเมืองพระนครและพระนครใหญ่ (นครวัด-นครธม) สร้างขึ้นเพื่อเพื่ออุทิศถวายแด่พระมารดา และยังสร้างขึ้นเพื่อเป็นพระอารามหลวงในศาสนาพุทธด้วย

                    ปราสาทแห่งนี้มีความโดดเด่นตรงที่มีต้นไม้ขนาดยักษ์ หรือต้นสะปง ขึ้นปกคลุมทั่วปราสาท ไม่ว่าจะเป็นผนัง หลังคา หรือยอดปรางค์ของตัวปราสาทก็ตาม ทำให้โครงสร้างของปราสาทยังคงรูปร่างอยู่อย่างสวยงาม

                    นอกจากนั้น................

    ในบริเวณปราสาทหินในเขมร  มีรูปแกะสลักหินรูปสัตว์คล้ายไดโนเสาร์พันธุ์ Stegosaurus ผสมกับ Triceratops รวมอยู่ด้วย...............แถมแบบมีเนื้อมีหนัง ไม่ใช้กระดูกซะด้วยสิ

    ณ โคปุระ ทิศตะวันออก ของปราสาทตาพรหม ผนังด้านใต้ ปรากฏเสาประดับโคปุระ ซึ่งภายใน ทำเป็นรูป สิงห์ผงาด คายลายใบไม้ม้วนคล้ายเถาวัลย์ร้อยเรียงเป็นวงโค้งขึ้นไป ในวงโค้ง เป็นรูปสัตว์และรูปบุคคล เรียงขึ้นไปบนผนังสิบกว่ารูป ที่รูปสัตว์ด้านล่างขึ้นมาในวงโค้งอันที่สอง สลักรูปสัตว์หันหน้าไปทางซ้าย คล้าย หมูป่าหรือแรด แต่ที่น่าประหลาดก็คือเจ้าสัตว์ตัวนี้มีครีบโค้งกลางสันหลังไปจนถึงหาง มันคือตัวอะไรกันแน่ ? เพราะหากพลิกตำราว่าด้วยเรื่องศิลปะเขมรที่มีอยู่ (ในเมืองไทย) ก็ไม่ปรากฏคำอธิบายเกี่ยวกับรูปนี้


                    มันจะใช่ไดโนเสาร์พันธุ์
    Stegosaurus ได้หรือไม่ ? และเป็นไปได้ไหม หากมันคือไดโนเสาร์จริงจริง เผอิญคนเขมรในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เคยเห็นโครงกระดูกไดโนเสาร์พันธ์นี้ หรือเคยรับรู้กันมา แล้วใส่เนื้อหนังให้มันตามจินตนาการที่เขาสามารถนึกได้ จึงนำมาสลักไว้เป็นเครื่องประดับที่เสาประตู

    แต่...........หลักฐานที่ปรากฏนั้นช่างลึกลับเหลือเกิน ตรงที่ยังไม่มีการขุดค้นพบ ไดโนเสาร์พันธุ์ใด ๆ ในเขมรเลย นั้นเป็นเพราะในประเทศที่อยู่ภายในสถานการณ์ที่มีสงครามภายในอยู่เป็นระยะ ทำให้ไม่มีการขุดหากระดูกไดโนเสาร์แบบจริงๆ จัง 


                   แถมพวกพวกสเตโกซอร์ ที่ปรากฏตัวในโลกครั้งแรกประมาณ ๑๖๐ ล้านปีมาแล้ว ไม่พบในไทยกัมพูชาซะด้วยสิ เพราะพบเพียง แอฟริกา จีน อินเดีย และยุโรป

    แน่นอนก็มีคนเห็นด้วยไม่เห็นด้วยอีกแหละ ว่ามันคืออะไรกันแน่ ก็แตกเป็น สองความคิด ความคิดแรกคือ ใช่ มันคือไดโนเสาร์ และความคิดที่สองคือ มันไม่ใช่หรอก มันอาจเป็นสัตว์ที่มาจากเรื่องเล่า ตำนาน นิทานปรัมปรา และความเชื่อทางศาสนา ก็เป็นได้

    ว่ากันว่าการแกะสลักนี้มาจาก เรื่อง บึงทุมแลง เนื้อเรื่องย่อกล่าวถึง มีพระราชาพระองค์หนึ่ง วันหนึ่ง พระองค์ประทับบนแรด ซึ่งเป็นพระราชพาหนะ ไปกับคนเลี้ยงแรดชื่อ นายทุม เมื่อพระองค์เสด็จไปหาความสำราญกับนางมุขราห์ จึงลงจากหลังแรดและให้นายทุมนำแรดไปผูกใต้ต้นมะสังต้นหนึ่ง ครั้นแรดได้ฟังว่าตนเชื่อง ๆ ชั้นต่ำ ซึ่งตนเองฟังไม่ชัดจึงกระโดดหนีจนเชือกขาด ส่วนนายทุมก็วิ่งตามไปทันคว้าหางแรดไว้ แต่ไม่ยอมหยุด พระราชาทรงบอกนายทุมให้ปล่อยแรดไป และพระองค์ทรงโกรธมาก ได้สาปแช่งแรดว่า ต้องกินแต่หนามเป็นอาหาร และกินแต่น้ำขุ่นๆ ส่วนสถานที่ที่นายทุมคว้าหางแรดและยืนกางขาเอาเท้ายันพื้นไว้ จึงกลายเป็นบึงขนาดใหญ่ เรียกว่า บึงทุมแลง เป็นไปได้ไหมว่าภาพสลักเป็นการตีความจากเรื่องเล่าของนิทานเรื่องนี้ ที่แรด โดนสาปให้ กินหนาม เป็นอาหาร จึง มีหนามงอกออกมาที่หลัง เป็นครีบ …………….

    อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งคือ.....วัวใส่เครื่องประดับ(เออเหมือนเนอะ)

     

    http://www.mythland.org/html/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=96&page=1

     

    (ยังมีต่อ ติดตามตอนต่อไป+ +)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×