คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : เนสสี ( Nessie ) ตอนที่ 2
เนสสี ( Nessie )
ทะเลสาบล็อคเนสส์ ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ มีความกว้างกว่าครึ่งไมล์ ยาว 22.5 ไมล์ ริมฝั่งชัน ผาบางส่วนสูงกว่าแปดร้อยฟุต อุณหภูมิน้ำในทะเลสาบสม่ำเสมอทั้งปี
ครั้งเมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว แม่น้ำน้ำแข็งสายสุดท้ายได้กัดเซาะให้เกิดการแยกของหินขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ในแถบไอแลนด์ของสก็อตแลนด์ และเมื่อน้ำแข็งละลายหมดลง รอยแยกยาว 25 ไมล์นั้นก็ขังเจิ่งนองไปด้วยน้ำ และกลายเป็นแอ่งทะลสาปนั้นที่สุด
ถ้าเราไม่พูดถึงเจ้าเนสสีล่ะก็ ทะเลสาบนี้สวยงามน่าดูเลยละ มีทั้งธรรมชาติ สัตว์ป่านาๆ พันธุ์ อากาศก็สดชื่น แสนสงบราบเรียบ
เมื่อมันสวย ทางการก็ไม่รอช้าหวังที่จะเอาทะเลสาบเป็นจุดขาย ให้นักท่องเที่ยวมาเยอะๆ จนต้องมีการสร้างถนนรอบทะเลสาบและเสร็จสิ้นในราวปี 1933
แต่เมื่อสร้างเสร็จแทนที่จุดขายจะเป็นวิวธรรมชาติที่แสนงดงาม.....
กลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
และมันก็ดังไปทั่วโลก
“เนสสี”
....................................
“เนสสี”(บางเว็บเรียกมันว่าเนสซี่) เป็นสัตว์ลึกลับหนึ่งที่อยู่ในทะเลสาบล็อคเนสส์ ซึ่งมีรูปร่างหลายขนาด แต่ส่วนมากแต่ละคนจะเห็นแต่ขนาดยักษ์ทั้งสิ้น โดย จากคำให้การของ พยานที่เคยเห็น พรรณนารูปร่างของเนสซี่ ประมวลออกมาได้ ดังนี้
ความยาว : มากกว่า
ลำตัว : ยาวอย่างน้อย
หัว : เหมือนทากและมีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับลำตัว
คอ : ยาว 4-
ครีบ : 2 ครีบข้างหน้าเล็ก และ 2 ครีบใหญ่อยู่ด้านหลัง
ผิวหนัง : เหมือนทาก สีเทา เงิน และดำ จ้า...
ถึงวงการวิทยาศาสตร์จะคัดค้านตัวตนของสัตว์ประหลาดนี้อยู่บ้าง แต่เนสสีก็ได้รับชื่อทางวิทยาศาสตร์มาซะด้วย นั่นคือ เนซซิเทอรา รอมโบเทอร์ริกซ์ ( Nessitera Rhomboterryx ) ไม่แค่นั้น พจนานุกรมฉบับออกซ์ฟอร์ดที่รู้จักกันก็ระบุความหมายของคำว่า Nessie ไว้ด้วยว่า สัตว์ร้ายแห่งทะเลสาบล็อคเนส เป็นสัตว์ลึกลับที่เชื่อว่าอยู่ในส่วนหนึ่งของทะเลสาบสก็อตแลนด์
ความจริงแล้วจากเนสสีปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนนั้นมีมานานแล้ว ตั้งแต่ปี โน้น ค.ศ. 565 โดยมีหลักฐานเป็นตำนานประหลาดที่รูปร่างคล้ายไดโนเสาร์คอยาว ตาสีแดง น่ากลัว ที่เกิดขึ้นในแถบนั้นมากมาย
โดยหลักฐานครั้งแรกที่พบก็คือตำนานของ เซนต์โคลัมบา ที่กำลังอยู่ในระหว่างเดินทางไปอินเวอร์เนส เพื่อนำคณะนักบวชไปเผยแพร่คริสตศาสนาให้กับพวกฟิคท์ ท่านสั่งให้ผู้ติดตามคนหนึ่ง ว่ายน้ำไปเก็บเรือลำเล็กที่ลอยออกจากฝั่งทะเลสาบกลับมา ขณะที่ชายผู้นั้นเริ่มว่ายน้ำออกไป "สัตว์รูปร่างประหลาดก็โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ" เพียงไม่กี่หลาตรงหน้าชายผู้นั้น เรื่องราวกล่าวไว้เพียงว่า เซ็นต์โคลัมบาเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนั้นพร้อมกับตะโกนว่า "อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้หรือทำอันตรายชายคนนั้น" สัตว์ประหลาดก็หนีไป
ซึ่งต่อมาเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นก็ปรากฏตัวออกมาเรื่อยๆ แต่ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้น ไม่ถึงขั้นโด่งดัง เป็นข่าวใหญ่โตมากนัก(ในขณะนั้น
จนกระทั้งมีการสร้างถนนเพื่อสามารถเดินทางมายังทะเลสาบได้สะดวก
นั้นแหละเจ้าเนสสีก็เลยดังทันที!!
ในปี 1933 สามีภรรยาคู่หนึ่งบอกว่าพบสัตว์ประหลาดคอยาวถึง หกฟุต
วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1933 จอห์น แม็คเคย์ และภรรยาขับรถไปตามถนนตัดใหม่เลียบทะเลสาบล็อคเนสส์ ที่ยามนั้นพื้นน้ำราบเรียบปานกระจก ล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูง ทันใด... มิสซิสแม็คเคย์ก็คว้าแขนสามีอย่างตื่นเต้น
"จอห์น..." เธอเรียกชื่อเขาอย่างกระหืดกระหอบ "นั่นอะไรคะ... โน่นน่ะ?"
พื้นน้ำในทะเลาสาบที่ต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายแวววาวนั้น กำลังพุ้งผุดเป็นฟองคล้ายกับภูเขาไฟคุกกรุ่นอยู่ใต้ผิวน้ำ จอห์น แม็คเคย์ ผู้เป็นเจ้าของโรงแรมในละแวกนั้นเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน เขาและภรรยาเฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัว เมื่อสัตว์ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมา มันเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีคอยาวคล้ายงู สัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาผกผันฟาดฟันพื้นน้ำแตกฟองขาว จากนั้นก็ดำหายไปจากสายตา
รายงานการพบสัตว์ประหลาดครั้งนั้นถูกนำมาใส่ไว้ในข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ นับจากวันนั้นของปี 1933 เป็นต้นมา เนสสียั่วยวนโดยการเล่นเกมส์ซ่อนหากับบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา และนักล่าสัตว์ประหลาดนับพันๆ ซึ่งมีผู้อ้างว่าพบเห็นสัตว์ประหลาดที่ว่องไวราวกับปรอทตัวนี้ มากกว่าสามพันคน
เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่คล้ายคลึงกับประสบการณ์ของสามีภรรยาแม็คเคย์ ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งการที่เห็นสัตว์ประหลาดในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นที่จะสืบสาวราวเรื่องของเนสสีอย่างจริงจัง จนสบโอกาสถ่ายรูปของสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้เป็นครั้งแรก โดยวิศวกรชื่อ ฮิว เกรย์ ขณะเขาเดินทางกลับจากโบสถ์ในวันอาทิตย์ ใกล้ถึงบ้านพักในฟอยเยอร์ ทะเลสาบราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรรบกวน แต่ประมาณ 100 หลาจากฝั่ง เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
"หลังกลมมนและส่วนหางปรากฏขึ้น" เขากล่าวในเวลาต่อมา "และสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่ยาวประมาณ
ภาพถ่ายสัตว์ประหลาดของเกรย์ ถูกส่งไปวิเคราะห์ที่บริษัทโกดัก ซึ่งได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวแต่งเติมกับฟิล์มที่ใช้ถ่าย แต่ภาพสัตว์ประหลาดที่เป็นเงาดำนั้น เป็นหลักฐานที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก
ปีถัดมาก็ปรากฏภาพถ่าย ที่มีชื่อเสียงมาก ที่เรียกว่า The Surgeons Photo เพราะถ่ายโดยหมอผ่าตัดจากลอนดอนชื่อ รอเบิร์ต เคนเนธ วิลสัน เป็นรูปสัตว์คอยาวโผล่เหนือน้ำ เรียกสัตว์ ตัวนั้นว่า เนสสี ( Nessie ) ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายนปี 1934
ในตอนนั้นวิลสันและเพื่อนคนหนึ่งกำลังขับรถเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบล็อคเนสส์ เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเขาหวังว่าคงได้ถ่ายภาพสัตว์ป่าไว้ได้บ้าง
ศัลยแพทย์และเพื่อนร่วมเดินทาง ขับรถมาตลอดกลางคืน และตัดสินใจหยุดพักแรมใกล้กับอินเวอร์มอร์ริสัน ขณะที่วิลสันนั่งเหยียดขาอยู่ริมทะเลสาบนั่นเอง หัวเล็กๆของสัตว์ชนิดหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา เขากระโจนกลับไปที่รถ คว้ากล้องถ่ายรูปเอามาไว้บันทึกภาพได้ชุดหนึ่ง ซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงส่วนหัวและคอ ที่สะโอดสะองและลำตัวของมันเห็นเลือนลางอยู่ใต้ผิวน้ำ
ภายนี้ถูกเฉยไปให้สาธารณะชน และถึงมือบรรดาผู้เชี่ยวชาญได้ลงความเห็นว่า ยังคงเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของเนสสีเท่าที่เคยมีมา (ต่อมาถูกจับได้ว่าเป็นของปลอม)
นอกจากนี้ยังมีภาพอีกมากมายอีกหลายรูป แต่ส่วนมากผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่าจริงๆแล้วเป็นเพียงท่อนซุง แมวน้ำ นก นาก หรือว่าเรือที่ลอยคว่ำอยู่ในน้ำ แต่ความจริงเป็นสิ่งใดก็ตาม รายงานและรูปภาพของสัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสส์เหล่านั้น ก็เป็นสาเหตุให้ทั่วโลกบังเกิดความตื่นเต้น อยากรู้ อยากเห็น
ในไม่ช้าทะเลสาบก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักวิทยาศาสตร์ นักล่า นักเรียนและนักหลอกลวง ชาวบ้านร้านตลาด พากันไปทำธุรกิจอาหารและที่พักอย่างเป็นล่ำเป็นสันและอึกทึกครึกโครม
เบอร์แทรม มิลส์ หัวหน้าคณะละครสัตว์เสนอรางวัล
ในปี 1933 มิเชล เวทเธอเรลล์ สมาชิกของบริเทนโฮลี่-เรสเปดเทด ซูโลจิคอล โซไซตี้ เขาพบรอยเท้าของสัตว์ประหลาดบนชายฝั่งทะเลสาบ เวทเธอเรลล์กล่าวว่า "มันเป็นสัตว์สี่เท้าซึ่งเท้าหรือครีบกว้าง
และแล้วแบบพิมพ์รอยเท้าที่หล่อโดยปูนปลาสเตอร์ก็ถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติกลางกรุงลอนดอน หลังจากการตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่า "มันเหมือนกับรอยเท้าของฮิปโปโปเตมัส" และต่อมาพบว่า เท้าของฮิปโปที่ถูกทำให้แห้ง หายไปจากพิพิธภัณฑ์ที่อินเวอร์เนส ห่างจากทะเลสาบออกไปเพียง 2-
การเห็นสัตว์ประหลาดที่สร้างความตื่นเต้นจำนวน 3 ครั้ง ได้ถูกรายงานไว้ในปี 1933 และ 1934 สองครั้งแรกพบเห็นโดยชาวบ้านในละแวกทะเลสาบ ส่วนครั้งที่สามพบเห็นโดยนักธุรกิจชาวลอนดอน ต่อไปนี้คือความรู้สึกของนักข่าวอิสระของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อเล็กซานเดอร์ แคมเบลล์ พรรณาถึงสิ่งที่เขาพบเห็นใต้ตอนกลางวันของเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1434
ขณะที่ผมออกจากกระท่อมติดทะเลสาบนั้น สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็โผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ มันยาวประมาณ
"ผมเห็นสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบล็อคเนสส์ และเฝ้ารอดูอยู่ราวๆ 20 นาที หัวแลคอยื่นออกมาทำมุม 45 องศากับพื้นน้ำ ด้านล่างของลำคอที่อวบหนานั้นเป็นสีน้ำเงิน จมูกเชิด เมื่อเครื่องยนต์เรือดังใกล้เข้ามา สัตว์ประหลาดก็ค่อยๆจมหายไปอย่างช้าๆ"
มีคำบอกเล่าของพยานอีกรายที่แตกต่างกันออกไป เป็นเรื่องราวของผู้อำนวยการบริษัทแห่งหนึ่งในลอนดอน จอร์จ สไปเซอร์ ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์น่าฟังเช่นกัน
"ผมและภรรยากำลังท่องเที่ยวไปตามชายฝั่งทะเลสาบ เมื่อเห็นสัตว์ที่ไม่ธรรมดาเดินข้ามถนนห่างออกไป 200 หลาข้างหน้า เฉพาะคอของมันยาว มีขนาดใหญ่กว่าลำตัวของช้างเล็กน้อย ลำตัวมโหฬารสูงประมาณ
นักล่าสัตว์ประหลาดรายอื่นๆรายงานว่า ได้เห็นมันอ้าปาก บ้างก็ว่ามันมีแผงคอคล้ายม้า ชาวชนบทคนหนึ่งอ้างว่า ได้เข้าใกล้ชิดกับสัตว์ประหลาดถึงขนาดมองเห็นหยดน้ำร่วงหล่นจากผิวหนังคล้ายเกล็ด ขณะที่มันสะบัดตัว (อะไรจะขนาดนั้น เพ่..) ต่อมาในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1934 กิตติศัพท์ของเนสสี แผ่กระจายกว้างไกลออกไปมาก จนพอที่จะสร้างความสนใจให้กับ จอห์น เอิร์นเนสต์ วิลเลียมสัน ชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้า ของการถ่ายภาพใต้ผิวน้ำ เขามาถึงล็อคเนสต์พร้อมกับอุกรณ์ที่เรียกว่า โฟโต้ สเฟียร์ ที่มีรูปร่างกลมพร้อมหน้าต่างสมชื่อ เมื่อเครื่องมือนี้ดำอยู่ในน้ำ เขาจะนั่งอยู่ในเก้าอี้เพื่อถ่ายภาพสิ่งต่างๆที่อยู่ใต้น้ำ
ฟังดูน่าสนใจแฮะ แต่สิ่งที่วิลเลียมสันไม่รู้มาก่อนก็คือ ใต้ระดับ 30 ฟุตลงไปในทะเลสาบนั้น มีสภาพมืดมัวเป็นสีน้ำตาลและค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดเหมือนหมึกดำ ถึงขนาดสปอตไลท์ที่มีกำลังแรงยังไม่สามารถทำอะไรได้ ความมืดมิดของท้องน้ำนี้มีสาเหตุมาจาก อนุภาคของถ่านหินชนิดร่วนที่ถูกชะล้างลงมาจากภูเขา สู่ทะเลสาบเป็นเวลานานหลายพันปี ในที่สุดวิลเลียมสันก็ยกเลิกแผนการด้วยความหัวเสีย และเดินทางกลับบ้านในที่สุด
ตลอดทั้งปี 1960 และ 1970 การไล่ล่าสัตว์ประหลาดยังคงเป็นกีฬาสำคัญของสหราชอาณาจักร และเนสสีกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของสก็อตแลนด์ และใช่ว่าจะมีแต่ภาพนิ่งเท่านั้นนะครับ มีผู้ถ่านภาพยนต์มันได้อีกหลายราย แต่คงไม่ต้องเจาะทุกราย เอาที่เด็ดๆก็คือภาพยนต์ของ ทิม ดินสเดล ที่ถ่ายได้ในปี1960 ภาพยนต์เรื่องนี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป(ทิมเปี้ยนไป๋) เขาลาออกจากวิศวกรนักเดินเรืออากาศ ลงทุนซื้อเรือลำหนึ่ง ตระเวนล่าเนซซีอย่างเอาเป็นตาย เขียนหนังสือเกี่ยวกับเนซซีถึง3เล่ม และยังถ่ายรูปเนซซีได้อีกเป็นกอง(มันง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ)
ภาพยนต์ของดินสเดล ได้สร้างความตืนตัวในเรื่องนี้อย่างผิดคาดครับ มีการก่อตั้งสำนักงานสืบสวนค้นคว้าหาอสุรสัตว์แห่งล็อคเนส หรือ Loch Ness Phenomena Investigation Bureau เพื่อดำเนินการค้นคว้าอย่างเอาจริงเอาจังในปีเดียวกันนี้เอง และยังมีองค์กรทางเอกชนอีกมากมายที่ให้ความสนใจ มีการใช้โซนาร์ เครื่องบินล่าทางอากาศ ไปจนเรือติดกล้องถ่ายรูป ทั้งนี้ก็เพื่อตามหาเจ้าเนซซีนี่แหละครับ แต่...พวกเขากลับไม่ประสบความสำเร็จเลยครับ จนปี1970 ก็มีการบันทึกภาพยนต์เนซซีได้อย่างจังๆอีกครั้ง โดยนาย
ส่วนใหญ่เราจะพบข่าวเจอเนซซีอยู่แต่ในน้ำ แต่อย่าคิดว่ามันจะขึ้นบกไม่ได้นะครับ มีพยานหลายคนอ้างว่าพบเห็นมันขึ้นมานอนอาบแสงจันทร์ในยามวิกาล หรือไม่ก็เดินต้วมเตี้ยมตามฝั่งก็บ่อยไป อย่างเช่นในปี1934 อาเธอร์ แกรนท์ หวิดขับรถชนเจ้ายักษ์ที่ขึ้นมาเดินเล่นบนริมทางมาแล้ว และเขาก็สามารถเห็นครีบขาหน้าทั้งสองได้อย่างชัดเจน ต่อมาในปี1960 นาย
เพราะความลึกลับและน่าค้นหาของมันทำให้มีผู้คิดค้นในการตามล่าเจ้าเนสสีตัวนี้หลากหลายวิธี เช่น เช่น การลากเนสสีด้วยตาข่ายเหล็กที่มีราคา
ในปี 1969 การบุกรุกทะเลสาบล็อคเนสส์ของชาวอเมริกันก็ได้เริ่มต้นขึ้น แดน เทย์เลอร์ อดีตลูกเรือของเรือดำน้ำแห่งกองทัพเรือสหรัฐจากแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ใช้เวลา 5 ปีกับเงินอีก
ในปี 1970 ดร.
2 ปีต่อมาในเมืองบอสตัน ไรนส์นำเอาภาพถ่ายทั้งสีและขาวดำที่ถ่ายไว้ในทะเลสาบมาแสดง ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นครีบใหญ่ที่ติดอยู่กับลำตัวของสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายวัว
เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับการสำรวจของไรนส์นั่นเอง ทีมอเมริกันอีกคณะหนึ่งก็มาถึงทะเลสาบ ทีมนี้มีสปอนเซอร์เป็นบริษัทวิสกี้ คัตตี้ ซาร์ก โดยมรศาสตราจารย์เจมส์ อัลริช แห่งสถาบันสมิธโซเนียน เป็นผู้ควบคุม อัลริชกล่าวว่า "สัตว์ประหลาดไม่ใช่เรื่องโกหกอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นอะไรบางอย่างจริงๆ" ส่วนสมาชิกคนหนึ่งในทีมของเขากล่าวเสริมว่า "มีสัตว์ประหลาดอยู่ในทะเลสาบอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครเชื่ออย่างจริงจังหรอกว่า สิ่งที่เห็นทั้งหลายนั้นเป็นท่อระบายน้ำ ตอไม้ หรือเศษขนมปังกรอบที่ติดอยู่บนเลนส์กล้องถ่ายรูปของใครบางคน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ผมคิดว่าคงพิสูจน์ความจริงให้เห็นได้อย่างไม่ยากเลย"
คัตตี้ ซาร์ก จับมือกับลอยด์แห่งลอนดอนในการจ่ายเงิน 1 ล้านปอนด์ ให้กับใครก็ตามที่จับสัตว์ประหลาดมาให้ได้แบบตัวเป็นๆ ก่อนเดือนพฤษภาคม ปี 1972 แต่ก็ไม่ยักกะมีใครจับได้ และทีมงานของอัลริช ก็ได้ใช้เทคนิคต่างๆเช่นเดียวกับการสำรวจของไรนส์ รวมทั้งกลิ่นล่อหรือ "เซ็กส์ คอ็คเทล" ด้วย อย่างไรก็ตาม ความพยายามทั้งหลายก็ไม่ได้ให้ผลงานอะไรที่โดดเด่นไปกว่าคนอื่นที่ผ่านมา
ในปี 1975 ชาวเอเชียอย่างเราก็ได้ร่วมขบวนกับเขาด้วยเช่นกัน เมื่อชาวญี่ปุ่นชื่อ โยชิโอะ คูโอะ นักธุรกิจเกมส์โชว์อายุ 36 ปี นำทีมแข็งแกร่งถึง 15 ชุด ไปยังทะเลสาบล็อคเนสส์ ซึ่งนักธุรกิจใหญ่จากสมาคมนายธนาคารเป็นผู้จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด และคูโอะคุยว่า ทีมงานของเขาจะส่งเรือดำน้ำ 2 ลำจากโตเกียวลงไปสำรวจ แต่เมื่อเขาดำลงไปเห็นความมืดมิดใต้ทะเลสาบ เขาจึงสั่งยกเลิกโครงการทั้งหมดเสีย
อย่างไรก็ดีรายงานการพบเห็นเนสสีก็ยังมีอยู่เป็นระยะๆ จนถึงกับมีผู้บันทึกสถิติไว้ว่า ทุก 130 ชั่วโมงที่สังเกตการณ์จะมีผู้พบเห็นเนสสี 1 ครั้ง และแม้จะมีการค้นคว้า ตรวจสอบ หรือสำรวจทะเลสาบ แห่งนี้ด้วยโซนาร์มาหลายต่อ หลายครั้งก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีสัตว์ประหลาดที่ว่าอาศัยอยู่เลยแม้แต่น้อย ความลึกลับของเจ้าเนสสีก็ยังคงถูกซุกซ่อนไว้ใต้ทะเลสาบลึกต่อไปอย่างปลอดภัย และยังคงความลึกลับน่าค้นหาอยู่เสมอ
มันคือตัวอะไร
ก็มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านนะครับ
ฝ่ายสนับสนุน
เซอร์ปีเตอร์ สก็อตส์ ผู้เชี่ยวชาญในการค้นหาร่องรอยของสัตว์ประหลาดยืนยันการมีตัวตนของ "เนสสี" ว่า "อาจมีอยู่ 20-50 ตัวข้างใต้นั่น ผมเชื่อว่ามันอาจเกี่ยวดองกับ Plesiosaurs หรือภาษาไทยคือเพลซิโอซอร์ เป็นสัตว์เลื้อยคลานไดโนเสาร์ที่ไม่ได้พบเห็นบนโลกมา 7 ล้านปีแล้ว ดังนั้นนักล่าสัตว์ประหลาดเชื่อว่า บรรพบุรุษของเนสสี ถูกตัดขาดจากทะเลเมื่อครั้งทะเลสาบก่อตัวขึ้นตอนสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง ทำให้ทะเลสาบล็อคเนสส์มีความลึกถึง
แต่ทำไมการเห็นสัตว์ประหลาดจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย หลังจากปี 1933 เป็นต้นมาเล่า? นักล่าสัตว์ประหลาดมีคำอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ถนนที่จอห์น แม็คเคย์และภรรยาขับรถไป จนสังเกตเห็นเนสสีเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 เมษายน 1933 นั้น เป็นถนนที่เพิ่งตัดเสร็จสดๆร้อนๆ และเป็นถนนรอบทะเลสาบสายแรก ซึ่งในการก่อสร้างเส้นทางดังกล่าว หินนับพันๆตันถูกระเบิดลงไปที่ทะเลสาบ และแมกไม้ใบหญ้าที่หนาแน่นปกคลุมชายฝั่งมานานนับศตวรรษก็ถูกตัดทำลายลง ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การระเบิดหินได้ทำลายที่อยู่อาศัยใต้น้ำครั้งบรรพการของเนสสี และทำให้มันสูญเสียแหล่งพักพิง จนต้องเตร็ดเตร่ไปในทะเลสาบนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ภูมิประเทศเมื่อ70ล้านปีก่อน ก็ไม่เหมือนกันกับตอนนี้ ทะเลสาบคงมีทางเชื่อมออกสู่มหาสมุทร ซึ่งเป็นบ้านเดิมของเนสสี นานๆไปจับพลัดจับผลูเข้ามาในทะเลสาบโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากมีอาหารการกินอย่างอุดมสมบูรณ์ เวลาผ่านไป ทางออกสู่ทะเลอาจถูกปิดกั้นโดยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เพลซิโอซอร์กลุ่มนี้เลยถูกขังอยู่ในนี้ แม้ว่าญาติๆมันที่อยู่ในทะเลเหนือจะค่อยๆล้มตายด้วยเหตุผลต่างๆบ้าง แต่พวกนี้สามารถดำรงชีพอยู่ด้วยความสุขสบาย ไม่มีศัตรูรุกราน อาหารก็พร้อม
ฝ่ายค้าน
ผู้เชี่ยวชาญมักจะเจอหลักฐานที่จูงใจว่ามันเป็นเรื่องแหกตาแทบทุกครั้ง โดยเฉพาะไอ้ที่เป็นรูปถ่าย ส่วนมากมักเป็น นาก ไม่ก็ท่อนซุง หมา เป็ด ทำปลอม ฯลฯ
http://funky2nd.fateback.com/nessie2.htm
(ติดตามตอนต่อไป+ +)
ความคิดเห็น