ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #24 : เนสสี ( Nessie ) ตอนที่ 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.44K
      2
      27 ก.ค. 51



    เนสสี (
    Nessie )

     

    ทะเลสาบล็อคเนสส์ ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ  มีความกว้างกว่าครึ่งไมล์   ยาว  22.5  ไมล์  ริมฝั่งชัน ผาบางส่วนสูงกว่าแปดร้อยฟุต   อุณหภูมิน้ำในทะเลสาบสม่ำเสมอทั้งปี

    ครั้งเมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว แม่น้ำน้ำแข็งสายสุดท้ายได้กัดเซาะให้เกิดการแยกของหินขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ในแถบไอแลนด์ของสก็อตแลนด์ และเมื่อน้ำแข็งละลายหมดลง รอยแยกยาว 25 ไมล์นั้นก็ขังเจิ่งนองไปด้วยน้ำ และกลายเป็นแอ่งทะลสาปนั้นที่สุด

    ถ้าเราไม่พูดถึงเจ้าเนสสีล่ะก็  ทะเลสาบนี้สวยงามน่าดูเลยละ มีทั้งธรรมชาติ สัตว์ป่านาๆ พันธุ์ อากาศก็สดชื่น แสนสงบราบเรียบ

    เมื่อมันสวย ทางการก็ไม่รอช้าหวังที่จะเอาทะเลสาบเป็นจุดขาย ให้นักท่องเที่ยวมาเยอะๆ จนต้องมีการสร้างถนนรอบทะเลสาบและเสร็จสิ้นในราวปี 1933 

    แต่เมื่อสร้างเสร็จแทนที่จุดขายจะเป็นวิวธรรมชาติที่แสนงดงาม.....

    กลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง

    และมันก็ดังไปทั่วโลก

    เนสสี

     

    ....................................

     “เนสสี(บางเว็บเรียกมันว่าเนสซี่) เป็นสัตว์ลึกลับหนึ่งที่อยู่ในทะเลสาบล็อคเนสส์ ซึ่งมีรูปร่างหลายขนาด แต่ส่วนมากแต่ละคนจะเห็นแต่ขนาดยักษ์ทั้งสิ้น โดย จากคำให้การของ พยานที่เคยเห็น พรรณนารูปร่างของเนสซี่ ประมวลออกมาได้ ดังนี้

    ความยาว : มากกว่า 50 ฟุต

    ลำตัว : ยาวอย่างน้อย 30 ฟุต โดยรอบลำตัวประมาณ 12 ฟุต

    หัว : เหมือนทากและมีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับลำตัว

    คอ : ยาว 4-7 ฟุต ลักษณะตั้งระหง และหนาอย่างกับลำตัวช้าง

    ครีบ : 2 ครีบข้างหน้าเล็ก และ 2 ครีบใหญ่อยู่ด้านหลัง

    ผิวหนัง : เหมือนทาก สีเทา เงิน และดำ จ้า...

    ถึงวงการวิทยาศาสตร์จะคัดค้านตัวตนของสัตว์ประหลาดนี้อยู่บ้าง แต่เนสสีก็ได้รับชื่อทางวิทยาศาสตร์มาซะด้วย นั่นคือ เนซซิเทอรา รอมโบเทอร์ริกซ์ ( Nessitera Rhomboterryx ) ไม่แค่นั้น พจนานุกรมฉบับออกซ์ฟอร์ดที่รู้จักกันก็ระบุความหมายของคำว่า Nessie ไว้ด้วยว่า สัตว์ร้ายแห่งทะเลสาบล็อคเนส เป็นสัตว์ลึกลับที่เชื่อว่าอยู่ในส่วนหนึ่งของทะเลสาบสก็อตแลนด์

    ความจริงแล้วจากเนสสีปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนนั้นมีมานานแล้ว ตั้งแต่ปี โน้น  ค.ศ.  565 โดยมีหลักฐานเป็นตำนานประหลาดที่รูปร่างคล้ายไดโนเสาร์คอยาว ตาสีแดง น่ากลัว ที่เกิดขึ้นในแถบนั้นมากมาย

    โดยหลักฐานครั้งแรกที่พบก็คือตำนานของ เซนต์โคลัมบา ที่กำลังอยู่ในระหว่างเดินทางไปอินเวอร์เนส เพื่อนำคณะนักบวชไปเผยแพร่คริสตศาสนาให้กับพวกฟิคท์ ท่านสั่งให้ผู้ติดตามคนหนึ่ง ว่ายน้ำไปเก็บเรือลำเล็กที่ลอยออกจากฝั่งทะเลสาบกลับมา ขณะที่ชายผู้นั้นเริ่มว่ายน้ำออกไป "สัตว์รูปร่างประหลาดก็โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ" เพียงไม่กี่หลาตรงหน้าชายผู้นั้น เรื่องราวกล่าวไว้เพียงว่า เซ็นต์โคลัมบาเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนั้นพร้อมกับตะโกนว่า "อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้หรือทำอันตรายชายคนนั้น" สัตว์ประหลาดก็หนีไป

    ซึ่งต่อมาเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นก็ปรากฏตัวออกมาเรื่อยๆ แต่ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้น ไม่ถึงขั้นโด่งดัง เป็นข่าวใหญ่โตมากนัก(ในขณะนั้น

    จนกระทั้งมีการสร้างถนนเพื่อสามารถเดินทางมายังทะเลสาบได้สะดวก

    นั้นแหละเจ้าเนสสีก็เลยดังทันที!!

    ในปี  1933  สามีภรรยาคู่หนึ่งบอกว่าพบสัตว์ประหลาดคอยาวถึง หกฟุต

    วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1933 จอห์น แม็คเคย์ และภรรยาขับรถไปตามถนนตัดใหม่เลียบทะเลสาบล็อคเนสส์ ที่ยามนั้นพื้นน้ำราบเรียบปานกระจก ล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูง ทันใด... มิสซิสแม็คเคย์ก็คว้าแขนสามีอย่างตื่นเต้น

    "จอห์น..." เธอเรียกชื่อเขาอย่างกระหืดกระหอบ "นั่นอะไรคะ... โน่นน่ะ?"

    พื้นน้ำในทะเลาสาบที่ต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายแวววาวนั้น กำลังพุ้งผุดเป็นฟองคล้ายกับภูเขาไฟคุกกรุ่นอยู่ใต้ผิวน้ำ จอห์น แม็คเคย์ ผู้เป็นเจ้าของโรงแรมในละแวกนั้นเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน เขาและภรรยาเฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัว เมื่อสัตว์ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมา มันเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีคอยาวคล้ายงู สัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาผกผันฟาดฟันพื้นน้ำแตกฟองขาว จากนั้นก็ดำหายไปจากสายตา

    รายงานการพบสัตว์ประหลาดครั้งนั้นถูกนำมาใส่ไว้ในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ นับจากวันนั้นของปี 1933 เป็นต้นมา เนสสียั่วยวนโดยการเล่นเกมส์ซ่อนหากับบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา และนักล่าสัตว์ประหลาดนับพันๆ ซึ่งมีผู้อ้างว่าพบเห็นสัตว์ประหลาดที่ว่องไวราวกับปรอทตัวนี้ มากกว่าสามพันคน

    เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่คล้ายคลึงกับประสบการณ์ของสามีภรรยาแม็คเคย์ ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งการที่เห็นสัตว์ประหลาดในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นที่จะสืบสาวราวเรื่องของเนสสีอย่างจริงจัง จนสบโอกาสถ่ายรูปของสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้เป็นครั้งแรก โดยวิศวกรชื่อ ฮิว เกรย์ ขณะเขาเดินทางกลับจากโบสถ์ในวันอาทิตย์ ใกล้ถึงบ้านพักในฟอยเยอร์ ทะเลสาบราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรรบกวน แต่ประมาณ 100 หลาจากฝั่ง เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

    "หลังกลมมนและส่วนหางปรากฏขึ้น" เขากล่าวในเวลาต่อมา "และสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่ยาวประมาณ 40 ฟุต กำลังพ่นน้ำเป็นฟองฟู่กระจาย

    ภาพถ่ายสัตว์ประหลาดของเกรย์ ถูกส่งไปวิเคราะห์ที่บริษัทโกดัก ซึ่งได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวแต่งเติมกับฟิล์มที่ใช้ถ่าย แต่ภาพสัตว์ประหลาดที่เป็นเงาดำนั้น เป็นหลักฐานที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก

    ปีถัดมาก็ปรากฏภาพถ่าย ที่มีชื่อเสียงมาก ที่เรียกว่า  The Surgeons Photo  เพราะถ่ายโดยหมอผ่าตัดจากลอนดอนชื่อ รอเบิร์ต เคนเนธ  วิลสัน   เป็นรูปสัตว์คอยาวโผล่เหนือน้ำ  เรียกสัตว์ ตัวนั้นว่า เนสสี ( Nessie ) ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายนปี 1934


                   ในตอนนั้นวิลสันและเพื่อนคนหนึ่งกำลังขับรถเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบล็อคเนสส์ เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเขาหวังว่าคงได้ถ่ายภาพสัตว์ป่าไว้ได้บ้าง

    ศัลยแพทย์และเพื่อนร่วมเดินทาง ขับรถมาตลอดกลางคืน และตัดสินใจหยุดพักแรมใกล้กับอินเวอร์มอร์ริสัน ขณะที่วิลสันนั่งเหยียดขาอยู่ริมทะเลสาบนั่นเอง หัวเล็กๆของสัตว์ชนิดหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา เขากระโจนกลับไปที่รถ คว้ากล้องถ่ายรูปเอามาไว้บันทึกภาพได้ชุดหนึ่ง ซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงส่วนหัวและคอ ที่สะโอดสะองและลำตัวของมันเห็นเลือนลางอยู่ใต้ผิวน้ำ

    ภายนี้ถูกเฉยไปให้สาธารณะชน และถึงมือบรรดาผู้เชี่ยวชาญได้ลงความเห็นว่า ยังคงเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของเนสสีเท่าที่เคยมีมา (ต่อมาถูกจับได้ว่าเป็นของปลอม)

    นอกจากนี้ยังมีภาพอีกมากมายอีกหลายรูป แต่ส่วนมากผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่าจริงๆแล้วเป็นเพียงท่อนซุง แมวน้ำ นก นาก หรือว่าเรือที่ลอยคว่ำอยู่ในน้ำ แต่ความจริงเป็นสิ่งใดก็ตาม รายงานและรูปภาพของสัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสส์เหล่านั้น ก็เป็นสาเหตุให้ทั่วโลกบังเกิดความตื่นเต้น อยากรู้ อยากเห็น

    ในไม่ช้าทะเลสาบก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักวิทยาศาสตร์ นักล่า นักเรียนและนักหลอกลวง ชาวบ้านร้านตลาด พากันไปทำธุรกิจอาหารและที่พักอย่างเป็นล่ำเป็นสันและอึกทึกครึกโครม

    เบอร์แทรม มิลส์ หัวหน้าคณะละครสัตว์เสนอรางวัล 20,000 ปอนด์ แก่ผู้ที่จับเป็นสัตว์ประหลาดมาให้เขาได้ ปัญหาที่ถูกนำไปถกกันในสภาผู้แทนราษฎรก็คือความปลอดภัยของเนสสี ในที่สุด กฏหมายฉบับหนึ่งก็ผ่านสภาออกมาปกป้องสัตว์ต่างๆในทะเลสาบให้ปลอดภัยจากการ ยิง วางกับดัก หรือสร้างความรบกวน

     ในปี 1933 มิเชล เวทเธอเรลล์ สมาชิกของบริเทนโฮลี่-เรสเปดเทด ซูโลจิคอล โซไซตี้ เขาพบรอยเท้าของสัตว์ประหลาดบนชายฝั่งทะเลสาบ เวทเธอเรลล์กล่าวว่า "มันเป็นสัตว์สี่เท้าซึ่งเท้าหรือครีบกว้าง 8 นิ้ว ผมเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดทรงพลังที่ยาวประมาณ 20 ฟุต"

    และแล้วแบบพิมพ์รอยเท้าที่หล่อโดยปูนปลาสเตอร์ก็ถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติกลางกรุงลอนดอน หลังจากการตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่า "มันเหมือนกับรอยเท้าของฮิปโปโปเตมัส" และต่อมาพบว่า เท้าของฮิปโปที่ถูกทำให้แห้ง หายไปจากพิพิธภัณฑ์ที่อินเวอร์เนส ห่างจากทะเลสาบออกไปเพียง 2-3 ไมล์

    การเห็นสัตว์ประหลาดที่สร้างความตื่นเต้นจำนวน 3 ครั้ง ได้ถูกรายงานไว้ในปี 1933 และ 1934 สองครั้งแรกพบเห็นโดยชาวบ้านในละแวกทะเลสาบ ส่วนครั้งที่สามพบเห็นโดยนักธุรกิจชาวลอนดอน ต่อไปนี้คือความรู้สึกของนักข่าวอิสระของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อเล็กซานเดอร์ แคมเบลล์ พรรณาถึงสิ่งที่เขาพบเห็นใต้ตอนกลางวันของเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1434

    ขณะที่ผมออกจากกระท่อมติดทะเลสาบนั้น สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็โผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ มันยาวประมาณ 30 ฟุต คอยาวคล้ายงูและหางแบน ระหว่างคอและลำตัวที่ตะโหงกนูนขึ้นมา สัตว์ประหลาดลอยอาบแดดอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรือจาก แคลโดเนียน ดานัล แว่วมา จึงดำน้ำหายไป เหลือไว้แต่รอยกระเพื่อมบนพื้นน้ำ" 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น แคมเบลล์ได้อ่านพบรายงานของพระรูปหนึ่ง คือ บราเธอร์ ริชาร์ด โฮแรน แห่งโบสถ์ เซ็นต์เบเนดิคท์ ฟอร์ท ออกัสตัส ดังนี้

    "ผมเห็นสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบล็อคเนสส์ และเฝ้ารอดูอยู่ราวๆ 20 นาที หัวแลคอยื่นออกมาทำมุม 45 องศากับพื้นน้ำ ด้านล่างของลำคอที่อวบหนานั้นเป็นสีน้ำเงิน จมูกเชิด เมื่อเครื่องยนต์เรือดังใกล้เข้ามา สัตว์ประหลาดก็ค่อยๆจมหายไปอย่างช้าๆ"

    มีคำบอกเล่าของพยานอีกรายที่แตกต่างกันออกไป เป็นเรื่องราวของผู้อำนวยการบริษัทแห่งหนึ่งในลอนดอน จอร์จ สไปเซอร์ ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์น่าฟังเช่นกัน

    "ผมและภรรยากำลังท่องเที่ยวไปตามชายฝั่งทะเลสาบ เมื่อเห็นสัตว์ที่ไม่ธรรมดาเดินข้ามถนนห่างออกไป 200 หลาข้างหน้า เฉพาะคอของมันยาว มีขนาดใหญ่กว่าลำตัวของช้างเล็กน้อย ลำตัวมโหฬารสูงประมาณ 5 ฟุต ผิวหนังสีดำคล้ำน่าเกลียด มันเคลื่อนที่ด้วยการเหวี่ยงตัวไปข้างหน้า ผมเร่งเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ แต่สัตว์ตัวนั้นก็หายไปภายใต้พงไม้หนาทึบเสียแล้ว"

    นักล่าสัตว์ประหลาดรายอื่นๆรายงานว่า ได้เห็นมันอ้าปาก บ้างก็ว่ามันมีแผงคอคล้ายม้า ชาวชนบทคนหนึ่งอ้างว่า ได้เข้าใกล้ชิดกับสัตว์ประหลาดถึงขนาดมองเห็นหยดน้ำร่วงหล่นจากผิวหนังคล้ายเกล็ด ขณะที่มันสะบัดตัว (อะไรจะขนาดนั้น เพ่..) ต่อมาในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1934 กิตติศัพท์ของเนสสี แผ่กระจายกว้างไกลออกไปมาก จนพอที่จะสร้างความสนใจให้กับ จอห์น เอิร์นเนสต์ วิลเลียมสัน ชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้า ของการถ่ายภาพใต้ผิวน้ำ เขามาถึงล็อคเนสต์พร้อมกับอุกรณ์ที่เรียกว่า โฟโต้ สเฟียร์ ที่มีรูปร่างกลมพร้อมหน้าต่างสมชื่อ เมื่อเครื่องมือนี้ดำอยู่ในน้ำ เขาจะนั่งอยู่ในเก้าอี้เพื่อถ่ายภาพสิ่งต่างๆที่อยู่ใต้น้ำ

    ฟังดูน่าสนใจแฮะ แต่สิ่งที่วิลเลียมสันไม่รู้มาก่อนก็คือ ใต้ระดับ 30 ฟุตลงไปในทะเลสาบนั้น มีสภาพมืดมัวเป็นสีน้ำตาลและค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดเหมือนหมึกดำ ถึงขนาดสปอตไลท์ที่มีกำลังแรงยังไม่สามารถทำอะไรได้ ความมืดมิดของท้องน้ำนี้มีสาเหตุมาจาก อนุภาคของถ่านหินชนิดร่วนที่ถูกชะล้างลงมาจากภูเขา สู่ทะเลสาบเป็นเวลานานหลายพันปี ในที่สุดวิลเลียมสันก็ยกเลิกแผนการด้วยความหัวเสีย และเดินทางกลับบ้านในที่สุด

    ตลอดทั้งปี 1960 และ 1970 การไล่ล่าสัตว์ประหลาดยังคงเป็นกีฬาสำคัญของสหราชอาณาจักร และเนสสีกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของสก็อตแลนด์ และใช่ว่าจะมีแต่ภาพนิ่งเท่านั้นนะครับ มีผู้ถ่านภาพยนต์มันได้อีกหลายราย แต่คงไม่ต้องเจาะทุกราย เอาที่เด็ดๆก็คือภาพยนต์ของ ทิม ดินสเดล ที่ถ่ายได้ในปี1960 ภาพยนต์เรื่องนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป(ทิมเปี้ยนไป๋) เขาลาออกจากวิศวกรนักเดินเรืออากาศ ลงทุนซื้อเรือลำหนึ่ง ตระเวนล่าเนซซีอย่างเอาเป็นตาย เขียนหนังสือเกี่ยวกับเนซซีถึง3เล่ม และยังถ่ายรูปเนซซีได้อีกเป็นกอง(มันง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ)

     ภาพยนต์ของดินสเดล ได้สร้างความตืนตัวในเรื่องนี้อย่างผิดคาดครับ มีการก่อตั้งสำนักงานสืบสวนค้นคว้าหาอสุรสัตว์แห่งล็อคเนส หรือ Loch Ness Phenomena Investigation Bureau เพื่อดำเนินการค้นคว้าอย่างเอาจริงเอาจังในปีเดียวกันนี้เอง  และยังมีองค์กรทางเอกชนอีกมากมายที่ให้ความสนใจ มีการใช้โซนาร์ เครื่องบินล่าทางอากาศ ไปจนเรือติดกล้องถ่ายรูป ทั้งนี้ก็เพื่อตามหาเจ้าเนซซีนี่แหละครับ แต่...พวกเขากลับไม่ประสบความสำเร็จเลยครับ จนปี1970 ก็มีการบันทึกภาพยนต์เนซซีได้อย่างจังๆอีกครั้ง โดยนายปีเตอร์ สมิธ และภรรยา เขาพบว่ามันชูคอมาเหนือลำน้ำประมาณ6ฟุต

    ส่วนใหญ่เราจะพบข่าวเจอเนซซีอยู่แต่ในน้ำ แต่อย่าคิดว่ามันจะขึ้นบกไม่ได้นะครับ มีพยานหลายคนอ้างว่าพบเห็นมันขึ้นมานอนอาบแสงจันทร์ในยามวิกาล หรือไม่ก็เดินต้วมเตี้ยมตามฝั่งก็บ่อยไป อย่างเช่นในปี1934        อาเธอร์ แกรนท์ หวิดขับรถชนเจ้ายักษ์ที่ขึ้นมาเดินเล่นบนริมทางมาแล้ว และเขาก็สามารถเห็นครีบขาหน้าทั้งสองได้อย่างชัดเจน ต่อมาในปี1960 นายเทอ์ควิล แม็คคล็อด ก็พบเนซซีนอนอยู่ริมหาด เขาแอบดูอยู่ตั้ง9นาที ก่อนที่มันจะค่อยๆคลานลงน้ำหายไป หนำซ้ำเขายังอธิบายรูปร่างสันฐานของเนซซีได้ตรงกับแกรนท์เด๊ะ ทั้งที่  เหตการณ์ห่างกันตั้ง20ปี

    เพราะความลึกลับและน่าค้นหาของมันทำให้มีผู้คิดค้นในการตามล่าเจ้าเนสสีตัวนี้หลากหลายวิธี เช่น  เช่น การลากเนสสีด้วยตาข่ายเหล็กที่มีราคา 200,000 ปอนด์ แต่วิธีการนี้ถูกระงับไป ต่อมามีการเสนอให้ใช้ความร้อนล่อให้เนสสีออกมาจากที่ซ่อน โดยการหย่อนแผ่นความร้อนขนาดยักษ์ลงไปในทะเลสาบ ขั้นแรกเรือดำน้ำขนาดจิ๋วของอังกฤษดำลงไปสำรวจความเป็นไปได้ในการนี้ ที่ระดับความลึก 450 ฟุต จากพื้นผิวทะเลสาบปรากฏว่าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย "ข้างล่างมันมืดยังกะขุมนรก" พวกเขาบอก

    ในปี 1969 การบุกรุกทะเลสาบล็อคเนสส์ของชาวอเมริกันก็ได้เริ่มต้นขึ้น แดน เทย์เลอร์ อดีตลูกเรือของเรือดำน้ำแห่งกองทัพเรือสหรัฐจากแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ใช้เวลา 5 ปีกับเงินอีก 20,000 ปอนด์ สร้างเรือดำน้ำขนาดเล็กด้วยไฟเบอร์กลาส ซึ่งเขาตั้งชื่อมันว่า "ไวเพอร์ฟิช" โดยวางแผนจะยิงลูกดอกยาสลบจากเรือดำน้ำลำดังกล่าวเข้าใจเนสสี เทย์เลอร์อ้างว่าเขาอาจจับเนสสีได้โดยใช้เครื่องดังกล่าวส่งคลื่นออกไปไม่ไกลพอที่จะจับร่องรอยของมันได้ เขายังกล่าวด้วยว่า เจ้าเรือดำน้ำไวเพอร์ฟิชถูกดูดเข้าไปในโพรงลึกถึง 130 ฟุต อย่างไรก็ตาม เขาทำผิดพลาดเช่นเดียวกับที่ จอห์น วิลเลียมสันทำเอาไว้เมื่อ 35 ปีก่อน นั่นคือไม่ได้ตระหนักมาก่อนว่า น้ำในทะเลสาบที่ลุก 30 ฟุตนั้น มืดมิดชนิดที่ไม่สามารถมองลอดทะลุได้ หนทางสุดท้ายที่เขาทำ คือตีหน้าจ๋อยแล้วก็เก็บของกลับบ้านไป

    ในปี 1970 ดร.โรเบิร์ต ไรนส์ ประธานสภาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ในเบลมอนด์ แมสสาชูเส็ทส์(เขาคนนี้ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องอะไรหรอกครับ แต่เขาเป็นนักกฎหมายเงินถัง ที่สามารถหาอุปกรณ์ทันสมัยมาตามล่าเจ้าเนสสีได้ โดยเขาได้เห็นมันตัวเป็นๆครั้งหนึ่ง) เขาใช้เวลา 2 อาทิตย์ที่ล็อคเนสส์ เขาเป็นผู้นำของทีมงาน 4 คน พร้อมด้วยอุปกรณ์ประกอบด้วยเครื่องโซน่าที่สามารถสะท้อนเสียงในน้ำ กล้องใต้น้ำ และ "เซ็กส์ คอ็คเทล" ที่สกัดมาจากต่อมน้ำมันของสัตว์ต่างๆอาทิเช่น ปลาพะยูน ปลาไหล และ สิงห์โตทะเล ทีมงานยังมีเทปที่อัดเสียงการสื่อสาร การต่อสู้ และจู๋จี๋กันของสัตว์หลายชนิดเอาไว้เปิดใต้น้ำด้วย ต่อมาไรนส์อ้างว่า "เซ็กส์ ค็อคเทล" นั่นเอง ทำให้เขาจับสัญญาณสัตว์ที่มีขนาดใหญ่เป็น 100 เท่าของปลาในทะเลสาบได้อย่างใกล้ชิด เขากล่าวว่า พวกมันอาศัยอยู่ในหลืบหินใต้น้ำห่างจากฝั่งทะเลสาบ 200 ฟุต


                   2 ปีต่อมาในเมืองบอสตัน ไรนส์นำเอาภาพถ่ายทั้งสีและขาวดำที่ถ่ายไว้ในทะเลสาบมาแสดง ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นครีบใหญ่ที่ติดอยู่กับลำตัวของสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายวัว

    เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับการสำรวจของไรนส์นั่นเอง ทีมอเมริกันอีกคณะหนึ่งก็มาถึงทะเลสาบ ทีมนี้มีสปอนเซอร์เป็นบริษัทวิสกี้ คัตตี้ ซาร์ก โดยมรศาสตราจารย์เจมส์ อัลริช แห่งสถาบันสมิธโซเนียน เป็นผู้ควบคุม อัลริชกล่าวว่า "สัตว์ประหลาดไม่ใช่เรื่องโกหกอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นอะไรบางอย่างจริงๆ" ส่วนสมาชิกคนหนึ่งในทีมของเขากล่าวเสริมว่า "มีสัตว์ประหลาดอยู่ในทะเลสาบอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครเชื่ออย่างจริงจังหรอกว่า สิ่งที่เห็นทั้งหลายนั้นเป็นท่อระบายน้ำ ตอไม้ หรือเศษขนมปังกรอบที่ติดอยู่บนเลนส์กล้องถ่ายรูปของใครบางคน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ผมคิดว่าคงพิสูจน์ความจริงให้เห็นได้อย่างไม่ยากเลย"

    คัตตี้ ซาร์ก จับมือกับลอยด์แห่งลอนดอนในการจ่ายเงิน 1 ล้านปอนด์ ให้กับใครก็ตามที่จับสัตว์ประหลาดมาให้ได้แบบตัวเป็นๆ ก่อนเดือนพฤษภาคม ปี 1972 แต่ก็ไม่ยักกะมีใครจับได้ และทีมงานของอัลริช ก็ได้ใช้เทคนิคต่างๆเช่นเดียวกับการสำรวจของไรนส์ รวมทั้งกลิ่นล่อหรือ "เซ็กส์ คอ็คเทล" ด้วย อย่างไรก็ตาม ความพยายามทั้งหลายก็ไม่ได้ให้ผลงานอะไรที่โดดเด่นไปกว่าคนอื่นที่ผ่านมา

    ในปี 1975 ชาวเอเชียอย่างเราก็ได้ร่วมขบวนกับเขาด้วยเช่นกัน เมื่อชาวญี่ปุ่นชื่อ โยชิโอะ คูโอะ นักธุรกิจเกมส์โชว์อายุ 36 ปี นำทีมแข็งแกร่งถึง 15 ชุด ไปยังทะเลสาบล็อคเนสส์ ซึ่งนักธุรกิจใหญ่จากสมาคมนายธนาคารเป็นผู้จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด และคูโอะคุยว่า ทีมงานของเขาจะส่งเรือดำน้ำ 2 ลำจากโตเกียวลงไปสำรวจ แต่เมื่อเขาดำลงไปเห็นความมืดมิดใต้ทะเลสาบ เขาจึงสั่งยกเลิกโครงการทั้งหมดเสีย

      อย่างไรก็ดีรายงานการพบเห็นเนสสีก็ยังมีอยู่เป็นระยะๆ จนถึงกับมีผู้บันทึกสถิติไว้ว่า ทุก 130 ชั่วโมงที่สังเกตการณ์จะมีผู้พบเห็นเนสสี 1 ครั้ง และแม้จะมีการค้นคว้า ตรวจสอบ หรือสำรวจทะเลสาบ แห่งนี้ด้วยโซนาร์มาหลายต่อ หลายครั้งก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีสัตว์ประหลาดที่ว่าอาศัยอยู่เลยแม้แต่น้อย ความลึกลับของเจ้าเนสสีก็ยังคงถูกซุกซ่อนไว้ใต้ทะเลสาบลึกต่อไปอย่างปลอดภัย และยังคงความลึกลับน่าค้นหาอยู่เสมอ

     

    มันคือตัวอะไร


                    ก็มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านนะครับ

     

    ฝ่ายสนับสนุน

    เซอร์ปีเตอร์ สก็อตส์ ผู้เชี่ยวชาญในการค้นหาร่องรอยของสัตว์ประหลาดยืนยันการมีตัวตนของ "เนสสี" ว่า "อาจมีอยู่ 20-50 ตัวข้างใต้นั่น ผมเชื่อว่ามันอาจเกี่ยวดองกับ Plesiosaurs หรือภาษาไทยคือเพลซิโอซอร์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานไดโนเสาร์ที่ไม่ได้พบเห็นบนโลกมา 7 ล้านปีแล้ว ดังนั้นนักล่าสัตว์ประหลาดเชื่อว่า บรรพบุรุษของเนสสี ถูกตัดขาดจากทะเลเมื่อครั้งทะเลสาบก่อตัวขึ้นตอนสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง ทำให้ทะเลสาบล็อคเนสส์มีความลึกถึง 1,100 ฟุต ลึกกว่าทะเลเหนือเสียอีก และมันกว้างใหญ่ไพศาล กลายเป็นที่อยู่อาศัยอย่างอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการรบกวน จนเนสสีสามารถอยู่รอดปลอดภัยมาได้นับพันๆปี

    แต่ทำไมการเห็นสัตว์ประหลาดจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย หลังจากปี 1933 เป็นต้นมาเล่า? นักล่าสัตว์ประหลาดมีคำอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ถนนที่จอห์น แม็คเคย์และภรรยาขับรถไป จนสังเกตเห็นเนสสีเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 เมษายน 1933 นั้น เป็นถนนที่เพิ่งตัดเสร็จสดๆร้อนๆ และเป็นถนนรอบทะเลสาบสายแรก ซึ่งในการก่อสร้างเส้นทางดังกล่าว หินนับพันๆตันถูกระเบิดลงไปที่ทะเลสาบ และแมกไม้ใบหญ้าที่หนาแน่นปกคลุมชายฝั่งมานานนับศตวรรษก็ถูกตัดทำลายลง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การระเบิดหินได้ทำลายที่อยู่อาศัยใต้น้ำครั้งบรรพการของเนสสี และทำให้มันสูญเสียแหล่งพักพิง จนต้องเตร็ดเตร่ไปในทะเลสาบนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ภูมิประเทศเมื่อ70ล้านปีก่อน ก็ไม่เหมือนกันกับตอนนี้ ทะเลสาบคงมีทางเชื่อมออกสู่มหาสมุทร ซึ่งเป็นบ้านเดิมของเนสสี นานๆไปจับพลัดจับผลูเข้ามาในทะเลสาบโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากมีอาหารการกินอย่างอุดมสมบูรณ์ เวลาผ่านไป ทางออกสู่ทะเลอาจถูกปิดกั้นโดยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เพลซิโอซอร์กลุ่มนี้เลยถูกขังอยู่ในนี้ แม้ว่าญาติๆมันที่อยู่ในทะเลเหนือจะค่อยๆล้มตายด้วยเหตุผลต่างๆบ้าง แต่พวกนี้สามารถดำรงชีพอยู่ด้วยความสุขสบาย ไม่มีศัตรูรุกราน อาหารก็พร้อม

     

    ฝ่ายค้าน

    ผู้เชี่ยวชาญมักจะเจอหลักฐานที่จูงใจว่ามันเป็นเรื่องแหกตาแทบทุกครั้ง โดยเฉพาะไอ้ที่เป็นรูปถ่าย ส่วนมากมักเป็น นาก ไม่ก็ท่อนซุง หมา เป็ด ทำปลอม ฯลฯ

     

     

    http://funky2nd.fateback.com/nessie2.htm

    (ติดตามตอนต่อไป+ +)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×