ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #44 : Umineko no Naku Koro ni เมื่อแม่มดคิดจะลองดีกับมนุษย์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.73K
      10
      19 เม.ย. 54


                    เดี๋ยวนี้การ์ตูนไม่ไร้สาระเหมือนเมื่อก่อนแล้ว การ์ตูนสมัยนี้ได้สอดแทรกทฤษฏีและความเป็นวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น จนคนดูต้องอึ้งว่านี้มันการ์ตูนหรือนี้??(ว่าแต่ใครแนะนำการ์ตูนเรื่องนี้ในบทความผมหว่า??)

     

     

    Umineko no Naku Koro ni

    แนว ดราม่า, สยองขวัญ, ลึกลับ, จิตวิทยา, แอ็คชั่นแฟนตาซี, สืบสวน, ปรัชญา, งงเป็นหย่อมๆ

    คลิป http://video.mthai.com/player.php?id=18M1247244497M0

    หนังสือการ์ตูน http://www.onemanga.com/Umineko_no_Naku_Koro_ni/

     

                    Umineko no Naku Koro ni  หรือแว่วเสียงนางนวล, สิ้นเสียงนางนวล หรือ แว่วเสียงเรไรภาคสอง(ถูกขนานนามอย่างไม่เป็นทางการ เนื่องจากทีมงานผู้สร้างทีมเดียวกันและมีตัวละครในเรื่องหน้าเหมือนตัวละครจากแว่วเสียงเรไรแบบคุ้นๆ หน้า) เป็นเกมนิยายภาพมาก่อนเป็นโดจินชิแนวสืบสวนสยองขวัญที่ผลิตโดย 07th expansion เกมนี้บทแรกได้วางขายครั้งแรกในงาน Comiket 72 จำหน่ายในวันที่ 17 สิงหาคม 2007 โดยใช้เล่นในคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีหนังสือการ์ตูน 22 ธันวาคม 2007 ใน Gangan Powered เขียนโดย Kei Natsumi และ อมิเนชั่น  26 ตอนจบ ซึ่งเรื่องนี้ดังมากครับ ขนาดในไทยยังมีเว็บสำหรับการ์ตูนเรื่องนี้โดยเฉพาะมีการเลกเปลี่ยนข้อมูลกันต่างๆ นาๆ แต่เรื่องที่จะเอามาพูดในบทความนี้เป็นอมิเนชั่นล้วนๆ ครับ

                    
                    Umineko no Naku Koro มีเนื้อเรื่องดำเนินแบบฆ่ายกเกาะหรือคินดะอิจิเปี๊ยบ คือเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 และ 5 ตุลาคม 1986 บนเกาะที่ชื่อว่า"รคเค็นจิมะ" เมื่อหัวหน้าตระกูลอุชิโรมิยะที่ร่ำรวย มั่งคั่งและอำนาจซึ่งเป็นเจ้าของและอาศัยอยู่ในเกาะได้ล้มป่วยลง หมอส่วนตัวบอกว่าจะอยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือน เขาจึงได้จัดงานรวมญาติให้บรรดาลูกๆ หลานๆ ทั้งหมด 11 ชีวิต มารวมตัวกันประชุมพูดคุยกันระหว่างครอบครัว(เรื่องธุรกิจ,เรื่องมรดก)บนเกาะแห่งนี้ โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่

                    วันที่ 4 ตุลาคม บนเกาะแห่งนี้ไม่มีเสียงนกนางนวลร้องเลย เพราะพายุเริ่มก่อตัวขึ้น(แววฆาตกรรมยกเกาะเริ่มโชยมาเลยวุ้ย) ระหว่างที่เหล่าลูกๆ ตระกูลอุชิโรมิยะถกเถียง เอาเรื่องส่วนตัวมาเผากันอย่างเมามันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีจดหมายลึกลับจากคนที่อ้างตัวว่าเป็น แม่มดทองคำเบอาตรีเชแห่งเกาะรคเค็นจิมะ (Rokkenjima) ในเนื้อหาจดหมายบอกว่าเธอเป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าตระกูลอุชิโรมิยะ และตอนนี้หน้าที่ได้หมดลงแล้ว เธอจึงขอเก็บดอกเบี้ยทั้งหมด หากแต่สามารถยกเลิกเรื่องดังกล่าวได้หากใครคนใดคนหนึ่งแก้ปัญหาปริศนาทองคำที่จารึกในโครงของตระกูลที่นำพาไปสู่ “หมู่บ้านทองคำ” ที่ซ่อนอยู่ได้ และเมื่อคนในตระกูลอุชิโรมิยะได้ยินเรื่องดังนี้ก็สนใจอย่างมาก..........

                    วันที่ 5 ตุลาคม เป็นอย่างที่คาด พายุไต้ฝุ่นเข้ามายังเกาะแห่งนี้ , โทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งสัญญาณวิทยุถูกตัดขาดทำให้เกาะแห่งนี้ถูกปิดตายจากโลกภายนอกในที่สุด แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับตระกูลอุชิโรมิยะ หากแต่ว่าพวกเขาช็อกเมื่อพวกเขาได้พบเหตุการณ์ฆาตกรรมที่น่าสยดสยองขนพอง ที่มีการฆาตกรรมสมาชิกและคนรับใช้ตระกูลอุชิโรมิยะรวดเดียวถึง 6 คนในคืนเดียว สภาพศพบ่บอกถึงความโหดร้ายทารุณป่าเถื่อนเกินกว่ามนุษย์จะทำได้ อีกทั้งสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องปิดตาย ประตูล็อก หน้าต่างถูกปิดอย่างแน่นหนา  

                    ในระหว่างที่หลายๆ คนสับสนและระแวงกันนั้นเอง ก็มีเหยื่อถูกฆาตกรรมคนแล้วคนเล่า ศพรายที่เจ็ด...ศพรายที่แปด...ศพรายที่เก้า.....ศพรายที่สิบ....ทุกศพล้วนถูกฆาตกรรมในห้องปิดตาย ไร้ร่องรอยหลักฐาน และสภาพศพพิศวง จนหลายคนเชื่อว่านี้เป็นคดีเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเวทย์มนต์แม่มดทองคำเบอาตรีเชเท่านั้นที่ทำได้ หากแต่มีคนหนึ่งไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้นั้นคืออุชิโรมิยะ แบทเลอร์พระเอกของเรานั้นเอง เขาเชื่อว่าคดีเหล่านี้เป็นฝีมือของมนุษย์ ฆาตกรคือหนึ่งใน 18 ชีวิตในเกาะแห่งนี้แหละ!!

                    เมื่อสิ้นสุด วันที่ 5 ตุลาคม(00.00 น.) เหล่าที่รอดชีวิตเพียงหยิบมือก็เชื่อแล้วว่าแม่มดและเวทย์มนต์มีอยู่จริงยอมรับในตัวเบอาตรีเชแต่โดยดี  แต่กระนั้นตัวแบทเลอร์ก็ยังไม่ยอมรับเรื่องนี้ เขาได้ท้าว่าให้แม่มดทองคำเบอาตรีเชปรากฏตัวต่อหน้าเขา เขาจึงจะยอมเชื่อ

                    และแล้วก็ปรากฏเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อแม่มดทองคำเบอาตรีเช ปรากฏตัวให้พระเอกเห็น และบอกว่าตนเองแหละอยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมทั้งหมด โดยตนใช้เวทมนต์เปิด-ปิดล็อกประตูปิดตายและฆ่าคนด้วยตนเอง

                    อย่างไรก็ตามพระเอกไม่เชื่ออยู่ดี และท้าแม่มดว่า “แกมันก็แค่จินตนาการเสริมแต่งเท่านั้นแหละ ฉันขอท้าแก ว่าคดีนี้ไม่ใช้ฝีมือของเวทย์มนต์หากแต่เป็นฝีมือของมนุษย์ ฉันจะพิสูจน์ให้แกเห็นเอง”

                    แม่มดแม่มดทองคำเบอาตรีเชได้ยินคำพูดก็นึกสนุก เธอจึงรับคำท้า “แค่แกคนเดียว...แกคนเดียวเท่านั้น หากแกยอมรับฉัน พิธีกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ ได้ฉันขอรับคำท้าแก มาเล่นเกมส์กันเลย เล่นให้พอใจ จนกว่าแกจะเชื่อว่าเวทย์มนต์มีอยู่จริง!!

                    และแล้วการเล่นสงครามจิตวิทยา,การดิ้นรนเอาชีวิตรอด ระหว่างแม่มด? และ มนุษย์? ก็เกิดขึ้น ใครจะเป็นฆาตกรที่แท้จริงในเรื่องนี้ก็ติดตามต่อไป(เอาเองเถอะ)

                   
                    
    ต่อไปขอแนะนำตัวละครเล็กน้อย(แนะนำคนในตระกูลอุชิโรมิยะกับคนใช้และตัวละครสำคัญในเรื่องก็พอ)

                   

                    อุชิโรมิยะ คินโซ(Ushiromiya Kinzo) เป็นหัวหน้าตระกูลอุชิโรมิยะ ที่สร้างตัวจากครอบครัวเล็กๆ กลายมาเป็นอภิมหาเศรษฐี แต่ในช่วงปั้นปลายสุดท้ายเขาล้มป่วยลงด้วยโรคที่รักษาไม่หาย และเขารู้ตัวดีว่าจะจากโลกนี้ไปในไม่ช้า เขาศึกษาค้นคว้าเวทมนต์และ เรียกตัวลูกๆ หลานๆ มารวมญาติที่เกาะแห่ง เขาเกลียดชังบรรดาลูกๆ ทั้ง 4 คนมาก จนเปรียบเทียบว่ามันอีแร้งรุมทึ้งสมบัติ เขามีความปรารถนาอยากเจอ เบอาตรีเชแม่มดทองคำอีกครั้ง

                    ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ที่ว่าผมอยากต่อยคินโซสักหมัด ตัวเองเลี้ยง-สอนลูกให้เป็นอย่างงี้เองยังมาบอกว่าเกลียดซังเหล่าลูกอีก จากเรื่องที่นำเสนอคินโซแต่งงานกับภรรยาที่ไม่ได้เกิดความรัก(เขาหลงรักเบอาตรีเช) และเมื่อเหล่าลูกๆ เกิดมาเขาก็ไม่รักลูกไปด้วย เขาสอนลูกแบบขีดเส้น, เข้มงวด และเลี้ยงโดยไม่ใช้ความรัก ผลออกมาเหล่าๆ ลูกต่างประสบปัญหาเรื่องชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานกันถ้วนหน้า มันไม่ใช้ความผิดของเหล่าลูกๆ เลย หากแต่เป็นความผิดของพ่อที่เลี้ยงดูต่างหาก หรือแม้กระทั้งปั้นปลายก็ไม่วายให้เกลียดขี้หน้าอีกที่เขาหลอกพวกลูกๆ หลานๆ ให้มาที่นี้เพื่อมาเหยื่อสังเวยแม่มดทองคำ นิสัยเสียจนหยดสุดท้ายจริงๆ(ในบทที่ 4 บอกว่าเขาตายก่อนหน้าที่ญาติๆจะมาเกาะนี้แล้ว)

                   

                    อุชิโรมิยะ เคลาส์ (Ushiromiya Krauss) บุตรลูกชายโตของคินโซ อายุมากที่สุดในบรรดาลูกทั้งสี่ เป็นนักลงทุน แต่ล้มเหลวจากการลงทุน เลยมาเป็นผู้จัดการมรดกของบิดาแทน จน ถูกเหล่าน้องๆ ประชดว่าพยายามฮุบมรดกบิดา โดยความจริงแล้วลึกๆ เคลาส์ก็เป็นห่วงเหล่าน้องๆ เหมือนกัน  ครอบครัวเคลาส์เป็นครอบครัวเดียวที่อาศัยในคฤหาสน์ของคินโซ

                   

                    อุชิโรมิยะ นัตสึฮิ (Ushiromiya Natsuhi) ภรรยาของเคลาส์ ไม่มีสายเลือดของอุชิโรมิยะแต่กระนั้นเธอก็ภูมิใจในตระกูลอุชิโรมิยะ หน้าที่เธอส่วนมากมักดูแลความเรียบร้อยของตระกูลแทนสามี ทำให้เธอมักเครียดในการวางตัวเสมอ  และบ่อยครั้งที่เธอมักมีปัญหาทะเลาะกับคนอื่นๆในตระกูลอุชิโรมิยะเสมอ

                   

                    อุชิโรมิยะ เจสซิก้า (Ushiromiya Jessica) เด็กสาววัยรุ่นอายุ 18 ปี ลูกสาวคนเดียวของเคลาส์และนัตสึฮิ ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลอุชิโรมิยะดังนั้นจึงเข้มงวดเป็นพิเศษ ทำให้เธอไม่ชอบแม่ตัวเองเท่าไหร่นักและยังไม่สนในตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูล นิสัยเธอดูเหมือนเป็นคนเข้มแข็งแต่ข้างในอ่อนแอ และเธอแอบชอบคานอนคนรับใช้ประจำตระกูล

                   

                    อุชิโรมิยะ เอวา(Ushiromiya Eva) บุตรสาวคนโตของคินโซ และอายุมากเป็นอันดับสองในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ แม้ว่าเธอจะแต่งงานแล้ว แต่ยังสามารถให้สามีเปลี่ยนนามสกุลตระกูลของเธอได้ เธอเป็นคนฉลาดเจ้าเล่ห์ และมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเป็นอริกับพี่ชายและพี่สะใภ้เนื่องจากตอนเด็กๆ โดนพี่ชายแกล้ง แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ไม่ได้เกลียดพี่ชายถึงอยากจะฆ่าแกงหรอก

                   

                    อุชิโรมิยะ ฮิเดโยชิ (Ushiromiya Hideyoshi) เป็นสามีของเอวา ทำธุรกิจเจ้าของธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟูดขนาดกลางที่กำลังประสบความสำเร็จอย่างมาก มีนิสัยร่าเริงและมักเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเมื่อเกิดการทะเลาะกันระหว่างพี่น้องทั้งสี่  

                    ถึงแม้ฮิเดโยชิจะเป็นชายร่างอ้วนลงพุง หน้าตาไม่ได้หล่อเหล่าอะไรมากมาย ดูแล้วไม่น่าเหมาะสมกับเอวาเลย แต่จากที่ดูๆ แล้วเขาก็เป็นสามีที่ดี เขารักเป็นห่วงเอวามากกว่าใครๆ ซึ่งคนเขียนชอบฉากที่เขาสั่งสอนเอวา(ตอนเป็นแม่มด)มาก เหมือนพ่อสอนลูกแบบน่ารักยังไงไม่รู้ แต่น่าเสียดายการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอว่าทั้งคู่เจอกันและรักกันได้ยังไง

                   

                    อุชิโรมิยะ จอร์จ (Ushiromiya George) คุณชายแว่น เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเอวากับฮิเดโยชิ(ทำไมหน้าไม่เหมือนพ่อแม่หว่า??) อายุ 23 ปี มีอายุมากที่สุดในบรรดาหลานๆ ของคิโซ  มีบุคลิกเนี๊ยบ คุณชายผู้เพรียบพร้อมทั้งมารยาทและสติปัญญา และมักได้รับการยกย่องจากพวกญาติๆ ในด้านวุฒิภาวะ เขากำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยพร้อมทั้งทำงานในบริษัทของบิดาไปด้วย เขาสนใจในตัวชานอนอย่างจริงจัง ดูเหมือนเป็นตัวละครเด่น แต่ไปๆ มาๆ เนื้อเรื่องที่นำเสนอกลับไม่เด่นเลยซะนี้ บทตายนี้ ตายง่ายจริงๆ พับผ่า

                   

                    อุชิโรมิยะ รูดอลฟ์ (Ushiromiya Rudolf ) ลูกชายคนที่ 2 ของคินโซที่มีอายุมากเป็นอันดับ 3 จากทั้งหมด เป็นพ่อของแบทเลอร์พระเอกของเรื่อง หลังจากที่ภรรยาคนแรกของเขาเสียไปก็แต่งงานใหม่ทันที  เขาแยกตัวออกไปจากตระกูลอุชิโรมิยะอยู่พักหนึ่ง เขาชอบแต่งตัวเหมือนเพลย์บอย มีข่าวลือว่าเขาเจ้าชู้ และหน้าที่การงานที่ไม่ค่อยดีนัก ชอบหนังคาวบอยตะวันตก

                   

                    อุชิโรมิยะ คิริเอะ(Ushiromiya Kyrie) คิริเอะเป็นภรรยาคนที่สองของรูดอลฟ์ อดีตเคยเป็นเพื่อนร่วมงานของรูดอลฟ์มาก่อน ท่าทางของเธอเป็นคนสุขุมและนักวางแผนที่ฉลาดและวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดี มีความริษยาภรรยาเก่าของรูดอลฟ์พอสมควร ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแบทเลอร์เปรียบเสมือนพี่สาว-น้องชายมากกว่าจะเป็นแม่เลี้ยง-ลูกเลี้ยง ซึ่งแบทเลอร์ก็เคารพตัวเธอพอสมควร

                    ผมชอบคิริเอะในฉากสั่นสอนเลเวียนธาน(ริษยา)  ในเรื่องที่ว่าอย่าดูถูกมนุษย์มากนัก ฉันนะมีความแค้นและริษยามากกว่าเธออีกย่ะ

                   

                    อุชิโรมิยะ แบทเลอร์(Ushiromiya Battler) เป็นพระเอกของเรื่อง  ไว้ทรงแปลกๆ สีแดงสะดุดตา เขาเป็นลูกชายของรูดอลฟ์กับภรรยาคนแรก มีอายุ 18 ปีเท่ากับเจสสิก้า เป็นเด็กหนุ่มที่มีนิสัยหัวแข็งไม่ชอบยอมแพ้ แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน เขามักเรียกพ่อว่า “ตาแก่” หลังจากที่มีเรื่องทะเลาะกับพ่อทำให้เขาไม่ได้มาประชุมตระกูลเป็นเวลาหกปี แต่โดยรวมๆ แล้วเขาก็รักพ่อ  หลังจากที่เกิดคดีฆาตกรรมขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆ ในเรื่องเริ่มที่จะเชื่อเรื่องเวทย์มนต์ของ  "เบอาตรีเช" แบทเลอร์กลับพยายามที่จะใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายคดีฆาตกรรมว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ เขาท้าเบอาตรีเซเล่นเกมส์จิตวิทยา และต่อสู้กับเธอมายาวนานถึง 12 ปี นอกจากนี้เขายังมีพลังต่อต้านเวทมนต์ 999,999,999(ไร้ขีดจำกัด) ทำให้ไม่มีเวทย์มนต์ใดๆ ทำอันตรายต่อเขาได้ แต่กระนั้นเขาก็เกือบเสียทีเบอาตรีเชหลายครั้ง เขามักยกเรื่องทฤษฏีพลิกกระดานมาใช้แก้ปัญหาเสมอ ส่วนความฉลาดของเขานั้นยังเป็นปริศนา(หัวช้ากว่าคินดะอิจิ, ไม่ไขคดีเร็วเท่าโคนัน, ไม่ฉลาดแกล้มโกงเหมือนไลท์ ไม่คิดตรรกะเหมือนโทมะ Q.E.A)

                    ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ที่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้ไม่เน้นชีวิตพระเอกเท่าไหร่ ผมไม่รู้ปูมหลังพระเอกว่าเป็นคนยังไง อยู่โรงเรียนเป็นยังไง อารมณ์ร้อนหรืออารมณ์เย็น พ่อเขาเอาใจใส่เลี้ยงดูไหม แม่ของเขาเป็นยังไง จนถึงตอน 20 ผมก็ยักจะไม่เห็น ขนาดเรื่องแว่วเสียงเรไรยังนำเสนอปูมหลังพระเอกเลย(ผมเดาว่าคงจะนำเสนอภาคเฉลยละมั้ง)

                   

                    อุชิโรมิยะ โรซ่า (Ushiromiya Roza) เป็นลูกสาวคนสุดท้องของคินโซ มีสิทธิมีเสียงในตระกูลน้อยเมื่อเทียบกับพี่ๆ ของเธอ โดยปกติมีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อยต่อหน้าเหล่าพี่ๆ และหลานๆ แต่ต่อหน้า ลูกสาว (มาเรีย) ถ้าลูกทำอะไรเป๋อๆ และก็เธอจะใช้ความรุนแรงตบตีสั่งสอนลูกประจำ จนแทบเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยทีเดียว แต่โดยรวมเธอก็รักลูก แต่รักแบบผีเข้าผีออก เธอเป็นผู้บริหารกิจการออกแบบซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก เรื่องราวเกี่ยวกับสามีของเธอยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดและไม่มีใครในตระกูลกล้าเอ่ยถึง และเธอมีข่าวลือหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเธอเรื่องการคบผู้ชาย

                   

                    อุชิโรมิยะ มาเรีย (Ushiromiya Maria) ลูกสาวอายุเก้าขวบของโรซา มาเรียมีความสนใจในเรื่องเวทมนตร์และแม่มดมาก รวมถึงยังเชื่อและศรัทธาในตำนานของเบอาตรีเชอย่างแรงกล้า ซึ่งอาจทำให้เธอไม่มีเพื่อนที่โรงเรียน และยังมีเรื่องกับโรซาผู้เป็นแม่บ่อยๆ ด้วย แต่โดยรวมเธอก็เป็นเด็กสาวผู้แสนซื่อไร้เดียงสา ร่าเริง  มีคำพูดติดปากก็คือ "อูว์ อูว์"เวลาพูดเรื่องเวทย์มนต์เธอจะทำหน้าตาน่ากลัว

                    ทั้งเรื่องพยายามนำเสนอเรื่องสองแม่ลูกนี้เหลือเกิน(จนผมเอียนไปข้าง ไม่รู้จะเน้นอะไรหนักหนา ทำไมไม่เอาสมาชิกคนอื่นๆ บ้างเนอ หรือว่า........) บทก็นำเสนอ ตายบ้าง ไม่ตายบ้าง เป็นแม่มดบ้าง จากที่เห็นแม่ของมาเรียไม่ใส่ใจลูกมากนัก ปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพัง และไม่ส่งตัวลูกไปโรงเรียนด้วย(กลัวโดนคนอื่นรังแก) ทำให้เด็กอยู่ตัวคนเดียว ขาดการพัฒนาการทางปัญญาและจิตใจ ขาดเพื่อน ขาดสังคม ทำให้ต้อง สร้างโลกส่วนตัว สร้างเพื่อนในจินตนาการ และมีนิสัยเหมือนเด็กที่ไม่ยอมโต

                   

                    นันโจ เทรุมาสะ (Nanjo Terumasa) แพทย์ประจำตัวของคินโซ เพื่อนสนิทและเพื่อนหมากรุกของคินโซ ดูเหมือนจะเป็นหมอใจดี สงบเสงี่ยม

                   

                    โรโนเอ เกนจิ (Ronoue Genji) หัวหน้าคนรับใช้ในคฤหาสน์ของคินโซ เคร่งครัดต่อหน้าที่ และซื่อสัตย์ต่อตระกูลอุชิโรมิยะ ท่าทางเขาจะมีฝีมือต่อสู้พอสมควร

                   

                    ชานอน (Shanon) สาวใช้น่ารักที่เหมาะจะเป็นดารามากกว่า เธอทำงานในคฤหาสน์ของคินโซ ชื่อจริงของเธอ คือ ซาโย เธอเป็นคนใจดีและเชี่ยวชาญเรื่องงานบ้าน แต่ตัวตนของเธอยังเป็นปริศนา เธอมักเปรียบตัวเองเป็น “เครื่องเรือน” เหมือนน้องชาย  เธอมีความรู้สึกแอบจอร์จแต่ก็ไม่กล้าบอก เพราะฐานะต่างกัน จากภาพอดีตดูเหมือนเธอจะมีเวทมนต์ด้วย(เมดกายสิทธิ์เรอะ??)

                   

                    คานอน (Kanon) น้องชายของชานอน คนรับใช้หนุ่มหน้าสวยในคฤหาสน์ของคินโซ ชื่อจริงยังไม่ปรากฏและตัวตน ที่มาของเขายังเป็นปริศนา เป็นคนที่จริงจังกับงานมาก ทำตามที่เจ้านายสั่งอย่างเคร่งครัด เขาแอบชอบเจสซิก้า แต่เขามักพูดอยู่เสมอว่าเป็นเครื่องเรือนไม่ตีเสมอกับมนุษย์ จากภาพอดีตดูเหมือนเขาจะมีเวทมนต์ด้วย

                   

                    โกดะ โทชิโระ (Goda Toshiro) ชายร่างบึกเป็นคนใจดีกว่าที่คิด เป็นคนทำอาหารในคฤหาสน์ของคินโซ ภูมิใจในรสชาติอาหารของตนมาก เขาถูกจ้างมาโดยเคลาส์และนัตสึฮิ จึงมีลำดับชั้นที่ต่ำกว่าคนใช้คนอื่น ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานเป็นพ่อครัวโรงแรมดังมาก่อน

                   

                    คุมาซาวะ จิโยะ (Kumasawa Chiyo) แม่บ้านชรา ชอบมุกตลก บทค่อนข้างน้อย

                   

                    แม่มดทองคำเบอาตรีเช(Beatrice) แม่มดแห่งเกาะรคเค็นจิมะ ที่มีอายุกว่าพันปี ไร้รูปร่าง  ตัวตนเธอยังเป็นปริศนาที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่มีจริงกันแน่ เธออ้างว่าตนเป็นฆาตกรในคดีนี้โดยใช้เวทย์มนต์ และรับคำท้าพระเอก เข้าสู่วังวนแห่งการต่อสู้จิตวิทยา(ที่ยาวนานถึง 12 ปี) เธอเป็นคนสวยมีเสน่ห์ ท่าทางสูงศักดิ์   มีเวทย์มนต์ที่แกร่งกล้า สามารถคืนชีพมนุษย์และสามารถย้อนเวลาได้ เป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ เอาแต่ใจ และนิสัยป่าเถื่อนโหดเหี้ยม ซาดิสต์ แต่กระนั้นเธอก็เก่งเรื่องการพูดโน้นนาวจิตใจคน มีปีศาจหัวแพะและเหล่าลูกสมุนที่เรียกว่า "เครื่องเรือน" เป็นลูกน้อง ตอนแรกรับคำท้าพระเอกเพราะคิดว่าสนุกดี แต่หลังๆ ก็แอบชอบพระเอกนิดๆ จนเผยนิสัยที่น่ารักให้เห็นเหมือนกัน  

                    

                    อุชิโรมิยะ แองจี (Ushiromiya Ange) ลูกสาวของรูดอลฟ์กับคิริเอะ เป็นน้องสาวต่างมารดาของแบทเลอร์ เป็นเด็กมีปัญหา เธอไม่ได้เข้าเข้าร่วมวันรวมญาติจึงไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเกาะเกาะรคเค็นจิมะ จนกระทั้ง 12 ปีต่อมาเธอพยายามไขปริศนาคดีปริศนานี้ให้ได้ เพื่อให้ครอบครัวของเธอกลับคืนมา การปรากฏตัวของเธอนำมาพร้อมกับการปรากฏตัวละครใหม่อีกหลายๆ ตัว จนคนเขียนบทความเริ่มหน่ายๆ กังวลว่ามันจะเพิ่มตัวละครทำไมกันนัก กันหนาเนี้ย

                    ที่จริงตัวละครมีเยอะกว่านี้มาก แต่ผมไม่อยากจะจำเท่าไหร่ ขนาดเหล่า “เครื่องเรือน” ลูกน้องของเบอาตรีเช ผมยังไม่จำเลย ใครเป็นใครก็ไม่รู้ ตัวละครบางตัวไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ด้วยซ้ำไป แม้กระทั้งน้องสาวพระเอกที่เป็นตัวละครสำคัญตอนท้ายเรื่องผมก็ไม่อยากจะพูดถึงสักเท่าไหร่ จึงขอให้ทุกคนจำตัวละครที่ผมแนะนำแค่นี้ก็พอแล้วครับ ผมไม่นั่งจำแบบแฟนพันธุ์แท้หรอก อันนี้เวอร์ไป

                    สรุปคือตัวละครตระกูลอุชิโรมิยะและเหล่าคนใช้เป็นคนดีทุกคน(ยกเว้นคิโซ) แม้ว่าบางคนจะมีนิสัยเสียไปบ้าง แต่ก็เป็นนิสัยเสียที่มนุษย์ควรจะมี โลภมาก ทำผิดบ้าง มันเป็นปกติธรรมดาของมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่เกิดมาสมบูรณ์เพียบพร้อม มีจิตใจประเสริฐดั่งเทพเจ้าไม่ปานหรอก

                    หลังจากได้ดูตอน 1- 20 รู้ไหมครับผมรู้สึกยังไง ตอนแรกการ์ตูนออกมาแนวคินดะอิจิ ต่อมาก็เป็นแนวปรัชญาเถียงกันในเรื่องวิทยาศาสตร์และเวทย์มนต์ ไปๆ มาๆ กลายเป็นเป็นสงครามแฟนตาซีเวทมนต์ และสุดท้ายกลายเป็นศึกชิงมรดกเลือด!!

                    เออ....จะเรียกว่าออกทะเลดีเปล่าหว่า ไม่ออกความเห็นละกัน ตามความเห็นผมนะครับ เอารูปแบบสองหัวข้อแรก(คินดะอิจิ+ปรัชญา)  ตัดฉากสงครามเวทย์มนต์ออก ตัดตัวละครเหล่ามหาบาป, เครื่องเรือน และเหล่าแม่มดทั้งหลายออก(เหลือแต่เบอาตรีเช) เรื่องนี้จะอร่อยเหาะสุดยอด!!

                    การ์ตูนเรื่องนี้มีสิ่งที่ผมชอบและไม่ปะปนกัน ที่ชอบคือแนวคิดที่นำเสนอ มีการสอดแทรกทฤษฏีต่างๆ  ส่วนที่ไม่ชอบก็มี เช่น ลำดับความสำคัญการดำเนินเนื้อเรื่องผิด ลำดับความสำคัญของตัวละครผิด ผมว่าควรนำเสนอเหล่าครอบครัวอุชิโรมิยะมากกว่า ให้เสนอปูมหลังให้หมดทุกคนเลยตามกฎของนิยายนักสืบ แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้พยายามเน้นครอบครัวของมาเรีย เรื่องน้องสาวพระเอก และเรื่องราวเวทย์มนต์อภินิหารมากเกินไป(ไม่รู้จะเน้นอะไรนักหนา) ใส่ตัวละครเยอะไปหน่อย(ขนาดแว่วเสียงเรไรยังน้อยเลย) ทำให้ผมได้หงุดหงิดเป็นหย่อมๆ เอาเถอะโดยรวมๆ ก็สนุกดีครับ ลองดูแบบอดทน อย่าอุทานแบบผมนะครับ ที่ว่า "อ๊าค นี้มันแนวสอบสวน หรือสงครามแฟนตาซีนี้"

                    รวมสิ่งที่สังเกตในการ์ตูนเรื่องนี้(ฉบับคนเขียน)

                   

                    คฤหาสน์ตระกูล อุชิโรมิยะ คฤหาสน์นี้มีต้นแบบอยู่จริงครับ ไปดูกูเกิลมา คฤหาสน์นี้มีชื่อว่า แมนชั่น Kyu Furukawa Gardens อยู่ในเมืองคิตะกรุงโตเกียว โดยเจ้าของที่ชื่อ Furukawa Ichibei เขาได้สร้างคฤหาสน์สไตล์ยุโรปบนเนินเขาเล็กๆ ทางเหนือ และข้างหน้ามีสวนใจกลางโดยใช้การจัดสวนแบบเรขาคณิต ออกแบบโดย Jihei Ogawa นักออกแบบที่มีชื่อเสียงในเกียวโต แสดงว่าอเมเนชั่นเรื่องนี้ใส่ใจรายละเอียดนะเนี้ย(ภาพเอาแต่ของจริงมาให้ดู ขี้เกียจเอารูปคฤหาสน์ในอมิเนชั่นมาเปรียบเทียบครับ หายากชิบเป๋ง)

                   

                    สวนดอกไม้ครับ เหมือนในอมิเนชั่นไหมละ ปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วยครับ ค่าชมสวนดอกกุหลาบในราคา 150 เยน สวยมาก ปิดตอนวันหยุดปีใหม่ นักท่องเที่ยวเยอะ

                   

                    มีการจับคู่ตัวละครในเรื่องนี้ว่าหน้าเหมือนคนดังด้วยครับ ลองเข้าเว็บนี้ดูครับ ตลกดี

                    http://www.atalude.net/2009/10/30/umineko-no-hollywood-koro-ni/

                    ผมดาวน์โหลดการ์ตูนเรื่องนี้ 1-20  ซับไทย เพลงไตเติ้ลนี้สุดอลังการจริงๆ ทำนองเหมือนมันจะพิพากษาอะไรสักอย่าง ซึ่งผมฟังหลายรอบมาก เพลงเพราะจริงๆ ให้ดิ้นตาย

                    เปิดฉากออกมาเป็นฉากรวมญาติ(Episode 1 Legend of the Golden Witch) ใครที่มีญาติเยอะและมีวันรวมญาตินี้มาเห็นคงคิดถึง ภาพที่เราได้พบบรรดาลูกพี่ลูกน้อง พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์กัน พูดเรื่องงานอดิเรก เรื่องส่วนตัว และเล่นเกมส์กันนี้สนุกสนานกันทั่วหนา แต่สำหรับบางคนงานรวมญาติมันน่าเบื่อสิ้นดีและเหมือนกับนรกชัดๆ ที่ต่างฝ่ายต่างอวดความฉลาดของตนและทับถมคนที่อ่อนกว่าด้อยกว่าอย่างไม่ไว้หน้า(พอดีผมอยู่อันหลังนะ แถมวันที่ 31 ธันวา ญาติจะมาเที่ยวบ้านอีก โครตเซ็งเป็ด)

                    ส่วนฉาก Umineko no Naku Koro ni(Episode 1 Legend of the Golden Witch) นั้นเป็นการรวมญาติในตระกูลที่ร่ำรวย ที่ประดาคนในตระกูลและเหล่าลูกๆ หลานๆ มาพร้อมกันบนเกาะส่วนตัว เหล่าหลานๆ ก็เล่นกันตามประสาเด็กๆ ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี เพราะว่าต่างคนต่างยังไม่ได้มีความรับผิดชอบเรื่องการเงินหรือสังคมเท่าไหร่ เลยไม่มีเรื่องกังวลใจแต่อย่างใด

                    แต่สำหรับพวกผู้ใหญ่นี้สิ พูดคุยกันเครียดเป็นบ้า.....

                    พอดีผมมีประสบการณ์เรื่องนี้(พอดีอยู่ในเหตุการณ์) เรื่องลูกๆ ทะเลาะกันเรื่องมรดกนี้แหละ ใครไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนี้นะ ไม่รู้หรอกว่ามันนรกขนาดไหน เพราะว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันท่าเดียว เรื่องเงินนะไม่เข้าใครต่อใคร พ่อแม่ตายเผาไม่กี่วัน พี่น้องก็มาถกเถียงเรื่องเงินงานศพซะแล้ว พ่อแม่ที่อยู่ในโลกหน้านี้คงดีใจพิลึกละ

                    ฉากพี่น้องพูดเรื่องมรดกในการ์ตูนเรื่อง Umineko no Naku Koro ni นี้บ่บอกเลยว่าเหล่าลูกๆ รักพ่อขนาดไหน(พ่อก็ทำตัวเป็นที่น่านับถือต่อลูกเหลือเกิน ลูกมาทั้งที่ก็ไม่ออกมาพบ) พ่อจะตายอีกไม่ถึง 3 เดือนนี้แทนที่จะระลึกถึงความดีของพ่อที่ทำให้ตระกูลยืนหยัดถึงทุกวันนี้ กลับกลายเป็นการพูดคุยแบ่งมรดกซะนี้ และเมื่อพูดไปพูดมาปรากฏว่าแบ่งยังไงก็ไม่ลงตัว ต่างฝ่ายต่าง สาวไส้ให้กากิน แฉเรื่องเงินๆ ทองๆ ของอีกฝ่ายอย่างเมามัน (ใครที่มีญาติๆ รวยๆ คงเห็นฉากนี้ในชีวิตจริงบ่อยๆ หรือพวกหนังไทยนี้เห็นจนเอียน) ก่อนที่จะลามไปถึงสายเลือด

                    ที่น่าสนใจคือสัญลักษณ์ตระกูลอุชิโรมิยะ เป็นรูปปีกนกสีทอง โดยสัญลักษณ์นกนั้น ก็นิยมปรากฏในจิตรกรรม และสถาปัตยกรรมทั่วโลก พูดถึง นก ก็ต้องนึกถึงความเป็นอิสระ ทั้งนี้ไม่รวมถึงความหมายต่างๆ แล้วแต่ชนิดของนก เช่น นกพิราบสีขาวเปรียบเสมือนสันติภาพ นกฟินิกซ์หมายความเป็นอมตะ นกยูงหมายถึงวัฒนธรรม หรือนกอีกาหมายถึงความลึกลับ ลางร้าย เป็นต้น

                    สัญลักษณ์ปีกนกสีทอง ถ้าพูดถึงนกสีทองก็นกสวรรค์แห่งเงินทอง(วายุภักษ์ปักษา) และความสุข แต่เท่าที่เห็นบรรยากาศการสนทนาของเหล่าลูกๆ ของคิโซ ดูเหมือนว่าชีวิตแต่ละคนจะเปรียบเหมือนนกที่ถูกขังในกรงทองมากกว่า เพราะต่างคนต่างไม่มีความอิสระ ไม่มีความสุขเสียเลย ทุกคนถูกขังอยู่ในวังวนแห่งทองคำ ชื่อเสียงและเงิน และทุกคนอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

                    แต่ยังไม่ทันจะเปิดศึกชิงมรดกเลือด ฉากฆาตกรรมต่อเนื่องก็ตามมา ผมดูฉากฆาตกรรมครั้งแรกก็อึ้งเลยว่า อะไรจะบ้าพลังขนาดนี้!!  สิ่งที่ผมคิดไม่ใช้เรื่องห้องปิดตาย เพราะว่าผมอ่านนิยายสืบสวนหลายๆ เรื่อง สำหรับทริคห้องปิดตายนั้นมันเป็นขนมสำหรับผม สำหรับผมแล้วสิ่งที่ผมพิศวงคือฆาตกรมันทำได้ไงที่ฆ่ารวดเดียว 6 รายในคืนเดียว?? ทำได้ไง?? ไม่มีร่องรอยต่อสู้หรือดิ้นรนของเหยื่อเลยเหรอ?? ถ้าสมมุติฆาตกรคนเดียวมันทำได้อย่างไร??(หรือเหยื่อยินยอมให้ฆาตกรฆ่าหรือเปล่า??) และฆาตกรยังทำเรื่องป่าเถื่อนต่อศพอีก ทำเพื่ออะไร?? เป็นเพราะฆาตกรโรคจิตเหรอ?? แค่เรื่องเงินทองถึงกับฆ่าอย่างโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยเหรอ??

                    คำตอบนั้นมีอยู่ในใจผมของผมแล้ว หากแต่การ์ตูนไม่ได้เน้นสอบสวนเหมือนคินดะอิจิหรือโคนันแต่อย่างใด เพราะในสถานการณ์แบบนี้ใครมันจะมานั่งคิด นั่งพิจารณา ทำตัวนักสืบสมัครเล่น ฆาตกรเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ในกลุ่มเราก็ไม่น่าจะใช้ ก็ทุกคนเป็นคนดีทั้งนั้นเลยนี้(อย่างน้อยบรรดาญาติๆ เหล่านี้ก็ทำตัวน่าเคารพเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆ)  อีกทั้งเห็นภาพศพที่น่าสยดสยองแบบนี้แล้วก็รู้เลยว่าศพอื่นๆ จะต้องตามมาอีกแน่นอน

                    
                    จากนั้นก็ดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จของนิยายแนวกาธาคริสตี้ ฆ่ายกเกาะ(
    Agatha Christe and Then There Were None) ที่ตอนแรกๆ นั้นไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับตัวละครในเรื่อง(มันจะผูกพันในบทต่อๆ มา) ซึ่งบทแรกนั้นจะเน้นโครงเรื่องที่ซับซ้อน ความพิศวงของแต่ละเหตุการณ์ เริ่มมากขึ้นจนคิดไม่ตก ในแต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้นล้วนเกิดในห้องที่ปิดตาย และบางเหตุการณ์ตัวละครทุกตัวสามารถอ้างฐานที่อยู่ในขณะที่เกิดคดีฆาตกรรมทุกคน และเมื่อตัวละครตายไปทีละคนๆ ทั้งคนดูและตัวละครในเรื่องก็รู้สึกหวาดระแวงและสะพรึงไปพร้อมๆ กับตัวละครที่เหลือ...ความรู้สึกเครียด เอาใจช่วย บรรยากาศทำให้รบกวนจิตใจผสมกับความเชื่อเรื่องเวทมนต์คาถา เรื่องราวที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ทำให้ชวนติดตามว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อถึงเวลา 00.00 น.ตามบทกลอนที่เขียนเอาไว้(ในนิยายอกาธาคริสตีนั้นใช้จำนวนตุ๊กตาอินเดียแดงเป็นตัวแทนของเหล่าเหยื่อ) และเนื้อเรื่องบทที่หนึ่งจะดำเนินเรื่องก็เหมือนนิยายคือเหตุการณ์ที่เกิดไหลลื่นรวดเร็วมาก จบอย่างอึ้งจนคาดไม่ถึงไม่ทันตั้งตัวว่าอะไรเป็นอะไร สุดท้ายแม้กระทั้งตอนจบของบทที่หนึ่งก็ไม่วายดันไปเหมือนนิยายฆ่ายกเกาะนี้อีกคือฉากจดหมายในขวดลอยน้ำที่อธิบายเรื่องการฆาตกรรมอย่างถี่ยิบ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกแต่อย่างใดเลยที่คนชมตอนแรกๆ ที่เคยอ่านนิยายอกาธาคริสตี้จะรู้สึกว่าในบทแรกนี้อาจมีตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในเรื่องอาจแกล้งตายเป็นศพเหมือนคนร้ายในนิยายฆ่ายกเกาะก็ได้

                    แต่แล้ว หลังจากการปรากฏตัวของแม่มดทองคำเบอาตรีเช และเข้าสู่วังวนของเกมส์จิตวิทยา การดำเนินเรื่องนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เบอาตรีเชนั้นมีอายุกว่าพันปี แต่นิสัยนั้นไม่สมกับอายุพันปีเลย เธอดูถูกมนุษย์อย่างรุนแรง มองมนุษย์เป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ดั่งมดปลวก และคิดจะลองดีมนุษย์(อุชิโรมิยะ แบทเลอร์) โดยสัญลักษณ์เบอาตรีเช เป็นผีเสื้อสีทอง ซึ่งสัญลักษณ์ผีเสื้อนั้นเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง ซึ่งมีนัยถึงการให้กำเนิดสัญลักษณ์และความงดงาม สัญลักษณ์ของการมีชีวิตสืบเผ่าพันธุ์(ลูก) และความหวัง แต่ดูเหมือนว่าสัญลักษณ์ของเธอนั้นจะตรงข้ามกับนิสัยของเธอ(สัญลักษณ์ผีเสื้อ สำหรับญี่ปุ่นแล้ว ผีเสื้อเปรียบเสมือนวิญญาณของคนตาย)

                    เมื่อแม่มดปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาคุณ คุณจะเชื่อในสิ่งเห็นไหม คำตอบคือเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็มันปรากฏต่อหน้าเราแล้วนี้จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไร แต่แบทเลอร์พระเอกของเรื่องกลับไม่เชื่อ เขาไม่คิดจะยอมแพ้ และเลือกเอาชนะแม่มดด้วยการพิสูจน์ว่านี่คือฝีมือของมนุษย์ ทั้งๆ ไม่รู้ว่าผลลัพท์ของเกมส์นี้จะเป็นอย่างไร??

                    จากนั้นเบอาตรีเชก็ให้โอกาสพระเอก(หลายครั้ง) เธอได้พาเขาย้อนเวลาเจาะอดีตเพื่อให้พระเอกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง โดยแบ่งเป็นหลายๆ บท

                    Episode 2 Turn of the Golden Witch

                    Episode 3 Banquet of the Golden Witch

                    Episode 4 Alliance of the Golden Witch

                    Episode 5 End of the Golden Witch

                    Episode 6 Dawn of the Golden Witch

                    
                    ตอนแรกก็ผมว่า เมื่อย้อนอดีตผมคงจะสามารถหาคำตอบที่ไม่สามารถอธิบายได้ในช่วงต้นๆ ของเรื่อง คนร้ายอยู่ในคนทั้ง 18 คนหรือไม่(รวมทั้งพระเอกก็น่าจะเป็นฆาตกรได้เช่นกัน) คนร้ายคือมนุษย์หรือแม่มดกัน หรือคนทั้ง 18 คนรวมหัวกันฆ่าตัวตายและจัดฉากขึ้น
    ?? และที่ซ่อนทองคำหนักกว่า 18 ตันอยู่ที่ไหนกันแน่

                    แต่ดูเหมือนการ์ตูนจะไม่ใส่เรื่องเหล่านั้น ซึ่งตอนแรกผมนึกว่าผมจะได้ดูฉากเหล่านี้อีกครั้งพร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่ลึกซึ้งขึ้น แต่ปรากฏว่าเรื่องกับซับซ้อนขึ้น เพราะ แต่ละบทนั้นเหตุการณ์จะแตกต่างกันกับบทแรกอย่างสิ้นเชิง มีจำนวนคนตายและลำดับการตายแตกต่างกัน อย่างเช่นหนูมาเรียที่รอดมาได้ในบทที่ 1 แต่กลับมาตายอนาถในบทที่ 3 แถมแต่ละบทนี้ยังมีการเพิ่มฉากเวทย์มนต์คาถา อิทธิปาฏิหาริย์การต่อสู้ระหว่างพวกไม่ใช้คน บาเรีย ปีศาจ คำสาป การฟื้นคืนชีพ ใส่เข้าไปด้วย

                    แต่เรื่องราวเวทย์มนต์ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตาและข้อมูลเท็จที่เบอาตรีเชที่นำมาใช้เพื่อการล้างสมอง แม้เธอจะดูถูกมนุษย์แต่เธอก็รู้วิธีการกำหราบมนุษย์ โดยมนุษย์เราหากป้อนข้อมูลย้ำคิดย้ำทำอยู่แบบนี้อยู่บ่อยๆ ครั้งๆ จากเรื่องโกหกก็สามารกลายเป็นเรื่องจริงได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วในโลกแห่งความเชิง เช่นเกาหลีเหนือที่ล้างสมองประชาชนโดยให้ข้อมูลผิดๆ ว่าอเมริกานั้นเป็นอสูรกายที่พร้อมจะฆ่าคนเกาหลีเหนือ วิธีที่จะรอดคือการอยู่ฝ่ายรัฐบาลเผล็ดการ หรือจะเป็นพวกจอมโจรแถมประเทศแอฟริกาที่ปล้นฆ่าหมู่บ้านแล้วจับเด็กไปเลี้ยงดูและฝึกสอนให้เป็นพวกโจรที่ไม่กลัวตาย เป็นต้น

                    ดังนั้นสิ่งที่แบทเลอร์พยายามต่อต้านการล้างสมองเหล่านั้นคือ การหาหลักฐานมาโต้แย้งว่าการมีตัวตนของแม่มดนั้นไม่มีจริง หากเขาโต้เถียงไม่ได้แสดงว่าการล้างสมองของแม่มดจะเสร็จสมบูรณ์  

                    เราจะเห็นเบอาตรีเชพยายามเอาชนะมนุษย์คนนี้เหลือเกิน แต่เธอคงจะเริ่มหลงลืมลักษณะพิเศษของมนุษย์ อย่างหนึ่ง คือ ยิ่งมนุษย์แพ้มากๆมนุษย์ยิ่งเรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์แก่ตน ยิ่งสู้มากคนที่แพ้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง  สะสมแรงแค้นและเริ่มร้ายกาจขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งช่วงหลังๆ การขับเคี่ยวระหว่างแม่มดและมนุษย์ยิ่งทวีเข้มข้นขึ้น แถมบทที่ 3 แบทเลอร์ยังมีการเทศนาสั่งสอนเบอาตรีเชจนหน้าหงิกเหมือนกัน(หรือว่าเบอาตรีเชจะแกล้งทำหว่า) จนเรียกว่าต่างฝ่ายสูสีกินกันไม่ลง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าสองบทแรกแบทเลอร์เอาแต่ก้มหน้าหงิกๆ และเกือบโดนล้างสมองโดยสมบูรณ์

                    จากที่เราเห็นในการ์ตูน สองบทแรกพระเอกแบทเลอร์แพ้อย่างหมดรูป ในบทที่ 1 พระเอกยังไม่ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแม่มด แต่เขาก็ไม่มีเครื่องพิสูจน์ความจริงของเหตุการณ์นี้ เนื่องจากพระเอกยังไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะเกิดรวดเร็วเกินไปไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันหาหลักฐาน  ส่วนบทที่ 2 แม้เบอาตรีเชจะเพิ่มตัวช่วยโดยให้ตัวอักษรสีแดง คือตัวอักษรนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าสิ่งที่ตนพูดเป็นเรื่องจริงเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าตัวช่วยเหล่านั้นกลายเป็นกับดักที่พระเอกต่อสู้ยากลำบากยิ่งขึ้น พระเอกยังไม่เข้าใจในกติกาไม่สามารถใช้มันเป็นประโยชน์ได้ นอกจากนี้ข่าวสารและข้อมูลที่ไม่รู้จริงหรือเท็จต่างกระหน่ำเข้ามาในโสตประสาทของพระเอกอย่างไม่ยั้ง  และเมื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ นานๆ ก็เริ่มยอมรับ และเกือบแพ้โดยชิ้นเชิง หากแต่ได้สติอีกครั้งจากการเห็นการต่อสู้ของแม่ของมาเรีย และมีโอกาสโต้คืนได้บ้างในบทที่ 3

                    
                    ดูเผินๆ จะเหมือนว่านี้เป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และแม่มด แต่ความจริงแล้วนี้คือการต่อสู้ระหว่างศาสนา(ความเชื่อภูตผี)และวิทยาศาสตร์ต่างหาก

                    ศาสนาในที่นี้หมายถึงความเชื่อในแม่มด และวิทยาศาสตร์ในที่นี้คือความไม่เชื่อในแม่มด โดยมีหัวข้อที่เรียกว่าการฆาตกรรมในห้องปิดตายที่มันไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด มาเป็นหัวข้อในการโต้เถียง โดยคนที่คนที่เชื่อในแม่มด ก็ต้องบอกเป็นฝีมือแม่มดอย่างไม่ต้องสงสัยโดยใช้สื่อและเหตุการณ์ปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเพื่อให้คนเชื่อ(เช่น ประตูล็อกโดยกุญแจที่เปิดห้องอยู่ที่ศพ) ส่วนคนที่ไม่เชื่อในแม่มดก็ต้องบอกว่านี้เป็นฝีมือคนต่างหากเวทมนต์ไม่มีในโลกหรอก และอธิบายโดยใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้จริง(คดีห้องปิดตาย ใช้ทริค โดยการสลับเปลี่ยนกุญแจ เป็นต้น)

                     สิ่งที่น่าสนใจคือพระเอกการ์ตูนเรื่องนี้ช่างจิตแข็งจริงๆ ไม่ว่าจะเห็นเวทมนต์ต่อหน้าต่อตา หรือจะเป็นการวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดเหตุ ซ้ำแล้วซ้ำดูภาพพ่อและเหล่าญาติๆ ที่น่าเคารพตายอย่างโหดเหี้ยมทุกช็อตทุกลีลา เป็นคนธรรมดามาเห็นภาพนี้ก็คงจะบ้าประสาทเสียไปนานแล้ว ทำไมพระเอกแบทเลอร์ถึงครองสติอยู่ได้

                    เรื่องนี้ก็มีคำอธิบายเหมือนกันตามหลักศาสนาพุทธ นั้นคือแบทเลอร์มีสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิ สติก็มา สติมาก็เกิดปัญญา และเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆ ให้รอบคอบ พิจารณาเหคุ พิจารณาผล วิเคราะห์เหตุและผลว่าสอดคล้องกันหรือไม่ และทำให้หายกลัว .....และสิ่งที่ตามมาก็คือ การไม่กลัวตาย

                    นอกจากนี้การ์ตูนเรื่องนี้ยังสอดแทรกทฤษฏีต่างๆ ที่ผมดูแล้วทึ้งเหมือนกันเมื่อไปค้นหาความหมายทฤษฏีเหล่านั้น  แสดงว่าเหล่าแม่มดและคนในอุชิโรมิยะฉลาดสุดๆ เลยนะครับ เพราะบางทฤษฏีนี้เป็นเรื่อง ฟิสิกส์ที่อธิบายให้เข้าใจยากเหมือนกัน แถมตัวละครบางตัวก็ยึดติดทฤษฏีแต่ละทฤษฏีอย่างเหนียวแน่น บางคนคนก็ใช้ทฤษฏีเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในเรื่องต่างๆ เช่น ในบทที่ 3 ที่แม่มดพยายามเล่นนอกเกมส์โดยยกทฤษฏีอนาคตบอกให้แองจีล้มเลิกความตั้งใจไขคดีนี้ เป็นต้น

                    พลิกกระดาน ถ้าเป็นการ์ตูนอีกเรื่องก็เรียกว่า พลิกเกมส์ เป็นคำศัพท์ในการเล่นหมากรุก โดยเกิดขึ้นเมื่อ สถานการณ์ของฝ่ายเรากำลังเสียเปรียบสุดๆ และกำลังจะจนมุม แต่แล้วภายในตาเดียว(พริบตา) เพียงคุณวางหมากตัวหนึ่งนี้ออกไป ฝ่ายตรงข้ามก็เสียเปรียบทันที  แน่นอนทฤษฏีนี้ไม่ใช้อาศัยเพราะโชคเท่านั้น ยังต้องอาศัยการคาดเดา มองการณ์ไกลว่าคู่ต่อสู้จะวางหมากตรงไหน(มองข้ามตา) เข้าทำนองว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”ซึ่งทฤษฏีนี้สามารถนำมาใช้กับเหตุการณ์อื่นๆ ได้ เช่น การต่อสู้ในศาล ที่ฝ่ายผู้ต้องหากำลังได้เปรียบ แต่พออัยการชูหลักฐานชิ้นหนึ่งขึ้นมา ผู้ต้องหาก็จนมุมทันที เป็นต้น

                    ถ้าผมจำไม่ผิดทฤษฏีนี้อุชิโรมิยะ คิริเอะเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนนะครับ และแบทเลอร์ก็ยึดมั่นกับทฤษฏีนี้เหลือเกิน แต่ขอโทษครับ ใช่ว่าทฤษฏีนี้นำมาใช้จะดีเสมอไป เนื่องจากทฤษฏีนี้ก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน อย่างที่เราเห็นในการ์ตูนเมื่อแบทเลอร์พูดทฤษฏีนี้ขึ้นมาพร้อมคำอธิบาย แต่เบอาตรีเชก็โต้กลับได้ทุกครั้ง เนื่องจากทฤษฏีนี้จำเป็นต้องมีหลักฐานมากที่สุด แต่หลักฐานที่พระเอกมีนั้นน้อยเกินไป และอย่าลืมว่าศัตรูก็ไม่ใช้คนโง่ เพราะเบอาตรีเชก็คิดแบบแบทเลอร์เหมือนกัน ประมาณว่า “ตรูรู้น่าว่าเอ็งต้องมามุกนี้” ดังนั้นถ้าจะให้แบทเลอร์ใช้ทฤษฏีนี้แบบมีประสิทธิภาพละก็ควรคิดข้ามช็อต สัก 2- 3 ตา มีแผน 2 ก็ต้องมีแผน 3 เป็นต้น

                    พิสูจน์ปีศาจ (Probatio Diabolica, Devil’ Proof) หมายถึงการพิสูจน์ให้"บางอย่าง"ไม่เป็นจริง ยังจะยากไปกว่าการพิสูจน์ให้"บางอย่าง"ที่ว่านั้นเป็นจริงเสียอีก ยกตัวอย่างคือ บนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิต สิ่งที่พิสูจน์ได้คือไปดาวอังคารและจับสิ่งมีชีวิตที่ว่ามาให้ดู ซึ่งแน่นอนการพิสูจน์มันยากกว่าคิดว่ามันไม่มีอยู่จริงหรือไม่อยู่จริงเสียอีก ซึ่งคนที่ยึดติดกับทฤษฏีนี้คือคนในตระกูลอุชิโรมิยะทั้งหมด 6 คนที่ตายในบทที่ 2 ซึ่งในแรกไม่เชื่อการมีตัวตนของเบอาตรีเซแต่เมื่อเบอาตรีเซแสดงเวทมนต์เท่านั้น  ทุกคนกลับหลงเชื่อง่ายๆ จนลืม หัวใจของทฤษฏีพิสูจน์ปีศาจเลย ที่ว่า “ตราบใดที่ไม่มีการพิสูจน์ เราไม่ควรเชื่อสิ่งที่เห็นว่าเป็นจริงหรือไม่ เช่น เราเห็นจานตก เราก็เชื่อว่าเป็นจานบินของมนุษย์ต่างดาว ทั้งๆ ที่จานบินนั้นอาจเป็นเครื่องบินลำล่าสุดของอเมริกาก็ได้ ซึ่งจำเป็นต้องพิสูจน์” แต่เหล่าสมาชิกทั้งหมดกลับเชื่อง่ายเกินไป และเมื่อเราตัดสินจากสิ่งที่เห็น โดยไม่ไตร่ตรองหรือพิสูจน์ก่อน เราจะหลงกลศัตรู และอาจเสียท่าได้ ผลสุดท้ายเหล่าสมาชิกตระกูลอุชิโรยะก็ตายอนาถในที่สุด

                    
                     แมวของชโรดิงเจอร์ (
    Schrodinger's Cat)  เป็นทฤษฏีที่อาจารย์เบอาตรีเซ(Virgillia)พูดเตือนสติแก่แบทเลอร์  ในขณะที่เขากำลังสิ้นหวังและคิดไม่ตก ซึ่งไม่รู้ป้าแกนี้รู้ทฤษฏีนี้มาจากไหน ขนาดผมยังไม่รู้เลยนะนี้(แถมแบทเลอร์ ยังอุตส่าห์เข้าใจซะด้วย) โดยทฤษฏีนี้เป็นของนักฟิสิกส์เออร์วิน ชโรดิงเจอร์ ที่ทดลองโดยนำแมวหนึ่งตัวมาขังในกล่องใบหนึ่งที่ทึบและกันเสียง ซึ่งทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในกล่อง โดยในกล่องนั้นบรรจุด้วยขวดแก้วบรรจุไซยาไนต์ที่ปิดจุกหนึ่งขวด ใกล้ๆ กับขวดแก้วใบนั้นจะมีแหล่งกำเนิดกัมมันตรังสี  เครื่องวัดไกเกอร์เคาท์เตอร์สำหรับตรวจจัดกัมมันตรังสี และค้อน วางต่อกันเป็นกลไกอยู่ ซึ่งกลไกดังกล่าวถูกตั้งเอาไว้ว่า การสลายตัวของกัมมันตรังสีที่วัดได้จากเครื่องวัดจะกระตุ้นให้กลไกทำงาน ปล่อยค้อนให้ไปทุบขวดบรรจุก๊าซพิษ เพื่อฆ่าแมวให้ตาย

                    แต่คำถามที่ตามมาคือรู้ได้ไงว่าแมวในกล่องนั้นตายหรือยัง เนื่องจากเราไม่รู้ว่าแหล่งกำเนิดรังสีนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เวลาไหนเกิดกลไก หรือเกิดแล้วอาจมีผิดพลาด สรุปคือ "เราไม่รู้เลยว่าในกล่องทึบ แมวตัวที่ทดลองตายหรือยัง ทางเดียวที่จะพิสูจน์ได้คือเปิดกล่องออกมาดูเพื่อให้รู้ว่าแมวตายหรือยัง”

                    ทฤษฏีนี้ถูกนำมาใช้อธิบายกฎของการท่องเวลา และควอนตัม แต่ในการ์ตูนดูเหมือนว่าอาจารย์เบอาตรีเชไม่ได้เตือนสติเกี่ยวกับการท่องเวลาอะไรหรอกนะครับ แต่กำลังเตือนสติถึง “ความคลุมเครือ” ต่างหาก คือเรื่อง, ภาพที่พระเอกเห็นยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือหลอก และความคลุมเครือก็อาจเป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ ขอให้พระเอกเชื่อมั่นแนวคิดของตนต่อไป และสิ่งที่ตามมาก็คือ “ความหวัง” นั้นเอง

                    
                     ปริศนาหมาป่ากับแกะ(Wolf & Sheep Puzzle Game) ทฤษฏีนี้ปรากฏในบทที่ 2 และคนที่ยึดติดกับทฤษฏีนี้เป็นอุชิโรมิยะ โรซ่า ทฤษฏีนี้มาจากคำถามโบราณครับ คล้ายๆ กับปัญหาแกะ,หมาป่า และฟาง โดย โจทย์กำหนให้เรามีหมาป่าและแกะสองตัวจำนวนเท่ากัน วันหนึ่งเราจะต้องเอาสัตว์พวกนั้นไปขาย แต่เส้นทางที่จะเอาไปขายมีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ ซึ่งเราจะต้องใช้เรือ 1 ลำ ข้าม โดยเราจะขนสัตว์ชนิดใดก็ได้ขึ้นเรือไปฝั่งตรงข้ามไปทีละ 2 ตัว ไม่สามารถขนทั้งหมดได้ และห้ามมีจำนวนหมาป่ามากกว่าแกะเพราะหมาป่าจะกินแกะทันที ดังนั้นต้องให้จำนวนแกะมากกว่าหมาป่าหรือจำนวนสัตว์สองชนิดเท่ากันถึงจะปลอดภัย และคำถามคือจะขนสัตว์ทั้งหมดขึ้นฝั่งตรงข้ามยังไงโดยไม่มีการสูญเสียเลย

                    อุชิโรมิยะ โรซ่ายึดติดกับทฤษฏีนี้มากในบทที่ 2 เธอเชื่อว่าฆาตกรในคดีนี้มีมากกว่าหนึ่ง โดยเธอสงสัยพวกคนใช้มากที่สุด เธอเลยจัดการแยกบรรดาญาติๆ และเหล่าคนใช้ให้อยู่ห่างๆ

                    วิธีการรับมือสถานการณ์นี้ของโรซ่าก็นับว่าถูก ในเมื่อมีคนตายเกิดขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องสงสัยคนแปลกหน้า คนที่ประวัติไร้ที่มาและคลุมเครือก่อน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ควรรับแยกคนใช้ให้ห่างๆ แต่จุดอ่อนของทฤษฏีนี้ก็มีเหมือนกันคือ ถ้าตัดสินใจใครสักคนว่าเป็นหมาป่า อาจเข้าใจผิดก็ได้ เช่น หมาป่าตัวจริงปลอมตัวมาเป็นแกะมาเป่าหูคุณว่าแกะที่แข็งแกร่งเป็นหมาป่า แล้วแยกผิดคน ผลุดท้ายหมาป่าก็กินแกะอย่างง่ายดาย

                    พระอาทิตย์กับลม เป็นนิทานของอีสป(Aesop)ที่มีมานานเป็นร้อยปี และคนที่พูดนิทานนี้ก็เป็นอาจารย์ของเบอาตรีเซที่สอนให้ลูกศิษย์ใช้หลักการนี้มาใช้กับแบทเลอร์ที่เป็นคนหัวแข็ง ในบทที่ 3 โดยเนื้อหานิทานนี้มีอยู่ว่าครั้งหนึ่งลมและพระอาทิตย์ถกเถียงกันว่าฝ่ายใดจะแข็งแรงกว่ากัน แต่เถียงยังไงก็ไม่สามารถสรุปได้ ในขณะเดียวกันมีนักเดินทางคนหนึ่งเดินผ่านพอดี ลทมเลยถ้าพระอาทิตย์ว่า ใครที่สามารถถอดเสื้อคลุมออกจากตัวนักเดินทางได้ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด

                    ลมเป็นฝ่ายเริ่มแสดงก่อน มันรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วพัดอย่างแรงที่สุดจนกลาย เป็นพายุที่ดุร้าย รุนแรง และหนาวเย็น นักเดินทางแทนที่จะถอดเสื้ออกตามแรงลมกลับรีบกระชับเสื้อคลุมให้แนบตัว และ เอามือทั้งสองข้างจับเสื้อคลุมไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันสะบัดไปตามแรงของลม ยิ่งลมพัดแรงขึ้น เท่าใด เขาก็ยิ่งเอามือจับเสื้อคลุมไว้ให้แน่นขึ้นเท่านั้น

                    เมื่อลมหมดพลัง มันเลยยอมแพ้ และเมื่อถึงตาพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็ใช้การแผ่แสงแรงกล้า ทำให้บรรยากาศรอบๆ นักเดินทางร้อน และเมื่อร้อน มากขึ้น...มากขึ้น นักเดินทางจึวถอดเสื้อคลุมออก..สุดท้ายการแข่งขันครั้งนี้ดวงอาทิตย์ก็เป็นฝ่ายชนะ

                    สิ่งที่อาจารย์ของเบอาตรีเซสอนลูกศิษย์คือ พลังและไม้แข็งไม่ใช้ทางที่แก้ปัญหา ทางที่ดีควรใช้ไม้อ่อน ค่อยๆ ทำไปทีละเล็กทีละน้อย ทีละขั้นตอน ทำด้วยความสงบและมั่งคง ความสำเร็จจะตามมา ซึ่งที่แล้วๆ มา ฝ่ายเบอาตรีเชมักใช้ไม้แข็งกับแบทเลอร์ ยิ่งยั่วยุยิ่งทำให้แบทเลอร์โกรธ โกรธก็ยิ่งหัวแข็งเข้าไปให้ ดังนั้นเบอาตรีเชเลยปรับปรุงตัวเสียใหม่ ใช้ไม้อ่อน ทำตัวให้ดูอ่อนหวาน ให้มารับบทเป็นนางเอกเจ้าน้ำตา จนเกือบได้รางวัลตุ๊กตาทอง ผลสุดท้ายแบทเลอร์ก็เกือบใจอ่อน จนเกือบพลาดท่า ถ้าไม่มีแองจีมาช่วยไว้

                    การ์ตูนนี้มีทฤษฏีต่างๆ มาใช้เยอะมากๆ เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นทฤษฏีอีกา พาราด็อกซ์(Raven Paradox, Hempel's paradox หรือ Hempel's ravens) ที่เบอาตรีเชนำมาใช้เพื่อยืนยันคำพูดในบทที่ 2  หรือทฤษฏีย้อนเวลาที่แม่มดที่หน้าเหมือนตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องแว่วเสียงเรไรออกมาขู่แองจีว่าต่อให้ไขปริศนาได้พี่ชายเธอก็ไม่สามารถกลับมา เนื่องจากอดีตที่เธอมาเป็นโลกคู่ขนาน ไม่ได้เชื่อมกับโลกที่เธออยู่ ถึงจะเปลี่ยนอดีตชีวิตของเธอก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นต้น เห็นไหมครับ ตรงนี้แหละที่ทำให้การ์ตูน Umineko no Naku Koro ni ไม่ใช้การ์ตูนธรรมดา มันทั้งสอดแทรกด้านมืดของมนุษย์,ทฤษฏี และวิทยาศาสตร์เข้าไปอย่างลงตัว

                    
                    สรุป อมิเนชั่นดูเหมือนได้ตัดฉากหลายๆ ฉากออก ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่าเป็นฉากไหนเพราะในหนังสือการ์ตูนผมดูแค่บทแรกจบเท่านั้น

                    สำหรับผมแล้วเวทย์มนต์ในเรื่องนี้ เปรียบเสมือน สิ่งที่เป็นเกราะกำบังความอ่อนแอและการหลอกลวง(ทั้งตนเองและผู้อื่น)เสียมากกว่า ในการ์ตูนในบทของแองจีและมาเรีย ที่ทั้งสองคนพยายามที่จะหลีกหนีจากความจริง สร้างโลกจินตนาการของเธอขึ้นมา อะไรที่ล้มเหลวก็หวังแต่จะพึ่งเวทย์มนต์ โดยไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเวทมนต์อย่างแท้จริง ซึ่งความหมายที่แท้จริงของเวทมนต์คือ พลังอำนาจที่ตอบสนองต่อกิเลสมนุษย์ คุณเคยเห็นเวทย์มนต์ที่ทำเพื่อคนรอบข้างไหมครับ ผมเคยได้ยินแต่เวทมนต์จำพวก เสกทองคำ, คำสาปแช่งเพื่อกำจัดศัตรู ของวิเศษเพื่อเพิ่มโชคของตนเอง(ต่อประเทศ), บินได้เหาะได้, เรียกลมเรียกฝน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเราทั้งนั้น ในเมื่อเราไม่สามารถทำอะไรไม่สำเร็จได้ ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งเวทย์มนต์  พยาบาทใครก็ใช้เวทย์มนต์ ใช้เวทย์มนต์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเวลาที่เราอ่อนแอ(เช่นพกของขลังเพราะเชื่อว่ามันจะทำให้เราสอบได้) แต่เมื่อเราโตขึ้นและรู้ความจริงว่าเวทย์มนต์ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงจินตนาการ สุดท้ายเวทย์มนต์ก็ถูกทิ้งในที่สุด

                    ถ้าจะเอาเรื่องนี้เปรียบเทียบกับแว่วเสียงไรเรละก็ แว่วเสียงเรไรจะเน้นความสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่า และฉากจบที่ต้องทึ่งในแต่ละบท  ส่วนเรื่อง Umineko no Naku Koro ni มีความหลากหลายที่ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าหลากหลายยังไง ถ้าจะให้เรียกประเภทการ์ตูน ผมว่าน่าจะเป็นการ์ตูนจำพวก Puzzler (ฝึกสมอง) มากกว่า เป็นการ์ตูนที่สร้างความบันเทิงที่ทั้งคนเขียนและคนอ่านทำสงครามกันอย่างเงียบๆ คนเขียนบีบคั้นสมอง สร้างสรรค์ กลอุบาย วิธีโน้น วิธีนี้ วิธีใหม่ วิธีแปลกๆ เพื่อให้คนดูนต้องอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ ส่วนตัวคนดูก็สันนิษฐาน และแก้ปริศนาตามข้อมูล ทฤษฏี เพื่อได้คำตอบของปริศนาที่สุดประหลาดเหล่านี้ และเมื่อเฉลยออกมา คนดูอาจสบถคำว่า “ระยำเอ๊ย กรูเดาผิด แล้วโพสด่าว่อนไปทั่ว” นี้คือความสนุกของ Puzzler(อันโพสด่านี้ไม่ดีครับ ไม่แนะนำ )

                    ส่วนฉากโหดในการ์ตูนนี้สำหรับผมแล้ว มันก็ไม่โหด โรค จิตเท่าไหร่ ใครที่ดูการ์ตูนที่ผมเคยแนะนำคราวก่อนถือว่าเรื่องนี้เป็นเพียงขนมเท่านั้น สิ่งที่โหดไม่ใช้ภาพ แต่เป็นความรู้สึก ตัวละครแต่ละตัวน่ารักทั้งนั้น ใครตายนี้ผมสงสารนะครับ ทุกคนอุตส่าห์อยู่กันพร้อมหน้าแท้ๆ กับมาเจอเหตุการณ์บ้าๆ โดยไร้เหตุผล เป็นใครก็อยากเอาใจช่วย สุดท้ายก็ดันมาตายแบบอนาถ สภาพศพอุจาด เป็นใครมาเห็นก็เกิดอารมณ์บ้างแหละ เช่น ฉาก แม่ของมาเรียโดนบังคับกินลูกสาวตัวเองนี้ เออ........โรคจิตใช้ได้

                    ไม่รู้ว่าการ์ตูนเครื่องนี้จะจบแบบไหน แอปปี้หรือเลวร้าย หรือแบบค้างๆคาๆ ผมก็หวังว่าคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้คงจบแบบให้คนอื่นดูแล้วมีความสุขนะครับ ส่วนผมก็รอมันซับให้ครบ 26 ตอนแล้วจะดูอีกรอบและอาจมีการเขียนอีกครั้งตามมา

                    ส่วนกลอุบายในเรื่อง หากคุณดูแล้วยังคิดวิธีไขกลอุบายไม่ออก ด้วยไม่มีสมาธิหรืออะไรก็ตามแต่  ก็ลองพยายามจนถึงที่สุดก่อน ลองไปอ่านในหนังสือการ์ตูนเพิ่ม(แฟนซับไทยน่าจะมีการเอามาแปลแล้วนะครับผมว่า) หาคำตอบสำหรับคุณเอง คิดทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ บางทีพระเอกอาจเป็นฆาตกรเสียเอง หรือบางทีสิ่งที่เราเห็นอาจเป็นการหลอกลวงทั้งหมดก็ได้ใครจะไปรู้

                    
                    สุดท้าย
    ผมชอบฉากที่
    แบทเลอร์สั่งสอนอาตรีเซเกี่ยวกับการอย่าดูถูกมนุษย์ ในบทที่ 3 ครับ ผมเลยยกซับมาให้อ่านกัน

                    “ความโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยปราศจากบุคคลเหล่านั้นอย่างพวกแกไม่รู้จักชีวิตสินะ”

                    “มนุษย์อย่างพวกชั้นมันไม่เหมือนแม่มดอย่างแก ช่วงเวลาชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตายมันสั้นนัก ซึ่งพวกชั้นก็พยายามกันเต็มที่”

                    “ชั้นไม่มีทางให้อภัยคนที่เล่นสนุกกับการเอาชีวิตมนุษย์ที่พยายามใช้ชีวิตกันอย่างเต็มที่แบบนี้มาเล่นอย่างเด็ดขาด!!

                    (ขอบคุณที่อ่านครับ จบสักที)

    + +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×