ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #162 : (เฮ้ยจริงเหรอ!?) อาหารของยัยเผด็จการ = อาหารสยองสงครามโลกครั้งที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17.59K
      9
      14 พ.ย. 60

     

    เรื่องของเรื่องได้ไปอ่านนิยาย Youjo Senki บันทึกสงครามของยัยเผด็จการ นิยายแนวสงคราม, ไซไฟ, ต่างโลก ที่เล่มหนาโครต และสำนวนการเขียนนี้ มองภาพยากมาก ดีที่มีมังงะ และอนิเมะช่วยเอาไว้ ไม่งั้นผมคง งง หนักแน่นอน

                    รีวิวการ์ตูนที่ https://my.dek-d.com/a/writer/viewlongc.php?id=125456&chapter=431

    ในนิยาย ไม่ได้เกิดในต่างโลก ที่เป็นยุคกลาง เหมือนนิยายต่างโลกที่เกลื่อนเวลานี้ ดังนั้นเรื่องนี้ ไม่มีเอลฟ์ ไม่มีหูหมา ไม่มีทาสบ้าบอ (หลายเรื่องชอบเอามายัดใส่เหลือเกิน) สิ่งที่มีในเรื่องนี้ คือต่างโลก ที่ทาเนียเกิดคือ “จักรวรรดิ” ที่มันเหมือนประเทศเยอรมันมากๆ หากดูจากแผนที่ และสถานการณ์ที่ เนียเกิดดังคล้ายๆ กับสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะมีทั้งสนามเพลาะ ปืนใหญ่ เครื่องบิน ฯลฯ 

                    อย่างไรก็ตาม ก็มีสิ่งที่แตกต่างจากสงครามโลกครั้งที่ 1 อยู่บ้าง ตรงที่ ต่างโลกนี้ สงครามไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเยอรมันเปรี้ยวอยากรุกรายประเทศอื่น, หรือกษัตริย์โดนยิง บลา ๆ แต่เกิดจากประเทศเศรษฐกิจไม่ดี ต้องการรุกรานประเทศที่ทาเนียอยู่เพราะต้องการทรัพยากร ทำให้เกิดสงครามตามมา ที่ขนทั้งปืน ปืนใหญ่ รวมไปถึงนักเวทย์ที่เป็นกำลังสำคัญในเรื่องนี้ให้ดูเป็นแฟนตาซีหน่อยๆ ด้วย

                    ดังนั้นนิยายในเรื่องจึงเต็มไปด้วยศัพท์การทหาร กลยุทธ์ต่างๆ ใครที่อ่อนเรื่องพวกนี้ คง มึน ติ๊บแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม นิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้วิจารณ์เนื้อหานิยายแต่อย่างใด แต่มันสนใจเรื่อง อาหาร ต่างโลกที่ทาเนียอยู่ต่าง

    ตอนที่เขียนบทความนี้ Twitter ทางการของนิตยสาร Comptiq และ Monthly Comp Ace ได้เผยว่าซีรีส์ Youjo Senki เตรียมมีหนังสือเล่มพิเศษ และไฺฮไลท์เด่นของหนังสือคือมังงะภาคพิเศษ จำนวนสองตอน ที่จะเป็นมังงะแนวทำอาหารแทนโดยจะใช้ชื่อว่า Youjo Senki Shokudo วาดโดย Kyouichi ซึ่งจะลงในนิตยสาร Monthly Comp Ace วันที่ 25 พฤศจิกายน 2017

                    ปัญหาคือการทำอาหารของทาเนียนี้ มันจะอร่อยเหรอ มันจะออกมาในรูปแบบใด เพราะหากพูดถึงอาหาร แล้วถ้าโลกของทาเนียคือยเยอรมันยุคสงครามโลกครั้งที่ 1  ละก็อาหารของทหารนี้คือยาพิษดีๆ นี่เอง!!

    พูดถึงอาหาร ปกติแนวต่างโลกไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ แล้วจะมีมุกพวกคนญี่ปุ่นไปต่างโลก ไปเผยแพร่วัฒนธรรมกินอาหาร พวกซูซิ อาหารดิบ ฯลฯ

    ผมอ่านเรื่องพวกนี้ ผมก็มานั่งคิดว่านะ โอเค อาหารพวกยุโรปกลางนี้ ได้ข่าวว่ามีรสชาติแย่มาก เพราะสมัยก่อนเกลือเป็นสิ่งหายาก เครื่องเทศไม่มี (ไม่งั้นคงไม่ไปชิงพวกเอเชีย อย่างอินเดียหรอก) ไส้กรอกแข็งๆ เนื้อหมูที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์เหมือนปัจจุบัน ไข่ไก่ไม่มีมากมายอะไร ทำให้รู้สึกแปลกในว่าพวกตัวเอกที่หลงไปต่างโลกกินกันอร่อยได้เหรอ?

    โอเค เรื่องพระเอกเผยแพร่อาหารญี่ปุ่นให้ตัวละครในต่างโลกได้กินกัน เราก็มานั่งอมยิ้ม (แม้เราเป็นคนไทยก็เถอะ) แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันขัดๆ คือ พวกอาหารซูซิ อาหารดิบนี้แหละ พวกยุคกลาง ต่างโลก นี้รับได้เหรอ  ผมได้ยินว่ากว่าพวกยุโรปรับกับอาหารนี้ได้ต้องทำใจนานพอดู

     

                หากใครได้อ่านนิยาย นอกจากศัพท์การทหาร ศัพท์แสงต่างๆ นาๆ แล้ว  จะพบว่ามีหลายฉากที่ตัวละครได้บรรยายเกี่ยวกับความห่วยแตกอาหารในสนามรบได้เป็นอย่างดี เป็นต้นว่า

     

                    “แม้อาหารในโรงเลี้ยงนายทหารชั้นประทวนเป็นผักเหี้ยวๆ เท่าที่หาได้ กับอาหารกระป๋องเป็นหลัก ต่างจากอาหารการกินในเขตภายใจ แต่ฉันก็ชินกับอาหารที่ว่านั้นแล้ว วันแรกตอนได้ชิมรสชาติที่เลวร้ายไม่แพ้เสบีบงอาหารแล้วฉันถึงกับร้องไห้ แต่เดี๋ยวนี้ฉันก็กินได้เอร็ดอร่อยพอประมาณ” (วีชาบ่นเรื่องอาหารเช้าที่เลวร้าย)

     

                    “แต่ปัญหาคือวิธีปรุงรสที่แสนจะเค็มมากกว่าเปรี้ยว แล้วก็เนื้อหมูที่เหมือนยังต้มไม่เปื่อยดีนี่ละ เจอคู่นี่เข้าไปผมก็ได้ตะลึงว่า ถ้าไม่มีมันฝรั่งมาให้ด้วย ผมคงได้เอาจานนี้ไปปาหัวหมาแล้ว”

                    “ซ้ำร้ายขนมปังหลักยังเป็น K-Brot อีกต่างหาก คือสงสัยว่าเขาตั้งใจจะถือโอกาสโฆษณาขนมปังที่ว่าไปด้วย แต่พูดตามตรง ขนมปังข้าวไรย์ของทัพเรือยังจะมีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่าแล้วก็อร่อยกว่า...” (ทาเนียบ่นอาหารที่พวกผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้ พวกบรรยายความน่ารังเกียจของเจ้าขนมปังมันฝรั่ง)

     

     

     

                    อ่านช่วงทาเนียบ่นเรื่องอาหารสยองขวัญแล้ว ผมก็เกิดความสงสัยว่า ในสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกทหารเขากินอาหารอะไรกัน

                    ก่อนอื่นก็พูดถึง K-Brot ขอบอกว่าค้นข้อมูลยากพอสมควร แม้ในเรื่องจะบอกว่าเป็นขนมปังมันฝรั่ง (Potato Bread)  แต่มันแตกต่างจากขนมปังมันฝรั่งที่เรากินปัจจุบันที่เนื้อนุ่ม กลิ่นหอม เพราะขนมปังมันฝรั่งที่ว่าคือ  Kreigsbrot

    Kreigsbrot (เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า: ขนมปังสงคราม) ซึ่งเยอรมันได้ทำขนมปังเพื่อเอาไปเป็นเสบียงสงคราม ต่อมาก็มีการเพิ่มสูตรเพิ่มแป้งมันฝรั่งเข้าไปเรียกว่า ขนมปังใหม่ชื่อว่า Kriegs Kartoffelbrot (ขนมปังมันฝรั่ง) หรือขนมปัง KK

                    นอกจากข้อมูลนิยายแล้ว ผมหาข้อมูลขนมปังที่ว่าในอินเทอร์เน็ตยากเหลือเกิน ที่พอหาได้เป็นเว็บภาษาเยอรมัน  โดยข้อมูลระบุว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ได้มีการคิดค้นขนมปังที่ไม่ได้มีส่วนผสมแป้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีการเพิ่มเสริมสิ่งที่ทดแทนแป้ง เช่น ข้าวไรย์ (กว่า 30 เปอร์เซ็นต์) หรือไม่ก็แป้งมันฝรั่ง (35 เปอร์เซ็นต์) เพื่อเพิ่มปริมาณ

                    แน่นอนว่ารสชาตินั้นห่วยแตกเหมือนที่ทาเนียบ่นเอาไว้ แถมมันมาพร้อมกับผักอบแห้ง ที่ถูกกล่าวขวัญว่าเหมือนลวดหนาม

                    สาเหตุที่เพิ่มสิ่งที่นอกเหนือจากแป้งขนมปัง นอกจากเพิ่มปริมาณแล้ว ก็ต้องการให้อิ่มท้อง แม้ว่ากองทัพจะเดินด้วยท้อง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอาหารอะไรมากมาย ขอให้อิ่มท้อง กินกันตาย          ขนมปัง KK ที่ว่านั้นจะมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีอายุเก็บรักษายาวนาน ผิตในเยอรมันตะวันตก และถูกส่งไปทางรถไฟ

                    ความจริงแล้วต้นกำเนิดของขนมปังที่ว่านั้นไม่ค่อยยืนยันแน่ชัดนัก เพราะฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็มีขนมปังที่ว่าเหมือนกัน แถมยังโฆษณาชวนเชื่อ ล้อเลียนเยอรมัน ประมาณว่าประเทศของตนนั้นไม่เคยขาดแคลนอาหาร ส่วนเยอรมันกำลังอดตาย แถมขนมปังผสมมูลสัตว์อีกต่างหาก (ประมาณนี้)

                    นอกจากทหารสงครามโลกครั้งที่ 1 จะได้ลิ้มรสขนมปังรสชาคติโหดร้ายนี้กันถ้วนหน้าแล้ว นักโทษหรือเชลยสงครามเองยิ่งเลวร้ายกว่า เพราะพวกเขาได้รับอาหารสุดเลวร้าย นอกจากขนมปังมันฝรั่ง ยังมีซุป อาหารผักที่จืดจาง ไม่เค็มเลย ราวกับน้ำเปล่าไม่ปาน

    แต่ถึงอย่างนั้นนักโทษเยอรมันพูดติดตกว่าซุปฝรั่งเศสยังดีกว่าขนมปัง KK เสียอีก

     


    อย่างไรก็ตามหาก พูดถึงขนมปังแล้ว  ขนมปังที่ดูจะชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงความสยองขวัญที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1 ของเยอรมันก็คือ Kommissbrot มากกว่า หรือก็คือ ขนมปังดำ ที่ทำมาจากแป้งข้าวไรย์และเป็นสาลี มันเป็นขนมปังที่เหมาะกับสนามรบมาก เพราะมันเก็บรักษาได้อย่างยาวนาน  แต่สิ่งที่แลกมาก็คือมันแข็งมาก โดยมันมีคุณค่าทางอาหารคือได้วิตามินบี 1

                 แต่เนื่องด้วยสงครามโลกครั้งที่ 1 แตกต่างจากจักรวรรดิของทาเนีย ที่ช่วงเวลานั้นขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ปริมาณอาหารน้อย มันไม่เพียงพอเลี้ยงทหารจำนวนมาก ดังนั้นอาหารในสงครามก็เพิ่มความเลวร้าย ด้วยการเพิ่มขี้เลื่อยเพื่อทนแทนแป้ง

                  ใช่มันเป็นเรื่องจริงที่ขี้เลื่อยถูกใช้เป็นแป้งใส่ขนมปัง ลืมเรื่องไส้กรอกเยอรมีนไปเลย เพราะสมัยนั้นเยอรมันแทบไม่มี เพราะช่วงเวลาดังกล่าวกำลังผลิตอาหารมีน้อยมาก ยิ่งในช่วงที่เยอรมันโดนปิดล้อมทางทะเล ทำให้เยอรมันไม่สามารถทำการค้าในทะเลได้ จึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้นในเยอรมัน จนชาวเยอรมันในยุคนั้นต้องหันไปพึ่งขนมปังผสมขี้เลื่อย

                   แน่นอนว่านอกจากขนมปังแล้ว ก็ยังมีอาหารอื่นๆ ที่เอาขี้เลื่อยมาใส่ เรียกว่าแอร์ซาตซ์ (Ersatz)  หมายถึงอาหารทดแทน (แทนที่) ซึ่งเป็นอาหารที่ถูกผลิตขึ้น โดยใส่สิ่งทดแทนเพื่อให้ได้ปริมาณ แต่ของที่เอามาทดแทนนั้นไม่เหมาะใส่ในอาหาร (ดูแล้วไม่น่าเอามากินได้) และทำให้อาหารมีคุณภาพต่ำ เมื่อเทียบกับของจริง แต่อย่างน้อยก็ช่วยต่อชีวิตของผู้คนที่กำลังหิวโหยให้อยู่รอดไปได้จนกระทั่ง สงครามสิ้นสุดลง และต่อไปนี้คือบางส่วนของอาหารแอร์ซาตซ์ที่ชาวเยอรมันในยุคนั้นกินกัน


                    ชา-ใบราสเบอร์รี่ ไม่ก็หญ้า


                    กาแฟ –ถั่ว


    ขนมเค้กทำจากแป้งเกาลัดและแป้งที่ได้จากต้นโคลเวอร์


    เนื้อ -เศษเนื้อ อาจผสมกับมันฝรั่งบดผสมและอัดรวมกันเป็นชิ้น


    เนยได้ถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมแป้งลงไป นอกจากนี้ยังมีการทำเนยจากนมที่จับตัวเป็นก้อนผสมกับน้ำตาลและใส่สีเหลืองลงไป


    ไข่เทียมทำมาจากข้าวโพดผสมมันฝรั่ง


    พริกไทยถูกเพิ่มปริมาณด้วยการผสมขี้เถ้าลงไป


    อาหารแอร์ซาตซ์ยังคงใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เชลยชาวยิวได้รับอาหารคุณภาพต่ำ ขนมปังขี้เลื่อย ซุปจืดจาง…..


    เรียกได้ว่าอาหารในโลกของทาเนีย ยังดีกว่าอาหารสงครามโลกครั้งที่ 1 ของจริงเสียอีก....


    แต่ถ้าจะถามว่าในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศไหนที่มีอาหารในสนามรับดีที่สุด (แต่เรื่องอร่อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) เท่าที่หาข้อมูลก็คงจะเป็นอังกฤษ แม้จะขาดแคลนอาหารพอๆ กัน แต่อาหารมีการจัดเตรียมไว้พออยู่บ้าง ได้กินสองมื้อต่อวัน ในปี 1916 อาหารหลักของทหารอังกฤษคือถั่ว ซุป  (ซุปกระป๋อง) กับเนื้อม้า ส่วนผักก็มีการใช้ผักพื้นบ้านมาเพิ่ม แม้ว่าจะมีวัชพืชติดมาบ้างก็ตาม นอกจากนี้ก็มีขนมปัง บัสกิตแข็งๆ ผลไม้ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มีไขมันมาก


                   แม้ว่าอาหารในช่วงสงครามจะเป็นเรื่องโหดร้าย แต่ปัจจุบันโลกมีกำลังผชิตอาหารมากขึ้น ทำให้อาหารในกองทัพมีคุณภาพมากขึ้น หากใครที่ได้ดูคลิป อาหารในกองทัพสหรัฐ หรือแม้แต่กองทัพไทย (แต่เราชอบดราม่าจัง) ก็จะพบว่าอาหารทหารปัจจุบันดีขึ้นมาก นอกจากปริมาณ มีความหลากหลาย ก็ยังมีรสชาติที่ดีขึ้น จนคนดูอยากกินมาก


                    อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าหากโลกของเราเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จะประสบปัญหาอาหารขาดแคลนหรือไม่ และเราจะมีโอกาสได้เจออาหารแอร์ซาตซ์ในตำนานหรือเปล่า อันนี้สุดที่จะคาดเดา





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×