ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #27 : สนุกกับขันทีจอมโฉด (CHINESE EUNUCHS BOOK 1) ประวัติศาสตร์โหด มัน ฮ่าของเหล่าขันที

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.85K
      10
      21 เม.ย. 53


                    วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศดูการ์ตูนญี่ปุ่น, การ์ตูนอเมริกามาเยอะแล้ว มันมาดูการ์ตูนประเทศอื่นบ้าง

                    การ์ตูนที่ว่านั้นคือการ์ตูนจีน

                    อย่าไปจำการ์ตูนกำลังภายในของบูรพัฒน์สลับกันละ นั้นเป็นของฮ่องกง รายนั้นผมแทบส่ายหัว เซียวอื้อยี้เกิน 100 ไม่จบทำลายต้นฉบับจนสิ้นซาก, หรือวีรบุตรไร้น้ำตาอ่านแล้วยิ่งส่ายหัวมันทำให้คนเป็นแฟนพันธุ์แท้เดือดเปล่าๆ

                    การ์ตูนจีนที่ว่าเป็นการ์ตูนชุดความรู้ประวัติบุคคลครับ

                    หลายคนคงบอกว่าน่าเบื่อว่ะ คงไม่พ้นพวกเหมาเจ๋อตุง พวกทำคุณงามความดี หรือพวกจิ๋นซี ซูซีไทเฮา ใช่เปล่า ขอตอบว่าไม่ใช่ครับ เป็นเรื่องของ “เดอะ ขันที” แถมคัดมาแต่ตัวเจ๋งๆ เน้นทำความชั่วมากกว่าความดีอีก

                    ขันที คุณรู้จักพวกเขามากแค่ไหน

     

    Chinese Eunuchs Book 1 Chinese Eunuchs Book 2 Chinese Eunuchs Book 3

    สนุกกับขันทีจอมโฉด (การ์ตูนจีนภาพประกอบ) / CHINESE EUNUCHS BOOK 1

    สนุกกับขันทีจอมบงการ (การ์ตูนจีนภาพประกอบ) / CHINESE EUNUCHS BOOK 2

    สนุกกับขันทีจอมอำมหิต (การ์ตูนจีนภาพประกอบ) / CHINESE EUNUCHS BOOK 3

    (ราคา 100 บาท แต่ถ้าซื้อหนังสือมือสองจะลดเหลือเพียง 30 บาท)

    หาซื้อตามเว็บมือสองหรือหนังสือมือสอง หรือมาถามคนเขียนก็ได้(ถ้าอยากอ่านอ่ะนะ)

     

                    ประเทศจีนที่ประเทศที่ทั่วโลกต่างรู้จัก เนื่องจากประเทศจีนมีเรื่องราวต่างๆ ที่ผู้คนทั่วโลกสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ประเพณี วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ รวมไปถึงชีวประวัติบุคคลสำคัญที่มีการบันทึกในพงศาวดารจีน

                    เรื่องราวของขันทีก็ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์เช่นกัน เพราะระบบขันทีนั้น เกิดและตายพร้อมๆ กับราชอาณาจักรจีน

                    ขันที มีความหมายว่า ชายผู้ถูกตอนในบางประเทศทางเอเชียสมัยโบราณเพื่อควบคุมฝ่ายใน ในภาษาจีนเรียกไท่เจียน(ในเว็บวีพีมีเดียว่าไท้เจี๋ยน)

                    ไม่ใช้จีนนะที่มีแต่ขันที ประเทศอื่นๆ ก็มี อย่างประเทศเกาหลี, กรีก,มอญ หรือเปอร์เซียบางประเทศสันนิษฐานว่าเกิดครั้งแรกที่เมืองละกาสช์ (Lagash) ของสุเมเรียน ในเมโสโปเตเมีย ราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล

                    ขันทีจีนปรากฏขึ้นครั้งแรกราวหนึ่งพันปีมาแล้ว พวกเขาถูกมองว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้ใกล้ชิดคอยรับใช้เบื้องพระยุคลบาทของจักรพรรดิ เพราะเหตุที่พวกเขาแข็งแรงแบบผู้ชาย แต่มีความว่านอนสอนง่ายแบบผู้หญิง เหตุผลสำคัญที่สุดคือพวกเขาขาดสมรรภนะในการสืบพันธุ์และความปรารถนาทางเพศทำให้ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเล่นชู้ผู้หญิงของจักรพรรดิ

                    ขันทีจีนนั้นมีหน้าที่หลากหลายในพระราชวังในจีนมีหน้าที่ควบคุมนางในฝ่ายพระราชฐาน และบางครั้งจะขับลำนำถวายฮ่องเต้ก่อนเข้าที่บรรทม นอกจากเรื่องทางโลกแล้ว ขันทียังมีหน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษาให้กับฮ่องเต้ในการปกครองบ้านเมือง ไปจนถึงที่ปรึกษากองทัพ หรือกุนซื่อในกองทัพทหาร

                    ตอนแรกๆ ขันทียังไม่มีอำนาจมากนัก เป็นแค่คนรับใช้จักรพรรดิเท่านั้น แต่นานๆ วันเมื่อจักรพรรดิพอใจ ขันทีก็เริ่มมีตำแหน่งมาก เช่นผู้ช่วยใกล้ชิดของจักรพรรดิ, เสนาบดีกรมวัง บางครั้งขันทีก็เริ่มจำเป็นต่อการก่อรัฐประหาร

                    เนื่องจากการเสียสละทางร่ายกายที่พวกขันทีจำยอมเพื่อพ้นจากความยากจน ความโง่ของพวกเขาที่ไม่สามารถหางานทำได้ พวกเขายอมลงทุนเจ็บกายและยอมให้สังคมดูถูกเพื่อทำงานในวัง พวกเขาจึงมีแนวโน้มที่แสวงหาสิ่งที่ชดเชยกับความสูญเสียจนคุ้มค่า สภาพจิตใจบิดเบี้ยวนี้ทำให้ขันทีบางส่วนกระหายอำนาจวาสนา จนกลายเป็นคนใจคออำมหิต ใช้เล่ห์กลทุกวิถีทางเพื่อนำมาซึ่งอำนาจสูงสุด ยิ่งฮ่องเต้,จักรพรรดิอ่อนแอขันทีก็ยิ่งสามารถชักใยให้การเป็นหุ่นได้ง่าย ปรนเปรฮ่องเต้จนอ่อนแอ  ใช้อำนาจอย่างอำเภอใจ ส่งผลให้บ้านเมืองระส่ำระสาย ในที่สุดประชาชนก็ก่อการกบฏ บ้านเมืองไร้เสถียรภาพจนนำมาสู่การล่มสลายของบ้านเมือง เช่น ยุคสามก๊ก หรือ ปลายราชวงศ์หมิง หรือ ปลายราชวงศ์ชิง เป็นต้น

                    มีหนังสือหลายเรื่องที่เขียนถึงขันที แต่ถ้าจะเป็นการ์ตูนผมแนะนำหนังสือ 3 เรื่องนี้

                    -สนุกกับขันทีจอมโฉด (การ์ตูนจีนภาพประกอบ) / CHINESE EUNUCHS BOOK 1 ในเล่มมีประวัติขันทีโหด 5 คน คือซูเตียว, เจาเกา, ซานเฉา,เชาเจี้ย และจางร่าง

                    -สนุกกับขันทีจอมบงการ (การ์ตูนจีนภาพประกอบ) / CHINESE EUNUCHS BOOK 2 ในเล่มมีประวัติขันทีโหด 5 คน คือหลี่ฟู้กว๋อ,อวี่เฉาอิน,ซิวซื่อเหลียง,ฮั่นชวนฮุ่น และทงกวน

                    -สนุกกับขันทีจอมอำมหิต(การ์ตูนจีนภาพประกอบ) / CHINESE EUNUCHS BOOK 3(ผมทำหาย ว่าจะซื้อใหม่ แต่ที่แน่ๆ มีประวัติเว่ยจงเซียนแน่นอน)

                    จะเห็นได้ ขันทีไม่ดีนั้นมีอยู่ทุกราชวงค์ตั้งแต่สมัยเลียดก๊กจนถึงราชวงส์ชิงอันเป็นราชวงค์สุดท้ายของจีน และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ราชวงค์นั้นๆ ล่มสลาย บางคนก็ทางอ้อมเช่นทงกวนที่โกหกตลบตะแลงจนฮ่องเต้ต้องเสียบังลังก์ หรือเจาเกาที่ลอบสังหารฮ่องเต้อย่างโหดเหี้ยม

                    การ์ตูนนี้เป็นผลงานของเทียนเหิงอวี่(ภาพ) และหยางไอ้เหวิน(เรื่อง) แม้ตัวการ์ตูนในหนังสือจะไม่มีเทคนิคพิเศษใดๆ เลย ไม่มีการแลเงา ไม่มีตัวละครหล่อหรือสวย แต่สัดส่วนของการ์ตูนเรื่องนี้ดูแล้วน่ามอง ชวนติดตาม และถ่ายทอดความโหดเหี้ยมและความรังเกียจ(กวนทีน)ของเหล่าขันทีได้อย่างดี แม้รายละเอียดจะถูกตัดถอนบ้างเพื่อเข้าใจง่าย แต่ก็ช่วยให้หลายๆ คนอยากไปศึกษาเพิ่มเติมว่าเรื่องราวแบบเต็มๆ เป็นอย่างไร และพวกเขาเลวจริงหรือ?

                    ทุกเรื่องในการ์ตูนนี้เป็นเรื่องจริงของคนจริงๆ ถ้าคนได้อ่านประวัติศาสตร์มาจะรู้ว่าพวกเขาโหดเหี้ยมมาก แต่โชคดีนี้คือการ์ตูน ทำให้เราได้เห็นอารมณ์ขัน การละเลงใส่ไข่ขันทีให้รูปร่างอัปลักษณ์ทั้งกายและใจ แต่ความตลกนี้ไม่ได้ให้เรื่องหลักในหนังสือเสียแม้แต่น้อย แน่นอนมีการแฝงคำคม คำโบราณเล็กน้อยแต่ไม่ยากที่เราจะเรียนรู้มากนัก

                    ในหนังสือแบ่งเป็นซีรีย์ หลายราชวงศ์ หลายๆ คนคุ้นหูกันดีอย่าง เว่ยจงเซียน จากหนังกำลังภายใน หรือจางร่าง 1 ใน 10 ขันทีแห่งยุคสามก๊ก ที่เป็นสาเหตุในการล่มสลายในราชวงศ์ฮั่น

                    ผมขอยกประวัติขันที 3 คนนะครับ ที่จริงผมชอบเว่ยจงเซียน แต่ผมหาประวัติของเขาไม่ได้ และ3 คนนี้อยู่ในหนังสือซีรีย์สนุกกับขันทีจอมโฉด (การ์ตูนจีนภาพประกอบ) / CHINESE EUNUCHS BOOK 1

                    

                    ชูเตียว(?-642 ก่อนคริสต์ศักราช)

                    ขันทีซูเตียวปรากฏตัวในแคว้นฉี ในยุคที่กษัตริย์ฮ้วน(ฉีเหิงกงหรือเซียวไป่)ขึ้นครองอำนาจ และจงกวน(ก่วนจง)มหาเสนาบดี(เทียบกับรัฐมนตรีปัจจุบัน)ได้ทำให้แคว้นฉีเป็นรัฐมหาอำนาจ ทั้งด้านการทหารและการเมืองเจริญรุ่งเรื่องอย่างสุดขีดกว่าแคว้นใดๆ ในเวลานั้น

                    ก่วนจงถือว่าเป็นมหาเสนาบดีที่มีความสามารถ ขงจื่อเคยพรรณนาเขาว่า “ก่วนจงเป็นนักปกครองอัจฉริยะ ถ้าไม่มีเขา แผ่นดินจีนคงตกเป็นของคนป่าคนดอยไปแล้ว) เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี(มหาเสนาบดี)และรับใช้ฉีกงนานถึง 41 ปี และถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ เมื่อ 645 ก่อนค.ศ.

                    ก่อนที่ก่วงจงจะตาย ฉีเหิงกงได้เสด็จมาเยี่ยมก่วนจงที่ป่วยหนัก และถามความเห็นว่าใครสมควรสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา ก่วนจงกลับทูลถามถึงคนที่อยู่ในพระทัยของเจ้าชีวิตก่อนว่ามีใครบ้าง

                    ฉีเหิงกงเลียบเคียงว่า “อี้หยาง เหมาะสมไหม”

                    อี้หยางเป็นพ่อครัวที่ฉีเหิงกงโปรดปรานที่สุด เพราะอาหารที่เขาทำนั้นอร่อยมาก ครั้งหนึ่งฉีเหิงกงพูดเล่นกับอี้หยางว่า เนื้ออะไรเขาก็เคยกินมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเนื้อเด็กทารกเป็นอย่างไร อี้หยางได้ยินดังนั้นเขาเลยกลับบ้านเชือดคอลูกชายที่อายุที่ยังไม่ครบเดือนเพื่อนำไปทำเนื้อรมควันมาถวาย

                    ตอนแรกฉีเหิงกงไม่รู้เนื้ออะไร เมื่อเขาได้เสวยพระกระยาหารแล้วปรากฏว่ามันนุ่ม นวลและอร่อยยิ่งกว่าเนื้อลูกแพะกับลูกหมูที่ยังไม่หย่านม เลยถามอี้หยางว่ามันคืออะไร

                    อี้หยางตอบว่า “มันเป็นเนื้อคนพ่ะย่ะค่ะ เนื้อของลูกชาย 3 ขวบของกระหม่อมเอง”

                    ฉีเฉิงกงตกใจมาก เขาเพียงแต่พูดเล่นๆ แต่ฉีเหิงกงกลับทำให้มันกลายเป็นจริง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นฉีเฉิงกงก็ให้เขาทำหน้าที่เป็นพ่อครัวส่วนตัวเขาตลอดมา

                    กลับมาที่ก่วนจง เมื่อก่วนจงได้ฟังฉีเหิงกงจะเลือก เขาพูดว่า “อี้หยาไว้ใจไม่ได้ เขามีจิตใจอำมหิตฆ่าได้แม้กระทั้งลูกในไส้”

                    ฉีเหิงกงจึงถามต่อว่า

                    “ไคฟาง ใช้ได้ไหม”

                    ไคฟางเป็นเลขาธิการของฉีเหิงกง รับใช้มานานถึงสิบห้าปีแล้ว แต่เขาไม่ใช้คนแคว้นฉีและเขาไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเลย แม้กระทั้งบิดามารดาเสียชีวิต เขาก็ไม่กลับไปร่วมศพตามประเพณี

                    ก่วนจงตอบว่า

                    “ไคฟางเป็นคนอกกตัญญู บิดามารดาก็ไม่เอาใจใส่ปฏิบัติ กระทั้งป่วยตายก็ไม่ทำศพให้ และที่ทำเรื่องละอายคือเขาเอาน้องสาวแท้ๆ ของตนเอง(อายุ 13 ปี)มาขายเพื่อซื้อตำแหน่ง มันเป็นคนไร้น้ำใจ ไม่ควรให้ตำแหน่งสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น”

                    ฉีเหิงกงถามต่อไปว่า “ซูเตียวล่ะ”

                    ซูเตียวเป็นหัวหน้าขันที ที่ฉีเหิงกงหลงใหลที่สุด เป็นผู้ปรนนิบัติเรื่องส่วนตัวทุกเรื่อง ตั้งแต่บนบรรจถรณ์ จนกระทั้งในห้องสุขา ชำระพระวรกายให้สะอาดทุกซอกทุกมุม เรียกได้ว่าเขาสนองความสำราญของพระองค์ทุกรูปแบบ

                    แต่เวลานั้นซูเตียวเป็นขันทีที่ไม่ได้ตอนตัวเอง ตามกฎว่าเมื่ออายุ 14 จะอยู่วังต่อไปไม่ได้  เพราะขัดประเพณี ต้องออกจากวังไปเป็นคนธรรมดาสามัญ

                    มีหรือซูเตียวจะไม่ยอม เพื่ออำนาจและเพื่อหนีจากความยากจน หลังจากกลับบ้านเขาไม่อาจลืมชีวิตในวังได้ เขาพยายามหาวิธีกลับวังใหม่โดยการตอนตนเอง

                    ซูเตียวกล่าวว่า “ความเจ็บปวดชั่วคราวยังดีกว่าความทุกข์ยากไปชั่วชีวิต ความมั่งคั่งและอำนาจขึ้นอยู่กับการตวัดมีดครั้งเดียวนี้”

                    พ่อของซูเตียวถึงกับร่ำไห้เมื่อซูเตียวตอนตัวเอง “ลูกเอ้ย! เจ้าถึงกับทำลายรากของครอบครัวเพื่อกลับไปเข้าวังหรือ”

                    ซูเตียวกล่าวว่า “ท่านพ่อ รากนี้มีประโยชน์อะไร? ขณะที่มีมันอยู่ เรายังคงยากจยอยู่นั่นเอง ไม่มีมันเสียอย่าง ข้าจะได้ร่ำรวยและมียศถาบรรดาศักดิ์”

                     การที่ซูเตียวยอมตัดอวัยวะเพศของตนเพื่อเอาใจฉีเหิงกง จนฉีเหิงกงซึ้งน้ำใจซูเตียวและกลายเป็นคนสนิทที่ขาดไม่ได้ในที่สุด

                    นอกจากนั้นซูเตียวยังเป็นคนแนะนำให้อี้หยางและไคฟางมาให้ฉีเหิงกงอีกด้วย เรียกได้ว่าสามคนนั้นคือผีเน่ากลับโรงผุเข้าขากันอย่างน่ารักน่าชัง

                    ก่วนจงที่ป่วยหนักใกล้ตายแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เขาพูดแบบไม่อ้อมค้อมเปิดเผยว่า “หนูผีกับสุนัขดุพระองค์เคยได้ยินไหม หนูผีคือสิ่งที่ชั่วร้ายอยู่ทั่วไปแม้แต่ในวังใหญ่โตมันก็มีอยู่ทั่วฤทธิ์เดชของมันคือมันจะเจาะทะลวงไม้และปูนเพื่อให้วังชำรุดและทรุดโทรมและพังทลายมายากจะแก้ไขได้ ส่วนสุนัขดุนั้นมาจากนิทานเรื่องของขายเหล้าที่มีอยู่ว่ามีคนขายเหล้าคนหนึ่งได้ทำเหล้าชั้นเลิศล้ำอย่างยิ่ง เขาเอาเหล้านั้นวางไว้กลางร้าน แต่ปรากฏว่าไม่มีลูกค้าคนไหนนั้นมาซื้อเลย พ่อค้าจึงถามเพื่อนบ้านว่าทำไมไม่ไปซื้อสุราที่ร้าน และเขาก็ได้คำตอบว่าพวกเขากลัวสุนัขที่เจ้าของร้านเลี้ยงไว้ เพราะมันดุมาก มันชอบกัดลูกค้าที่มาซื้อเหล้าที่ร้าน ดังนั้นสุนัขดุคือพวกที่ไม่รู้บุญคุณคนและซ้ำยังขัดขวางคนเจริญนั้นเอง

                     สิ่งที่ข้ายกมานั้นเพื่อเปรียบเทียบสามคนที่พระองค์มาเสนอให้รับตำแหน่งแทนข้านั้น มันคือพวกหนูผีและสุนัขดุ และคนที่เลวชั่วช้าที่สุดในสามใบเถานั้นคือขันทีซูเตียว ถ้าพระองค์ต้องการให้ราชบังลังก์มั่นคง พระองค์จงไล่สามคนไปให้พ้น หรือไม่ก็ประหารเสีย”

                    หลังจากนั้นก่วนจงก็อำลาโลกไป

                    ฉีเหิงกงปฏิบัติตามคำแนะนำของก่วนจง เนรเทศคนทั้งสามออกไปเสีย แต่แล้วไม่กี่วันก็เรียกตัวกลับมาหมด เพราะเมื่อคนทั้งสามไม่อยู่ ยามเสวยพระองค์ไม่สำราญเลย ยามบรรทมก็นอนไม่หลับ ยามปฏิบัติราชกิจก็ไม่มีใครสนองได้อย่างใจ

                    เมื่อสามหนูผีและสุนัขดุกลับมา โดยไม่มีก่วนจงเป็นก้างขวางคอ ก็กำเริบเสิบสาน และกุมอำนาจแคว้นฉีทั้งหมด แต่งตั้งเด็กเส้น พรรคพวกของตัวเองมาดำรงตำแหน่งสำคัญ และกำจัดพวกที่ไม่เห็นด้วยจนหายไปทีละคนทีละคน

                    เมื่อขวากหนามสิ้นไปหมด ฉีเหิงกงที่คาดพอจะหยุดสามหนูผีสุนัขดุได้นั้น ตอนนี้ก็กลายเป็นคนชราภาพเสียแล้ว สามวายร้ายจึงหันมาเล่นงานพระองค์ อี้หยาไม่ปรุงอาหารให้เสวย ซูเตียวไม่มาร่วมหมอนนอนเตียง ไคฟางไม่สนใจรับสั่งเรื่องงานการ

                    
                   ไม่นานฉีเหิงกงก็ประชวร พวกเขากักขังพระองค์ในตำหนักไม่จัดคนดูแล แถมมีการก่อสร้างปิดทุกส่วนไม่ให้พระองค์ไปไหนมาไหนได้ ไม่ส่งข้าวส่งน้ำให้ ในที่สุดฉีเหิงกงผู้ยิ่งใหญ่ก็สิ้นพระชนม์อย่างเดียวดายไม่มีใครรู้เห็น แม้กระทั้งกลิ่นศพเน่าลอยมา ก็ไม่สนใจ เป็นไปตามที่ก่วนจงพูดทุกประการ

                    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 643 ปีก่อน ค.ศ. หลังจากก่วนจงตายไปแล้วเพียงสองปีเท่านั้น

                    เมื่อข่าวสิ้นพระชนม์ออกมา เหล่าโอรสของฉีเหิงกงที่มีอยู่มากมายที่ปกครองเมืองต่างๆ(บางคนหลบหนีจากการเข่นฆ่าของพี่น้องสายโลหิตไปแคว้นของศัตรู) ได้หวนกลับมา และก่อศึกสายเลือกครั้งใหญ่ สงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด ท่ามกลางกองเลือดและพระศพของฉีเหิงกงที่กองเน่าเหม็นไม่มีใครสนใจ นับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนที่ตายในสภาพน่าสังเวชที่สุด

                    ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูทวาร ทางด้านซูเตียวก็แตกแยกกับไคฟาง เรื่องการหาผู้ปกครองหุ่นมาเชิดแทนฉีเหิงกง ทั้งสองรบกันอย่างดุเดือด ผลสุดท้ายซูเตียวก็ถูกพรรคพวกตัวเองฆ่าตาย ส่วนไคฟงถูกศัตรูสังหาร และอี้หยางหนีไปซานตงและก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย สิ่งที่เหลืออยู่วีรกรรมของซูเตียวที่ทำให้แคว้นฉีตกต่ำย่อยยับสุดขีด สงครามชิงบังลังก์ของพี่น้องสายโลหิตยังดำเนินต่อไป ต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะฟื้นคืนมาได้ดั่งเดิม

                    

                    เจาเกา(Qin Dynasty) (?-207 ก่อนคริสต์ศักราช)

                    จ้าวเกาเป็นขันทีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ชั่วที่สุดที่สามารถยึดอำนาจสูงสุดจนเกือบเป็นมหาจักรพรรดิได้ อดีตเขาเคยเป็นที่โปรดปรานของฮินซื่อหวาง(หรือเรารู้จักในนามจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์ฉิน)

                    จากที่หลายๆ คนรู้ว่าจิ๋นซี่ฮ่องเต้ทรงเป็นกษัตริย์ก่ำกึ่งกับมหาราชและทรราช วีรกรรมเด็ดของทรราชก็เช่น การสังเวยผู้คนมากมายกับการก่อสร้างกำแพงเมืองจีน, การเผาหนังสือฝังเหล่าบัณฑิตทั้งเป็นกลางตลาด การขึ้นภาษีมหาโหดจนเดือดร้อนถ้วนหน้า

                    จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงมีหลีซื่อเป็นมหาเสนาบดี คนผู้นี้จิ๋นซีเคยไว้ชีวิตมาแล้ว เขาจึงเร่งสร้างผลงานเพื่อเอาใจนายหัวชีวิต เขาอยู่เบื้องหลังจากออกกฎหมายโหดหลายกฎ การเผาหนังสือและฝังเหล่าบัณฑิต และการกัดจัดศัตรูทางการเมืองหลายคน เรียกได้ว่าเป็นคนโหดร้ายไม่แพ้จิ๋นซีเลย

                    แต่เจาเกานั้นโหดร้ายกว่า!!

                    เจาเกาเป็นขันทีตั้งแต่เยาว์วัย เขาถูกตอนเพื่อรับใช้ในวัง แต่เนื่องจากเขามีความไหวพริบ ปฏิฏานดี ร่างกายแข็งแกร่ง เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาจนเป็นที่โปรดปรานจิ๋นซีจนได้แต่งตั้งเป็นครูของหูไฮ่พระราชบุตรองค์เล็กของพระองค์ และในช่วงสุดท้ายแห่งการครองราชย์ของจิ๋นซี เจาเกาได้รับตำแหน่งหน้าที่เป็นผุ้นักษาตราพระราชลัญจกร กำกับพระราชโองการ และควบคุมราชรถ ซึ่งด้วยตำแหน่งนี้เขาสามารถปลอมราชโองการปลอมกี่ใบก็ได้อย่างสะดวกสบาย

                    ปี 210 ก่อนค.ศ. จิ๋นซีหรือฉินสื่ออ๋องตี้เสวยราชย์ได้ 37 ปี พระชนม์ย่าง 50 พรรษา พระองค์เสด็จประพาสภาคตะวันออกเป็นครั้งที่ 5 มีคนสำคัญติดตามหายคน คือหูไฮ่พระราชบุตรองค์เล็ก หลี่ซือ และเจาเกาหัวหน้าขันทีและพระอาจารย์ของราชบุตร(ผมขำคนเขียนที่วาดจิ๋นซีเหมือนเหยียวดุครับ ทำซะ สื่อให้เห็นเลยว่าพระองค์เป็นคนอย่างไร)

                    ในระหว่างเสด็จประพาส พระองค์เกิดประชวรหนักกะทันหัน และทรงรู้สึกว่าจะไม่รอดแน่แล้วจึงได้รับสั่งให้เรียกฝูโซว ราชบุตรองค์โต อดีตรัชทายาทที่ถูกถอดตำแหน่งเมื่อสองปีก่อน เพราะแสดงความไม่เห็นด้วยเรื่องที่พระองค์เผาผลาญตำราและเข่นฆ่าบัณฑิต และขณะที่พระองค์ประชวรนี้ ฝูโซวถูกเนรเทศไปอยู่หมิงเถียน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งกำลังทำสงครามอยู่ชายแดน

                    จ้าวเกาหัวหน้าขันที ผู้ที่ไม่กินเส้นกับฝูโซว เขาหารือเรื่องนี้กับหลีซื่อโดยโน้นนาวใจหลีซื่อว่าถ้าฝูโซวครองบังลังก์หลีซื่อลำบากแน่ เพราะฝูโซวเกลียดหลีซื่อที่เป็นคนโหดร้ายฆ่าคนเหมือนผักปลา

                    หลี่ซื่อก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน จึงสมคบคิดจ้าวเกา ดำเนินปลอมพินัยกรรมทันทีหลังฮินสื่ออ๋องตี้เสด็จสวรรคต โดยมอบราชสมบัติให้หูไฮ่ราชบุตรองค์เล็กที่ติดตามมาแต่ผู้เดียว ในบรรดาราชบุตรทั้งหมด 20 องค์พร้อมกันนั้นยังสั่งปลอมอีกฉบับ ส่งไปให้ฝูโซวกับหมงเถียน สั่งให้สองคนนั่นฆ่าตัวตายเสีย

                    จากนั้นเจาเกาก็ประหารพระโอรสของจิ๋นซี 12 พระองค์ พระธิดาอีก 10 พระองค์ เรียกได้ว่าเป็นการฆ่าล้างโครตจิ๋นซีทางอ้อมทีเดียว

                    ในสมัยที่จิ๋นซีเป็นจักรพรรดิแผ่นดินจีนก็ย่ำแย่แล้ว และเมื่อถึงสมัยหูไฮ่เป็นจักรพรรดิแผ่นดินยิ่งแย่กว่าอีก เพราะพระองค์เอาแต่เกษมสำราญ ชอบเกณฑ์คนมาสร้างวังสร้างถนน และขึ้นภาษีอย่างไม่หยุดยั้ง จนเกิดกบฏอย่างกว้างขวาง

                    เจาเกาเริ่มบ้าอำนาจในขณะเดียวกันก็รู้ตัวว่าเขาก่อกรรมทำเข็นมากมายเพียงใด ถ้าเกิดมีใครมาฟ้องจักรพรรดิเขาต้องตายแน่ แต่ด้วยความที่เป็นคนฉลาด เขาเลยเป่าหูกับจักรพรรดิว่า

                    “การที่ฝ่ากระบาทต้องทรงเสด็จออกราชการทุกวันเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยิ่งนัก กระหม่อมมีความคิดอย่างหนึ่งที่แก้ปัญหานี้ได้ ฝ่าบาทต้องให้กระหม่อมรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลคำกราบทูลและข้อราชการทั้งหมด ส่วนฝ่าพระบาทก็ทรงแสวงหาเกษมสำราญโดยไม่จำเป็นต้องเสด็จว่าราชการทุกวันต่อไป”

                    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจักรพรรดิก็ไม่สนใจว่าความราชการต่อไป คำกราบทูลต่างๆ ต้องผ่านเจาเกาคนเดียวเท่านั้น เท่ากับว่าเจากาวกลายเป็นผู้มีอำนาจกว่าจักรพรรดิเสียอีก

                    หลีซื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหลงผิดที่ไปคบคิดกับเจาเกา คิดจะกลับตัวแต่ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อตื่นขึ้นกลางดึกพบทหารล้อมทำเนียบของตนไปหมด เขาถูกจับพร้อมด้วยครอบครัวทุกคน และคุมขังด้วยข้อหากบฏ

                    เขาถูกสอบสวนจากลูกน้องเก่าของเขาเอง วิธีการสอบสวนคือวีเดียวกับที่หลีซื่อใช้ในการสอบสวนนักโทษโดนดำรงตำแหน่ง คือการทรมานเพื่อบีบให้สารภาพ เช่น ตอกเล็บ บีบขมับ รัดข้อเหท้า ทุบด้วยกระบอง จี้ด้วยเหล็กเผาไฟ

                    หลีซื่อทนทรมานไม่ได้จึงขอรับสารภาพตามทุกข้อกล่าวหา เขามีโทษประหารด้วยการยั่นสับปั้นเอวให้ขาดสองท่อนกลางตลาด และครอบครัวโทษประหารทั้งโครต

                    205 ปีก่อน ค.ศ. เดือน 8 เป็นเวลาเช้าตรู่ที่หลีซื่อกล่าวประโยชน์อมตะเป็นครั้งสุดท้ายแก่บุตรชายระหว่างเดินทางไปประหารทั้งครอบครัวว่า

                    “ถ้าข้าไม่คิดมารับราชการอยู่ที่นี่ ป่านนี้ เราสองพ่อลูกคงใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ด้วยการพาสุนัขไปล่าเนื้อตามป่าเขาไปแล้ว”

                    หลังจากตายของหลีซื่อ เจาเกาก็ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของหลี่ซื่อคือการเป็นมหาเสนาบดี อำนาจทางการเมืองของเจาเกายิ่งสูงขึ้น และใช้อำนาจในการแต่งตั้งคนสนิท ญาติมาดำรงตำแหน่งสำคัญในวัง

                    เหตุการณ์หนึ่งที่แสดงถึงความอำมหิตของเจาเกาได้ดีคือ การทดสอบหาคนต่อต้านเขา ในวันที่พระจักรพรรดิเรียกประชุมข้าราชการทั้งหมด เจาเกานำกวางเข้ามาที่ประชุมแล้วพูดกับจักรพรรดิว่า

                    “กระหม่อมขอถวายม้านี้แก่ฝ่าบาท”

                    
                    เจาเกาทูลกลับไปว่า “ถ้าฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อกระหม่อม ทรงถามบรรดาเสนาบดีทั้งหลายดูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” มาถึงตอนนี้ถ้าเป็นขุนนางกันฉิงจะว่ากวางนี้คือม้าแถมมีการชมหลากหลายไม่ว่าจะเป็น มันเป็นม้าที่ดี, วิ่งเร็วเหมือนกระต่าย, ม้าแดงชั้นเยี่ยม จักรพรรดิได้ยินเทียบ งง จนเกือบสงสัยว่า “มันเป็นม้าจริงหรือนี้”

                    แต่ก็มีขุนนางตงฉินเหมือนกันที่ว่ากวางนี้เป็นกวางแถมด่าเจาเกากลับอีกว่านายมันโง่เห็นกวางเป็นม้าได้ไง เจาเกาเลยตอบแทนขุนนางตงฉินนี้ด้วยการสังหารประหารทั้งโครต

                    จักรพรรดิตกใจกับคำพูดเจาเกามาก เลยพูดออกมาว่า “อย่าโง่ไปหน่อยเลย มันเป็นกวางต่างหากเล่า เจ้าเรียกม้าได้อย่างไร”

                    จากนั้นเจาเกาเริ่มเบื่อจักรพรรดิหน้าโง่เต็มแก่แล้ว ซึ่งเรียกคนมาก่อการปฏิบัติและสังหารตักรพรรดิฮูไฉ่ ตอนแรกเจาเกามีความคิดว่าเขาจะขึ้นบัลลังก์เป็นฮ่องเต้คนใหม่ หากไม่รู้เพราะอะไรเจาเกาเกิดเปลี่ยนใจกระทันหัน(มีคนบอกว่าเพราะผีจินซีออกมาหลอกหลอน)

                    ผลสุดท้ายเจาเกาก็โดนซ้อนแผน เพราะศัตรูการเมืองของเจาเกามีมากเหลือเกิน เขาโดนประหารหาร 7 ชั่วโครต ทำให้ราชวงค์จิ๋นล่มสลายเพียง 2 รุ่นเท่านั้น จากนั้นก็มีศึกชิงบังลังก์โดยขุนพลทั่วหล้า ผลสุดท้ายเล่าปังเป็นฝ่ายชนะและได้ตั้งราชวงค์ใหม่คือราชวงค์ฮั่น และครองบังลังก์ในเวลาต่อมา(ก่อนที่จะล่มสลายเพราะขันทีอีก ในยุคสามก๊ก)

                   

                    จางร่าง(?-ค.ศ.189)ราชวงค์ฮั่นตะวันตก

                    และนี้คือขันทีที่ชายไทยต่างคุ้นหูกันดีในฐานะหนึ่งในสิบขันที

                    จางร่างเป็นภาษาจีนกลาง ซึ่งผมไม่รู้ว่าภาษาจีนไหหล่ำที่คุ้นหูชาวไทยนั้นออกเสียงว่าอะไร ดังนั้นผมเลยเปิดในวีพีมีเดียก็พบว่าน่าจะชื่อ “เตียวเหยียง” ครับ(เนื้อหาข้างล่างดัดแปลงจากวีพีมีเดีย)

                    อันเนื่องด้วยในหนังสือเล่มนี้ใช้ภาษาจีนกลางผมจึงเปลี่ยนคำเป็นภาษาจีนไหหล่ำที่คุ้นหูชาวไทยนะครับ (ผมพึ่งรู้ว่าเชาเชาคือโจโฉ,เหอจิ้นคือโฮจิ๋น,เหอจิ้นคืออ้วนเสี้ยว)

                    เตียวเหยียงปรากฏตัวในปลายยุคฮั่นตะวันออก เขาเป็นผู้นำ 10 ขันทีในราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นจำนวนสิบคน ได้แก่ เทาเจียด, เตียวต๋ง, ฮองสี, ต๋วนกุย, เหาลำ, เกียนสิด, เห้หุย, ก๊กเสงและเชียกง สิบขันทีเป็นกลุ่มขุนนางกังฉินที่ทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง เพ็ดทูลถ้อยคำยุยงต่าง ๆ แก่พระเจ้าเลนเต้จนกลายเป็นขุนนางคนสนิทที่ทรงยกย่องและไว้วางพระทัย ถึงกับทรงยกย่องเตียวเหยียงหนึ่งในสิบขันทีเป็นบิดาบุญธรรม

                     
                  คนเหล่านี้มักใหญ่ใฝ่สูงโดยไม่สนว่าคนรอบข้างจะเป็นอย่างไร พวกเขาร่วมมือกันกินสินบน รับแต่พวกขุนนางกันฮินเข้าวัง และใส่ร้ายและประหารขุนนางดีๆ หลายคน จนกลไกบริหารราชการเป็นอัมพาต และเสื่อมทรุดพังทลายลงในที่สุด จน
    ก่อความวุ่นวายปั่นป่วนไปทั่วราชสำนัก เป็นผลให้เกิดกบฏโจรโพกผ้าเหลืองและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสามก๊กในเวลาต่อมา

                    ภายหลังจากพระเจ้าเลนเต้สวรรคต โฮจิ๋นแม่ทัพใหญ่และเป็นพระเชษฐาของพระนางโฮเฮาซึ่งดำรงตำแหน่งอัครมเหสี คิดแต่งตั้งหองจูเปียนขึ้นเป็นจักรพรรดิและคิดกำจัดเหล่าสิบขันทีทิ้ง อ้วนเสี้ยวเสนอให้เรียกกองกำลังจากหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อช่วยปราบสิบขันทีในราชสำนัก แต่ข่าวกลับรั่วไหลทำให้เหล่าสิบขันทีรู้ตัวจึงลวงโฮจิ๋นสังหาร โจโฉและอ้วนเสี้ยวเมื่อเห็นนายได้จึงนำกำลังเข้าเข่นฆ่าเหล่าสิบขันทีจนเกือบสิ้น

                    ส่วนเตียวเหยียงรู้ทันจึงนำฮ่องเต้น้อย 2 พระองค์ มาเป็นตัวประกันหนีออกจากพระราชวัง แต่ไปไม่ไกลก็จนมุมอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง เตียวเหยียงเลือกที่จะจบชีวิตลง ด้วยการกระโดดลงไปในแม่น้ำฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา

                   

                    แน่นอนมันไม่ยุติธรรมที่ว่าขันทีทั้งหมดล้วนชั่วร้ายเลวทราม มีขันทีจำนวนหนึ่งแม้ไม่มากนัก แต่พวกเขาก็ทำประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองเหมือนกัน เช่นไช่หลุนแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกผู้คิดค้นกระดาษ เจิงเหอแห่งราชวงศ์หมิงผู้แล่นเรือสานสัมพันธ์ทั่วโลก

                    ขันทีล่มสลายไปพร้อมราชวงศ์ของจีนไปตั้งนานแล้ว แต่เรื่องราวของเขายังไปที่เล่าขานและเรียนรู้ต่อเราอย่างไม่รู้จบ

                    หลังจากที่อ่าน “ตรงกับสำนวนไทยที่ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว”

                    สรุป สนุก ได้เรียนรู้ประวัติจีนที่ยาวนานหลายพันปี อ่านแล้วอยากจะไปสืบค้นประวัติของแต่ละคนเพิ่มเติม ซึ่งหาง่ายมากเพราะแต่ละคนมันดังอยู่แล้ว อย่างของจิ๋นซีหลายเรื่องก็กล่าวถึง และการ์ตูนชุดนี้ดีกว่าการ์ตูนประวัติบุคคลสำคัญของโลกบางเรื่องที่ไทยเขียนเสียอีก รายนั้นทำซะอย่างกับการ์ตูนญี่ปุ่น อ่านแล้วส่ายหัวไปมา + +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×