ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #201 : สยองขวัญในการ์ตูนตาหวาน!?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.69K
      10
      9 ส.ค. 55

     

                    หลายบทความผมเขียนสยองขวัญในการ์ตูนผู้ชาย มามากแล้ว วันนี้ผมก็ขอพูดถึงสยองขวัญในการ์ตูนตาหวาน หรือการ์ตูนผู้หญิงบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อย คงไม่ว่ากัน เราลองมาเปรียบเทียบดูว่าการ์ตูนสยองขวัญของผู้ชายและสยองขวัญผู้หญิงแตกต่างกันอย่างไรดีกว่า

     

     

    Screaming Lessons manga

     

                    พูดถึงการ์ตูนตาหวานคุณนึกถึงอะไรครับ? แน่นอนครับว่าพูดถึงการ์ตูนตาหวาน ผมจะนึกถึงการ์ตูนแนวรักใสๆ ที่เรื่องดำเนินโดยตัวเอกที่เป็นผู้หญิง (หลากหลายอายุ เด็กประถม วัยรุ่นมัธยมต้น มัธยมปลาย ผู้ใหญ่ แต่ไม่ยักมีคนแก่)  แอบชอบชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นอาจเป็นเพื่อนร่วมห้องหรือรุ่นพี่ ที่เป็นไอดอลของโรงเรียน ทั้ง หล่อ เท่ เก่งกีฬา และการเรียนเป็นที่นิยมสาวๆ กริ๊ดลั่นทั่วโรงเรียน 

                    แต่อนิจจาสาวเจ้าที่แอบชายหนุ่มคนนั้น ตัวเธอไม่เป็นที่นิยมและไม่คู่ควรกับเขาเลย ตัวเธอนั้นทั้งเตี้ย สมองก็งั้นๆ กีฬาก็ไม่เก่ง  อย่าว่าจะเข้าหาชายหนุ่มเลย แค่พูดไม่เคยด้วยซ้ำ

                    อย่างไรก็ตาม การ์ตูนก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ตัวเอกหญิงได้รู้จักฝ่ายชายคนได้ (เช่น ตัวเอกหญิงไปรู้ความลับ, หรือช่วยพระเอกทำอะไรบางอย่าง ฯลฯ) ตอนแรกทั้งคู่ก็คบเป็นเพื่อน อาจมีอุปสรรค์นิดๆ หน่อยๆ (เช่น โดนผู้หญิงอิจฉารังแก, โดนเข้าใจผิดเป็นเหตุทะเลาะกัน และฝ่ายชายมีกิ๊ก เป็นต้น) แต่สุดท้ายในช่วงท้ายเรื่อทั้งคู่ก็รักกันและจบอย่างมีความสุข (ฉากจบก็เช่นจูบกันอย่างดูดดื่ม, แต่งงาน หรือจบบนเตียง)

                    นี่คือการดำเนินเรื่องสูตรสำเร็จในการ์ตูนตาหวานที่เรารู้จักกันดี ส่วนมากจะเป็นการ์ตูนแนวจบในตอน หรือหากเป็นตอนยาว หลายเล่มก็จะมีเพิ่มเติมอะไรให้หลากหลายมากขึ้น แต่ส่วนมากจะไม่ฉีกหนีจากแนวรักใคร่ๆ ที่จบแบบมีความสุขมากนัก

                    แนวรักแบบการ์ตูนตาหวานจะไม่ค่อยมีการพลิกแพลงมากนัก หากทำจำพวกจบหนึ่งตอนยิ่งแล้วใหญ่ แต่ที่น่าสนใจคือเราจะเห็นการ์ตูนรักๆ ตาหวานจบในหนึ่งตอนออกมามากมายโดยนักเขียนแตกต่างกัน (แต่เนื้อหาก็ยังสูตรสำเร็จเหมือนเดิม) ในไทยที่นิยมคือสำนักพิมพ์บงกต หรือไม่ก็หมึกจีน ซึ่งพวกผู้หญิงชอบอ่านกันแม้พล็อตจะซ้ำซากก็ตาม

                     
                    ลืมไปแนวการ์ตูนตาหวานที่ผมพูดมานั้นคืออีกหนึ่งประเภทของการ์ตูนตาหวาน หรือเรียกว่าโชโจะ (shojo) ซึ่งภาษาญี่ปุ่นแปลว่าสาวน้อย ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายกับเป็นเด็กวัยรุ่นหญิงเป็นหลัก ซึ่งเนื้อหาเน้นความฝันของผู้หญิงเกี่ยวกับความรัก นอกจากนี้ยังมี โจะเซ เป็นคำใช้เรียกการ์ตูนญี่ปุ่นที่ผู้หญิงหรือเด็กวัยรุ่นหญิงตอนปลายเป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเน้นความรักเหมือนกันแต่จะสมจริงสมจังขึ้นมานิดหน่อย ผิดกับความรักในการ์ตูนโชโจะซึ่งมักเป็นความรักในอุดมคติในวัยเรียน ซึ่งต่อไปนี้ผมจะเน้นการ์ตูนโชโจะเป้นหลัก

    จุดเด่นที่น่าสนใจในการ์ตูนแนวรักๆ การ์ตูนโชโจะ คือลายเส้นที่มีความเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลายเส้นดูก็รู้ว่าเป็นการ์ตูนผู้หญิง หากกระนั้นลายเส้นเอกลักษณ์ดังกล่าวกับมีแต่มีความคล้ายๆ กันอย่างน่าประหลาดแม้ว่าผู้เขียนจะคนล่ะคนก็ตาม (มีการวิเคราะห์ว่าลายเส้นการ์ตูนตาหวานส่วนใหญ่ที่เหมือนๆ กันก็เพราะคนเขียนสามารถเลียนแบบลายเส้นคนเขียนที่ชอบได้)

    ลายเส้นการ์ตูนผู้หญิงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา อย่างตอนแรกก็คางยาวๆ สัดส่วนผิดเพี้ยน หากแต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้ารูปการ์ตูนญี่ปุ่นแนวโชโจะมีเส้นคม ดูเบา ตาของตัวละครมักเป็นประกายและใหญ่กว่าปกติ ดวงตาเป็นประกาย (ซึ่งไม่รู้จะเป็นประกายอะไรหนักหนา) มีละอองน้ำหรือฟองสบู่ระยิบระยิบ ลายเส้นที่ดูนุ่มนวลเพราะคนเขียนแนวนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เรียกได้ว่าใครเห็นลายเส้นก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นการ์ตูนของผู้หญิง

    และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความรัก รักใสๆ ที่ไม่มีพิษมีภัยอะไรของการ์ตูนแนวโชโจะได้นำ สิ่งที่ดูไม่น่าจะเข้ากันเสียเลย อย่าง  “สยองขวัญ” อะไรจะขึ้น?

    แม้ว่าลายเส้นการ์ตูนตาหวาน (โชโจะ) กับเรื่องสยองขวัญดูยังไงก็ไม่เข้ากัน แต่กระนั้นการ์ตูนแนวดังกล่าวอยู่ในวงการการ์ตูนมาช้านาน ในสมัยที่เราเป็นเด็ก (ดักแก่) เรามักเห็นการ์ตูนแนวนี้ออกมามากมายในฉบับไม่มีลิขสิทธิ ลายเส้นออกจะเป็นโจะเซ (คางยาวและดูสมจริงกว่าโชโจะ)

    ความจริงแล้วผมไม่นิยมอ่านการ์ตูนตาหวานของผู้หญิงเท่าไหร่นัก เพราะการ์ตูนตาหวานผู้หญิงส่วนมากมักจบอย่างมีความสุข มันไม่เหมาะสำหรับผมที่ชอบมองโลกในแง่ลบเสมอ  หากแต่ถ้าเป็นกรณีแนวการ์ตูนตาหวานสยองขวัญผมมักอ่านเป็นประจำ เวลาว่างๆ  อ่านเพื่อเอาไอเดียว่าเนื้อหาการ์ตูนจะนำเสนออย่างไรในเมื่อจบในตอน และหลายตอนส่วนมากจบแบบสะใจผมเป็นพิเศษ ส่วนตัวผมเองก็ชอบการ์ตูนแนวสยองขวัญจบในตอนอยู่แล้วไม่ว่าจะตาหวานหรือการ์ตูนผู้ชาย ที่บ้านของผมเองก็มีการ์ตูนแนวสยองขวัญตาหวานหลายเรื่องเหมือนกัน  ส่วนการ์ตูนเรื่อง Screaming Lessons manga ที่ผมแนะนำในบทความนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในการ์ตูนแนวสยองขวัญตาหวานที่สนุกและน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง เหมาะที่เป็นตัวอย่างสำหรับคนที่สนใจสยองขวัญตาหวานเป็นยิ่ง (อีกทั้งยังสามารถอ่านแปลไทยในอินเทอร์เน็ต ผมจึงเลยเรื่องนี้มาบทความดังกล่าว)

                    Screaming Lessons manga หรือ Zekkyou Gakkyuu “บทเรียนที่น่ากลัว”  เป็นการ์ตูนซีรีย์จบในตอน (Collection of Short Stories/Oneshots) ผลงานของ Ishikawa Emi อดีตเคยเป็นผู้ช่วยของนักเขียนการ์ตูน Nana Haruta (นักเขียนคนนี้มีผลงานเยอะที่มีลิขสิทธิ์โดยบงกตน่ะครับ)  การ์ตูนตีพิมพ์ในปี 2008

                    ส่วนเนื้อหาของการ์ตูน  Screaming Lessons manga เป็นเรื่องราวของสาวโยมิ ที่มีร่างกายแค่ครึ่งตัว เธอมีผมสีน้ำตาลอ่อน  อดีตสมัยที่เธอเคยเป็นมนุษย์ธรรมดา (กว่าที่ประวัติของเธอจะเปิดเผย เรื่องก็ปาไปตอนที่ 10-11 โน่นแหละ)  เธอเป็นเด็กที่โดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนอย่างโหดร้าย จนเธอได้ตัดสินใจเปิดแก๊สระเบิดฆ่าตัวตายพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นที่รังแกเธอให้ตายตกตามกัน จนวิญญาณของเธอกลายเป็นวิญญาณร้าย (แต่ก็มีจิตใจดีอยู่บ้าง) ที่ยังคงวนเวียนอยู่ภายในโรงเรียนและเป็นคนเล่าเรื่องบทเรียนที่น่ากลัว จบในแต่ละตอนในโรงเรียน เรื่องเล่าแต่ละเรื่องจะเป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้หญิง ที่ตัวเอกหญิงต้องเผชิญหน้ากับสิ่งน่ากลัวที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมบทเรียนคติประจำใจ

                    
                  การ์ตูนเปิดเรื่อง ในชื่อตอนแรกว่า “เกมปีศาจ” เนื้อหาไม่แตกต่างจากสยองขวัญตาหวานจบในตอนเรื่องอื่นๆ มากนัก เป็นเรื่องของมิโอะเด็กประถมแสนธรรมดากำลังรู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมห้องที่เกมมือถือเกือบทุกคน จนเธอกลายเป็นหมาหัวเน่าในห้อง  แต่แล้วระหว่างทางกลับเธอก็ได้พบเครื่องเกมตกอยู่บนพื้น ตัวเครื่องเกมดูเหมือนแปลกๆ หน่อย แต่มิโอะไม่สนใจ  เห็นว่าเป็นเกมไม่มีเจ้าของเลยเอามันซะเลย หลังจากที่เธอหยับเกมขึ้นมาปรากฏว่าเครื่องเกมติดเอง พร้อมกับขึ้นเกมหนึ่ง ชื่อ “Animal and  Human’s Stories” เป็นเกมที่ใช้สัตว์เป็นตัวแทนของผู้เล่นในการพบเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างทาง พร้อมเลือกคำตอบที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่อง

    ตอนแรกมิโอะก็ไม่สนใจ เกมธรรมดาไม่เห็นน่าสนใจเลย แต่ก็ลองเล่นดู ตอนแรกก็ตั้งชื่อตัวเอกว่ามิโอะและผจญภัยตามเนื้อเรื่อง และเลือกคำตอบ ไปมาๆ มาๆ มิโอะก็เริ่มสังเกตว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมิโอะในเกม จะส่งผลต่อมิโอะในโลกแห่งความจริงด้วย เป็นต้นว่า หากมิโอะในเกมฉลาด มิโอะในโลกแห่งความจริงก็ฉลาดไปด้วย หรือหากมิโอะในเกมมีความรัก  มิโอะในโลกแห่งความจริงก็จะมีหนุ่มที่แอบชอบมาจีบไปด้วย

    มิโอะเริ่มเห็นเกมนี้ว่าเป็นเกมที่ดลบันดาลได้ตามใจปรารถนา เธอไม่อยากให้ใครรู้เรื่องเกมดังกล่าว เพราะหากใครรู้ทุกคนจะแย่งเกมนี้ไปแน่ๆ เธอเริ่มให้เวลากับเกมมากขึ้น เริ่มตีห่างจากพวกเพื่อนมากขึ้น จนเพื่อนๆ เป็นห่วงเลยถามว่าเธอเป็นอะไรถึงไม่สนใจพวกเขา แต่แทนที่มิโอะจะขอโทษ กลับโกรธเพื่อนผู้หวังดีแทน

     หลังจากที่มิโอะโมโหเพื่อนเสร็จ เธอก็วิ่งหนีไปยังสถานที่ไม่มีใครอยู่  และแล้วเกมก็ดังขึ้น เมื่อเธอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าตัวเอกในเกมพบกับหมาป่าตัวร้าย ส่วนโลกแห่งความจริงนั้นเธอก็พบคนแปลกหน้าถือเคียวอยู่ข้างหน้าเธอ  เธอเห็นว่าคนแปลกหน้าจะทำอันตรายเธอ จึงตัดสินใจวิ่งหนีจากชายแปลกหน้านั้นซ่อนตัวในห้องน้ำในโรงเรียน ระหว่างนั้นเธอก็ได้สังเกตว่าแถบตัวเกมได้ลดลงต่อเนื่อง เธอทราบทันที่ว่าแถบพลังนั้นคือขีดพลังใจที่เหลืออยู่ของเธอ หากขีดนั้นหมดเธอจะตายทันที เธอจึงพยายามคิดหาวิธีที่จะรอดพ้นความตายดังกล่าว เธอจึงตัดสินใจ รีเซตเกมขึ้นมาใหม่ แต่กลายเป็นว่าตัวเธอกลับถูกดูดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งเกม และไม่สามารถออกจากเกมได้ตลอดกาล.......

                    ตอนแรกของ Screaming Lessons manga น่าจะเป็นตัวอย่างดีของสยองขวัญตาหวานจบในตอน ว่าสยองขวัญจบในตอนนั้นส่วนใหญ่เป็นอย่างไร กล่าวคือสยองขวัฐตาหวานยังคงมีกลิ่นอายของการ์ตูนผู้หญิง ลายเส้นยังคงเป็นการ์ตูนผู้หญิง ดำเนินเรื่องโดยตัวเอกที่เป็นผู้หญิง โครงเรื่องก็ยังคงเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้หญิง เป็นต้นว่า การคบเพื่อน, เห่อแฟชั่น, แอบชอบคนหล่อในโรงเรียน ฯลฯ ก่อนที่ตัวเอกจะพบกับเรื่องแปลกประหลาดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ตอนแรกตัวเอกคิดว่าเป็นแค่เรื่องประหลาดใจ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก (บางตัวเอกก็เห็นเรื่องประหลาดเหล่านั้นสร้างประโยชน์ส่วนตัว) หากแต่เมื่อนานวันเข้าเรื่องประหลาดนั้นเริ่มทวีน่ากลัวขึ้น ทวีน่ากลัวขึ้น รุนแรงขึ้นจนตัวเอกเริ่มรับไม่ไหว ตัวเอกได้พยายามจะแก้ไขหากแต่สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยความตายของตัวเอกโดยที่ไม่สามารถแก้ไขหรือหนีพ้นได้เลย

                    ที่น่าสนใจคือสิ่งที่สอดแทรกสยองขวัญตาหวานนั้นมักสอดแทรกคติคำสอนเอาไว้  ที่เตือนเด็กผู้หญิงอะไรหลายๆ อย่าง เช่นตอนแรกของ  Screaming Lessons manga นั้นก็สอนว่าเมื่อพบเห็นของมีค่าที่ไม่มีเจ้าของควรส่งคือป้อมตำรวจเพื่อประกาศหาเจ้าของ ไม่ใช่ว่าโลภแล้วเก็บเอาไว้กับตัว อย่าหมุกหม่นอยู่กับเกม ควรใส่ใจคนรอบข้างบ้าง หากเพื่อนเป็นห่วงควรรับน้ำใจเอาไว้และไม่ควรโมโหดุด่าเพื่อนว่ารำคาญ หากเรามีความลับหรือมีปัญหาอะไรที่คิดไม่ตกก็ควรปรึกษาเพื่อน แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากส่งผลกระทบกับจิตใจหรือเรื่องปานปลายในอนาคต ความผิดเพียงก้าวเดียวอาจพลาดไปชั่วชีวิต เหมือนตัวเอกในตอนแรก “เกมปีศาจ” ที่การตัดสินใจผิดเพียงเล็กน้อยก็ถึงขั้นตายโดยไม่สามารถหนีได้เลย

                    แม้ว่าตอนจบของการ์ตูนสยองขวัญตาหวานจะจบไม่ค่อยดี จบเลวร้าย เพราะจุดประสงค์ส่วนใหญ่ที่จบแบบนี้ก็เพื่อช่วยให้ผู้อ่านซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิง (เพราะกลุ่มเป้าหมายของโชโจะอยู่ตรงที่เด็กประถมและวัยรุ่นผู้หญิง) ได้เรียนรู้ว่าอะไรควรไม่ควร สามารถจำได้ฝังใจว่าสิ่งที่ตัวเอกทำในเรื่องนั้นมันผิดมารยาทในสังคม (หรือศีลธรรม) โดยใช้เรื่องสยองขวัญและความตายป็นตัวกระตุ้นให้ผู้อ่านหญิงที่เป็นเด็กหวาดกลัวจนไม่กล้ากระทำตามนิสัยไม่ดีของตัวเอกในการ์ตูน

                    สยองขวัญตาหวาน (โชโจะ) นั้นแตกต่างจากสยองขวัญการ์ตูนผู้ชาย เพราะสยองขวัญผู้ชายนั้นจะเน้นความสมจริงมากกว่า และเน้นน่ากลัว ในขณะที่สยองงขวัญตาหวานจะเน้นหลอนและสอนคติประจำใจในแต่ละตอน สยองขวัญผู้ชายจะเน้นเลือดสาดแต่มีเหตุผล แต่สยองขวัญผู้หญิง (โชโจะ) นั้นบางเรื่องก็ไม่มีเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนขาดความสมจริงสมจังไปบ้าง (แต่สยองขวัญตาหวานแบบโจะเซจะมีเหตุผลมากกว่า)

                       

                        ตอนที่ 3 “โต๊ะอาหารของคุณแมรี่” ริกะเป็นเด็กประถมเลือกกินอาหาร เวลามีอาหารในโรงเรียนเธอมักกินแต่ของที่ชอบ ส่วนของที่ไม่ชอบมักนำไปซ่อน ไม่ก็เอาไปทิ้ง หรือให้คนอื่นทาน แม้ริกะจะโดนคุณครูดุหลายครั้งก็ไม่สำนึก

                    วันหนึ่งริกะก็ยังคงเลือกกินอาหารกลางวัน เธอไม่อยากกินขนมปังลูกเกด เธอจึงมีความคิดให้ลูกเกดให้ตุ๊กตาแมรี่ที่หลังห้อง (คงคล้ายๆ เครื่องเซ่นแบบนั้นมั้ง) ตุ๊กตาแมรี่นั้นเป็นตุ๊กตาผู้หญิงที่อยู่ในห้องของริกะมานานสมัยก่อตั้งโรงเรียนทำให้ตุ๊กตาดูสกปรกน่ากลัว  หลังจากที่ริกะวางขนมปังไว้ตัวตุ๊กตาแมรี่เสร็จเธอก็ไปเรียนคาบพละข้างนอกเมื่อกลับมาในห้องเดิม เธอก็พบขนมปังลูกเกดของเธอถูกใครบางคนกินเหลือครึ่งหนึ่ง ริกะเลยสงสัยว่าเธอกินขนมปังของเธอไป เด็กผู้ชายจึงให้ความเห็นว่าแมรี่เป็นคนกิน พีร้อมเล่าประวัติตุ๊กตาตัวนี้ว่ามันเป็นตุ๊กตาน่ากลัวอดีตมันเคยกินปลาทองจนหมดตู้ด้วยซ้ำ

                    เมื่อริกะได้ยินก็ไม่เชื่อข่าวลือ เธอจึงแอบเอาตุ๊กตากลับบ้านเพื่อไปพิสูจน์ว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในข้าวเย็นของบ้านริกะ แม่ของเธอทำอาหารที่เธอไม่ชอบให้เธอกิน ริกะจึงแอบเอาอาหารไว้บนพื้นโต๊ะให้แมรี่ ปรากฏว่าแมรี่กินอาหารนั้นจนเกลี้ยงจาน ริกะจึงได้รู้ว่าคุณแมรี่เป็นตุ๊กตามีชีวิตสามารถกินอาหารอะไรก็ได้  ริกะได้เห็นประโยชน์อันนั้นจึงใช้ประโยชน์จากแมรี่

                    หลังจากนั้น เวลาที่ริกะเจออาหารที่เกลียด เธอจะแอบทิ้งบนพื้นที่แมรี่รออยู่ เพื่อกินอาหารเหล่านั้นจนหมด ริกะได้ใช้ประโยชน์จากแมรี่จนริกะกลายเป็นเด็กดี ได้รางวัลเด็กไม่เลือกกินดีเด่นประจำโรงเรียน  จนริกะมีความสุขที่ได้รับความชมจากคนรอบข้าง

                    อย่างไรก็ตามริกะก็ได้รู้สึกแปลกๆ เพราะเธอไม่รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย แม้อาหารส่วนใหญ่เธอจะเอาไปให้แมรี่กินจนหมด ก็ตาม อีกทั้งนับวันแมรี่เหมือนมีชีวิตชีวามากขึ้น เนื้อตัวสะอาดเหมือนตุ๊กตาใหม่

                    วันหนึ่งริกะเริ่มสำนึกถึงการกระทำของตนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ริกะจึงตัดสินใจนำแมรี่กลับมาที่เดิม ส่วนตัวเองก็พยายามปรับปรุงตนเองกินอาหารไม่ชอบโดยไม่พึ่งแมรี่ อย่างไรก็ตามมันสายเกินไป ริกะเริ่มพบว่าร่างกายของเธอแปลกไป เธอเริ่มไม่หิว เริ่มไม่มีแรง จนบางครั้งขนับตัวไม่ได้ ในขณะที่แมรี่เองเริ่มออกอาละวาดทำร้ายข้าวของริกะรุนแรงขึ้น

    ในตอนนั้นเองริกะเริ่มรู้คิดตอบว่า เธอกำลังกลายเป็นตุ๊กตาแมรี่ ในขณะที่แมรี่จะกลายเป็นริกะแทน และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ริกะได้กลายเป็นตุ๊กตาที่ไม่สามารถพูดหรือเคลื่อนไหว  เธอได้แต่จ้องมองคุณแมรี่ที่ได้กลายเป็นริกะกินอาหารอย่างมีความสุข โดยตัวเธอไม่สามารถทำอะไรได้เลยตลอดกาล

                

                    จากตัวอย่าง 2 แบบนั้นจะเห็นว่า สยองขวัญตาหวานไม่จำเป็นต้องใช้โลกแฟนตาซียิ่งใหญ่ ไม่ต้องเอาเรื่องซอมบี้มาเล่น ไม่ต้องเอาเรื่องสัตว์ประหลาดมอนเสตอร์สยองขวัญลากไส้มาเป็นตัวเอก เพราะการ์ตูนสยองขวัญตาหวานนั้นไม่ต้องการที่จะเห็นเลือดสาดสะใจคอซาดิสต์ หากแต่ต้องการคงความเป็นการ์ตูนตาหวาน ลายเส้นน่ารัก ดำเนินเรื่องแสนธรรมดา ส่วนสยองขวัญขอเป็นแบบให้อารมณ์หลอนๆ ไม่โหดเหี้ยมอะไรมากตามประสาคนอ่านที่เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบเลือดสาด เรื่องขนหัวลุกก็ไม่เอาเรื่องของพวกผีตายโหงมาหักคอ ขอเป็นแค่เรื่องเล่า อาถรรพ์ ความเชื่อ คำสาปที่เป็นเรื่องฮิตในหมู่ผู้หญิงก็พอ เนื้อหาไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงแค่เอาใช้ชีวิตประจำวันของผู้หญิงเอามาเล่น (อะไรที่พวกผู้หญิงชอบๆ อย่างพวก เรื่องสำอาง ไปเที่ยว ฯลฯ) และ เอาตัวเอกนิสัยไม่ดีมาดำเนินเรื่อง เช่น เด็กขี้ริษยา  เด็กอย่างโดดเด่นอยากดังในหมู่เพื้อนฝูง หรือเด็กประถมเลือกกินอาหาร ก่อนพบเรื่องสยอง เพื่อแสดงให้คนดูให้เห็นว่าตัวเอกทำตัวเองถึงพบจุดจบแบบนี้ ซึ่งการดำเนินเรื่องดังกล่าวสามารถเอามาเล่นต่อยอดมากมาย ทำให้หลายตอนไม่ฉีดแนวมากนัก

                    ดูเหมือนว่าสยองขวัญตาหวานมักนำปัญหาเกี่ยวกับลูกผู้หญิงมาเป็นประเด็นของเรื่องให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่า ว่าเด็กแต่ล่ะวัยมีปัญหาอะไรบ้าง สะท้อนเห็นว่าผู้ปกครองมักกังวลปัญหาเรื่องของบุตรสาวตั้งแต่สมัยลูกยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยันโตเป็นวัยรุ่น ซึ่งแต่ล่ะช่วงอายุล้วนมีปัญหาต่างกัน เช่น ตอนเป็นเด็กประถมก็มีปัญหา เช่น เป็นเด็กชอบเลียนแบบ, เห่อวัตถุนิยม, ชอบมีความลับ  หรือเป็นเด็กเลือกกิน เมื่อเด็กโตขึ้นจนกลายเป็นวัยรุ่นก็มีปัญหาใหม่ให้ผู้ปกครองได้ปวดหัวเพิ่มขึ้นเป็นต้นว่าการคบเพื่อน, ความรักในวัยเรียน หรือการกลั่นแกล้งในโรงเรียน ซึ่งสยองขวัญตาหวานมับหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาใช้เป็นเรื่องสั้นพร้อมบทเรียนที่น่ากลัวเพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ดี

                    เราจะเห็นเรื่องสั้น “โต๊ะอาหารของคุณแมรี่” สั่งสอนเด็กเลือกกินว่าบทลงโทษของการเลือกกินเป็นอย่างไร แม้ว่าการกระทำของเด็กริกะนั้นไม่น่าจะถึงตาย แค่เลือกกิน กินทิ้งกินขว้าง  แอบทิ้งอาหารบนพื้น แม้ตอนหลังจะกลับตัวกลับใจ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่รอดพ้นอาถรรพ์ได้อยู่ดี เพื่อให้ผู้อ่านที่เป็นเด็กหวาดกลัว  ได้ผลชะงัก (เพราะเลือกกินแล้วถึงตายเป็นใครก็กลัว)  ซึ่งโยมิได้ให้บทเรียนแก่ผู้ดูว่าอย่าเอาเป็นแบบอย่างริกะ เวลากินอาหารขอให้คิดคนที่อดอยากกว่าตน ยังมีคนทั่วโลกอีกมากที่ไม่มีวาสนา ใช้ชีวิตไม่เหมือนกับคนมีอันจะกิน กินอาหารไม่อิ่มท้อง  เราควรไม่เลือกกินอาหารและกินให้หมดเพื่อเข้าใจความรู้สึกของคนพวกนั้นด้วย  แม้ว่าริกะจะกลับตัวการเป็นคนไม่เลือดกินตอนท้ายเรื่อง หากแต่ริกะกลับลืมบาปของเธออีกอย่าง นั้นคือเธอทอดทิ้งแมรี่ ทั้งๆ ที่ตอนแรกริกะบอกว่าเธอเป็นเพื่อนกัน และรับผลประโยชน์ร่วมกัน หากแต่เมื่อแมรี่หมดประโยชน์ ริกะก็ทิ้งแมรี่เอาดื้อๆ หากแมรี่เป็นคนก็ไม่โกรธที่จะโกรธแค้นไม่ให้อภัยริกะแน่นอน

    ที่น่าสังเกตคือสยองขวัญตาหวานแบบจบในตอนส่วนมากคนอ่านมักเดาทางได้ว่าจะจบอย่างไร (เพราะเนื้อหาบางเรื่องพล็อตซ้ำซากไม่ฉีกแนวเท่าไหร่  ซึ่งแตกต่างจากสยองขวัญผู้ชายที่มีการหักมุมมากกว่าและเน้นภาพมากกว่า) เนื้อหาอาจดำเนินเรื่องเร็ว (อาจตัดจุดรายละเอียดออก) บางเรื่องแม้ว่าตัวเอกจะสามารถกลับใจและไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งลึกลับ หากแต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้นความตายหรืออาถรรพ์อยู่ดี ทำให้เวลาดูแต่ละตอนก็ลุ้น (แต่ส่วนใหญ่ลุ้นไม่ขึ้น) ว่าตัวเอกแต่ละตอนจะจบแบบมีความสุขหรือเปล่า

                    กลวิธีการเล่าเรื่องของสาวลึกลับที่เป็นคนออกมาเล่าเรืองบทเรียนที่น่ากลัวในโรงเรียนแบบจบในตอน มีส่วนคล้าย การเล่าเรื่องแบบ “นิทานอีสป”  (An Aesop)  นิทานของอีสปนักเล่านิทานชาวกรีกที่เป็นนิทานสอนคนที่ใช้คนและสัตว์(ที่มีเลียนแบบมนุษย์ เช่น พูดภาษามนุษย์ ยืนสองขา) เป็นตัวเล่าเรื่องราว

                    อีสปนั้นนั้นเป็นคนที่น่าสงสาร เชื่อว่าเป็นคนที่มีลักษณะอัปลักษณ์ เดิมเคยเป็นทาสมาก่อน หากแต่มีความสามารถในการเล่านิทานและมีไหวพริบปฏิภาณดีเยี่ยมเพราะปกติแล้วมนุษย์เรานั้นจะสั่งสอนตรงๆ ไม่ได้  นั้นนั้นอีสปจึงสร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่พร้อมกับสอนไปในตัวให้เขากับสถานการณ์ เพื่อให้คนอ่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล่าขานเอาสนุกสนานอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการสั่งสอนใคร และเมื่อฟังนิทานจบพวกเขาก็รู้สึกสำนึก จนสามารถเป็นไท หากแต่สุดท้ายเขาได้ผิดใจกับชาวบ้าน จนถูกชาวบ้านจับโยนลงหน้าผาสูงจนถึงแก่ความตาย แม้ว่าอีสปจะเสียชีวิตมานานหลายร้อยปีแล้วก็ตาม แต่นิทานของเขายังคงอยู่ และได้กลายเป็นนิทานที่สร้างแนวคิด อบอมสั่งสอนให้คนทำความดี รู้จักตัวเอง มีคุณธรรม แก่คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

    เรื่องเล่าของโยมิมีส่วนคล้ายนิทานอีสปที่สอดแทรกคติประจำใจในแต่ละตอน ที่ตัวเอกได้ออกมาเล่าเรื่องหรือออกมาเตือนให้แก่ผู้ชมไม่ให้ทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างตัวละครในเรื่อง ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกหญิง  หากแต่บทเรียนที่ได้รับนั้นถึงลูกถึงคนมากกว่าอีสปหลายเท่า คนดีทำดีก็แล้วไป หากแต่คนไม่ดีทำชั่วหรือทำเรื่องไม่ดี ผลตอบแทนที่ได้รับสำหรับพวกเขาคือบทเรียนแห่งความตาย หรือชะตากรรมที่เลวร้าที่ยิ่งกว่าความตาย เป็นต้นว่าตัวเอกอธิฐานอะไรร้ายๆ อย่างจำพวกสาปแช่งคน แต่สุดท้ายคำสาปแช่งมาย้อนสู่ตัวของคุณ (ทั้งๆ ที่บางอย่างที่ตัวละครทำไม่น่าจะมีโทษถึงความตายด้วยซ้ำ) ความผิดของพวกเขาไม่สามารถหลบเลี่ยงได้และจะต้องพบจุดจบที่เลวร้ายเท่านั้น (บางตอนก็จบดีๆ เหมือนกันหากตัวละครไม่เคยทำอะไรผิดพลาดลงไป)

                   
                  
    ผมลองค้นหาตู้หนังสือเพื่อหามังงะแนวที่เหมือน
    Screaming Lessons manga ก็พบว่าบนตู้หนังสือของผมมี 2 เรื่อง  (หากไม่นับสยองขวัญตาหวานที่ไม่มีตัวเอกมาเล่าเรื่อง) ก็มี Houtai Shoujo Aiwa (ชื่อไทยตำนานระทึกขวัญของสาวน้อยผ้าพันแผล) และ Jigoku Shoujo  (Hell Girl สาวน้อยจากนรก) ทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของบงกต ซึ่งทั้งหมดมีเนื้อหาคล้ายๆ กันคือมีตัวเอกออกมาเล่าเรื่องราว มีคติสอนใจท้ายตอน พร้อมกับบทเรียนแห่งความตายหรือตายทั้งเป็น

                    Jigoku Shoujo  เป็นการ์ตูนที่ค่อนข้างดัง เพราะถูกนำไปสร้างเป็นอนิเมะทังการ์ตูนและคนแสดงมาแล้ว โดยเนื้อหานั้นจะเน้นเรื่องเกี่ยวกับความแค้นของมนุษย์มากกว่าจะเน้นชีวิตประจำวันของผู้หญิงเหมือนการ์ตูนสยองขวัญตาหวานทั่วไป (แต่ลายส้นมังงะยังคงเป็นความโชโจะอยู่)

    Jigoku Shoujo  เป็นการ์ตูนเรื่องสั้นจบในตอน ซึ่งแต่ละตอนเล่าเกี่ยวกับความทุกข์ของเหล่าตัวเอก (มีทั้งชายและผู้หญิง แต่ส่วนมากเป็นผู้หญิงมากกว่า) ที่เกิดจากคู่อริที่สร้างความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจแก่ตัวเอก (ส่วนมากเน้นจิตใจมากกว่า) ทำให้ตัวเอกเกิดความแค้น อยากฆ่าให้ตาย แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะมันทำให้ตนเองต้องแปดเปื้อน ซ้ำยังผิดกฎหมายอีก หากแต่ทันใดนั้นตัวเอกได้ยินข่าวลือว่า  จนกระทั้งตัวเอกได้ข่าวลือจากเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งว่าหากใส่ชื่อคู่อริของตนลงไปจะได้รับการแก้แค้น ซึ่งเมื่อตัวเอกใส่ชื่อลงไป ก็จะมีสาวน้อยน่ารัก ตาสีแดง สวมชุดนักเรียนมายื่นตุ๊กตาฟางสีดำซึ่งมีด้ายแดงผูกเอาไว้ หากตัวเอกตั้งใจจะแก้แค้น เพียงแค่ดึงด้ายออกถือว่าเป็นการทำพันธสัญญาระหว่างตัวเอกกับเธอ โดยมีค่าตอบแทนก็คือหากตัวเอกตายจะต้องตกนรกสถานเดียวเท่านั้น ซึ่งตัวเอกต้องตัดสินใจเอาว่าจะแลกชีวิตกับการแก้แค้นนี้หรือเปล่า?

    เนื้อหาของ Jigoku Shoujo จะมีความแตกต่างจากสยองขวัญตาหวานเรื่องอื่นๆ เพราะเน้นเรื่องความแค้น ที่เกิดจากความเอารัดเอาเปรียบในสังคม ที่ผู้อ่อนแอต้องตกเป้นเหยื่อของผู้เข้มแข็งกว่ากันอย่างไม่ยุติธรรม    (ลอกผลงาน, ขโมยของที่มีค่า, แบล็คเมล์) ซึ่งผู้อ่อนแอทำได้แต่ทนต่อไป โดยความหวังว่าสักวันหนึ่งผลกรรมจะตามทันแก่คนเลวเหล่านั้น หากแต่จนแล้วจนรอดผลกรรมก็ไม่มาเสียที จนกระทั่งมีเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องเลือกว่าจะแก้แค้นหรือจะอดทนต่อไป ซึ่งหลายคนยอมที่จะเลือกเส้นทางแก้แค้น ยอมตกนรก มากกว่าที่จะอดทนรอให้คู่อริต้องพินาศล่มจมเพราะบาปกรรมที่ตนก่อขึ้นเสียมากกว่า


                 ส่วน Houtai Shoujo Aiwa นั้นเป็นผลงานของ Kohaku Naoto ที่ดำเนินเรื่องแบบสยองขวัญตาหวานของแท้ดั้งเดิม  เพราะใช้เรื่องตำนานเมืองและคำสาปแช่งมาใช้เป็นธีมของเรื่อง (ปกติพวกผู้หญิงจะชอบเรื่องพวกนี้) เป็นเรื่องราวของคำสาปที่ผู้หญิงคนใดอยากมีความปรารถนาและเรื่องทุกข์ใจ (ส่วนใหญ่จะเป็นความปรารถนาที่ร้ายๆ หรือเพื่อตนเอง) พวกเธอจะพบศาลเจ้าลึกลับปรากฏตัวขึ้น กลางทาง ศาลเจ้าแห่งนั้นเป็นตำนานเมืองที่กล่าวว่าเป็นของสาวน้อยที่ตายอย่างโชคร้าย และสาวน้อยได้กลายเป็นวิญญาณในภาพลักษณ์สาวน้อยผ้าพันแผล โดยหากเด็กสาวเขียนความปรานาของตนลงไปบนผ้าพันแผล ก็จะสมปรารถนาหากแต่สิ่งแลกเปลี่ยนของความสมปรารถนาก็คือความตายหรือชะตากรรมที่ตายทั้งเป็น ซึ่งกลวิธีการดำเนินเรื่องค่อนข้างตรงไปตรงมาไม่มีพลิกเพลงมากนัก เพราะวินาทีที่ตัวเอกหญิงขอพรแก่ศาลเจ้าเท่ากับว่าเจ้าตัวต้องพบจุดจบที่โหดร้ายตอนท้ายเรื่องแล้ว

     Houtai Shoujo Aiwa จะเน้นสอนความริษยาของเหล่าพวกผู้หญิงที่มักเห็นคนอื่นดีกว่าตนไม่ได้เป็นต้องเจ้าแค้นหรืออยากมีเหมือนคนอื่นบ้าง (บางคนอยากได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้) และมีพวกเขาได้สิ่งที่สมความปรารถนาแทนที่จะพอใจ  กลับ อยากได้มากขึ้นไปอีก เพราะการที่ได้สิ่งที่ต้องการง่ายดายเกินไปทำให้ใจไม่เกียงพอ จนเกิดความโลภ จนเกิดผลเสียตามมา (บางคนไม่สนคำเตือนตั้งห้ามทำให้เกิดผลสะท้อนอันตรายตามมา)

                    พูดง่าย ๆ ว่าตัวเอกหญิงในสยองขวัญตาหวานส่วนใหญ่มักพบจุดจบเพราะทำตัวเองทั้งสิ้น  คนเรานั้นต้องรู้จักการประมาณตน รู้จักความพอดี สิ่งใดที่ทำไม่ได้ก็ไม่ควรที่จะฝื่นเกิดตัว หากถลำลึกมากเกินไปอาจได้ผลกระทับตามมา เหมือนบทเรียนสยองขวัญสยองขวัญแต่ละเรื่องที่สื่อออกมา

                    
                 ที่น่าสังเกตคือตัวเอกที่เป็นคนเล่าเรื่องสยองขวัญในแต่ละตอนนั้น แต่ละคนล้วนมีอดีตที่น่าเศร้าจนคนอ่านรู้สึกสงสสารไม่มากไม่น้อย (เหมือนกับอีสปที่เกิดเป็นทาสและตายอย่างโหดร้าย) และผู้เล่าเรื่องแต่ละคนนั้นมักจะเผยประวัติในช่วงกลางเรื่อง (หรือท้ายเรื่อง) เพราะว่าเป็นส่วนสำคัญที่เป็นแรงจูงใจทำให้ผู้ท่านติดตาม  อย่างโยมิเองสมัยที่ยังเป้นมนุษย์ก็ตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งในโรงเรียนในตอนที่ 9-10 (ซึ่งสยองขวัญตาหวานนั้นค่อนข้างเน้นเรื่องการกลั่นแกล้งโรงเรียนค่อนข้างมากเหมือนเป็นเรื่องปกติของการ์ตูนตาหวานผู้หญิงไปแล้ว) สุดท้ายโยมิเลือกที่จะตายพร้อมกับพวกหัวโจ๊กที่กลั่นแกล้ง จนกลายเป็นวิญญาณร้ายประจำโรงเรียนไป อย่างไรก็ตามปัญหาการกลั่นแกล้งโรงเรียนยังมีต่อไป โยมิก็ได้แต่เตือนหรือเพียงให้กำลังใจแก่ผู้ถูกรังแกให้ยืนหยัดขึ้นสู้โดยกำลังของตัวเอง มากกว่าเข้าไปช่วยให้เรื่องเลวร้ายมากขึ้น (เหมือนตอนอื่นๆ)  ตรงจุดนี้เป็นถือว่าเป็นช่วงที่ประทับใจของ
    Screaming Lessons manga สำหรับผมก็ว่าได้

    สุดท้าย แม้ว่าผมไม่ใช่แฟนการ์ตูนตาหวาน ไม่ได้อ่านการ์ตูนตาหวานมากนัก แต่การได้เปิดหูเปิดตาการ์ตูนตาหวานก็พอทำให้ทราบว่ารสนิยมของพวกผู้หญิงในอ่านการ์ตูนแนวนี้เป็นอย่างไร คำว่าสยองขวัญในนิยามของผู้หญิงแล้วมันแตกต่างจากผู้ชายตรงไหน บางคนบอกว่าสนุก บางคนบอกว่าสยอง บางคนร้องยี้ ทั้งที่อ่านเรื่องเดียวกัน เพราะรสนิยมของเราแตกต่างกัน แต่กระนั้นการ์ตูนทุกแนวถูกสร้างเพื่อความบันเทิงใจแก่ผู้อ่าน (แม้บางเรื่องจะปวดตับจิตตกก็เถอะ) บางครั้งการออกนอกกะลาเพื่อรับรู้สิ่งใหม่ๆ ที่นอกอยู่เหนือรสนิยมของตนก็ไม่เลวเหมือนกัน

    เอาเป็นว่าลองค้นตู้หนังสือการ์ตูนของท่านสักนิด ว่ามีเล่มไหนที่คุณไม่เคยอ่านจริงจัง หรือไม่เคยเปิดอ่านเลยบ้าง บางที่เล่มนั้นอาจถูกใจคุณภายหลังไม่มากก็ไม่น้อยก็เป็นได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×