ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #39 : The Beautiful World – Kino no Tabi โลกนี้มันโหดร้ายจริงเหรอ??

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.08K
      12
      2 พ.ค. 53


    เพราะโลกไร้ซึ่งความงดงาม ฉะนั้นมันจึงงดงาม

    The World is is not beautiful. Therefore, it is.

     

                    ผมคิดอยู่นานว่าประโยชน์นี้หมายความว่าอะไร ตามความรู้สึกแล้ว ประโยคนี้ต้องการบอกถึงโลกของคิโนะ หรือว่าโลกแห่งความจริงของเรากันแน่?? แต่ถ้าถามว่าโลกของคิโนะกับโลกแห่งความจริงของเรานั้นเหมือนกันไหม คำตอบคือเหมือนแทบไม่แตกต่างกันเลยในวัฒนธรรมและความคิด...... และคำถามตามมาคือ “ไร้ซึ่งความงดงาม” แล้วความงดงามในประโยคนี้หมายถึงอะไร จิตใจเหรอ?? หรือว่าจะเป็นทิวทัศน์ หรือบ้านเมือง?? ซึ่งคำตอบประโยคนี้คงต้องหาอ่านเอาเองในนิยายการเดินทางของคิโนะ......และคุณจะพบความหมายของประโยคนี้

     


    การเดินทางคิโนะ (
    The Beautiful World – Kino no Tabi)

    (อมิเนชั่นดูได้ที่ http://video.mthai.com/player.php?id=18M1191450280M0)


                   
    ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมรู้จักกับการ์ตูนเรื่องนี้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ การ์ตูนเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมชอบการ์ตูนที่พระเอกน่ารัก(มารู้ที่หลังว่าคิโนะเป็นผู้หญิง)

                    การ์ตูนเรื่องนี้ช่างอาภัพเหลือจะกล่าว เพราะว่าผมเห็นมาหลายปีแล้วแต่ว่ามันไม่มาไทยเลย ไม่มีการแปลเป็นนิยาย หรืออมิเนชั่น ทั้งๆ ที่การ์ตูนเรื่องนี่มีข้อคิด คติประจำใจ  เหมาะสำหรับเด็กไทยแท้ๆ อมิเนชั่นก็ดูซับไทยแต่ดูไม่มากนัก(เคยฉายในช่อง Animax ผ่านยูบีซี) เพราะจุดสำคัญของการ์ตูนเรื่องนี้คือนิยายต่างหาก ตอนนั้นผมจำได้ว่ามีแฟนพันธุ์แท้คิโนะคนหนึ่งลงทุนแปลนิยายคิโนะเองให้คนอื่นอ่านตอนที่ยังไม่ได้ลิขสิทธิ์  ทำให้ผมได้ดูคิโนะนิดๆ หน่อย แต่ผมไม่นิยมอ่านนิยายบนคอมนัก ดังนั้นจึงรอที่จะมีสำนักพิมพ์ไทยสักสำนักพิมพ์นำเรื่องนี้มาแปลดีกว่า

                    ปรากฏว่าความสมหวังของผมเป็นจริง(ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งรออมิเนชั่นแปลไทย) ในหลายปีผ่านมา ปี 2008 ผมก็ได้อ่านนิยายคิโนะฉบับนิยายจนได้ ต้องขอบคุณสำนักพิมพ์บลิส พับลิซซิ่ง จริงๆ

                    การเดินทางของคิโนะ เป็นผลงานนิยายของชิกุซาวะ เคอิจิ มีผลงานเด่นๆ เช่น ซีรีย์ Allison, Lillia to Treize, และ Gakkuen no kino  ส่วนรูปประกอบโดยคุโรโบชิ โคฮาคุ ผมรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนวาดภาพประกอบเกมส์น่ารักต่างๆ ผลงานเกมส์ซัมมอนไนต์(Summon Night) ภาค 2 ในเกมบอย GBA นั้นผมชอบตัวละครเด็กโลลิคอนเสียจริงๆ

                    นิยายการเดินทางของคิโนะมียอดจำหน่ายขายในประเทศกว่าห้าล้านหกแสนเล่ม ติดอันดับท็อปเทนจากการสำรวจคะแนนไลท์ โนเวลยอดนิยมแทบทุกปี จนถูกนำมาสร้างเป็นแอนิเมชันทั้งในจอแก้วและจอเงิน รวมไปถึงเกมและนิยายภาพ นอกจากนั้นยังแปลเป็นภาษาอื่นๆ ไม่ว่าอเมริกา เยอรมนี ไต้หวัน และเกาหลี ซึ่งปัจจุบันนิยายคิโนะออกมา 12 เล่มแล้วที่ญี่ปุ่น แสดงให้เห็นความนิยมของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

                    การเดินทางของคิโนะเป็นเรื่องราวของนักเดินทางเด็กสาวนามคิโนะ กับเฮอร์เมลรถสองล้อพูดได้ ทั้งคู่เดินทางไปยังเมืองต่างๆ และจะพักอยู่เพียงเมืองละสามวัน ซึ่งถ้าเป็นเมืองธรรมดาเรื่องคงน่าเบื่อแย่ ดังนั้นเมืองแต่ละเมืองที่คิโนะเดินทางไปนั้นจะเป็นเมืองในจินตนาการ มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ที่แปลกประหลาด โดนมีการเล่าเรื่องความเป็นไปแต่ละเมืองให้ทั้งคู่ได้รับรู้ และมีพบผู้คนในเมืองที่มีทั้งดีและร้ายคละเคล้ากันไป(อมิเนชั่น 13 ตอนจบ)

                    Kino no Tabi - c kino.jpg
                   คิโนะนักเดินทางผู้ลืมชื่อจริงๆ ของตัวเองไปแล้ว ชื่อคิโนะนั้นมาจากชื่อนักเดินทางที่ช่วยเหลือตนเมื่อหลายปีก่อน และด้วยเหตุการณ์หนึ่งเธอได้หนีออกจากเมืองบ้านเกิดของตนเพื่อเรียนรู้โลกกว้าง

                    คิโนะเป็นตัวละครที่หลายคนหลายท่านว่าเป็นเด็กผู้ชายทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้หญิง ทั้งนี้เพราะคิโนะพูดสำเนียง และกิริยาท่าทางเหมือนผู้ชาย บวกกับการแต่งชุดที่เป็นเชิ้ตสีขาว แจ็คเก็ตหนังสีดำ พร้อมเข็มขัดเส้นใหญ่ที่เหน็บกระเป๋าไว้หลายใบ คลุมทับด้วยโค้ทชายยาวสีน้ำตาล มีเพอร์ซูเอเดอร์สองกระบอกเป็นอาวุธคู่ชีพ กระบอกหนึ่งเก็บไว้ตรงต้นขาขวา เป็นแบบรีวอลเวอร์ (ลูกโม่) มีชื่อว่า “คานอน” และอีกกระบอกเป็นแบบอัตโนมัติ มีชื่อว่า 'โมริโนะฮิโตะ         

                    Kino no Tabi - c hermes.jpg
                     เฮอร์เมส มอเตอร์ราดที่สามารถพูดได้ และวิ่งได้ด้วยน้ำมัน (และคนขับ) ชอบตั้งคำถาม (ที่ดูเหมือนจะเป็นปรัชญา) กับคิโนะ เป็นเพื่อนของคิโนะ นอกเหนือจากช่วยเดินทางแล้วยังช่วยขนกระเป๋าใบใหญ่ ถุงนอน สัมภาระทั้งหลาย กระทะ อุปกรณ์ทำความสะอาด  เต้นท์สำหรับนอนกลางแจ้ง หรือแม้แต่แก้วน้ำ

                    เรื่องราวการเดินทางของคิโนะในโลกสมมุตินั้นไม่ใช้เรื่องใหม่ เนื่องจากสมัยก่อนมนุษย์เรานั้นมักจินตนาการโลกสมมุติไว้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เมืองโซดอมเมืองแห่งคนบาป หรือจะเป็นเมืองใต้ดิน  เมืองแห่งทองคำ, เมืองแห่งมนุษย์กินคน, เมืองแห่งน้ำพุวัยเยาวน์ หรือจะเป็นเมืองยูโทเปียเมืองแห่งอุดมคติของเซอร์ โทมัส มอร์ก็มีการบรรยายการเดินทางไปเมืองเหล่านี้และถ่ายทอดความคิดและปรัชญาลงไปอย่างแยบยล หรือถ้าจะเป็นการผจญภัยหน่อยๆ ก็เช่น กัลป์ลิเวอร์ผจญภัย(Gulliver’ Travel) ของโจนาธาน สวิฟท์ หรือชิมแบ็ทผจญภัย ที่กล่าวถึงการเดินทางไปเมืองคนยักษ์หรือเมืองคนจิ๋ว ที่แฝงแนวคิด การแก้ปัญหา มารยาทในการเข้าสังคมในการเข้าเมืองนั้นๆ และนิสัยของมนุษย์เข้าไปด้วย

                    หรือจะให้หยิบยกการ์ตูนก็เช่น วาตารุเทพบุตรสองโลก(Mashin Eiyuuden Wataru) ที่ออกมาถึง 3 ภาค ที่ตัวเอกกับเหล่าผองเพื่อนต้องเดินทางไปยังดาว ไปยังเมืองต่างๆ ในโลกต่างมิติและได้พบสิ่งประหลาดในเมืองแต่ละเมืองที่มีต้นกำเนิดจากเหล่าร้าย จนกระทั้งพระเอกปราบเหล่าร้ายที่ปกครองเหล่านั้น จนกระทั้งเมืองนั้นสงบลงในที่สุด

                    แต่เรื่องของคิโนะนั้นไม่เหมือนเรื่องวาตารุ แม้เมืองนั้นจะถูกปกครองโดยเหล่าคนชั่ว เหล่าร้าย หรือมีปัญหาเพียงใดก็ตาม แต่คิโนะนั้นไม่สนใจที่จะปราบหรือแก้ปัญหาแต่อย่างใด(จะมีบ้างที่คิโนะทำให้วุ่นวายยิ่งขึ้นไปใหญ่) คิโนะไม่ใช้ฮีโรผู้กอบกู้ คิโนะไม่ช่วยเหลือหรือให้กำลังใจกับคนเหล่านั้น แม้กระทั้งแสดงความรู้สึกหรือแสดงอารมณ์ร่วม(ตรงกันข้าม)ก็ไม่ทำ คิโนะไม่ทำสิ่งใดในเมืองเหล่านั้น คิโนะเพียงแค่ทำหน้าเหม่อลอย คิโนะเพียงแค่สังเกต รับฟังเรื่องของคนในเมืองนั้นๆ จนครบ 3 วันแล้วออกจากเมือง

                    การ์ตูนที่ใกล้เคียงกับคิโนะมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่อง “กาแล็คซี่เอ็กซ์เพรส(Galaxyexpress 999)”หรือรถด่วน 999 ที่ฉายทางช่อง 7 นานแล้ว เป็นเรื่องราวหนุ่มน้อยหน้าตาขี้เหร่นามเท็ตสึโร่ที่เขากับหญิงปริศนานามเมเธอลต้องออกเดินทางโดยสารรถด่วนกาแล็กซี่ข้ามดวงดาวต่างๆ โดยจะหยุดดาวดวงนั้น 1 ชั่วโมง(1 ชั่วโมงในแต่ละดวงดาวนั้นไม่เท่ากัน บางดวงนานเป็นเดือน บางดวงนาน 3 วันเป็นต้น) ที่แต่ละดาวนั้นมีเรื่องราวทั้งดีและไม่ดีและแฝงปรัชญาเหมือนคิโนะไม่มีผิดเพียงแต่เรื่องที่ว่านั้นค่อนข้างไซไฟและมีเรื่องวิทยาศาสตร์ผสมลงไป

                    เรื่องราวของคิโนะโดยรวมค่อนข้างเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่ถ้าดูลึกๆ แล้วจะพบว่ามันแฝงอะไรหลายๆ อย่าง ที่น่ากลัว สยดสยอง ตลกร้าย ด้านมืดของมนุษย์ และสะท้อนมุมมองต่อโลก ประเด็นจิกกัดสังคมอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กระนั้นเด็กสามารถอ่านได้(เพราะตื่นตาตื่นใจกีบโลกในจินตนาการ) ส่วนผู้ใหญ่ก็อ่านดี(เพราะวิเคราะห์ว่าแต่ละเมืองนั้นมีแนวคิดอะไร) ทำให้คิโนะนั้นเป็นนิยายที่เหมาะทุกวัย   

                    
                    นิยายของคิโนะนั้นความจริงถ้าอ่านดีๆ ในแต่ละเล่มของคิโนะนั้นจะมีหัวข้อหลักที่เต็มไปด้วยคำถามในการนำเสนอ 3 อย่างคือ

                    สิ่งที่ถูกต้อง คือสิ่งที่คนในเมืองทำถูกต้องหรือเปล่า?? อะไรคือความถูกต้อง?? ไม่ถูกต้อง ??

                    คำถามที่ไม่มีคำตอบ มันเป็นคำถามง่ายๆ แต่ตอบยาก หรือหากตอบแล้วอาจจะเกิดความวุ่นวาย เช่น นักการเมืองคนนั้นสมควรกลับเมืองไทยหรือเปล่า เป็นต้น

                    ปฏิกิริยาของคิโนะ หลังจากคิโนะฟังเรื่องราวเมืองเหล่าๆ นั้นจะรู้สึกอย่างไร? ทำตามกฎหรือไม่ทำตามกฎ?  แล้วเมื่อคิโนะแสดงปฏิกิริยาอย่างนั้น? คิโนะทำถูกหรือไม่? และทำไมถึงทำ?

                    ทั้งสามคำถามนั้นจะมีอยู่ในเนื้อหาของนิยาย และภาพประกอบของเรื่อง ที่ภาพแต่ละภาพหากมองลึกๆ จะพบว่ามันก็น่าจะมีอะไรแฝงอยู่เหมือนกัน

     

    เพราะโลกไร้ซึ่งความงดงาม ฉะนั้นมันจึงงดงาม

    The World is is not beautiful. Therefore, it is.

     

                    นี้คือคำโปรยของเล่มที่ 1 และมีปฐมบทระหว่างคิโนะพูดกับเฮอร์เมสเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าเนื้อเรื่องหลัก ความจริงแล้วผมก็ไม่ค่อยชอบนิยายแนวแฟนตาซีเท่าไหร่นัก ไม่สิไม่ชอบนิยายมากกว่า ผมชอบแบบชีวประวัติฆาตกร หรือเรื่องประหลาดเหนือธรรมชาติที่มีอยู่จริงมากกว่า ดังนั้นตอนแรกๆ ที่ผมอ่านคิโนะนั้นเป็นเพราะน่ารักดีเท่านั้น....ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าแนวคิโนะนั้นเป็นแบบไหน...มารู้อีกทีก็ตอนสารบัญ(ผมดูนิยายก่อนดูอมิเนชั่น) ผมดูสารบัญก็รู้เลยว่าเป็นแนวเหมือนรถด่วน 999 เพราะชื่อเมืองต่างๆ นั้นเองและเมื่อเปิดออกมาก็ประหลาดใจอีกครั้งกับภาพประกอบทั้งหลายให้เราคาดเดาสภาพเมืองเหล่านั้น ที่ภาพแต่ละภาพวาดไม่เข้ากับชื่อของเมืองเลย ...ชื่อเมืองออกจะดูจะเป็นเมืองสงบสุขแท้ๆ แต่ทำไมภาพประกอบถึงสื่อดูแล้วหดหู่และสิ้นหวังแบบนี้ล่ะ?? จนกระทั้งมาอ่านก็รู้เลยว่าแต่ละภาพ,ชื่อที่ดูสงบสุขนั้นมีความโหดร้ายและด้านมืดของมนุษย์แฝงอยู่.....

                    
                   บทที่ 1 นครซึ่งผู้คนเข้าใจความเจ็บปวดของกันและกัน(
    I see You) ภาพประกอบแรกเป็นชายที่หันหลังและทำท่าโดดเดี่ยว อ้าว......ผมสงสัย?? ในเมื่อชื่อเมืองเป็นนครที่เข้าใจความเจ็บปวดซึ่งกันและกัน ก็น่าจะเข้าใจกันสิ และรักกันสิ แต่ไฉนภาพถึงวาดออกมาหดหู่อย่างงี้ไม่รู้ ส่วนภาพประกอบที่ 2 ตอนขึ้นต้นเรื่อง เป็นภาพชายหญิงกำลังทำงานหน้าบ้านแต่ไฉนอยู่ห่างเป็นวาหลายไมล์ล่ะนี้ไม่เข้าใจเลย

                    จนกระทั้งมาอ่านนี้แหละถึงได้เข้าใจ

                    เปิดฉากออกมา ผมก็อุทาน “เออ......ไม่บอกที่มาที่ไปของคิโนะก่อนเรอะนี้??” มาถึงก็เดินทางเลยเรอะ (มารู้ที่หลังว่าประวัติคิโนะอยู่กลางเรื่อง เออ....เข้าใจทำนะเนี้ย) การดำเนินเรื่องนี้เรียบง่ายผิดที่ผมคาดไว้ เพราะจากนิยายแฟนตาซี(ผมขอเรียกแนวนิยายแบบนี้นะครับ ไลน์โนเวลไม่ถนัดเท่าไหร่) ทั่วไปส่วนมากมักจะมีแอ็คชั่น สู้กันตลอดเรื่อง หรือเน้นจินตนาการและความอลังการมากกว่า แต่สำหรับคิโนะแล้วกับไม่ใช้ แล้วคิโนะจะสู้นิยายพวกนี้ได้ไหมหว่า(ผมคิดอยู่ในใจ แล้วอ่านต่อไป)

                    จากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินแบบเรียบๆ คิโนะเดินทางมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งแต่ละเมืองจะมีประตูเมือง(ก็แน่สิ) และเมื่อคิโนะเข้าเมือง คิโนะก็แปลกใจเพราะเมืองนี้ทั้งๆ ที่เป็นเมืองใหญ่ แต่ไฉนถึงเป็นเมืองที่ไร้คน  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การดำเนินงานของเครื่องจักร จนดูเหมือนว่าเมืองแห่งจักรกลมากกว่าของมนุษย์ และมนุษย์นั้นอยู่ไหน? เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์? หรือมนุษย์ถูกเครื่องจักรฆ่า? และคิโนะจะเป็นอย่างไรต่อไป?  แน่นอนใช่ว่าคิโนะจะสงสัยคนเดียวคนอ่านก็สงสัยด้วย เมื่อเกิดความสงสัยในคนอ่าน แสดงว่านิยายเรื่องนี้สามารถทำให้ผมคล้อยตามได้ เสมือนกับว่าเราเป็นคิโนะหรืออยู่ในเหตุการณ์นี้ไม่มีผิด (โอ๊ะนี้ผมเริ่มติดใจความเรียบง่ายของมันแล้วเรอะนี้)

                    คิโนะเก็บความสงสัยนี้ไว้จนครบสามวัน ส่วนคนอ่านก็ลุ้นว่าคำตอบเรื่องนี้เป็นแบบไหน จนกระทั้งวันที่คิโนะออกจากเมืองนี้เองเขาก็พบมนุษย์คนแรก จากนั้นเนื้อเรื่องก็ดำเนินแบบที่เรารู้ๆ กันคือคิโนะรับฟังเรื่องราวของชาวเมืองนั้นๆ  ก็พบว่าเมืองนี้สมัยก่อนเป็นเมืองที่สะดวกสบาย เครื่องจักรช่วยงานทำทุกอย่าง จนคนมีเวลาว่างมาก ทำให้มีเวลาในการใช้สมองไปทำอย่างอื่น จนกระทั้งค้นพบวิธี “อ่านใจ” ของอีกฝ่ายได้ ซึ่งนอกเหนือจากการอ่านใจยังรับรู้ความรู้สึกส่ง(รับ)ของอีกฝ่ายได้ด้วย แรกๆ ชาวเมืองทั้งหลายแอปปี้อยู่หรอก แต่นานๆ เข้าก็พบว่ามันเริ่มชักไม่ดีเสียแล้ว เพราะมันกลับกลายเป็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนอื่น และคนอื่นก็ส่ง(รับ)เรื่องไม่ดีของอีกฝ่ายทำให้ผิดใจกันอีกด้วย ทำให้ชาวเมืองเป็นโรคหวาดกลัวการพบปะคนอื่นอย่างรุนแรง และส่งผลให้หลายคนอยู่โดดเดี่ยวขึ้น จนทำให้เมืองนี้เป็นเมืองร้างในที่สุด

                    หลังจากคิโนะได้ฟังเรื่องราวของชาวเมืองจนจบ ตอนแรกผมก็คิดว่าคิโนะจะทำอะไรสักอย่าง แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด คิโนะไม่สนใจคำขอร้องของชายคนนั้นให้คิโนะอยู่ต่ออีกสักพัก คิโนะขึ้นมอเตอร์ไซด์ราดและขับออกจากเมืองไป โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง..............

                    หลังจากที่อ่าน อ่านจบตอนก็รู้ความหมายของภาพเลยที่โดดเดี่ยวเพราะว่าพวกขารู้จิตใจซึ่งกันและกันนั้นเอง แต่คำถามที่ตามมาคือ.....อ้าว!! จบแบบนี้เรอะนี้คิโนะ!! ฟังแล้วจากไปเฉยๆ เลยเรอะ?? ไม่ทำอะไรหน่อยเรอะคิโนะ?? ผมแทบอยากตระโกนถามกลับคนในเอ็มเสียจริงๆ(แต่ดันไม่มีใครอ่านคิโนะสักคน) ดังนั้นผมเลยต้องมาคิดดูๆ เรื่องการกระทำของชาวเมืองและการแสดงออกของคิโนะ เพียงคนเดียว .......เท่าที่คิด ในโลกแห่งความจริงนี้นั้นการอ่านจิตใจถือได้ว่าเป็นสิ่งมนุษย์ที่ปรารถนาที่จะมี โดยไม่รู้ผลเสียตามมาทีหลัง อย่างที่รู้ๆ กันมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และใส่หน้ากากเข้าหากัน ปกปิดนิสัยที่แท้จริง,นิสัยที่ไม่ดีเอาไว้ การที่อ่านจิตใจอีกฝ่ายนั้นถือว่าเป็นการพังทลายกำแพงหน้ากากของคนนั้นๆ โดยสิ้นเชิง จึงไม่น่าแปลกที่หลายๆ คนไม่พอใจ  ส่วนการที่คิโนะจากไปโดยคิโนะไม่ทำอะไรแม้แต่การให้กำลังใจแก่ชาวเมืองนั้น คือคิโนะไม่ใช้ฮีโร่ คิโนะเป็นแค่เด็กน้อยที่อยากเรียนรู้โลกกว้างเท่านั้น และปัญหานั้นใหญ่เกินตัวของคิโนะ

                    อืม......ตอนที่ 1 ยังไม่ค่อยมีอะไรน่าพูดถึงเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจวิธีการดำเนินเรื่องของคิโนะแล้ว และเริ่มเข้าใจถึงตัวตนคิโนะพอสมควร พูดง่ายๆ มันเป็นแค่ของว่างสำหรับปรับสมองให้เข้าถึงสิ่งที่นิยายนำเสนอเท่านั้น เพราะต่อจากนี้เมืองที่คิโนะไปจะเริ่มน่ากลัวขึ้น และสื่อถึงจิตใจด้านมืดของมนุษย์มากขึ้นด้วย และจะเริ่มเต็มด้วยคำถาม และสิ่งที่ชาวเมืองนั้นๆ ทำนั้นมันถูกต้องหรือไม่

                    
                    นครระบบเสียงข้างมาก(Ourselfish)
    เมืองที่อดีตมีพระราชาบ้าอำนาจและทำให้ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานจนประชาชนไม่ไหวจนก่อการปฏิบัติ ประชาชนกำจัดพระราชา และประชาชนเห็นด้วยที่กับการไม่เอาการปกครองแบบเผล็ดการหรือระบอบกษัตริย์ พวกเขาใช้ระบอบการปกครองแบบการลงเสียงค่อนข้างมาก ที่โลกแห่งความจริงของเรานั้นเรียกว่า ประชาธิปไตย โดยใครที่ผิดกฎ(ที่เล็กน้อยมาก)จะมีการตัดสินโดยยกมือขึ้นเห็นด้วย(ใครไม่เห็นด้วยการเป็นกบฏ)และผู้ทำผิดต้องลงโทษโดยการประหารเท่านั้น และผลสุดท้ายเมืองแห่งนี้ก็เหลือประชากรเพียงคนเดียว ส่วนพระราชวังเต็มไปด้วยหลุมศพเรียงรายหลายร้อยพัน สุดท้ายนี้เป็นระบอบการปกครองที่ทำให้ประชาชนมีความสุขที่แท้จริงหรือไม่??..หรือเป็นการเอาแต่ใจของพวกเก็บกดกันแน่?? ....อ่านแล้วเหมือนประเทศหนึ่งจริงๆ ที่ประชาชนเอาแต่ใจ ชอบบ่นว่านี้ไม่ใช้ประชาธิปไตยเสียจริง

                    บนโลกนี้ไม่มีระบอบการปกครองไหนเหมาะสมแก่มนุษย์หรอกครับ มนุษย์เรานั้นเอาแต่ใจและถึงแม้จะเป็นสัตว์สังคม แต่มนุษย์ก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็ไม่เห็นด้วยกับกฎข้อนี้ หรือไม่ชอบคนนี้ แต่สังคมบนโลกส่วนใหญ่มักบังคับให้มีความคิดคล้อยตามกัน ไม่ว่าจะเผล็ดการหรือประชาธิปไตย  หากไม่คล้อยก็จะถูกตัดจากกลุ่มไป ไม่คบเป็นเพื่อน เหมือนบางประเทศที่ใครไม่เข้าเริ่มเสื้อเหลืองหรือว่าเป็นไม่รักชาติ ใครไม่ร่วมเสื้อแดงถือว่าเป็นชอบระบอบเผล็ดการ โดยไม่มองเสียงส่วนน้อยเลยว่ามันดีหรือไม่ สรุปแล้วก็ระบบสังคมของโลกเราก็ไม่แตกต่างอะไรจากนครระบบเสียงข้างมากค่อนข้างมากของโลกคิโนะแหละ

                    และเช่นเคยคิโนะฟังเรื่องราวจากประชาชนคนสุดท้ายเมืองนี้จบ คิโนะก็จากเมืองไปโดยไม่ทำอะไรเลย (คิโนะพูดกับชาวเมืองคนสุดท้ายว่า “ลาก่อนพระราชา”)  

                    ชายสามคนบนรางรถไฟ (On The Rails) ดูเหมือนว่านิยายคิโนะจะสอดแทรกตลกร้ายๆ เข้าไปด้วยนะครับ แม้เรื่องนี้ผมจะเคยเห็นแนวมันมาบ้างแล้วก็เถอะ แต่ก็อดขำ(ไม่ออก)หรือพูดยากจริงๆ เป็นตอนสั้นเกี่ยวกับชายสามคน ที่คนหนึ่งขัดราง คนหนึ่งรื้อราง คนหนึ่งสร้างราง ในรางรถไฟรางเดียวกันที่ไม่มีรถไฟวิ่งมาหลายปีแล้ว แต่ทั้งสามคนทำงานโดยไม่เคยเจอหน้ากันเลย(เพราะจุดที่ทำงานอยู่ไกล แต่รางเดียวกัน) แต่ทั้งสามคนต่างทำงานอย่างขยันขันแข็ง มีความหวังว่างานของเขานั้นสำคัญ และทำงานคนเดียวเป็นเวลานาน โดยรู้ไม่ว่างานของพวกเขานั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

                    ถ้าคุณอยู่ในเหตุการณ์นั้นคุณจะบอกชายสามคนนั้นเลิกไหม?? แต่สำหรับคิโนะแล้วคิโนะไม่พูดสักคำ นอกจากรับฟังและก็จากไป........

                    โคลอสเซียม(Avenger) เมืองที่ปกครองโดยพระราชาคนใหม่ที่ปกครองแบบโหดร้ายและไม่ใส่ใจความทุกข์ของประชาชน แต่ประชาชนทั้งหลายต่างชมชอบ เพราะที่ผ่านมาพระราชาคนเก่าปกครองดีจนน่าเบื่อเกินไป แต่พระราชาคนใหม่นี้นำเกมส์สนุกมามอบให้แก่ประชาชน โดยให้พวกนักเดินทางมาสู้มาฆ่ากันในโคลอสเซี่ยม นักเดินทางคนไหนที่ชนะเลิศออกกฎ 1 ข้อของเมืองและมีสิทธิเป็นพลเมืองได้ ส่วนผู้แพ้ต้องจากเมืองหรือจากโลกนี้ไป.....และคิโนะเองต้องเข้าร่วมประลองนี้อย่างช่วยไม่ได้

                    สำหรับตอนนี้ผมชอบมากครับ ถึงขั้นดูอมิเนชั่นไปด้วย(ซับอังกฤษ) แม้ไม่รู้เรื่องก็เถอะ แต่บรรยากาศคิโนะตอนนี้ชวนให้อึดอัดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองที่เทิดทูนพระราชาคนใหม่ซะเหลือเกิน  หรือเหล่านักสู้ที่ฆ่ากันในสังเวียนเพียงเพื่อเป็นพลเมือง เมืองเน่าๆ แห่งนี้ นอกจากนี้ยังได้ดูแอ็คชั่นครั้งแรกของคิโนะ ที่เก่งเหลือจะกล่าว และการปรากฏตัวของตัวละครใหม่ด้วย แต่ผมว่านะจุดสำคัญของเรื่องคือตอนต้นเรื่องต่างหาก(ในนิยายคือภาพประกอบแรก) ที่เป็นภาพคิโนะกำลังฟังผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่าทางยิ้มแย้มเป็นมิตรบอกให้คิโนะลองแวะไปเมืองแห่งนี้ดู โดยย้ำหนักย้ำหนาว่าเป็นเมืองที่ดีนะ ต้องไปให้ได้นะ และคิโนะก็เชื่อของผู้หญิงคนนั้น โดยหารู้ไม่ว่าโดนหลอก(สำหรับสาเหตุที่ผู้หญิงคนนั้นหลอกก็อ่านในนิยายละกัน).....แสดงให้เห็นว่าเวลาจะเชื่อคนอย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ สังคมมีหลายแบบ มาดี มาร้าย แตกต่างกันออกไป แล้วแต่การวิเคราะห์เราเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องเหล่านั้น

                    นครของผู้ใหญ่(Naturai Rughts) เป็นตอนที่มาพร้อมกับคำถามที่ว่า เด็กสมควรเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควรดีหรือ เด็กสาวที่ชื่อเป็นดอกไม้คนหนึ่งกำลังสับสนลังเลว่าเธอสมควรเป็นผู้ใหญ่ก่อนนวัยอันควรเพราะการผ่าตัดย้ายสมองตามกฎของเมืองแห่งนี้ โดยมีกฎอยู่ว่าห้ามเด็กสาวพูดคุยกับคนอื่นจนถึงวันผ่าตัด และแล้ววันที่เธอกำลังจะผ่าตัดนั้นมีนักเดินทางที่ชื่อ “คิโนะ” บังเอิญผ่านมา นักเดินทางได้พูดประโยคหนึ่งกับเด็กสาว และแล้ว..........ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาล…….

                    เป็นตอนที่หักมุมเล็กน้อย(แต่คนอ่านคงรู้ทันกลางเรื่องแหละ) เป็นตอนที่โหดมากๆ แสดงให้เห็นว่าเด็กที่กลายเป็นผู้ใหญ่นั้นไม่ดีเลย ขาดเหตุผล ขาดการควบคุมอารมณ์ แม้กระทั้งครอบครัวเด็กสาวคนนั้นก็ฆ่าเธอโดยไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดด้วยสักนิด

                    
                   นครแห่งสันติ(Mother’s Love)
    เป็นตอนที่ผมสนใจมาก เพราะภาพประกอบสองภาพ ภาพหนึ่งเป็นภาพปลอกกระสุนปืนที่มีฉากหลังหดหู่ กับอีกภาพที่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนแม่กำลังเล่นกับลูกโดยมีฉากหลังเป็นกระดูกมนุษย์ ภาพนี้สื่ออะไรกันแน่?? นครสันติทำไมภาพถึงหดหู่น่ากลัวเช่นนี้

                    นครแห่งนี้แบ่งเป็นสองเมือง เมืองสองเมืองนี้รบมาเป็นช้านาน จนทำให้ประชากรล้มเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก รบจนประชาชนแต่ละเมืองลดลงอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นวิกฤติ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังรบต่อไปเพราะมันกลายเป็นวิถีชีวิตของพวกเขาไปแล้ว วันหนึ่งมีหญิงม่ายที่เสียลูกในสงครามจนหมดได้ปิ๊งไอเดียเสนอให้สองเมืองนี้มีสันติหยุดรบราฆ่าฟันกัน โดยจัดประเพณีฆ่าคนพื้นเมืองเผ่าอื่นเก็บแต้มแทน เพื่อลดความสูญเสียประชากรของสองเมือง คนพื้นเมืองเหล่านี้ไม่มีทางสู้และตกอยู่ในวงล้อมการฆ่าฟัน ตายเหมือนผักเหมือนปลาท่ามกลางความสนุกสนานของคนทั้งสองเมือง กลายเป็นว่าสองเมืองนี้ได้ทำให้เกิดความแค้น และความสูญเสียเพิ่มขึ้นใหม่ ยากที่จะลืมเลือน.....

                    เป็นตอนที่ตอบยากจริงๆ คิโนะที่อยู่เหตุการณ์เหล่านั้นก็พูดไม่ออก แม้จะสงสารชาวเมืองเหล่านั้น แต่คิโนะก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อพวกเขาได้ และฉากเด็ดของตอนนี้มาอยู่ตรงที่คิโนะออกจากเมือง ที่มีชาวพื้นเมืองเหล่านั้นมาดัดกลางทางหมายฆ่าคิโนะ และคิโนะก็จัดการชาวพื้นเมืองเหล่านั้น(ฆ่าคนเดียว)ตามคำที่เขาพูดในตอนต้นเรื่องว่า “ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดจะหยุดเดินทาง เพราะการเดินทางสนุก ต่อให้ทำร้ายคนอื่น ฉันก็จะเดินทางต่อไป....”

                    ตอนนี้อ่านไปอ่านมาเหมือนทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิงเหลือเกิน มีเกมฆ่านานกิงเพื่อเก็บแต้มด้วย ใครได้มากที่สุดจะได้เหรียญและรางวัลเหมือนนิยายคิโนะไม่มีผิด บางทีการฆ่าก็เป็นเครื่องบังเทิงอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็ว่าได้ คุณเคยเห็นประเพณี ยิงสุนัขจิ้งจอก เอาหมามากัดกระต่าย หรือยิงนก ตกปลา มนุษย์เรานี้ช่างชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเหลือเกิน

                    เป็นอันว่าจบเมืองสุดท้ายของเล่มหนึ่งเพียงเท่านี้

                   

                    หลังจากที่อ่าน เป็นนิยายที่ดูเหมือนไม่สนุก ทำให้คนที่อ่านตอนแรกๆ มักจะไม่ชอบ เพราะหลายคนยังติดใจพวกนิยายแฟนตาซีไซไฟที่อลังการ พวกเจ้าชายหล่อ เจ้าหญิงเอาแต่ใจ หรือเน้นความรัก จำพวก ทะเลทราย ออลไลน์ โรงเรียนเวทมนต์ ทำให้นิยายเรื่องนี้ในไทยไม่ค่อยนิยมมากนัก แต่กระนั้นก็มีกลุ่มแฟนหลายคนที่ติดตามเหนียวแน่น

                    สำหรับผมแล้วผมชอบคิโนะครับ เพราะเป็นเรื่องสั้นจบในตอน ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าแรก สามารถเปิดอ่านเมืองที่ชื่อน่าสนใจได้เลย โดยไม่ต้องมาลำดับเหตุการณ์ เล่มหนึ่งเรายังไม่รู้เรื่องราวของคิโนะเท่าไหร่ แต่เล่มหลังๆ จะเริ่มเปิดเผยมากขึ้น

                    นอกเหนือจากความแปลกแต่ละเมืองแล้ว ยังนำเสนอการเติบโตจิตใจของคิโนะ ที่ดูเผินๆ อาจเย็นชา โหดร้าย ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา ความจริงแล้วคิโนะเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยากจะเรียนรู้ความกว้างใหญ่ของโลก คิโนะไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงคนอื่น ไม่ทำตัวโดดเด่นเป็นฮี่โร่ เพราะว่าคิโนะรักษามารยาทเข้าเมืองตาหลิ่วจ้องหลิ่วตาตาม แม้บางครั้งจะทำเกินเลยไปบ้าง แต่เรื่องเหล่านี้แสดงออกถึงเรื่องปกติของมนุษย์ที่บางครั้งถ้าไปจี้จุดตำใจก็อาจฟิวส์ขาดได้เหมือนกัน

                   จุดเด่นก็คือตัวเอกคิโนะนี้แหละครับ ในขณะที่คนอื่นๆ พอใจในการอยู่ในเมืองของตนไม่อยากอยู่โลกภายนอก แต่สำหรับคิโนะเธอไม่เคยปิดกั้นโลกของตัวเองเป็นกบในกะลาครอบแน่นอน แม้ว่าโลกภายนอกจะโหดร้ายเต็มไปด้วยเล่ห์อุบาย ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ, สัตว์ร้าย, มนุษย์ และการใช้ชีวิตที่ลำบากต้องนอนดินกินกลางทราย อดมื้อกินมื้อ แม้เธอจะเป็นผู้หญิงแต่เธอก็มีสิทธิเป็นของตัวเอง มีความมุ่งมั่นอดทน แม้บางครั้งเธอก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคนอ่านคิด เธอก็เหงาเศร้า, กลัว เจ็บปวดสงสารกับเรื่องโหดร้ายระหว่างเป็นเหมือนกัน แต่เธอก็ไม่จมปรักกับอารมณ์ มองสิ่งนั้นเพื่อเก็บเป็นประสบการร์ความทรงจำที่มีค่าแล้วก้าวผ่านมันไป และเมื่อเธอเดินทางเธอก็จะพบสิ่งที่โหดร้ายในสายตาเธอมากขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็จะก้าวผ่านมันอย่างเข้มแข็ง จนกลายเป็นว่าตัวคิโนะเป็นตัวละครที่มีมิติ น่าหลงใหลสำหรับใครหลายๆ คนที่ชอบหญิงแร่ง น่ารัก และอยากปกป้องเธอ ส่วนวิธีการดำเนินเรื่องก็มีหลากหลาย มีทั้งแบบดำเนินโดยบุคคลที่หนึ่ง แบบบุคคลที่สาม หรือมุมมองของพระเจ้า ซึ่งอาจทำให้คนอ่านหงุดหงิดหรือปรับอารมณ์ไม่ทันนิดๆ หน่อยๆ

                    สรุปคือ นิยายของคิโนะเป็นนิยายที่ดีครับ เวลาอ่านก็ควรคิดหน่อยนะครับว่าเรื่องนี้ต้องการนำเสนออะไร แม้จะเดาเนื้อเรื่องได้บางครั้งก็อย่าไปคิดมากครับ พยายามตอบคำถาม 3 อย่างให้ได้ คือ สิ่งที่เมืองนั้นทำนั้นถูกหรือไม่ หากไม่ถูกเราควรทำอย่างไร และปฏิกิริยาของคิโนะในแต่ละเมืองเป็นอย่างไร ทำไมคิโนะถึงทำอย่างนั้น หากตอบไม่ได้ก็ขอให้ไปอ่านใหม่ จนได้คำตอบที่น่าพอใจ และเมื่ออ่านพอใจแล้วเราก็ไปอ่านต่อเมืองใหม่ได้เลย จะเพิ่มความสนุกในการอ่านนิยายเรื่องนี้มากขึ้น


    + +
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×