ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #211 : Jinrui wa Suitai Shimashita สนธยาแห่งมนุษยชาติ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.38K
      6
      31 ต.ค. 55

                   
              
    ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมแล้วครับ เมื่อการ์ตูนอนิเมะซีซั่นไหนจบลง ผมจะหยิบการ์ตูนอนิเมะเรื่องหนึ่งที่เนื้อหาแนวๆ มาพูดถึง ซึ่งงวดนี้เป็นการ์ตูน Jinrui wa Suitaishimashita ม้ามืดประจำซีซั่นนี้ (Anime of Summer 2012) อย่างแท้จริง ในขณะที่อนิเมะหลายเรื่องหลายคนตั้งใจรอคอยด้วยความหวัง แต่เมื่อดูไปนานๆ กับทำได้น่าเบื่อ น่าผิดหวัง ไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ บางเรื่องมาตกม้าตายในกลางเรื่อง sหรือท้ายเรื่อง จนอยากเอามืดกุมหน้าผากไปเลยก็มี

                    ส่วนตัวผมผิดหวังอนิเมะหลายเรื่องมากในซีซั่นนี้  (พูดตามตรงว่าผมเสียหน้ากับอนิเมะซีซั่นนี้มากอุตส่าห์พูดอย่างเลิศเลอตอนแรก มาช่วงหลังทำซะผิดหวังซะหน้าผมแตกยับ)อย่างไรก็ตามยังมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ทำออกมาได้ประทับใจผมพอสมควร นั่นคือ Jinrui wa Suitaishimashita ซึ่งดำเนินเรื่องได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ และกลายเป็นการ์ตูนแปลกประจำซีซั่นที่ดำเนินเรื่องไม่เหมือนใคร ที่น่าติดตามอย่างยิ่ง

     

     

    Jinrui wa Suitaishimashita

    อสาระ(Absurdist fiction), แฟนตาซี และเสียดสี

     

    Jinrui wa Suitai Shimashita หรือสนธยาแห่งมนุษยชาติ เป็นอนิเมะสร้างจากนิยายไลท์โนเวลในชื่อเดียวกัน แนวแฟนตาซี แต่งโดยโรมิโอ ทานากะ(ผู้เขียนบทเกม, นิยาย และอนิเมะเก่งคนหนึ่ง) ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2007 ปัจจุบันได้รับตีพิมพ์ 7 เล่มและยังไม่จบ (ตอนที่ผมเขียนบทความ) และได้รับความนิยมเรื่อยมา จนถูกนำไปสร้างเป็นมังงะและอนิเมะกำกับโดย Seiji Kishi (ผลงานAngel Beats!, Persona 4 The Animation) และผลิตโดย studio AIC A.S.T.A เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 2012

    Jinrui wa Suitai Shimashita เนื้อหาก็แสนธรรมดาเป็นเรื่องราวของโลกในอนาคตที่เป็นยุคที่มนุษย์ถึงคราวเสื่อมถอย อัตราการเกิดลดลง วิทยาการของมนุษย์เริ่มต้นที่ 0 เผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่บนโลกกลับเป็น ภูตตัวจิ๋วที่สูงเพียง 10 เซนติเมตร ที่ชอบของหวาน มีสติปํญญาสูงล้ำโดยเฉพาะความรู้จากโลกอดีตกาลสมัยมนุษย์ชาติเจริญสุดขีด แต่ไม่ค่อยปรากฏตัวให้คนทั่วไปเห็นมากนัก

    เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนกับภูต จึงมีการการตั้ง ผู้ดูแล เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างภูตและมนุษย์ โดยตัวเอกคือ วาตาชิ หรือ ฉัน หรือ ผู้ดูแล, “คนกลาง” (ในที่นี้ขอเรียกว่าคนกลางล่ะกัน) ซึ่งเป็นผู้หญิงผมสีชมพูยาวที่ย้ายกลับมาบ้านเกิด หลังจากจบโรงเรียนในรุ่นสุดท้ายของมนุษย์ชาติ ซึ่งเดิมเป็นงานของปู่เธอที่เธอเลือกงานนี้เพราะคิดว่ามันง่าย หากแต่เธอก็พบว่างานมันไม่ง่ายเลย....

    ดูภาพตัวอย่างของ Jinrui wa Suitai Shimashita นึกว่าจะเป็นแนวการ์ตูนแฟนตาซีผู้หญิงเนื้อหาเรียบง่ายไม่หวือหวา นางเอกใสซื่อ บริสุทธิ์ (นางเอกหน้าเหมือน โคบาโตะ ผลงานของ แคลมป์ ยังไงชอบกล) ตัวละครที่ไม่เห็นฉีกแนวตรงไหน (เรื่องนี้ไม่มีพระเอก แต่ผู้ช่วยของนางเอกนี้น่ารักมาก โฮก!!) ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นแนวน้ำเน่า จำพวกความสัมพันธ์ระหว่างคนจากภูต โลกสวย จบแบบอบอุ่น อะไรประมาณนี้

    แต่หลังจากได้ดูตอนแรกจบผมก็สบถคำหยาบขึ้นมาว่า

    “การ์ตูนห่าอะไรว่ะ!?

    นี่คือประโยคคำหยาบแรกที่ผมเอ่ยขึ้นมาหลังจากได้ดูการ์ตูนเรื่องนี้

    “การ์ตูนห่าอะไรว่ะ!?” คำหยาบนี้ไม่ใช้คำดูถูกการ์ตูนว่ามันไม่สนุก เลวร้าย แต่คำที่ผมมักเอยเมื่อเจอการ์ตูนแปลก ดำเนินเรื่องแบบพิลึก เหมือนไร้สาระ แต่มีสาระ (ยังไงกันหว่า) อย่างเช่นซีซั่นก่อน ผมเอ่ยประโยคนี้กับ “เนียวรูโกะ” ซึ่งเป็นการ์ตูนธรรมดาแต่ใส่มุกล้อเลียนชนิดโอตากุพันธุ์แท้ยัง งง แต่มันกลับทำได้อย่างน่าติดตาม มีเอกลักษณ์ บวกกับตัวละคร การเล่นมุก การเรียงร้อยนิยายสัตว์ประหลาดหนวดๆ เข้ากับสังคมโอตากุ จนทำให้ผมเพลิดเพลินสนุกสนาน หากแต่ในสายตาคนธรรมดากลับมองการ์ตูนด้านนี้ด้านลบ พูดง่ายๆ คือ หากไม่ชอบมากก็เกลียดไปเลย ซึ่ง Jinrui wa Suitaishimashita ก็เช่นกันเดียวกับเนียวรูโกะ

     Jinrui wa Suitaishimashita เป็นแปลกดี กล่าวคือ มีคนสองคนดูการ์ตูนเรื่องนี้เรื่องเดียวกัน ตอนเดียวกัน แล้วให้มาเขียนรีวิวว่าเราได้อะไรจากการ์ตูนตอนนี้ ปรากฏว่าความคิดเห็นทั้งสองไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย คนแรกอธิบายอย่างละเอียดละเออเป็นหน้าๆ (สามารถเขียนเป็นรายงานเป็นเล่มๆ) ว่าการ์ตูนเรื่องนี้เลิศเลอ ดำเนินเรื่องอย่างมีชิ้นเชิง มุกตลกที่แอปแฝงด้วยสาระอย่างร้ายๆ ประเด็นจิกกัดสังคมได้ถึงกึ้ง ควรค่าแต่การดูเป็นอย่างยิ่ง........ (พร้อมให้คะแนน 95/100) อย่างไรก็ตามตรงกันข้ามอีกคนที่รีวิวการ์ตูนไปว่า "มันเป็นการ์ตูนที่ธรรมดา" เป็นการ์ตูนตลกสอดแทรกประเด็นเสียดสีก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะแอบแฝงอะไรมากมาย บางตอนดูแล้ว งง ด้วยซ้ำว่าต้องการสื่ออะไร โดยรวมแล้วไม่ได้แปลกอะไรเท่าใดนัก (พร้อมให้คะแนน 50/100)  

     
                   ตอนแรกของอนิเมะ Jinrui wa Suitai Shimashita คือโรงงานลับของคุณภูต ("The Fairy's Secret Factory (Part 1)" กราฟฟิกของการ์ตูนเรื่องนี้น่าสนใจ ไม่เหมือนการ์ตูนทั่วๆ ไป เพราะมีกราฟฟิคภาพวาดแสนประทับใจและน่าดู เพราะภาพเหมือนสีน้ำหรือสีพาสเทลทำให้การ์ตูนเรื่องนี้มีลักษณะเหมือนนิทานภาพที่ดูสนุกสนานน่ารัก บรรยากาศนุ่มๆ และน่าจะเป็นการ์ตูนที่ดูแล้วมีความสุขที่สุดในฤดูร้อนนี้

    อย่างไรก็ตามมาถึงตอนแรก ก็ทำให้ผมงงเสียแล้ว (เชื่อเลยใครที่ไม่เคยอ่านนิยาย มาดูตอนแรกก็ต้องรู้สึก งง เหมือนผมทุกคน) เพราะฉากเปิดตัวของนางเอกครั้งแรก เราก็พบว่าเธอผมสั้น อย่างกับเป็นคนละคน (ซึ่งตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าทำไมผมเธอถึงสั้น)

    จากนั้นตัวการ์ตูนก็เปิดเพลงเปิดเรื่องที่แสนไพเราะคุ้นหู (แต่ฟังไม่รู้หรอกแปลว่าอะไร) และกับท่าทางของตัวละครที่แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นการ์ตูนตลกเนื้อหาไม่ได้เคร่งเครียดอะไร (หรือผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันแอบน่าขนหัวลุกและล้างสมองยังไงชอบกล)

    เมื่อเพลงเปิดเรื่องจบ ก็ตัดฉากมาที่นางเอกและสาวๆ ในหมู่บ้านถูกสั่งให้เชือดไก่เพราะว่าตอนนี้ในหมู่บ้านอาหารเริ่มขาดแคลน ซึ่งปรากฏว่าสาวๆ ในกลุ่มไม่มีใครเชือดไก่เลย มันเป็นงานของพวกผู้ชายชัดๆ และด้วยความทะเลอทะล่าของนางเอกจึงทำให้พวกไก่หนีไป จากนั้นก็นางเอกก็ถูกบ่นเรื่องเหล่านี้กับพวกคุณภูตที่บ้านฟัง วันต่อมานางเอกก็พบผลิตภัณฑ์อาหารกระเป๋าและผลิตภัณฑ์ของใช้ประจำวันจากโรงงานลึกลับมาหมู่บ้านซึ่งรสชาติอาหารกระเป๋านั้นรสชาติไม่ได้เรื่องเท่าใดนัก (รสชาติปกติธรรมดาไม่ได้อร่อยมากมายอะไร แต่นางเอกได้ยาปลูกผมทำให้ผมยาวกลับมาอีกครั้ง) จากนั้นนางเอกก็เข้าเรื่องประชุมหมู่บ้านเรื่องไก่หายไป ประชุมหลายชั่วโมงไม่หาข้อสรุปได้ ก่อนที่เรียงจะจบลงเพียงประโยคเดียวว่า “งั้นให้ทุกคนแยกกันค้นหาไก่ละกัน”  วันต่อมานางเอกและพรรคพวกก็พบไมค์ไก่ไร้หัวเดินได้ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับโรงงานลับ และวันถัดมานางเอก, คุณปู่ และผู้ช่วยของเธอไปยังโรงงานของคุณภูตเพื่อหาแก้ไขปัญหาเหล่านี้....

    นี่คือเรื่องย่อๆ ของตอนแรก ซึ่งพูดตามตรงว่าหลังจากที่ผมดูตอนแรกจบ ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถามต่างๆ มากมาย  เป็นต้นว่า นางเอกชื่ออะไร?, หน้าที่ของคนกลางที่นางเอกทำอยู่นั้นแท้จริวแล้วมีหน้าที่อะไร?, คุณภูตคือตัวอะไร? และโลกที่นางเอกอยู่คือโลกอะไรกันแน่? ซึ่งตัวการ์ตูนไม่ได้อรรถบทอธิบายเลยแม้แต่น้อย (ซึ่งต้องไปอ่านข้อมูลจากเว็บวิกิพีเดีย หรือไม่ก็รอดูตอนต่อไปถึงจะรู้คำตอบเหล่านี้)

     

                    นอกเหนือการดำเนินเรื่องที่แสนเข้าใจยาก (และการดำเนินเรื่องที่แสนประหลาดแล้ว) พฤติกรรมตัวละครก็มีความน่าประหลาดใจด้วย โดยเฉพาะคุณนางเอกที่ภายนอกเหมือนเป็นนางเอกน่ารักโลกสวย ใสซื่อๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นนางเอกแอบร้าย ชอบคิดในใจแต่เรื่องไม่ดีเสมอ ไม่ว่าจะเป็น ตบมุก เหน็บแนม ขี้บ่น เฉยเมย มองโลกในแง่ร้าย ชอบจับผิดคนอื่น ฯลฯ  แน่นอนว่าเธอคิดในใจไม่ให้ใครรู้ แต่คนดูรู้ว่านางเอกนิสัยแท้จริงเป็นอย่างไร

                 หลังจากที่ดูตอนแรกก็พอจับจุดได้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนตลกเสียดสี ซึ่งแตกต่างไปจาก Haiyore! Nyaruko-san ( กระดึ้บเลย เนียวรุโกะ) เพราะเนียวรุโกะนั้นเป็นการ์ตูนตลกล้อเลียนโอตากุ (อนิเมะ การ์ตูน เน็ตโอตากุ เกม หลายยุคหลายสมัย)

    เสียดสี เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรม ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิจารณ์ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นแนวขบขันไม่ได้เคร่งเครียดจริงจัง (แม้อารมณ์เสียดสีจะเป็น เปรียบเปรย กระทบกระทั่ง เหน็บแนม ก็ตาม) ซึ่งการ์ตูนเรื่องวนี้เสียดสีประเด็นหลายอย่าง อย่างตอนแรกของการ์ตูนปล่อยมุกเสียดสีประชาธิปไตย (มากคนก็มากความ), สิทธิผู้หญิง (พวกผู้ชายให้ผู้หญิงฆ่าไก่ ทั้งๆ ที่เป็นงานของผู้ชายมากกว่า) หรือลัทธิทุนนิยม (ทำอาหารจำนวนมากแต่รสชาติไม่ได้เรื่องเพื่อหวังผลกำไร)

    แน่นอนว่าหลายคนตีความแต่ละมุกของการ์ตูนการยกใหญ่ ว่าการ์ตูนเรื่องนี้ต้องการเสียดสีเรื่องใดบ้าง บางคนตีความอย่างละเอียด บางคนยอมแพ้ ดูการ์ตูนเอาสนุกมากกว่าที่จะตีความให้รกสมอง ซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมของคนดูว่าคุณดูการ์ตูนเรื่องนี้แบบไหน

    สำหรับผมแล้ว ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง คิดมากไปก็ปวดหัว มุกอะไรที่ยากๆ ก็เก็บเขาหลืบสมองไป อีกทั้งบางทีแต่ละมุกอาจไม่ได้ซุกซ่อนอะไรด้วยซ้ำ (แต่คนตีความไปเองมากกว่า)  บางทีอาจเป็นอสาระ (Absurdist fiction)  ด้วบซ้ำ กล่าวคือตัวละครหรือสถานการณ์ในเรื่องดำเนินไปโดยที่เราไม่สามารถหาวัตถุประสงค์ของมันได้ ไร้ความหมาย อาจไร้สาระ หรือมีสาระก็แล้วแต่คนตีความเอาเอง

    ไม่แปลกแต่อย่างใดที่ตอนแรกมีผู้ออกมารีวิวและให้คะแนนเรื่องนี้หลากหลาย  ทั้งตัวเนื้อหา พฤติกรรมตัวละคร หรือแม้แต่มุกที่สอดแทรกต่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านลบ (ความจริงไม่มีด้านลบ น่าจะเป็นแบบเฉยๆ มากกว่า) แต่ส่วนใหญ่เป็นเสียงเดียวคือน่าติดตามต่อไป อันเนื่องจากการ์ตูนใส่จุดที่น่าติดตามเข้าไปได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นการติดตามตอนต่อไปเพราะต้องการอยากทราบคำตอบว่าทำไมพระเอกผมสั้น หรือมุก โดยเฉพาะมุกขนมปังไส้แยมสยองขวัญตอนท้ายตอนที่ 1  (แต่ผมขอบอกว่ามุกแบบนี้การ์ตูนหลายเรื่องเคยทำมาแล้ว ผมเลยไม่แปลกใจสักเท่าไหร่)


                  อืม.....เกือบลืมไป หลังจากที่ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้จบ ผมลองไปเปิดข้อมูลดูก็พบเรื่องน่าประหลาดใจ กล่าวคืออนิเมะการ์ตูนเรื่องนี้ดำเนินเนื้อเรื่องไม่ได้เรียงลำดับการดำเนินเรื่องในไลท์โนเวลเลยแม้แต่น้อย แต่ละตอนจะสลับกันมั่วไปหมด ดังที่เห็นข้อมูลข้างล่าง

                    ep 1,2 the fairies' secret factory (vol 4)

    ep 3,4 the fairies' subculture (vol 6)

    ep 5,6 the fairies go back home (vol 3)

    ep 7,8 the fairies' time management (vol 2)

    ep 9 the fairies' drifting life (vol 4)

    ep 10 the fairies' earth (vol 1)

    ep 11,12 the fairies' secret tea party (vol 5)

    ไม่แปลกแต่อย่างใด ที่คุณดูตอนแรก งง สุดๆ (และจะ งง มากขึ้นตอนต่อไปด้วยซ้ำ)  เพราะผู้กำกับเอาเล่มที่ 4 ของไลท์โนเวลมาเป็นตอนแรกของอนิเมะ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุผลกลใดที่การ์ตูนอนิเมะเรื่องนี้ถึงไม่เรียงลำดับตามไลท์โนเวล จริงอยู่ที่ไม่ใช่มีจินรุยเรื่องเดียวที่ไม่ใช่อนิเมะเรียงลำดับตอนจากต้นฉบับ อย่างโดเรมอน หรือ Soredemo Machi wa Mawatteiru เองก็เป็นแบบจินรุย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผมคิดพิจารณาแล้วว่าจินรุยน่าจะเดินเรื่องตามต้นฉบับไลท์โนเวลมากกว่า เพราะการดำเนินเรื่องของจินรุยนั้นมันมีจุดเชื่อมโยงไปยังตอนต่อไปด้วย (ไม่ว่าจะเป็นอนุสาวรีย์มนุษย์ หรือเรื่องนางเอกโดนตัดผมสั้น ไปจนถึงชีวิตของนางเอกที่ผ่านมา)

    อย่างไรก็ตาม จุดตำหนิที่ว่านี้ หากพอหยวนๆ ได้ หากทำความเข้าใจ และดูอารมณ์ของการดำเนินเรื่องก็พอรู้ว่าอนิเมะต้องการสื่อให้คนดูได้ทราบประวัติของนางเอกไปเรื่อยๆ จากอนาคตไปสู่อดีต ไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

     

                    2. โรงงานลับของคุณภูต (The Fairy's Secret Factory) ตอนที่ 2 เรื่องย่อประมาณว่านางเอกพลัดหลงกับพรรคพวก แต่อย่างไรก็ตามเธอก็พบตัวการของโรงงานเมื่อเขาพบผู้บริหารระดับสูงเป็นพวกไมค์ไก่ไร้หัวถอนขนที่วางแผงยึดโครงโลกด้วยอาหารกระป๋องและผลิตภัณฑ์จากโรงงาน แต่พวกไมค์ไก่ไร้หัวก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วจากการมาถึงของผู้ช่วยที่กดกล้องถ่ายรูปใส่พวกไมค์ไก่ไร้หัวแบบไม่ยั้ง ซึ่งมันหวาดกลัวมากและหนีไปจนถึงหน้าผา และโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ก่อนที่เรื่องจะจบลงเมื่อนางเอกพบว่าเส้นผมของเธอมีชีวิตเนื่องจากฤทธิ์ของยาปลูกผมเป็นอันจบตอนที่ 2

    มาถึงตอนที่ 2 ของอนิเมะเรื่องนี้ยังคงเต็มไปด้วยความงงที่ผมไม่สามารถตีความพฤติกรรมตัวละครที่แสดงออกมาหลายเรื่อง เอาล่ะตัดประเด็นเรื่องทำไมไมค์ไก่ไร้หัวถอนขนทำไมถึงมีชีวิตออก ตัดมุกตลกธรรมดาทั่วไปออก ก็ยังคงมีปริศนามากมายที่อธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดถึงต้องเอาไก่ไร้หัวมาเป็นตัวแทนของนายทุนนิสัยชั่วร้าย (ถ้าให้ผมเดาอุตสาหกรรมไก่แช่แข็งเป็นอุตสาหกรรมที่แข็งขันกันสูงซึ่งย่อมมีกลอุบายวิธีสกปรกมากมายเล่นงานคู่แข่ง เช่นอ้างว่าไก่แช่แข็งประเทศของคุณมีสารเคมีเป็นพิษบ้างเป็นโรคบ้างล่ะ สารพัดกลโกงมากมายเหลือจะกล่าว)

    ประเด็นต่อมาที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกไมค์ไก่ไร้หัวถึงกลัวกล้อง ซึ่งตรงจุดนี้มีคนชี้แจงผมว่าเจ้าไก่พวกนี้เปรียบเสมือนนายทุนขี้โกงที่ไม่ชอบการเปิดโปง ซึ่งพวกมันกลัวสื่อกลัวข่าวมากที่สุด ซึ่งผู้ช่วยถ่ายรูปพวกไมค์ไก่ไร้หัวก็เสมือนกับนักข่าวที่ต้องการเปิดโปงความขี้โกงของพวกนายทุน (อย่างครั้งหนึ่งก็มีสารคดีโปงโปงอุตสาหกรรมอาหารของอเมริกาเล่นเอาพวกที่เกี่ยวข้องต้องกลับไปแก้ไขปฎหมายใหม่เพื่อให้ผู้บริโภควางใจมากขึ้น) เมื่อนายทุนถูกเปิดโปงก็ถือว่าเสียหน้ามากยอมตายเสียดีกว่าอะไรประมาณนี้

     

    3. วัฒนธรรมของคุณภูติ (The Fairies' Subculture) ตอนที่ 1 สำหรับตอนนี้กล่าวถึงผู้หญิงชื่อ “วาย” ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนของนางเอก (แต่นางเอกบอกว่าแค่คนรู้จัก) ที่เธอมาหมู่บ้านของนางเอกเพื่อทำงานวิจัยอนุสาวรีย์มนุษย์ (ซึ่งตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเจ้าอนุสาวรีย์มนุษย์คืออะไร) โดยหาข้อมูลในแผ่นดิสต์ที่อยู่ในคฤหาสน์ร้างแต่เปิดออกมาก็พบว่าเป็นแค่มังงะยาโอย ชายXชาย แต่สำหรับวาย (ชื่อก็บอกว่าวาย) แล้วมันคือขุมทรัพย์ เธอเลยเอาไปเผยแพร่ในรูปแบบมังงะ จนทำให้เกิดยุคฟื้นฟูยาโอย โด่งดังไป และในขณะเดียวกันพวกภูติเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกเลยสร้างโดจิน ซึ่งต่อมาพวกนางเอก (นางเอก, วาย และผู้ช่วย) ก็ถูกส่งเข้าไปในโลกของโดจิน

    4. วัฒนธรรมของคุณภูติ (The Fairies' Subculture) ตอนที่ 2 โลกของโดจินที่พวกนางเอกพบคือเป็นโลกสีขาวที่ไม่มีอะไร หากแต่เมื่อพวกเขานึกอะไรออกมาก็จะเกิดภาพขึ้น ซึ่งต่อมาพวกนางเอกก็รู้ก็คือโลกสีขาวนี้คือโดจินที่พวกเขาจำเป็นต้องสร้างเรื่องราวเพื่อให้เรื่องของพวกเขาติดชาร์ตการ์ตูนดังเพื่อกลับสู่โลกแห่งความจริง โดยมีวายเป็นคนวางแผนว่าจะใส่อะไรลงไปกาณ์ตูน ตอนแรกวายบอกว่าต้องใส่สิ่งที่คนอ่านตื่นเต้น ชื่นชอบ ซึ่งผปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ การ์ตูนพวกเขาสร้างติดชาร์ตอันดับต้นๆ หากแต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า การ์ตูนของพวกร่วงเอาร่วงเอา เพราะมุกของวายเริ่มต้น ออกทะเล ยืดเยื้อ  ซ้ำซาก จนอันดับดิ่งเหว และถูกสั่งจบในที่สุด ส่วนพวกนางเอกก็ได้กลับสู่โลกแห่งความจริงอย่าง งง  ว่ากลับมาได้อย่างไร

                    เนื้อหาสองตอนดังกล่าวเสียดสีวงการโดจินกับจัมป์ (มีเซนต์เซย่า กับลายเส้นไก่เขี่ยตอนท้าย มันการ์ตูนจัมป์ชัดๆ) วงการโดจินก็ไม่ต้องอธิบายมากมายเพราะมันตรงไปตรงมาอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจคือในช่วงโลกโดจินนั้นเสียดสีจัมป์ได้อย่างแสบทรวงเลยว่าเมื่อนักเขียนต้องแต่งการ์ตูนเอาใจคนอ่าน และรักษาระดับความนิยม ซึ่งพวกเขาพยายามใส่ต่างๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจผู้ดู ไม่ว่าฉากแอ็คชั่น ช่องเร่งสปีด เขียนเรื่องเอาใจคนอ่านสารพัด  ตอนแรกได้รับความนิยมก็จริง แต่ในความนิยมนั้นได้กลายเป็นดาบสองคม เมื่อเรื่องต้องยืดเข้าเพราะกาณ์ตูนเรื่องนี้ขายได้ ยืดไปยืดมา ยิ่งนานวันสิ่งที่ได้กลับเป็นออกทะเล ห่วยแตก จนคนอ่านรับไม่ได้ จนถูกตัดจบในที่สุด ผลก็คือเป็นนักเขียนการ์ตูนคนนั้นไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้อีกเลย ตกอับ เขียนเรื่องใหม่ก็ไม่รุ่ง เป็นอันจบวงการการ์ตูนของนักเขียนคนนั้นไป  นึ้แหละความน่ากลัวของนิตยสารการ์ตูนที่ใช้เรตติ้งเป็นมาตราฐาน

                    สิ่งที่ผมขำในตอนนี้คือประโยคหนึ่งที่นางเอกพูดกับวายว่า “การ์ตูนของพวกเรามันแนว (ห่า) อะไร” แสดงให้เห็นว่าขนาดนางเอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการ์ตูนของตัวเองนั้นเป็นแนวอะไร ต้องการสื่อประเด็นหลักอะไร แล้วคนดูจะเหลือหรือครับท่านว่าเราดูการ์ตูนอะไรอยู่

     

    5. การกลับบ้านของคุณภูติ (The Fairies' Homecoming) ตอนที่ 1 มาถึงตอนนี้เราก็ทราบแล้วว่าอนิเมะนั้นดำเนินเรื่องไม่ตรงกับช่วงเวลาไลท์โนเวล เพราะเนื้อหาของตอนนี้เป็นช่วงที่มีอนุสาวรีย์ (ตอนที่ 1-2 เป็นตอนที่อนุสาวรีย์มนุษย์ล่มไปแล้ว ส่วนตอนที่ 3-4 อนุสาวรีย์กำลังสร้าง) โดยเนื้อหาคือหมู่บ้านของนางเอกเตรียมจัดงานเทศกาลไฟฟ้า (ไฟฟ้าถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีนักในโลกมนุษย์ชาติกำลังล่มสลายของนางเอก) เพื่อขับเคลื่อนอนุสาวรย์มนุษย์ ซึ่งนางเอกได้ยินจากพวกภูติว่าพวกเขากำลังอพยพออกไปเพื่อหลีกหนีจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งออกจากดาวเทียมที่ยังเหลือรอดจากโลกอดีตเพื่อฉลองงานเทศกาล ซึ่งมีอันตายต่อพวกเขา พร้อมมอบสิ่งของให้นางเอก (คู่มือ) ให้นางเอก (ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเมื่อนางเอกอ่านคู่มือว่ามันมีความหมายว่าอะไรอยู่ดี) ต่อมาในช่วงเทศกาลนางเอกพบเด็กสาวแปลกหน้าแต่น่ารักและหูแมว (โมเอะ) คนหนึ่งชื่อ “พีโกะ” (หรือพิออน) ที่เธออ้างว่าเป็นมนุษย์ (แต่นางเอกไม่เชื่อเพราะดูยังไงก็ไม่ใช่) โดยเธอบอกว่าสูญเสียความทรงจแต่จำได้แต่ว่าเธอกำลังหารเพื่อนเธอ วันุร่งขึ้นนางเอกและผู้ช่วนยถูกส่งไปสำรวจเมืองร้าง แต่ถูกพลัดหลงไปยังใต้ดินและระหว่างที่หาทางออก พวกเขาก็พบสไลม์กรด และหุ่นยนต์สุนัขไฟฟ้า เมื่อพวกนางเอกจนมุงอยู่นั้นเองพวกเธอก็ได้รับช่วยเหลือจากพีโกะ

    6. การกลับบ้านของคุณภูติ (The Fairies' Homecoming) ตอนที่ 2 หลังจากที่พวกนางเอกถูกช่วยเหลือโดยพีโกะ เธอก็เปิดเผยว่าเธอคือหุ่นยนต์ และได้พบหุ่นยนต์ผู้ชายผู้แมวชื่อโอยาเกะ หรือโอทาโร่ที่เป็น้พื่อนของพีโกะที่ละทิ้งภารกิจของเขามาใช้ชีวิตในเมืองร้างแห่งนี้ ซึ่งพีโกะตามหาและต้องนำตัวเขากลับไป แต่โอทาโร่ไม่นอมมันเลยรวมตัวกับสไลม์เป็น “แมวนักฆ่า” (มันล้ออะไรครับ?) ส่วนพวกภูตก็มาช่วยเหลือนางเอกโดยรวมสไลม์เป็นหอยโบราณนอติลุส (ทำไมถึงเป็นนอติลุสหว่า??) จากนั้นทั้งแมวและหอยก็สู้ (??) แต่สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือนางฟ้า แมวก็แพ้เพราะคลื่นแสงไมโครเวฟ (ล้อเอาแมวไปอบไมโครเวฟโจ๊กอเมริกัน??) จนโอทาโร่ก็พ่ายแพ้ ต่อมาตัวจริงของพีโกะและโอทาโร่ก็เปิดเฟนว่าพวกเขาก็คือดาวเทียมของจากอดีตของมนุษย์ชาติที่เป็นตัวบุกเบิกการที่องอวกาศของมนุษย์ชาติก็ว่าได้ โดยตัวจริงของพีโกะ (พีออน) ก็คือไพโอเนียร์  (Pioneer) ส่วนโอทาโร่ (โอยาเกะ) ก็คือ “วอยเอเจอร์” (Voyager)  ซึ่งทั้งสองนั้นเกิดมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาทั้งที่กำลังอยู่ในภารกิจ โอทาโร่ได้ทิ้งภารกิจเพื่อหนีมายังโลก ส่วนพีโกะก็ตามโอทาโร่กลับทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วพีโกะไม่อยากลับไปอวกาศเช่นกัน สุดท้ายนางเอกก็จัดการทำลายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำให้พีโกะและโอทาโร่ไม่สามารถกลับไปยังอวกาศได้ แต่สุดท้ายนางเอกก็ถูกทำโทษด้วยการตัดผมสั้นเพื่อชดเชยความผิดนี้ (เป็นอันกระจ่างว่าทำไมตอนแรกนางเอกผมถึงสั้น)

    สำหรับตอน การกลับบ้านของคุณภูติ (The Fairies' Homecoming) ผมค่อนข้างชอบเป็นพิเศษ แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อธิบายไม่ค่อยได้ เป็นต้นว่ามุกนางเอกอ่านหนังสือคู่มืออธิบายยืดยาวมีความหมายอะไร หรือแมวต่อสู้กับหอย  (ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเป็นแมวหรือหอยกล่าวคือแมวคือสัตว์บกยุคปัจจุบันส่วนหอยคือสัตว์ทะเลยุคโบราณ เมื่อทั้งอสงต่อสู้กันสัตว์บกยจ่อมเหนือกว่า) ฯลฯ อย่างไรก็ตามประเด็นหลักๆ ของตอนนี้สื่อได้เห็นชัดเจนว่าต้องการล้อไซไฟสมัยก่อน (สังเกตชุดดำน้ำของโอทาโร่ที่ปรากฏใน พาส 2 กับสไลม์ มันส่วนประกอบภาพยนตร์ไซไฟยุคแรกๆ ชัดๆ)

                    หลังจากที่จบช่วงผจญภัยและการต่อสู้ที่พิลึกพิลั่น ก็มาถึคึงช่วงดราม่า ซึ่งขอบอกว่าเรียกอารมณ์และความรูสึกผมไม่มากก็ไม่น้อย เมื่อนางเอกเฉลยตัวจริงของพีโกะ (พีออน) กับโอทาโร่ (โอยาเกะ) ว่าเป็นดาวเทียมสำรวจอวกาศยุคแรกของมนุษย์ชาติ ซึ่งนางเอกรู้สึกแปลกใจที่ทำไมพวกเขาถึงมีรูปร่างเป็นมนุษย์แทนที่จะเป็นดาวเทียมอย่างที่เธอรู้จัก พีโกะเองนั้นไม่เข้าใจเหมือนกันรู้แต่ว่าเมื่อเธอท่องอวกาศก็รู้สึกไม่เหมือนโลกและรู้สึกหนาวเหน็บและเริ่มมีจิตสำนึกขึ้นมา

                    อย่างไรก็ตามคำอธิบายของพีโกะก็ถูกหยุดลง เมื่อโอทาโร่บอกว่าพวกเราน่ะมีจิตสำนึกนั้นแต่แรกแล้วต่างหาก และเขาก็ไม่ชอบการท่องอวกาศแบบนี้เสียเลย  เขากลัวที่จะอยู่คนเดียว สู้กลับมายังโลกดีกว่า

                    พีโกะเถียงกับโอทาโร่ว่า นายจะทิ้งภารกิจเหรอ แต่โอทาโร่บอกว่าพีโกะเองก็มีความคิดไม่อยากท่องอวกาศเหมือนกัน ไม่งั้นเธอไม่ไล่เขามายังโลกทั้งๆ ที่เธอไม่ได้รับคำสั่งแบบนี้สักหน่อย ในจิตใจลึกๆ แล้วเธอก็กลัวที่จะอยู่คนเดียวเหมือนกับเขาเหมือนกัน

                    เท่านั้นแหละ  พีโกะก็หลั่งน้ำตา จนคนดูอดไม่ได้ที่เกิดอารมณ์สงสารเธอไม่มากก็ไม่น้อย

                    ดาวเทียมหลั่งน้ำตาได้? น้ำตาของพีโกะที่ไหลออกมานั้นหมายถึงอะไร? พีโกะกลัว?  พีโกะตื้นตันใจ? พีโกะได้กลับบ้านเก่าที่อยากกลับมานาน?  

                    ไม่รู้ว่าน้ำตาของพีโกะคืออะไร ? แต่ที่แน่ๆ นางเอกและผู้ช่วยนั้นรู้สึกจิตใจไม่สงบไปด้วย (ความจริงแล้วเรื่องของดาวเทียมทั้งสองนั้นมันจี้ใจดำของนางเอกและผู้ช่วยเข้าพอดี เพราะในอดีตทั้งสองได้เคยผ่านประสบเรื่องความเหงาก่อน หากแต่ว่าตอนนี้ยังไม่เล่าถึงว่าทั้งสองได้ผ่านอะไรมาถึงได้เหงา) เป็นเหตุให้ทั้งสองได้แต่มานั่งเหงาเงียบๆ หน้าเต็นท์เหมือนคิดอะไรบางอย่าง ไม่ไปร่วมยินดีเฉลิมฉลองพวกคุณปู่นางเอกที่จะส่งดาวเทียมขึ้นไปอวกาศด้วย

                    นางเอกและผู้ช่วยคงคิดได้ว่าพวกตนนั้นผ่านความเหงาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งรู้ซึ้งเลยว่าความเหงาเป็นอย่างไร แม้ดาวเทียมทั้งสองทั้งสองจะไม่มีชีวิต แต่เพราะความเหงาทำให้ดาวเทียมมีจิตวิญญาณขึ้น ซึ่งปกติแล้วความเชื่อในหลายประเทศสิ่งของมีอารมณ์และมีชีวิตนั้นมีอยู่ทั่วไป ขนาดญี่ปุ่นเองความเชื่อโบราณที่ว่าหากสิ่งของอายุ 100 ปีก็จะมีชีวิตขึ้น ยิ่งพวกที่มีอารมณ์รุนแรงเช่นความเหงา ความแค้นหากสะสมมานานหลายศตวรรษ ก็ไ/ม่ต้องอธิบายว่ามีความรู้สึกมากขนาดไหน

                    ไม่แปลกเลยที่ตอนนี้เราจะเห็นนางเอกและผู้ช่วยช่วยเหลือคนอื่นด้วยความตั้งใจของตัวเองเป็นครั้งแรก (ตั้งแต่ที่ดูอนิเมะเรื่องนี้มา) ด้วยการทำลายแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเพื่อหยุดการส่งดาวเทียมทั้งสองสู่อวกาศ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหากทำอย่างนั้นตัวเองก็รับโทษเช่นกัน

                    ปิดท้ายมุกที่หลายคนไม่สังเกตตอนท้ายเรื่องที่นางเอกโดนลงโทษด้วยการตัดผมสั้น นางเอกได้รำพึงประโยคหนึ่งว่า “ทำไมทะเลถึงได้เป็นทะเลกันนะ?” คุณปู่นางเอกก็แปลกใจ เพราะความหมายที่แท้จริงนางเอกควรพูดว่า “ทำไมทะเลเป็นสีฟ้า?” ต่างหาก ซึ่งคำถามนี้ไม่ต้องการที่ต้องการคำตอบ นางเอกสงสัยกับตัวเองแล้วบ่นว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้กันน่ะมากกว่า

             พูดง่ายๆ จุดประสงค์ตอนนี้คือเป็นการปูพื้นถึงชีวิตของนางเอกว่าภายใต้บุคลิกสบายๆ แต่แอบร้ายนั้น ก็คือมีประสบการณ์เหงาๆ ที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่เหมือนกัน (ซึ่งผมเชื่อว่าคนดูจะไม่สังเกตสักเท่าไหร่ ต้องดูตอนที่ 11-12 ถึงจะจับจุดนี้ได้)


                  7. การบริหารเวลาของคุณภูติ (
    The Fairies' Time Management ) ตอนที่ 1 เนื้อหาของการ์ตูนตรงนี้เป็นการย้อนอดีตในช่วงที่นางเอกพบผู้ช่วยครั้งแรก  ซึ่งขอเรียงตามตรงว่าเป็นตอนที่ผม งง ที่สุด เพราะเต็มไปด้วยมุกย่อยมากมายที่ผมอธิบายไม่ได้  โดยเนื้อหาคร่าวๆ  มีอยู่ว่าคุณภูตรู้สึกชอบขนมหวานที่นางเอกทำ อยากให้มีนางเอกเยอะๆ ทำขนมให้พวกตน แต่นางเอกได้ห้ามคุณภูติว่าห้ามทำโคลนของเธอเด็ดขาด ต่อมานางเอกได้รับคำสั่งจากคุณปุ่ของเธอให้ไปรับผู้ช่วย เมื่อนางเอกถามว่าคุณผู้ช่วยหน้าตาเป็นยังไง คุณปู่ตอบว่าเขาลักษณะไม่โดดเด่นอะไร ระหว่างทางนางเอกก็ได้พบคุณภูติที่ได้ให้กล้วยดัดแปลงทางพันธุกรรมให้นางเอกกิน เมื่อนางเอกกินก็เธอก็พบว่าเธออยู่ในช่วงมิติเวลาคู่ขนานซ้ำซ้อน นางเอกกลับไปกลับมาในช่วงเวลาไปรับผู้ช่วยหลายครั้ง จนมีนางเอกหลายคนช่วยทำขนมให้คุณภูติกลางป่า ก่อนที่จะจบตอนนางเอกได้ไปที่กลางหมู่บ้านซึ่งก็แปลกใจเมื่อะพบว่าในหมู่บ้านมีสุนัขเต็มไปหมด

    8. การบริหารเวลาของคุณภูติ (The Fairies' Time Management ) ตอนที่ 2 นางเอกยังกลับไปมาอยู่ในโลกคู่ขนาน เพียงแต่คราวนี้มีการเพิ่มรายละเอียดตัวตนผู้ช่วย ซึ่งผู้ช่วยนั้นเป็นคนสุดท้ายของเผ่าหนึ่ง ซึ่งเขาอยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติที่ใด ตกอยู่ในความเหงามานาน เป็นเหตุทำให้ตัวตนค่อนข้างเบาบาง มีจุดเด่นไม่เด่นชัด  หลังจากนั้นนางเอกยังคงติดอยู่โลกคู่ขนาน จนกระทั่งหลุดมายังโลก (อดีต) แห่งหนึ่ง เขาก็พบเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เธอคิดว่าเป็นผู้ช่วย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเขาก็คือคุณปู่ของเธอสมัยที่ยังเป็นเด็กชายที่นิสัยร่าเริง อยู่ไม่สุข และทะลึ่ง อย่างไรก็ตามไม่นานเธอก็กลับไปยังโลกคู่ขนานอีกครั้ง ซึ่งนางเอกก็พบตัวนางเอกจากโลกคู่ขนานมากมาย และเริ่มพูดคุยกันว่าผู้ช่วยเป็นคนอย่างไร พวกนางเอกก็ให้ความเห็นว่าเป็นคนอ่อนโยนและนิสัยดี ส่วนภาพลักษณ์ใช้ต้นแบบคุณปู่ตอนเด็กมาใช้ และเมื่อหลายความคิดเห็นรวมกัน ต่อมา นางเอกก็พบผู้ช่วย ซึ่งเขามีลักษณะที่พวกนางเอกคิดเอาไว้

     ยอมรับเลยว่าผมค่อนข้าง งง สำหรับตอนการบริหารเวลาของคุณภูติ ในมุกหลายๆ จุด เป็นต้นว่า ทำไมต้องเป็นกล้วย? ทำไมสุนัขถึงปรากฏตัวต่อหน้านางเอกหลายครั้ง? ทำไมผู้ช่วยถึงมีบุคลิคที่นางเอกคิดเอาไว้ อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงตอนนี้ก็คือการพบกันครั้งแรกของนางเอกและผู้ช่วย และเรื่องราวประวัติชีวิตของผปู้ช่วยว่าก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร

                    ผู้ช่วยนั้นเป็นคนของชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมปิดที่ไม่รับข่าวสารจากภายนอก ซึ่งต่อมาคนในเผาตายเกือบหมด เหลือแต่ผู้ช่วยอยู่คนเดียว ในช่วงเวลานั้นผู้ช่วยได้อยู่ในสถาวะความเหงา กลายเป็นคนพูดน้อยเพราะไม่ได้พูดกับใครมานาน อีกทั้งตัวตนเริ่มเบาบาง เพราะไม่ได้เข้าสังคม ไม่สามารถแสดงออกสีหน้าแบบคนปกติธรรมดาได้

                    เชื่อเลยว่าในตอนที่เขาจะมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนางเอกนั้น คงขี้อาย หรือวางตัวไม่ถูกว่าต่อหน้านางเอกจะทำยังไงดี ทำให้เขาหนี (??) เข้าไปในป่า ซึ่งในระหว่างทางเขาเจอนางเอกหลายคน (จากโลกคู่ขนาน) พูดคุยกันออกรสชาติถึงตัวตนของผู้ช่วย ซึ่งเมื่อผู้ช่วยได้ยินก็ใช้บุคลิกดังกล่าวมาเป็นต้นแบบ จนสามารถปรากฏตัวต่อหน้านางเอกในที่สุด ซึ่งเป็นคำตอบว่าทำไมนางเอกถึงรู้จักผู้ช่วยนัก ขนาดไม่ต้องพูดเลยก็สื่อความหมายได้ แบบนี้จะไม่เรียกโรแมนติกได้อย่างไรครับ


             น่าเสียดายที่ตอนนี้ค่อนข้างเคี้ยวยาก ตีความหมายยาก วนลูปหลายครั้ง (บางเว็บนับจำนวนครั้งวนลูปด้วยน่ะเออ ประมาณ 10 ครั้งได้ ทำให้ไม่แปลกนักที่บอร์ดต่างประเทศให้คะแนนตอนนี้ให้ 5/10 
    สำหรับมุกต่างๆ ของตอนนี้ แม้ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นกล้วย แต่ผมเข้าใจมุกการปรากฏตัวของสุนัขแล้ว เมื่อมีคนอธิบายให้ผมว่า การปรากฏตัวของสุนัขก็คือ time paradox (ในอนิเมคือ time paradog) เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการย้อนเวลา ประมาณว่า เมื่อเราย้อนเวลาไปอย่างเช่นคุยกับตนเองในอดีต พ่อแม่ ฯลฯ แล้วส่งผลกับตัวเราในปัจจุบัน อย่างเช่น เราย้อนเวลา ฆ่าตัวเองในอดีตตาย ตัวเราในปัจจุบันก็ตาย  ไม่เหมือนกรณีหากใครย้อนเวลากลับไปฆ่าเราในอดีต=เราไม่ตายในปัจจุบัน (โลกคู่ขนาน)

    ดังนั้นในเรื่องนี้ time paradog เหมือนจะเกิดทุกครั้งที่นางเอกถูบจับย้อนเวลา ท้ายๆตอน... นี้ยังไม่รวมถึงทฤษฏี Schrodinger's cat เกี่ยวกับตอนนี้น่ะครับ แต่เนื่องจากผมอ่อนเรื่องฟิสิกส์ ดังนั้นจึงขอดูตอนนี้ตามความเข้าใจของผมล่ะกัน ไม่ได้เจาะลึกละเอียดขนาดนั้น

    ขอบคุณ NightMare ที่ช่วยอธิบายครับ

                   
                   
    9. ทักษะการอยู่รอดของนางฟ้า (The Fairies' Survival Skills)
    สำหรับตอนนี้ถือ เป็นตอนเดียวจับ  แต่ถือว่าตอนที่ดูเข้าใจง่ายที่สุด เพราะตอนนี้สื่อตรงไปตรงมาไม่ว่าจะเป็นจิกกัดประเด็นการปกครอง ไปจนถึงการการทำลายธรรมชาติจนเสื่อมสลายโดยไม่สนเรื่องกฎหมายและจริยธรรม

                    ไม่ว่าสังคมไหนๆ ก็ต้องมีการเล่นพรรคเล่นพวก คนอ่อนแอก็ต้องถูกกีดกันอย่างช่วยไม่ได้ สังคมของพวกภูติก็เช่นกัน หลังจากที่มีการเพิ่มประชากรของภูติจำนวนมาก เป็นเหตุทำให้ภูตบางตัวถูกพวกภูติด้วยกันกลั่นแกล้ง รังแก และถูกขับจากกลุ่ม จนกลายเป็นหมาหัวเน่าอย่างน่าสงสาร  นางเอกจำเป็นต้องไปส่งพวกภูติ (มี 7 คน) ที่ไม่เป็นที่ต้องการของสังคมภูติไปหาบ้านใหม่ของเขา  แต่ระหว่างทางเรือนางเอกเกิดรั่ว จนนางเอกจมน้ำและถูกพัดไปบนเกาะกลางน้ำ ติดเกาะกับพวกภูต 6 ตัว (อีกตัวหายไป แถมไม่รู้หายไปไหน การ์ตูนไม่บอกตรงจุดนี้เลย และนางเอกก็ไม่สนภูติตัวนี้ด้วยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร) จากนั้นนางเอกก็บอกให้พวกภูติตั้งประเทศ ซึ่งพวกภูติก็ยกให้นางเอกเป็นราชินีในประเทศแห่งใหม่นี้ จากนั้นพวกภูติก็พยายามพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนประชากร และการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรม การเพิ่มผลผลิต ตนสามารถผลิตปลูกพืชที่ออกผลเป็นลูกอมได้  ซึ่งทั้งหมดนั้นภายใต้คำสั่งของราชินีนางเอกที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา อย่างไรก็ตามการพัฒนาดังกล่าวทำให้สิ่งแวดล้อมบนเกาะเสี่อมโทรมลง เสื่อมจนไม่เหลือต้นไม้บนเกาะสักต้น  ในไม่ช้าเกาะแห่งนี้ก็ไร้อาหารและน้ำนำไปสู่การล่มสลายของประเทศ นางเอกจึงเกิดความคิดว่าพวกเขาควรออกไปจากเกาะ แต่แล้วพวกเขาก็ติดกับพายุที่เกิดจากความหดหู่ของพวกคุณภูติ จนเกาะถึงจุดจบลงเพียงแค่ 7 วันหลังจากที่นางเอกและพวกภูตตั้งประเทศเท่านั้น

                    ตอนนี้เหมือนล้อเลียนการสร้างโลก 7 วันของพระเจ้า เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นโลก (ประเทศ) ล่มสลายเพียง 9 วันเพราะฝีมือมนุษย์ล้วนๆ เมื่อนางเอกเริ่มเป็นราชินี พวกภูติก็เริ่มต้นตามใจนางเอกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การสร้างบ้าน, เฟอร์นิเจอร์ จากบ้านธรรมดา กลายเป็นบ้านหรู กลายเป็นวัง จากนั้นก็เริ่มทำระบบอุปโภคบริโภค ปลูกพืชให้นางเอกโดยเฉพาะ ซึ่งนางเอกแทบไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างมากก็ทำขนมหวานเลี้ยงคุณภูติ (แต่ตอนหลังขี้เกียจเลยสนับสนุนให้พวกภูติปลูกต้นลูกอมแทน)  เพียงแค่ออกคำสั่งให้พวกภูติทำอย่างโน้นอย่างนั้น  หรือรอพวกภูติสร้างอะไรให้ตนพอใจเท่านั้น

                    หลังจากวันที่ 3 -4 พวกภูตเริ่มปลูกพืชชนิดต่างๆ ซึ่งพืชเหล่านั้นเป็นพืชดัดแปลงพันธุกรรมตามใจชอบของพวกภูต ไม่ว่าจะเป็นหัวไชเท้าที่ข้างในเป็นน้ำตาก้อน ต้นพืชที่ออกผลเป็นลูกอม พืชบางชนิดเป็นยาเสพติด (แต่ตอนหลังนางเอกห้มทำ) ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพวกพืชดัดแปลงพันธุกรรมนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะอาจเป็นผลเสียต่อคนกิน ไปจนถึงมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ  แต่นางเอกกินไปอย่างไม่สะท้านอะไรแม้แต่น้อย แถมสนับสนุนให้มีวิจัยพืชชนิดใหม่ๆ เต็มที่ เพราะเน้นความสะดวกสบาย โดยไม่สนผลเสียที่ตามมาเลยแม้แต่น้อย

                    วันที่ 6 ประเทศของนางเอกเจริญก้าวหน้า และนางเอกติดความสบายเสียแล้ว  ในขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมบนเกาะเริ่มเสื่อมโทรมลงด้วยมลพิษทางน้ำ แต่นางเอกไม่สน พร้อมกับพัฒนาปลูกพืชออกผลเป็นลูกอม (เพราะตนขี้เกียจทำลูกอมแจกพวกภูติแล้ว)

                    วันที่ 7 ต้นลูกอมประสบสำเร็จ ประเทศเจริญก้าวหน้า นางเอกว่างจัด เลยจัดดงานเทศกาลรื่นเริงให้แก่ภูติบ่อยครั้ง  จากนั้นพวกภูติก็เริ่มมีความคิดจะสร้างอนุสาวรีย์ ซึ่งนางเอกก็ให้พวกภูติทำโดยไม่คิดผลที่จะตามมา ผลก็คือวันต่อมาพวกภูติสร้างอนุสาวรีย์แบบไร้แบบแผน จนพืชลูกอมของนางเอกตายจนหมด  นอกจากนี้ยังทำลายสภาพแวดล้อมบนเกาะทั้งหมดไปด้วย ส่งผลทำให้นางเอกต้องประหยัดเกือบทุกอย่าง แต่ก็สายไปแล้วที่จะแก้ไข

    เคยมีคำพูดหนึ่งบอกว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในหนึ่งวัน” แต่ในโลกของจินรุย คุณภูตินั้นสามารถทำได้ทุกสิ่ง ขอเพียงพวกเขาคิดจะทำก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย สามารถพัฒนาการเกษตร สร้างบ้าน สร้างวัง สร้างโรงบำบัดน้ำเสียและโรงไฟฟ้าเพียงไม่วัน

    แรงผลักดันของคุณภูตในตอนนี้คือต้องการที่จะทำให้นางเอกสบายที่สุด ซึ่งพวกเขาสามารถสร้างอารยธรรมบนเกาะเล็กๆ นี้เพียงไม่กี่วัน ส่วนนางเอกเองสามารถวางตัวเป็นราชินีโดยไม่ประหม่าอะไรเลย  แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้เล่นบทบาทอำนาจอยู่บนเกาะอะไรมากนัก ดูเหมือนไม่เหมือนสนใจหรือตระหนักบทบาทราชินีของเธอด้วยซ้ำ ทำให้นางเอกปกครองประเทศโดยไม่มีนโยบายหรือวางแผนอะไรแม้แต่น้อย พร้อมสั่งให้พวกภูตมุ่งเน้นพัฒนามากยิ่งขึ้นโดยไม่มีการวางกฎหมายควบคุมอะไรทั้งสิ้น (ได้แต่กำหนดความเท่าเทียมกัน แบ่งหน้าที่กันทำ นอกนั้น ภูติจะทำอะไรก็ตามใจชอบ) ส่งผลทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าถึงขีดสุดจนทำให้ธรรมชาติบนเกาะเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว และทำให้ประเทศของนางเอกล่มสลายในที่สุด แม้ว่าตอนนี้ไม่ได้เจาะลึกในเชิงด้านการเมือง เศรษฐกิจ การปกครอง และศาสนาอะไรมากมาย แต่ก็ทำให้เห็นภาพรวมและดูได้อย่างสนุกสนานตลอดหลายนาทีของตอนดังกล่าว

    นอกจากนี้เราได้เห็นนิสัยของภูติ แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีฉลาดเฉลียว แต่กระนั้นพวกเขาไม่สามารถคิดเองได้ พวกเขายินดีให้คนอื่นมากำกับให้ เมื่อธรรมชาจติของเกาะล่มสลาย พวกภูติก็ใบ้กิน ทั้งๆ ที่พวกตนเก่งเรื่องพัฒนา แต่พอเกิดปัญหา ก็ใบกิน ไม่สามารถใช้สติปัญญาแก้อะไรได้

    ทางด้านนางเอกนั้นผมก็อดไม่ได้ว่าความจริงแล้วนางเอกจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกภูติในฐานะเพื่อนจริงเหรอ? บางทีความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกภูติอาจจะเหมือนคุณครูเด็กอนุบาล ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเธอมียินดีให้พวกภูติซึ่งมีสติปัญญาฉลาดแต่นิสัยยังเป็นเด็กน้อยที่อ่อนต่อโลก ทำตามใจชอบเต็มที่ อาจมีดุหรือลงโทษบ้างหากเล่นเกินเลย (เช่นลงโทษพวกภูติปลูกพืชออกฤทธิ์ฝิ่น) มีการแบ่งบันของเท่าเทียมกัน ให้กำลังใจ ให้พวกภูติมีความสุข มีความเมตตาและร่าเริง ซึ่งทั้งหมดคือคุณสมบัติของคุณครูโรงเรียนอนุบาลที่เธอได้แต่มองเงียบๆ ที่เห็นเด็กเล่นมากกว่าที่จะเป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้ออย่างที่หลายคนเข้าใจกัน

    ตอนที่ 9 ของการ์ตูนเรื่องนี้สอดคล้องกับโลกปัจจุบันที่เราประสบปัญหาโรคร้อน ที่มนุษย์ทำลายธรรมชาติมากมายเพื่อความสบายของตน โดยไม่คำนึงผลที่ตามมา จนเกิดสถาวะโลกร้อนตามมา ทำให้ธรรมชาติลงโทษเรา แม้เราจะพยายามที่จะแก้ไข แต่ก็สายไปเสียแล้วสำหรับการทำให้โลกกลับมาอย่างเดิมได้ ส่วนมุกย่อยง่าย อย่างอนุสาวรีย์ที่เห็นไม่ว่าจะเป็นพีระมิด เกาะอีสเตอร์ กำแพงเมืองจีน ซึ่งล้วนแต่เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ บ่บอกถึงความเจริญสุดขีดในอารยธรรมนั้น หากแต่ความเจริญดังกล่าวกำแลกมาด้วยความสูญเสีย (ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณและแรงงาน) เป็นเหตุให้อารยธรรมนั้นๆ เสื่อมโทรมล่มสลายไปอย่างรวดเร็วไปด้วย

     

    10. โลกของภูต (The Fairy's Earth)  เป็นการย้อนอดีตสมัยที่นางเอกย้ายมาอยู่บ้านและเริ่มต้นทำงานในฐานะคนกลางเป็นครั้งแรก แต่กระนั้นสำหรับไลท์โนเวล (และมังงะ) และ นี่คือตอนที่ 1 อย่างแท้จริง หากแต่สำหรับอนิเมะแล้วได้วางตอนนี้เป็นตอนที่ 10 แทน อันเนื่องจากตอนนี้มีความต่อเนื่องกับตอนที่ 9 นั้นเอง

    เริ่มต้นนางเอกเริ่มงานของเธอในฐานะคนกลาง คือการเป็นเพื่อนกับคุณภูติ แต่พบว่าครั้งแรกมันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหวังไว้ เพราะวันแรกที่ทำงานเธอไม่เจอพวกภูตสักคน แม้เธอจะพยายามค้นหาในสถานที่ทิ้งขยะแล้วก็ตาม จนกระทั่งวันต่อมาเธอก็ได้พบกับกลุ่มคุณภูติจำนวนมาก หากแต่พวกเขาก็หนีไปเมื่อพบกับนางเอก อย่างไรก็ตามนางเอกก็ได้พวกภูตจำนวนหนึ่งนำกลับมาบ้านของเธอ แม้ตอนแรกๆ พวกภูติจะกังวลกับเธอไปบ้าง หากแต่ด้วยความพยายามของนางเอกก็สามารถทำให้พวกภูติเปิดใจกับตนในที่สุด จากนั้นนางเอกก็พบว่าพวกภูตินั้นมีความฉลาดและมีความอยากรู้อยากเห็น หากแต่กลับไม่มีชื่อ นางเอกเลยตั้งชื่อให้ วันต่อมานางเอกไปยังที่ทิ้งขยะอีกครั้ง หากแต่สิ่งที่พบก็คือตอนนี้ที่ทิ้งขยะกลายเป็นมหานครยุคอนาคตไปเสียแล้วเพียงเวลาข้ามคืน และวันต่อมานางเอกก็ได้เป็นพระเจ้าของพวกภูต ซึ่งพวกภูตทั้งหลายก็อยากให้นางเอกตั้งชื่อให้ แต่นางเอกเห็นชักไม่ค่อยดีเลยแต่งตั้งให้ภูติคนหนึ่งทำหน้าที่แทน แต่ภูติที่แต่งตั้งกับรู้สึกรังเกียจหน้าที่นั้น นำมาซึ่งความโกลาหล และเมืองก็ล่มสลายในที่สุด

                    ตอนที่ 10 ของการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนจะย่อยง่าย (ดูสบายๆ) แต่ก็อธิบายยากเหมือนกันว่าเราได้อะไรจากตอนนี้ แต่ก็สรุปได้ว่าในเมื่อตอนที่แล้วนางเอกยังเป็นราชินีได้ มาตอนนี้จะเป็นพระเจ้าไม่ได้เหรอ

                    คำว่าพระเจ้านั้นมีหลากหลาย แต่ถ้าเป็นแบบกลางๆ (ไม่เน้นศาสนาใดศาสนาหนึ่ง)  ก็คือ พระเจ้าคือผู้บันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้กับมนุษย์ เป็นผู้สร้าง-ควบคุมและทำลาย ในทุกสรรพสิ่ง ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้เหมือนจะจิกประเด็นเรื่องนี้เป็นพิเศษ

                    หลังจากตอนที่เราแล้วได้เห็นนิสัยพวกภูติว่าแม้จะมีความฉลาดเฉลียวแต่กระนั้นพวกเขากับมีความคล้อยตามได้ง่าย พวกภูติก็เปรียบเหมือนมนุษย์ชาติอย่างเราๆ เพียงแต่พวกภูตินั้นไม่มีเรื่องการเมือง ศาสนาอะไรเข้าไปเกี่ยวข้อง พวกเขาอยู่แบบไม่เป็นหลักแหล่ง (อาศัยสถานที่มนุษย์เคยอยู่)  อยู่แบบตามใจชอบ อิสระ  กระจัดกระจายหรือเป็นกลุ่มก็ได้โดยไม่ยึดติดอะไร ถ้าหากจะรวมตัวกันก็เพื่อทำกิจกรรมที่ตนคิดเห็นสนุก

                    อย่างไรก็ตาม การมาของนางเอกครั้งนี้พวกภูติมองนางเอกเป็นพระเจ้าเสียแล้ว แม้จุดประสงค์ของนางเอกก็คือต้องการเป็นเพื่อนกับพวกคุณภูติ แต่เธอก็กลายเป็นพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว (เปรียบเสมือนว่าพระเจ้านั้นเป็นสิ่งมนุษย์ตั้งขึ้นเอาเอง) เมื่อนางเอกมอบชื่อให้แก่พวกคุณภูติ ซึ่งชื่อก็สิ่งผูกมัดของมนุษย์ และเมื่อมีสิ่งผูกมัด ศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พวกภูติเริ่มมีอารยธรรมก่อสร้างพัฒนาเมืองได้อย่างรวดเร็ว

                    แม้ว่าในหลายศาสนามักนิยามว่าพระเจ้าอยู่ร่วมกับมนุษย์ หากแต่ก็เป็นช่วงแรกๆ เท่านั้น เพราะช่วงหลังพวกภูติมองนางเอกเป็นพระเจ้าที่สูงส่งและอยากให้ตั้งชื่อพวกตน (คืออยากให้ทำโน้นทำนี้) ทั้งๆ ที่การตั้งชื่อด้วยตนเองสามารถทำได้ง่ายๆ แต่พวกภูติไม่ทำ เหมือนมนุษย์หวังพึ่งฟ้าดินแต่ไม่พึ่งตนเองยังไงอย่างงั้น

    นางเอกก็เหมือนเดิม แม้จะถูกพวกภูตมองสูงส่งเพียงใด เธอก็ยังปกติธรรมดา ไม่ได้ ให้สำคัญกับสิ่งที่พวกภูติปลื้มเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกว่ามันยิ่งยุ่งยาก น่ารำคาญด้วยซ้ำ ก่อนที่จะมอบหมายพระเจ้าให้กับพวกภูติตัวอื่น ที่ชื่อ คุณนาคาตะ (นางเอกเป็นคนตั้งชื่อให้) แต่คุณภูตทาคาตะกลับรู้สึกรังเกียจหน้าที่ดังกล่าว และพยายามแตะภูตตัวอื่นให้เป็น แต่พวกภูติก็รู้สึกรังเกียจเช่นกัน ก่อนที่พวกภูตในเมืองจะปั่นป่วน และเมืองก็ล่มสลาย

    สรุปคือมีครบเลยสำหรับตอนนี้ที่นางเอกแสดงเป็นพระเจ้าครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นผู้สร้าง ผู้ควบคุม และผู้ทำลาย (ไม่ได้ตั้งใจ)

                    จากตอนที่แล้ว (9) นางเอกที่เป็นต้นเหตุทำให้ประเทศหนึ่งล่มสลายเพียงไม่กี่วันโดนคุณปู่ดุว่า “เด็กโง่ หัดเช็ดสิ่งที่ทำเลาะไว้ซะบ้าง” หากแต่ตอนที่ 10 นี้นางเอกที่ทำให้เมืองทันสมัยล่มสลายเพียงไม่กี่วัน (น้อยกว่าตอนตั้งประเทศอีก) ก็ได้ฟังประโยคหนึ่งจากปู่ว่า “มาแค่วันแรกก็ทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว” (??)

                   

    11. งานน้ำชาลับๆ ของคุณภูต "The Fairy's Secret Tea Party  ตอนที่ 1  ตอนที่ 11-12  คือตอนจบของการ์ตูนซีรีย์ในซีซั่นนี้ ซึ่งเป็นตอนที่ย้อนอดีตนานกว่าตอนอื่นๆ เพราะเป็นช่วงที่นางเอก (จนบัดนี้เราก็ไม่ทราบชื่อนางเอกแม้แต่น้อยว่าเธอชื่ออะไร) ในสมัยยังเป็นนักเรียนที่ยังไม่ได้ทำงานเป็นคนกลาง ซึ่งประเด็นทั้งสองตอนนี้ค่อนข้างโรแมนติกและประทับใจกว่าตอนอื่นๆ ที่ผ่านมา เพราะเป็นการสื่อ การเจริญเติบโต การพัฒนาจิตใจ และมิตรภาพของตัวละครในเรื่องอย่างน่าสนใจ

    เรื่องราวได้ย้อนมายังสมัยนางเอกอายุ 10 ปี ที่ได้เข้าโรงเรียน (กินนอน) เป็นครั้งแรก หากแต่เพราะไม่เคยเข้าโรงเรียนมาก่อน ทำให้เธอต้องเริ่มเรียนจากพื้นฐานตั้งแต่แรก โดยถูกส่งไปเรียนในชั้นระดับต่ำสุดกับพวกเด็กอายุน้อยกว่า

    นางเอกในช่วงนั้นเป็นเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย (ปัจจุบันก็ยังมองโลกแง่ร้ายอยู่แต่น้อยกว่ามาก) อีกทั้งตอนแรกเธอตัดสินใจจะทำตัวไม่เด่น ไม่มีความสัมพันธ์กับใคร ตั้งใจเรียนอย่างเดียวเพื่อไต่ระดับไปเรียนในชั้นที่เหมาะกับเธอ อย่างไรก็ตามในช่วงแรกๆ นั้นนางเอกตกเป็นเป้าหมายการกลั่นแกล้งจากเด็กคนอื่น รวมไปถึง “วาย” ซึ่งความสัมพันธ์กับนางเอกและวายในช่วงนั้นไม่ถูกกันนัก โดยเฉพาะวายนั้นทำท่าเหมือนรังเกียจนางเอก พร้อมดูถูกเธอว่ายัยผมไม้กวาด

    อย่างไรก็ตาม ยังมีเด็กสาวเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเป็นสาวผมเหลืองหัวหยิกที่เรียกนางเอกว่า “ท่านพี่” และพยายามเป็นเพื่อนกับเธอ แต่นางเอกได้ปฏิเสธพร้อมตั้งแง่ว่าผมหยิกเป็นคนบงการกลั่นแกล้งเธอ ทำให้นางเอกไม่มีเพื่อนสักคน

    อยู่มาวันหนึ่งนางเอกได้ช่วยภูติตัวหนึ่งจากกลุ่มเด็กอันธพาลเอาไว้ หลังจากนั้นเธอก็ระบายเรื่องที่เก็บเอาไว้ให้กับภูติตัวนั้นฟังพร้อมกับยอมรับว่าตนเองนั้นรู้สึกเหงา เหง่าถึงขั้นพูดคุยกับหุ่นยนต์ทำความสะอาดเพียงคนเดียว

                    หลายวันผ่านไป นางเอกยังคงศึกษาตั้งใจเล่าเรียน จนกระทั่งสามารถกระโดดมาเรียนระดับชั้นที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งเป็นอันยุติการโดนกลั่นแกล้งไปด้วย หากแต่เธอก็พบว่าผมหยิกกระโดดมาเรียนชั้นสูงตามนางเอกมาด้วย ซึ่งคราวนี้ผมหยิกเป็นฝ่ายโดนกลั่นแกล้งจากคนร่วมห้องเรียนแทนเพราะความอิจฉา (เพราะเป็นเด็กอายุน้อยกว่าที่สามารถเรียนในระดับสูงของเด็กโตได้) นางเอกเลยตัดสินใจเป็นเพื่อนกับผมหยิก จนผมหยิกดีใจมาก อีกทั้งยังย้ายมาร่วมห้องอีกด้วย และต่อมาผมหยิกก็เชิญชวนให้นางเอกเข้าร่วมสมาคมลับที่เรียกว่าชมรมกุหลาบป่า (Wildrose)


                    11. งานน้ำชาลับๆ ของคุณภูต "
    The Fairy's Secret Tea Party ตอนที่ 2 เรื่องราวของนางเอกเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ นางเอกพ้นสภาพความเหงามาแล้ว อีกทั้งยังได้เพื่อนคือผมหยิกกับคนในสมาคมกุหลาบป่าที่มีสมาชิก 5 คน (รวมผมหยิก) อย่างไรก็ตามหลังจากงานเลี้ยงน้ำชาของสมาคม นายเอกก็รู้ว่าวายเป็นส่วนหนึ่งของชมรมนี้ด้วย หนึ่งปีต่อมานางเอกก็ได้ขึ้นชั้นปีที่ 4 และกลายเป็นเพื่อนร่วมชั้นของวาย ซึ่งในไม่ช้านางเอกก็รู้ความรับเธอชอบขโมยหนังสือจากห้องสมุดเพื่อสร้างห้องสมุดของเธอเอง ซึ่งทั้งหมดเป็นหนังสือแนวยาโอย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวายก็ได้พานางเอกย่องเข้าห้องของสมาชิกสมาคมกุหลาบป่าทุกคน โดยเผยนิสัยซอนเร้นในจิตใจของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ชอบสะสมนักเรียนหญิงทุกคนโดยเฉพาะปลื้มเส้นผมของนางเอกเป็นพิเศษ ทุกคนเป็นรุ่นพี่ใจดีแต่นิสัยชอบเจ็บแค้นเขียนบันทึกแค้นโน้ตอย่างละเอียด โดยนางเอกนั้นแค้นเป็นพิเศษ แต่ที่หนักๆ สุดๆ คือสาวผมหยิกที่เป็นยันเดเระโรคจิตคุ้มดีคุ้มร้าน คลั่งนางเอกสุดๆ หากเธอสติหลุดออกมาจะทำลายตุ๊กตาและทำลายข้าวของ ก่อนที่สติจะกลับคืนมาแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    นางเอกได้เห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังของเพื่อนแต่ละคนเป็นอันต้องจิตตก ก่อนที่วายจะบอกว่าเธอต้องการจะคบกับเธอมานานแล้ว เพราะเธอนั้นเป็นคนตรงไปตรงมาก่อนพวกนี้มาก หลังจากนั้นนางเอกและวายก็เป็นเพื่อนสนิทกันเพื่อค้นหางานเลี้ยงน้ำชาที่แท้จริงของนางเอก และพยายามห่างเหินจากสมาคมกุหลาบป่า หากแต่ต่อมานางเอกและวายก็ได้กลับเข้าสโมสรกุหลาบป่าอีกครั้ง

    ในเวลาต่อมาทั้งนางเอกและวายก็ได้ค้นพบห้องที่เต็มไปด้วยหุ่นยนต์ นางเอกได้จำเรื่องที่เธอพบพวกภูตในปีที่ผ่านมาได้ เธอจึงอดไม่ได้ที่หลั่งน้ำตา หลายเดือนต่อมาทุกคนก็ได้จบการศึกษา ซึ่งรุ่นนางเอกถือว่าเป็นรุ่นสุดท้าย อันเนื่องจากไม่มีใครเข้าเรียนเพราะถึงช่วงยุคมนุษย์ชาติเสื่อมถอย

    หลังจากนั้นเพื่อนๆ ของนางเอกก็แยกไปตามทางของแต่ละคน รวมไปถึงผมหยิกที่ร่ำรานางเอกเป็นครั้งสุดท้าย (ซึ่งผมเชื่อว่าอนาคตเราอาจเห็นผมหยิกเหลืองในอนาคตข้างหน้าแน่นอน) หลังจากนางเอกจบไปเธอก็ได้ทำงานเป็นคนกลาง ซึ่งระหว่างนั้นสายก็แวะมาหาเธอโดยนำหุ่นยนต์มาจากหอพัก มันเป็นหุ่นตัวเดียวที่เคยเป็นเพื่อนเธอสมัยครั้งยังเหงา ซึ่งปรากฏว่าหุ่นยนต์ที่วายเอามานั้นข้างในมีภูติที่เธอพบในสมัยเป็นนักเรียน เป็นอันจบตอนที่แสนประทับใจของการ์ตูนเรื่องนี้ในซีซั่นนี้ในที่สุด

                    หลังจากที่ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้จบทั้งหมด 12 ตอน ก็ค่อนข้างประทับใจ แม้ว่ามันอาจไม่ใช่การ์ตูนประทับใจสุดๆ ในชีวิของผม แต่กระนั้นการ์ตูนเรื่องนี้ก็นำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่เราไม่ค่อยเห็นในนักในการ์ตูนยุคปัจจุบัน

                    ในตอนที่ 11-12 มีชื่อตอนว่า “งานเลี้ยงน้ำชาลับๆ ของนางฟ้า” ทำไมถึงชื่อตอนนี้ พูดถึงงานเลี้ยงน้ำชาก็ต้องนึกถึงงานสรรสรรค์ของพวกผู้หญิง ซึ่งเต็มไปด้วยมิตรภาพ ซึ่งนี้คือจุดสำคัญสำหรับตอนที่ 11-12 นี้เอง

                    หลังจากตอนที่ผ่านๆ มาเต็มไปด้วยตลก เสียดสี จิกกัดอะไรต่างๆ มากมาย หากแต่มาถึงตอนนี้อารมณ์แตกต่างจากตอนอื่นๆ เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ย้อนอดีตไปช่วงเวลาที่นานที่สุด ดราม่าที่สุด เพราะอารมณ์ที่แตกต่างนี้เองทำให้ตอนของไลท์โนเวลเล่มที่ 5 นี้ถูกจับมาอยู่ในตอนสุดท้ายของอนิเมะอย่างลงตัว

    เรื่องราวเริ่มจากในสมัยที่นางเอกอยู่โรงเรียน ซึ่งเป็นช่วงที่นางเอกไม่มีอารมณ์ขันแม้แต่น้อย นอกจากไม่มีอารมณ์ขันแล้ว เธอยังไม่มีความเป็นมิตร มองโลกในแง่ร้ายสุดๆ ทำให้เธอถูกกลั่นแกล้งจากคนรอบข้าง อีกทั้งไม่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับวายสุดจะเลวร้ายตั้งแต่แรกพบ ผิดจากตอนที่ 3-4 ที่ทั้งคู่เล่นมุกหยอกใส่กันอยากกับคู่หูตลกหกฮ่าโดยสิ้นเชิง (จนผมยัง งง เลยว่าสองคนนี้ไปญาติดีกันได้อย่างไง)

    อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ 11 นั้นเราจะเห็นความสามารถนางเอกที่มีความไหวพริบ มีความตั้งใจ อดทน และมีมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่นพอสมควร แต่ด้วยความยึดติดกับความตั้งใจของตน (ไม่ต้องการเพื่อน) นั้นเอง ทำให้นางเอกเกิดความรู้สึกที่จะเหงาไม่ได้  เมื่อความอดทนของเธอถึงขีดสุดก็ก็ระบายเรื่องเหล่านี้กับคุณภูติทั้งๆ ที่เป็นการเจอกันครั้งแรก ซึ่งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเป็นคนกลางในอนาคตวันข้างหน้า

                    อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป จิตใจของคนก็เปลี่ยนไป เมื่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีความคิดแบบเด็กๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็เริ่มมีความคิดอ่านแบบผู้ใหญ่ มองโลกเป็นจริงมากขึ้น ก็เริ่มเข้าหาสังคม เริ่มจากผมหยิกที่กำลังเหงา และเริ่มมีความสัมพันธ์กับเพื่อนในชมรมมากขึ้น

    ส่วนเรื่องที่นางเอกว่าหัวหยิกเป็นหัวโจ๊กกลั่นแกล้งนางเอกจริงหรือไม่นั้น การ์ตูนไม่เฉลยจุดดังกล่าว บางทีอาจมีมูลความจริงก็ได้ เพราะหัวหยิกนั้นฉลาดกว่าที่คิดมาก บางทีเธออาจเป็นหัวโจ๊กกลั่นแกล้งนางเอกให้เหงา ตนจะได้เข้าไปเป็นเพื่อนนางเอกแบบควบคุม แต่แผนการล้มเหลวเพราะนางเอกไม่ได้คล้อยตามด้วย ทำให้ต้องใช้แผนใหม่คือตนต้องทำให้เหงาเพื่อเรียกร้องให้นางเอกสนใจแทน ซึ่งมองได้หลายกรณี

    ในตอนที่ 12 จุดเด่นก็คงจะเป็นการพัฒนาจิตใจของตัวละคร ที่เปิดฉากออกมาเป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่มีบรรยากาศเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวานไม่มีผิด นางเอกได้เพื่อนในงานน้ำชามากมาย เรื่องราวเหมือนจะดี หากแต่เธอเริ่มสงสัยพฤติกรรมของวาย ว่ามีอะไรแปลกๆ  ทั้งๆ ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกกับวายนั้นไม่ถูกกัน แบบไร้เหตุผลเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เดินสวนไปมาเท่านั้น

    นางเอกสังเกตเห็นหนังสือหลายเล่มในห้องสมุดโรงเรียนหายไป (ชื่อหนังสือนั้นผมไม่รู้ว่าเป็นล้อเลียนหรือเป็นชื่อมีอยู่จริงหรือเปล่า เอาเป็นว่าเป็นชื่อหนังสือมีอยู่จริงละกัน)

     

    และเมื่อนางเอกแกะรอย เธอก็รู้ความลับของวาย และได้เห็นอีกด้านหนึ่งของวายที่แสนน่ารัก (??) ที่ลึกๆ แล้วเป็นคนเหงา อยากมีเพื่อน แต่การคบเพื่อนนั้นเธอไม่ต้องการคนที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ต้องการคบคนที่อ่านง่ายที่สุด ซึ่งเธอเลือกนางเอก หากแต่การเข้าหาและการเรียกร้องความสนใจของเธอนั้นไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ เป็นเหตุทำให้ทั้งสองไม่ถูกกันจนถึงบัดนี้

     หลังจากนั้นวายก็พานางเอกไปเห็นความลับของเพื่อนของเธอในชมรมกุหลาบปาว่าอีกด้านหนึ่งของผู้หญิงยังมีด้านน่ารังเกียจซุกซ่อนอยู่อย่างร้ายกาจ ทำให้นางเอกตัดสินใจห่างเหินจากเพื่อนในชมรมกุหลาบป่า และหันไปคบกับวายแทน แม้ว่าทั้งสองพึ่งจะมาคบกันป่านนี้ แต่ก็ยังดีกว่าที่ผิดใจกันแต่ต้นจนจบ

                    อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมานางเอกก็ชวนวายกลับเข้าสู่กลุ่มสมาคมกุหลาบป่าอีกครั้ง โดยไม่สนข้อเสียเบื้องหลังของสมาชิกกลุ่มแม้แต่น้อย สาเหตุเป็นเพราะนางเอกนั้นพัฒนาเติบโตเป็นผู้ใหญ่รู้ว่าสิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการคงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนอีกครั้ง แม้เพื่อนจะมีข้อเสียก็ตาม ดีกว่าที่จะไม่เผาผีตั้งแต่ต้นจนจบจนเป็นบาดแผลเจ็บทั้งสองฝ่าย

                    หลังจากนั้น การ์ตูนก็เข้าสู่ช่วงเวลาประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นการจบการศึกษา, การพบกันอีกครั้งของคุณภูตเสื้อเขียว ไปจนถึงการดื่มน้ำชากับคุณภูติบอกเล่าความรู้สึกที่ผ่านมา

                    ในตอนที่ 11-12 ผมดูความดราม่าและความประทับใจของการ์ตูนมากกว่าที่จะ จนลืม จดจำมุกยิบย่อยที่สอดแทรก แต่ก็มีฉากหนึ่งที่ งง เหมือนกันอย่างเช่นทำไมภูตสีเขียวถึงหายไป ก่อนที่ปรากฏตัวอีกทีเมื่อนางเอกพบว่าอยู่ในตัวหุ่นยนต์ ซึ่งตรงจุดนี้หลบายคนสงสัยกันมาก

                    ถ้าหากเดาเป็นการล้อโดเรมอนครับ ซึ่งเป็นช่วง “ลาก่อนโดเรมอน” ซึ่งเป็นตอนที่นำเสนอ โนบิตะเอาแต่พึ่งโดเรมอนตลอด หากแต่วันหนึ่งโดเรมอนจำเป็นต้องจากลาโนบิตะไปอนาคต และบอกให้บิตะปรับปรุงพัฒนาตัวเอง เพราะในขณะที่โดเรมอนอยู่โนบิตะไม่ได้พัฒนาอะไรเลย หลังจากโดเรมอนจากไป โนบิตะก็เริ่มปรับปรุงตัวดีขึ้น ก่อนที่ตอนต่อไปโดเรมอนก็กลับมา คนเราสูญเสียอะไรสักอย่างเพื่อเติบโตขึ้น พัฒนาจิตใจขึ้น เหมือนกรณีของนางเอกที่คิดว่าจะได้ภูตตัวแรกที่เป็นเพื่อน หากแต่มาภูติก็ได้หายไป นางเอกก็เริ่มพัฒนาจิตใจเข้าหาเพื่อนมากขึ้น จนลืมเรื่องภูติ และเรื่องร้ายๆ ความเหงาในอดีตไป

                    ในช่วงท้ายของตอน นางเอกได้พบหุ่นยนต์ทำความสะอาดอีกครั้ง หากแต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพสุดโทรมและเสียจนไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว นางเอกถามพวกภูติว่าสามารถซ่อมมันได้หรือไม่ พวกภูติว่า “ก็ได้อยู่หรอก หากแต่มันจะไม่ใช่หุ่นตัวเดิมอีกแล้ว เพราะจะมีบางสิ่งหายไป พวกมนุษย์เลยว่าอะไรน่ะ? คงประมาณว่าจิตวิญญาณนี้แหละ” ซึ่งการประโยคดังกล่าวคล้ายๆ กับตอนจบโดเรมอน (โดจิน) นั้นเอง

                    ในฉากสุดท้ายของการ์ตูน นางเอกได้นั่งโต๊ะน้ำชาพูดคุยกับความภูติเสื้อสีเขียวที่เป็นเพื่อนคนแรกในสมัยเธอกำลังศึกษาเล่าเรียนว่าตอนนี้คุณภูติได้เพื่อนหรือยัง คุณภูตตอบว่าตอนนี้มี “เพื่อนแวะมาหาเยอะแยะเลย” ซึ่งปกติแล้วตอนจบของการ์ตูนหลายเรื่องก็เน้นฉากแนวๆ โต๊ะน้ำชาและการพูดคุยเกี่ยวกับความเหงาอยู่แล้ว โดยรวมถือว่าเหมาะสำหรับการปิดการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ผมชอบในซีซั่นนี้อย่างน่าประทับใจ

                     
                      นี่คือความรู้สึกคราวๆ ในการดู Jinrui wa Suitai Shimashita ในแต่ละตอน จะเห็นว่าผมดูการ์ตูนเรื่องนี้ในว่ามันได้ให้ข้อคิดหรือสอนอะไรมากกว่าที่จะเน้นดูมุกที่ซ่อนอยู่แบบละเอียดยิบย่อย ในขณะที่บางตอนผมก็ไม่ทราบเลยว่ามุกที่การ์ตูนเรื่องนี้นำเสนอแฝงนัยยะอะไรบ้าง

                    หลังจากดูจนครบ 12 ตอน สิ่งที่พอตอบได้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้เน้นอะไรในธีมของเรื่องที่มนุษย์ชาติถึงคราวเสื่อมถอยแบบนี้ คำตอบก็คือต้องการสื่อเรื่อง “ความเหงา” นั้นเอง ความเหงาคือความอ่อนแอที่เกิดขึ้นได้อีกกรณี เกิดขึ้นทุกเพศทุกวัย แต่ที่แปลกคือเรื่องนี้ความเหงาของตัวละครเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะมนุษย์เท่านั้น ยังเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตอย่างดาวเทียม และสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่อย่างคุณภูติด้วย  

                    ในเรื่องนางเอกก็มีความเหงาเหมือนกัน หากแต่สาเหตุที่เธอเหงานั้นเกิดขึ้นเพราะการปฏิเสธการคบหาสมาคมคนรอบข้าง หากแต่เมื่อเปิดใจ ก็เริ่มมีการพัฒนาจิตใจ เริ่มอาสาช่วยเหลือคนที่มีความเหงา เพราะเราเริ่มรู้ว่ายิ่งมีเพื่อนร่วมเหงาไม่น้อยบนโลกใบนี้  ซึ่งปกติการ์ตูนส่วนใหญ่นำเสนอแนวคิดแบบนี้อยู่มากมายก่อนหน้าอยู่แล้ว แต่การ์ตูน Jinrui wa Suitai Shimashita ก็นำเสนอเรื่องความเหงาได้น่าสนใจและน่าติดตาม มีความคิดสร้างสรรค์ใช้ได้เลยทีเดียว (เห็นได้ชัดตอนที่ 5-6)

                    ที่น่าแปลกคือส่วนใหญ่การ์ตูนที่ธีมเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ชาติเสื่อมถอยนั้นจะนำเสนอเป็นวงกว้างเกี่ยวกับชะตากรรมของโลกเท่านั้น  (กู้โลก, สร้างโลก, สงคราม ฯลฯ) หากแต่การ์ตูนเรื่องนี้กลับเน้นในวงแคบๆ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นางเอกเสียมากกว่า แต่ก็ยังไม่ลืมสอดแทรกเป็นการเสื่อมถอยของมนุษย์เอาไว้ด้วย (ตอนที่ 9-10)

                    ในแง่ๆ รวมๆ แล้วอนิเมะนี้อาจไม่เป็นหนึ่งในใจของใครหลายคน แต่กระนั้นก็ถือว่าเป็นอนิเมะที่ดีเรื่องหนึ่งในซีซั่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอ ตัวละครที่น่ารัก กราฟฟิกที่สดใสมีศิลปะแบบนิทานภาพ เสียงเพลงที่ฟังแล้วติดหู ดูแล้วเพลิดเพลินจำเริญใจ ด้วยอารมณ์ของการ์ตูนที่หลากหลาย

                    คำแนะนำการดูการ์ตูนเรื่องนี้ก็คืออย่าไปเชื่อการให้คะแนนจากเว็บต่างประเทศ (และไทย) มากนัก เพราะการ์ตูนเรื่องนี้มันมองต่างมุม คะแนนต่ำบ้าง สูงบ้าง ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของคุณเองว่ามองการ์ตูนเรื่องนี้อย่างไร

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×