[[SF-SNSD]] Fearful Tale ...หยดน้ำตาสีเลือด (Yuri)
เชื่อเถอะ ว่าคุณไม่เคยเห็นด้านนี้ของมะบุงแน่ๆ! [100%] - [TaeNy] >> (อยากให้อ่าน ถ้าอยากเห็นมะบุงแต่งแนวแปลกๆ บ้าง ^_^)
ผู้เข้าชมรวม
8,517
ผู้เข้าชมเดือนนี้
16
ผู้เข้าชมรวม
เอาล่ะ... Black Soshi เปิดตัวกันไปแล้วใช่มั้ยคะ?
รู้หรอกว่าแอบเลือดพุ่งหลายคน อิอิ
งานนี้บุงเลยอยากให้ลองเจอ Blak Ma-Bung บ้าง
แต่ไม่ได้แบล็คในรูปแบบเดียวกันหรอกค่ะ
เพียงแต่วันช็อตเรื่องนี้ เป็นแนวที่บุงไม่เคยเขียน
ไม่เคยคิดจะลองเขียนในรูปแบบแฟนฟิคมาก่อนเลย ^^
แต่วันนี้อ่านหนังสือเล่มนึง แล้วเกิดอารมณ์อยากแต่งขึ้นมา
ไม่รู้จะถูกใจรีดเดอร์กันบ้างรึเปล่านะคะ ฝากผลงานด้วยแล้วกันค่ะ
เรื่องนี้อาจจะออกแนวคล้ายเพลงอินดี้นิดนึง
คือไม่มีกฎเกณฑ์การดำเนินเรื่องตายตัว
ไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ที่ชัดเจน
เพราะฉะนั้นเวลาอ่าน ดูวันที่กันด้วยแล้วกันนะคะ
บุงจะเรียงลำดับกลับไปกลับมาน่ะค่ะ
(มันมีส่วนสำคัญต่อเนื้อหา เลยต้องทำอย่างนี้ T__T)
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ >_< //
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
They're dancing in the shadow like whisper of love
Just dreaming of place where they're free as dove
They were never been allowed to love in this cursed cage
It's only the fairy tale they believed
พวกเธอพากันเต้นรำอยู่ในเงามืด...เหมือนเสียงกระซิบแห่งความรัก
เพียงแค่เฝ้าฝันถึงที่ใดที่หนึ่ง..ที่ซึ่งจะได้มีอิสระเฉกนกพิราบขาว
สาวน้อยทั้งหลายไม่อาจมีความรักได้ในกรงต้องสาปนี้
นี่เป็นเพียงเทพนิยายที่เชื่อกันสืบต่อมา....
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
It's only the fairy tale... That made from our "Fearful tale".
...มันก็แค่... "เทพนิยาย" ... ที่สร้างขึ้นจาก...
"เรื่องราวอันแสนน่าสะพรึงกลัว" ของพวกเรา...
ขอบคุณสำหรับธีมค่ะ
Square root
M E
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[One-Shot] Fearful Tale ...หยดน้ำตาสีเลือด [TaeNy]
กับแค่คำหวานๆ อย่าง ‘เทพนิยาย’ หรือ ‘Fairy Tale’
ก็หลอกให้คนเราหลงใหลในภาพมายาเหล่านั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
หากถ้ามันกลายเป็น ‘Fearful Tale’ โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าล่ะ...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“ในเทพนิยาย... มีเจ้าหญิงและเจ้าชาย...
ส่วนในความเป็นจริง ทิฟฟานี่จะเป็นเจ้าหญิง
แล้วฉันจะเป็นเจ้าชาย คิม แทยอน ของเธอเอง....”
10 March 2010
แสงแดดอุ่นๆ ทอประกายยามรุ่งอรุณเข้ามาทางหน้าต่าง ดวงตาปรือขึ้นเพื่อตอบรับการมาเยือนของเช้าวันใหม่เล็กน้อย ฉันมองไปรอบๆ ด้าน จึงเห็นว่าแขนเล็กๆ ของคนข้างกายกำลังใช้แทนหมุนให้ฉันหนุนนอนอยู่ ประกายในดวงตาเหลือบมองต่ำลงเล็กน้อยจึงเห็นได้ชัดว่าเราสองคนล้วนไม่มีอาภรณ์ปกปิดผิวกายใดๆ เลยทั้งคู่ เว้นเสียแต่ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมให้ความอบอุ่นจากเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างปกติ
ลอบมองใบหน้าคนตัวเล็กยามหลับแล้วต้องยิ้มออกมาเบาบาง นิ้วเรียวเลื่อนไปเกลี่ยไรผมหน้าม้าที่บิดเบือนความสวยไปจากใบหน้าเธอ ฉันหัวเราะเบาๆ กับตนเองเมื่อเห็นคนรักทำหน้ายู่ยามถูกรบกวนเวลานอนหลับ คิม แทยอน มักเป็นอย่างนี้เสมอ เจ้าตัวมักจะนอนหลับเหมือนเด็กๆ ไม่ชอบให้ใครมากวน มันช่างเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ฉันคนนี้หลงใหลอย่างไม่อาจถอนตัวได้อีก
...หลง... จนไม่อยากยกเขาให้ใครเลยล่ะ...
ริมฝีปากเรียวเลื่อนไปบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผากกลมมนของเธอแผ่วเบา หากหนักแน่นให้ทุกสัมผัสแห่งความรัก มันเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นล่ะมั้ง ที่ฉันจะได้มีโอกาสเริ่มต้นก่อน เพราะเห็นเงียบๆ หรือรั่วๆ อย่างนี้แหละ... หื่นตัวพ่อไม่มีใครเกิน แถมชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว
...ไม่รู้บ้างรึไง คำหวานๆ กับคารมคมคายของเธอ มันทำให้คนขาดใจตายไปกี่คนแล้ว...
“ฟานี่รักแทนะคะ... แทเป็นของฟานี่ ‘คนเดียว’ ”
“ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังล่ะคะ...ที่รัก” ท้ายประโยคออดอ้อนเสียงหวาน ไม่รู้ว่าแทยอนจะทำให้ฉันรักเธอมากขึ้นหรืออย่างไรถึงได้พูดเช่นนี้ มือเรียวโอบเข้ามารอบเอวบางของฉัน ที่ช่วงนี้เริ่มซูบผอมเป็นพิเศษ ซึ่งแน่นอนล่ะว่าคนรักของฉันไม่เคยสังเกตอะไรเลยซักนิด ปลายคางมนของเธอจึงวางลงบนไหล่ฉันเช่นเคย ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดใบหูในแต่ละเสี้ยวนาที มันกำลังดูดกลืนความเป็นตัวเองของฉันไปเสียจนหมดสิ้น สั่นสะท้านจนขาเรียวแทบทรงตัวไม่อยู่ ดูเธอเหมือนจะรู้ดีในจุดอ่อนของฉันข้อนี้ จึงยิ่งหยอกเย้ามากเข้าไปใหญ่
“หิวหรอ... แต่เมื่อคืนฟานี่กินแทไปตั้งเยอะแล้วนะ...” พูดเสียงแหบพร่าจนคนฟังแทบกระอักตาย ไหนจะมือเรียวซุกซนของเธอที่เริ่มแทรกผ่านกางเกงขาสั้นเข้าไปสัมผัสกับผ้ายืดผืนบางภายใน เหมือนพยายามจะปลุกไฟปรารถนาของฉันให้ลุกโชนขึ้นอีก หลังจากที่บรรเลงบทเพลงรักอันแสนหอมหวานไปเมื่อคืนแล้ว ฉันถึงกับหายใจติดขัด มือที่จับตะหลิวอยู่เลื่อนมากอบกุมมืออันแสนซุกซนของเธอแทนพลางสะกิดหลังมือเป็นเชิงตอบรับ ด้วยสัมผัสแห่งความใคร่ที่มีเพียงเราสองเท่านั้นที่จะเข้าใจ
...เธอคงไม่ทำอย่างนี้กับคนอื่นใช่มั้ย...
“ทำอาหารเช้าให้แทไงคะ... ว่าแต่ทำไมตื่นเร็วจัง...” ถามกลับเพราะปกติแล้วถ้าวันหยุดอย่างเช่นวันเสาร์ เธอจะค่อนข้างตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย ต่างจากวันธรรมดาที่ไม่มีเช้าวันไหนฉันตื่นมาทันเธอด้วยซ้ำไป ซึ่งนั่นสร้างความเหงาที่กัดกินหัวใจของฉันไปแล้วกว่าครึ่งดวง
“ระวังไหม้นะ” เสียงเอ่ยเตือนทำให้ฉันรีบปัดมือซนๆ ของคนด้านหลังออก ก่อนที่ฉันจะทำไข่ดาวในกระทะไหม้ไปเสียก่อน ถึงแม้ว่าฝีมือการทำอาหารของฉันมันจะแย่จนติดลบ หากนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอาหารเช้าธรรมดาๆ อย่างAmerican breakfast ไม่เป็นหรอกนะ มาจากอเมริกาทั้งที ทำอะไรไม่ได้เลยคงฟังดูแย่ไปซะหน่อย
“เพราะแทนั่นแหละ... มือซน!...” ฉันแหวใส่ขณะที่รุนหลังเธอให้ไปนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งจัดเตรียมอาหารบนโต๊ะไว้อยู่แล้ว ทั้งขนมปังปิ้ง แยมสตรอเบอร์รี่ที่เธอชอบ รวมถึงไข่ดาวที่เพิ่งทอดเสร็จเมื่อครู่หมาดๆ
ฉันเลือกจะนั่งลงข้างเธอมากกว่าจะไปนั่งตรงกันข้าม ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความคิดที่ผิดหรือถูกกันแน่ เพราะคนมือไวยังไม่วายเลื่อนมือมากุมเข่าเนียนของฉันไว้ ทั้งที่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร กัดขนมปังเข้าปากได้คำโตอย่างหน้าตาเฉย ส่วนฉันกลับสั่นสะท้านไปทั้งกาย ความร้อนผ่าวแล่นจากฝ่ามือของเธอลามไปจนถึงใบหน้า อารมณ์ที่ซ่อนไว้เบื้องลึก ถูกตีจนครุกรุ่นขึ้นมาอีกครา
...เธอทำให้ฉันเป็นคนติด ‘สัมผัส’ ของเธอน่ะ... รู้ตัวบ้างมั้ย...
“จะกินมั้ยเนี่ยข้าวเช้า” ฉันออกเสียงเตือนเมื่อแทยอนไม่อยู่เฉย ปากก็กินไปเถอะ แต่มือมันสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรชอบกล นี่ฉันเพิ่งอาบน้ำรอบเช้าไปหมาดๆ เธอยังจะ... ให้ตายสิ! ไม่ใช่ไม่ชอบหรอกนะ ออกจะดีใจที่เธอไม่ได้ทำอย่างนี้กับคนอื่น ‘อีก’ หากฉันก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรขนาดนั้นซะหน่อย
“อยากกิน...ฟานี่” เอาเข้าไป อ้อนมันเข้าไป กลัวไม่ละลายรึยังไงคะ... ที่สำคัญคือมือซ้ายของเธอมันกอบกุมด้านล่างอยู่อย่างเป็นต่อจนรับรู้ได้ถึงความชื้นกับการตอบสนองการทักทายในยามเช้าของเธอ ส่วนอีกมือรั้งฉันเข้าไปใกล้เพื่อจรดเรียวปากลงบนตำแหน่งเดียวกันอย่างหอมหวาน
ทันทีที่ลิ้นสัมผัสซึ่งกันและกัน เหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนไปทั่วร่าง จะเป็นความรักความหลงหรือความใคร่ ฉันก็ไม่อาจแยกแยะมันออกได้ชัดเจนนัก มีเพียงเราสองคนที่เริ่มบรรเลงบทเพลงรักกันไปตามแบบที่มันควรจะเป็น โดยไม่แยแสต่อกาลเวลาเลยซักนิดว่านี่มันเพิ่งเช้าตรู่เท่านั้น
...ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากให้ความจริงเป็นแบบนี้ตลอดไป...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
[In the past - 2000]
“ราพันเซล ราพันเซล!ปล่อยผมยาวๆของเจ้าลงมาที!” เสียงเรียกจากเจ้าชายตัวเล็กซึ่งอยู่เบื้องล่างของหอคอยสูง แทยอนตะโกนเรียกราพันเซล คนที่เธอรักซึ่งถูกขังอยู่ในหอคอย ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามเทพนิยายเรื่องราพันเซลอันซาบซึ้ง แล้วมันยิ่งซึ้งกว่าเดิม เพราะคู่หลักของเรื่องเป็นทิฟฟานี่และแทยอน คู่รักที่ป็อปที่สุดในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ นั่นอาจเป็นเพราะแทยอนเป็นคนที่ป็อบในหมู่สาวๆ อยู่แล้ว ไหนจะคารมคมคาย หรือท่าทางที่น่าหลงใหลเหล่านั้น ส่วนทิฟฟานี่เองก็ใช่ย่อยเสียแต่เมื่อไหร่ เมื่อเธอเป็นถึงดาวโรงเรียน
ทิฟฟานี่ปล่อยผมยาวสีบลอนด์ทองลงมาตามบท ขณะที่ผู้ชมต่างลุ้นระทึกไปกับฉากปีนหอคอยของแทยอนที่เหมือนจริงจนอินได้เข้าถึงอารมณ์
ทั้งทิฟฟานี่และแทยอนแสดงสมบทบาทของตนเองมากๆ ในบทบาทของเจ้าชายจากดินแดนไกล ที่หลงรักราพันเซลซึ่งถูกจองจำอยู่บนหอคอยสูงโดยแม่มด เขาเวียนมาหาเธอทุกวันๆ กระซิบถ้อยคำรำพันนับร้อยพัน รวมถึงขอเธอแต่งงานอย่างลับๆ ภายในหอคอยที่มีเพียงเราสอง
จนกระทั่งแม่มด ซึ่งได้รับบทเป็นเจสสิก้ารับรู้เรื่องราวทั้งหมด นางจึงขับไล่นางไปอยู่ที่อื่น แล้วใช้เส้นไหมมาผูกแทนเส้นผมยาวสลวยของราพันเซลแทน และแล้วเมื่อเจ้าชายแทยอนมาถึง
“ราพันเซล ปล่อยผมของเจ้าลงมาที!” แม่มดปล่อยผมลงไปตามคำขอของเธอ เด็กสาวจึงปีนขึ้นไปบนหอคอยนั่นหากก็ต้องตกใจเมื่อพบกับแม่มดยืนรออยู่
“ไม่มีนกตัวไหนจะอยู่ในกรงทองได้ตลอดไป... นางหนีเจ้าไปแล้ว เจ้าจะไม่มีวันได้เจอนางอีก!!” เจ้าชายแทยอนเสียใจมาก เธอกระโดดลงจากหอคอยทันที ส่งผลให้ดวงตาถูกหนามแหลมทิ่มแทงจนตาบอด เธอไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้นอกจากความมืดมน และเสียงร้องเพลงอันไพเราะที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของผู้หญิงที่เธอรักเท่านั้น
“หากชาตินี้ข้าจะไม่ได้เห็นหน้านาง... ข้าก็จะไม่ขอเห็นสิ่งใดอีกเลย...” แทยอนพูดกับตนเองด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยจนผู้ชมอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ เธอยังคงเล่นไปตามบท เจ้าชายผู้อาภัพรักและไม่สามารถมองเห็นโลกอันสวยงาม ขี่ม้าคู่ใจไปเรื่อยๆ อย่างไร้ซึ่งจุดหมาย
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี พระเจ้าก็ยังไม่โหดร้ายกับเธอเกินไปนัก... เมื่อเธอได้ยินเสียงร้องเพลงอันแสนคุ้ยเคยอีกครา เธอเดินทางไปตามเสียงนั้น จนได้พบกับราพันเซลพร้อมลูกแฝดทั้งสองคนของเธอ...
ทิฟฟานี่มีหรือจะจำเจ้าชายที่ตนเองรักไม่ได้ เธอเข้ามาสวมกอดเขาด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ หยาดน้ำตารินไหลผ่านใบหน้าสวยเมื่อรับรู้ว่าเขามองไม่เห็นสิ่งใดอีก
“ข้าไม่เสียใจที่ข้ามองไม่เห็น... เพราะอย่างน้อยหัวใจข้าก็ยังเห็นเจ้าอยู่เสมอ... ราพันเซล” คำพูดอันแสนหวานซึ้งกินใจทำให้คนสวมบทเป็นราพันเซลถึงกับหน้าแดงเรื่อ ถึงแม้ว่าแทยอนจะเอ่ยชื่อตัวละครออกมาก็ตาม หากสายตาที่เป็นกระกายของเขาซึ่งส่งผ่านมาถึงเธอมันทำให้เธออดไหวหวั่นไม่ได้
...เพราะอย่างนี้ไง ทิฟฟานี่ถึงรักแทยอนมากเกินกว่าจะยกเขาให้ใคร...
“ข้ารักท่าน... เจ้าชายของข้า” เกือบหลุดปากว่า แทยอนออกไปเสียแล้ว ยังดีที่ทิฟฟานี่ยังคงอยู่ในบทบาทอยู่ เธอจึงพูดพึมพำทั้งน้ำเสียงสะอื้น น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลมาจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสาย จนกระทั่งมันตกกระทบลงบนดวงตาของเจ้าชายแทยอน
ดั่งปาฏิหาริย์... เธอสามารถมองเห็นใบหน้าของคนที่เธอรักได้อีกครั้ง... รวมถึงลูกๆ ที่น่ารักของเธออีกสองคน ซึ่งรับบทโดยยุนอา และซอฮยอน รุ่นน้องนักเรียนประถมโรงเรียนข้างๆ
“กลับบ้านของเรากันเถอะ... ข้าจะดูแลเจ้าเองราพันเซล” สิ้นคำก็เป็นอันปิดฉากความรักของเจ้าชายและหญิงสาวผู้มีเส้นผมยาวเป็นเอกลักษณ์ บทเทพนิยายที่ใครหลายคนเคยได้ยินผ่านหูหรือเคยอ่านผ่านตามานักต่อนัก เมื่อถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบละครเวที ก็ยากนักที่จะไม่เป็นที่ถูกกล่าวถึง
“ฟานี่...” แทยอนเรียกระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังจากงานโรงเรียนได้จบลงไป เธอคิดว่าพรุ่งนี้ทั้งเธอและทิฟฟานี่ได้เป็นคู่รักที่ดังกว่าเดิมอีกแน่นอน แล้วที่โรงเรียนไม่เลือกผู้ชายคนอื่นมาเล่น นั่นเป็นเพราะว่าทิฟฟานี่ปฏิเสธหัวชนฝา เธอไม่ยอมเล่นบทรักหวานซึ้งกับใครทั้งนั้น นอกเสียจากคนรักของเธอ ซึ่งเป็นการดีที่โรงเรียนแห่งนี้ยอมรับในความรักของทั้งคู่ พวกเขาออกจะอิจฉาด้วยซ้ำไป กับความรักที่เหมาะสมกันเกินกว่าจะเรียกว่ากิ่งทองใบหยกได้ คนนึงก็สวย น่ารัก ยิ้มสวย อีกคนก็ยิ้มเก่ง ขี้อ้อน ชอบเทคแคร์ รวมถึงคารมอันคมคายที่ทำคนอื่นหลงมานักต่อนัก
สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้... คงเป็นนิสัยที่ขี้หึงเอามากๆ ของทิฟฟานี่ล่ะมั้ง!
“อะไรล่ะ...” ทิฟฟานนี่ตอบรับ เธอเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กพยายามจะวิ่งขึ้นมาให้ทันเธอ ร่างบางไม่พร้อมจะเผชิญหน้าอีกฝ่ายในตอนนี้ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพียงแค่เธอยังทำใจไม่ได้ เมื่อแสดงละครเสร็จแล้ว มีรุ่นน้องผู้หญิงมารุมแทยอนมากมายเพื่อขอถ่ายรูป ลายเซ็น บางรายเป็นแฟนคลับ แล้วดันขอกอดแทยอน... ต่อหน้าต่อตาเธอเนี่ยนะ! แถมคนรักของเธอก็ยังตามใจทุกคนไปซะหมด อย่างนี้จะไม่ให้เธอโกรธได้ยังไง
เธออุตส่าห์รักแทยอนเพียงคนเดียว ใครที่เข้ามาขอถ่ายรูปเธอ เด็กสาวก็ทำเพียงแค่พอเป็นพิธี ไม่ใช่ยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ไปทั่วเหมือนแทยอนทำ มันเหมือนกับว่าเขาไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนรักอย่างเธอเลยใช่มั้ย ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน เมื่อเห็นว่าคนอื่นได้รับความอบอุ่นจากเขาเหมือนที่เธอได้
“หยุดก่อนสิ...ฟานี่! แทขอโทษ” แทยอนพูดเสียงหอบ เธอวิ่งทันทิฟฟานี่จนได้ ถึงแม้ขาจะสั้นกว่าเล็กน้อยก็เถอะ หากอย่างน้อยเธอก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเมะอยู่ ตามง้อไม่ทัน มีหวังคุณแฟนกิตติมศักดิ์ได้งอนข้ามโลกหน้าเป็นแน่ เรื่องอื่นทิฟฟานี่ก็น่ารักดีอยู่หรอกนะ เธอทำอะไรไม่เคยโกรธเลยซักนิด ขนาดแทยอนเคยมานัดสายเกือบสองชั่วโมง ทิฟฟานี่ก็แค่ถามว่าทำไมมาสายอย่างเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป หากเรื่องเดียวเท่านั้นแหละ ที่แม่คุณขยันมางอนแทยอนได้เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็คือเรื่องผู้หญิงที่ชอบเข้ามาหาแทยอนบ่อยๆ
ร่างเล็กก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน เธอเคยอธิบายไปหลายรอบแล้วว่าไม่มีอะไร เพราะเธอไม่คิดจะนอกใจทิฟฟานี่อยู่แล้ว หากมีหรือที่ร่างบางจะยอมรับและเชื่อง่ายๆ จนเธอต้องมานั่งง้อรายวันอยู่เช่นนี้
...ถามว่าเบื่อมั้ย... มันก็เบื่อนะ กับการต้องทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ... แต่เธอยังไม่อยากเสียคนรักไปนี่หน่า...
“ฟานี่อย่าคิดมากสิ... เขาก็เป็นแค่แฟนคลับ... ยังไงฟานี่ก็แฟนตัวจริงของแทอยู่แล้ว” สิ้นคำทำให้คนที่พยายามจะวิ่งหนีหยุดเดินจนได้ แล้วมันก็ลงเอยเหมือนทุกที คือทิฟฟานี่ไม่เคยโกรธแทยอนได้นานเลยซักครั้ง แค่ได้ยินเสียงออดอ้อน แววตาซื่อๆ ของเขา เธอก็ใจอ่อยเผลออภัยให้ทุกอย่างเสียจนหมดสิ้น
“ฟา... แทขอโทษ... แต่แทไม่เคยรักใครคนอื่นนอกจากฟานี่เลยนะคะ” น้ำเสียงอ้อนถูกใช้ในยามจำเป็นอีกครั้ง คนตัวเล็กเดินเข้ามากอดทิฟฟานี่จากทางด้านหลัง โดยไม่แคร์สื่อเลยว่าผู้คนพากันมองแล้วซุบซิบไปต่างๆ นานา ว่าคู่รักสุดป็อบของโรงเรียนโชว์หวานกันอีกแล้ว
“จริงๆ หรอ...” ถามย้อนกลับด้วยความไม่มั่นใจ ขณะที่แทยอนก้มลงจูบเบาๆ บนหัวไหล่มนให้ทิฟฟานี่ต้องสั่นสะท้าน หัวใจที่ตอนแรกสร้างกำแพงขึ้นมา บัดนี้กลายเป็นว่ามันละลายไปกับทุกการกระทำของแทยอนเช่นเคย
“จริงสิคะ... ในเทพนิยาย มีเจ้าหญิงกับเจ้าชาย... ถ้าแทเป็นเจ้าชาย ฟานี่ก็จะเป็นเจ้าหญิงในใจแท... คนเดียวและตลอดไปค่ะ”
“อย่าพูดอย่างนี้กับคนอื่นนะ” ว่าแล้วก็หันกลับมากอดตอบ หยาดน้ำตาถูกซับด้วยเสื้อนักเรียนของแทยอน ขณะที่มือกุมแน่นที่ปกเสื้ออย่างใช้พยุงร่างกายและหัวใจที่อ่อนแอ แทยอนคงรู้ใช่มั้ย... ทิฟฟานี่ไม่เหลือใครแล้ว ตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียไปเมื่อสองปีก่อน เธอก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็มีเพียงคนรักอย่างแทยอนเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างเธอได้ คนเดียวที่ทำให้เธอไม่ต้องเหงา ทิฟฟานี่ถึงทั้งรักทั้งหลง และหวงแทยอนจนมากมายขนาดนี้
...เธอจะอยู่ยังไงล่ะ ถ้าเขาทิ้งเธอไป...
“ค่ะ... ฟานี่เป็นเจ้าหญิงคนเดียว และเจ้าหญิงคนสุดท้ายที่แทจะฝากหัวใจไว้...”
[End of past]
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
5 March 2010
“อื้อ... แทยอนอ่า~” เสียงครางหวานใสดังมาจากเรียวปากของร่างบางไม่หยุด เจ้าของเรือนผมบลอนด์หายใจหอบถี่ยามเคลื่อนกายไปบนร่างเล็กที่อยู่ภายใต้ เขาทำเพียงยิ้มตอบรับกับสัมผัสอันเร่าร้อนของเธอเท่านั้น มือข้างหนั่งที่วางอยู่เอื้อมรอบเอวบางไปกดสะโพกกลมกลึงให้ลงมาแนบชิดเพื่อตอบรับความใคร่ไม่มีสิ้นสุดของเขาและเธอให้มากขึ้น จนสุดท้ายเสียงครางกระเส่าก็ดังออกมาจากริมฝีปากของทั้งคู่ เป็นสัญญาณอันบ่งบอกถึงบทเพลงรักในครานี้ได้ถูกบรรเลงจบลงไปแล้ว หากแน่นอนว่าทั้งแทยอนและเจสสิก้าไม่ได้คิดจะบรรเลงมันรอบเดียวแน่ๆ...
“แทแท... จะกลับแล้วหรอ” มือเรียวรั้งคนตัวเล็กเอาไว้แน่น เจสสิก้าจ้องมองคนที่เธอรักตาเป็นประกาย หญิงสาวฉุดร่างคนที่กำลังจะลุกขึ้นให้นั่งลงบนเตียงตามเดิม ร่างเปลือยเปล่าของตนเองใช้ตักแทยอนแทนหมอนที่หนุนนอน เธอเอื้อมนิ้วเรียวไปสะกิดหน้าอกอันเป็นตำแหน่งของหัวใจเชิงหยอกเย้า ซึ่งแน่นอนล่ะว่าแทยอนไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยซักนิด คนที่ไวต่อการสัมผัสอยู่แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะจับมือของคนจอมซนขึ้นมา ปลายลิ้นร้อนอุ่นๆ ที่เพิ่งใช้ร่วมสรรค์สร้างบทเพลงรัก บรรจงตวัดบนนิ้วเรียวราวลำเทียน ขณะที่ฟันขบลงเบาๆ เป็นการปลุกไฟราคะของเจสสิก้าให้ต้องลุกโชนไม่แพ้กัน
...คนนึงเป็นเหมือนน้ำมันที่ไม่มีวันหมด ส่วนอีกคนเป็นเปลวไฟอันร้อนแรง...
...เมื่อเจอกันก็อยากจะต้านทานอารมณ์แห่งตัณหาพวกนี้ได้...
“อื้ม... ไม่อยากให้แทแทกลับหรอคะ...เจ้าหญิง” แทยอนเรียกอย่างออดอ้อน เธอโน้มร่างระหงให้ล้มลงบนเตียงใหญ่ทั้งที่เพิ่งเสร็จกิจกรรมบางอย่างไปด้วยกันมาหมาดๆ หากเธอสนใจที่ไหน ริมฝีปากร้อนระอุ ก้มลงแต่งแต้มระบายความใคร่บนเรือนร่างที่สวยราวกับสวรรค์สรรรค์สร้างเชื่องช้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทว่ามันทำให้เจสสิก้าแทบสำลักความสุขตายจนมือเรียวต้องกดศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลของแทยอนให้แนบชิดมากเข้าไปใหญ่
“อ๊า~... แทแท... สิก้ารักแท...” เสียงบอกรักอันแหบพร่าดังไม่ได้ศัพท์ เมื่อเพลงรักบทใหม่ครั้งล่าสุด ดำเนินมาถึงห้วงสุดท้ายแห้งท่วงทำนอง แทยอนจึงลงไปนอนข้างๆ ร่างบาง แต่แขนเรียวที่เพิ่งทำหน้าที่อันน่าหลงใหลเมื่อครู่ก็ดึงอีกคนเข้ามากอดไว้แน่นอย่างเอาใจ
“อย่าเพิ่งกลับเลยนะ... อยู่กับสิก้าก่อน” เจสสิก้าวอนขอเสียงหวาน เธอไล้ปลายนิ้วไปตามแผ่นหลังของแทยอนก่อนจะลากผ่านมายังหัวไหล่กลมมน ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนตัวเล็ก ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แล้วก็คารมอันคมคายที่พาใจหลอมละลาย จะทำให้เธอหลงได้หัวปักหัวปำขนาดนี้
...ถ้าไม่รัก ไม่หลงแทยอนจริงๆ เจสสิก้าคงไม่ลดตัวลงมาอยู่ในฐานะคำว่า ‘ชู้’ หรอก...
“แต่นี่มันดึกมากแล้วนะ... เดี๋ยวฟานี่จะสงสัยเอา” แทยอนเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ นาฬิกาดิจิตอลยังหัวเตียงบ่งบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว หากจะให้กลับไปตอนนี้คงถึงประมาณตีหนึ่ง คงพอหลอกทิฟฟานี่ได้แหละว่าประชุมดึก แต่ถ้าช้ากว่านั้นมันคงดูน่าสงสัยไปหน่อย
“เมื่อไหร่แทจะเลิกกับเขาซะทีล่ะคะ” น้ำเสียงเอาแต่ใจหลุดออกมาจากเรียวปากบางที่เจ้าตัวพยามเลื่อนกายให้แนบชิดแทยอนอย่างหวงแหน เธอไม่อยากยกคนตัวเล็กให้ใคร... แม้เธอจะรู้ดีว่าเธอเป็นคนมาทีหลัง และเขาก็มีคนรักที่คบกันมาสิบกว่าปีอย่างทิฟฟานี่อยู่ก่อนแล้วด้วย
...แค่สิบกว่าปี... กาลเวลาเหล่านั้นมันไม่มีความหมายแล้วหรอกน่า...
...หัวใจของแทยอนอยู่ที่ใครนี่สิ... ถึงสำคัญที่สุด...
“จะเลิกยังไงล่ะ... แททิ้งฟานี่ไม่ได้หรอก...” พูดไปแล้วก็สงสารทิฟฟานี่เหมือนกันนะ อีกฝ่ายไม่เหลือใครเลย แต่เธอยังมีเจสสิก้า มีทุกคนอยู่รอบๆ กาย ทว่าจะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเธอหมดใจกับคนรักไปตั้งนานแล้ว...
โทษเธอไม่ได้หรอกนะที่มีใจโลเล ถ้าจะโทษใครซักคนก็โทษตัวทิฟฟานี่เองนั่นแหละ ที่เฝ้าหวง เฝ้าหึงเธอมากเกินไปจนไม่เป็นตัวของตัวเองเลย คบกันมาตั้งแต่ม.สี่ จนถึงตอนนี้เธออายุตั้งยี่สิบเจ็ดแล้ว... หากยังต้องทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ นั่นก็คือความหึงหวงไม่มีที่สิ้นสุดของทิฟฟานี่น่ะหรอ!?
ถึงรักมากแค่ไหน แต่ยังไงความเบื่อก็ต้องเข้ามาแทนที่อยู่ดี ไม่ใช่ไม่เข้าใจทิฟฟานี่หรอกนะว่าทำไมถึงเฝ้าหวงเธอได้มากขนาดนั้น เพราะคนรักเธอไม่มีใคร หากถ้าไม่มาเป็นแทยอนคงไม่เข้าใจหรอกว่ามันอึดอัดแค่ไหน สถานภาพที่เธอต้องเฝ้าตามง้องอนทิฟฟานี่มาตลอดสิบกว่าปี ด้วยข้อหาที่เธอไม่เคยคิดทำอย่างการนอกใจนั่นน่ะนะ!
พอกันที... ตั้งแต่เจอเจสสิก้า ความรักที่เคยถูกบั่นทอนด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายของแทยอน ก็ยิ่งรั้งพาหัวใจร่างเล็กให้ไกลห่างจากทิฟฟานี่มากยิ่งขึ้น ไหนๆ ร่างบางก็คิดว่าเธอชอบนอกใจอยู่แล้วนี่ ผิดตรงไหนล่ะถ้าจะทำจริงมันไปซะเลย ในเมื่อเธอก็เหนื่อยเต็มทนที่ต้องมานั่งง้อ พร้อมกับบอกรักทุกวัน หรือไม่งั้นก็เธอรักทิฟฟานี่คนเดียว...
มันเป็นการดีที่รู้ว่าคนรักยังหึง แสดงว่าเขาใส่ใจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องตามหึงทุกวินาทีแบบทิฟฟานี่หรอกนะ แบบนั้นแทยอนเรียกว่าเริ่มเข้าข่ายจิตอ่อนๆ แล้วนั้น หลอนอยู่แต่กับว่าเธอจะทิ้งได้ทุกเสี้ยวนาที เพราะอย่างนี้ไงเธอถึงได้อยากทิ้งไปจริงๆ
“ทำไมจะทิ้งไม่ได้ล่ะ... ไหนแทบอกแทไม่รักแม่นั่นแล้วไม่ใช่หรอ...”
“ก็ไม่รักแล้วไงคะ แต่แทยังเลิกกับเขาไม่ได้นี่... ไว้ถ้าเมื่อไหร่แทเลิกกับเขาแล้ว แทจะมาหาสิก้าคนแรกเลยดีมั้ยคะ... โอ๋ๆ... อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะที่รัก... เดี๋ยวไม่สวยน้า...” ว่าแล้วก็ประดับรอยจุมพิตลงบนหน้าผากมมนที่ชื้นเหงื่อบางเบาเชิงเอาใจทำให้เจสสิก้าที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ถึงกับยิ้มออกมาได้
“แทแทสัญญานะ...ว่าแทจะรักสิก้า... จะไม่ทิ้งสิก้าไปไหน” ร่างบางเอ่ยท้วงคำสัญญากับคนที่ลุกขึ้นนั่งแต่งตัวเพื่อเตรียมกลับไปยังบ้านที่ตนพักอยู่กับทิฟฟานี่สองคน แทยอนหันมายิ้มหวาน มือเรียวดึงมือข้างซ้ายของเจสสิก้าขึ้นมาจูบอย่างนุ่มนวล
“ค่ะ... แทสัญญา... สิก้าจะเป็นเจ้าหญิงคนเดียว และเจ้าหญิงคนสุดท้ายที่แทจะฝากหัวใจไว้...”
เสียงเข็มวินาทีของนาฬิกายังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป ช่างเป็นเสียงที่กรีดแทงความรู้สึกนึกคิดของฉันเชื่องช้าอย่างทารุณ สองแขนโอบกอดตนเองแน่นอย่างหวาดกลัวกับอารมณ์ภายในร่างกายที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในขณะที่แววตาหวาดๆ มองไปรอบด้านอย่างวิตก
เธอกลับบ้านช้าไปแล้วนะ... นี่มันช้ากว่าปกติตั้งเกือบห้าชั่วโมงแล้ว!
ฉันไม่อยากจะคิด หากสมองกลับไม่ฟังคำสั่งหัวใจเลยซักนิด มันเฝ้าวนเวียนไปว่าเธอจะมีใครคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันรึเปล่า ตอนนี้เธอกำลังทิ้งให้ฉันจมอยู่กับความโดดเดี่ยวและมืดมิดอย่างนี้เพียงคนเดียวใช่มั้ย ในขณะที่เธอกลับมีความสุขกับใครคนอื่นที่รายล้อมรอบกายเธอ
การไม่เหลือใคร มันคือสิ่งที่ฉันเกลียดมากที่สุด... ทั้งเกลียดและน่าหวาดกลัว ขยะแขยงจนไม่อยากเข้าใกล้ ไหนจะอารมณ์เหงาเหว่ว้า ที่หันไปแล้วมีเพียงเงาสะท้อนอยู่บนกำแพงเท่านั้นที่ยิ้มตอบกลับมา มันทรมานเจียนเฉือนหัวใจของฉันมาฉีกเป็นริ้วๆ เหมือนอึดอัดจนหายใจไม่ออก หันมองทางไหนก็เจอแต่ผู้คนที่ไม่เคยคุ้น ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ไม่รู้จักว่าเขาชื่ออะไร ไหนจะดวงตาที่มองฉันเยี่ยงเพื่อนร่วมโลกคนนึง ที่ไม่มีคุณค่าใดมากไปกว่านั้น ต่อให้ตายไปตรงหน้า อย่างมากเขาก็ทำได้แค่สงสาร หรือไม่งั้นก็คงสมน้ำหน้าที่ไร้คนแย่งอากาศหายใจไปอีกหนึ่ง
ไม่นะ!... ไม่เอา... ฉันไม่อยากรู้สึกอย่างนั้น... ฉันขอแค่อย่างน้อยๆ ก็มีใครคนนึงที่คอยโอบอุ้มฉันออกมาจากความว่างเปล่าและแสนเดียวดายนั่น ใครคนเดียวที่ฉันต้องการทุกห้วงลมหายใจ
...เธออยู่ที่ไหน... กลับมาเถอะนะ คิม แทยอน...
รอแล้วรอเล่า รอต่อไป... รอจนใจจะขาด ยิ่งเข็มนาทีเคลื่อนผ่านไปในทุกห้วงแห่งเวลา มันเหมือนกดดันความรู้สึกที่บีบคั้นภายในหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ใคร... ใครที่เธอจะอยู่ด้วยตอนนี้ ใครที่กำลังแย่งเธอไปจากฉัน ใครที่ทำให้ฉันต้องนอนเหงา โดดเดี่ยวอยู่ภายในห้องกว้างๆ ของเราสองคน
เสียงโทรศัพท์ ฉุดฉันออกมาจากความคิดอันฟุ้งซ่าน มือเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็ต้องขบฟันแน่น เมื่อเบอร์ที่โชว์บนนั้นมันเป็นเบอร์ที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี เบอร์ที่สร้างความเคียดแค้นให้ฉันในทุกห้วงวินาที
“...” กดรับสาย ทว่าไม่คิดที่จะกรอกเสียงหวานๆ ลงไปให้อีกฝ่ายได้ยิน ซึ่งดูเหมือนปลายสายก็ไม่ได้ต้องการให้ฉันพูดอะไรอยู่แล้ว
(“ยังไม่นอนหรอ อิอิ”) เสียงหัวเราะอันน่าขยะแขยง พาให้ฉันกำโทรศัพท์แน่นขึ้นไปอีกอย่างไม่เกรงกลัวว่ามันจะแหลกคามือ ดวงตาเคยเป็นประกายบัดนี้กลับนิ่งสนิทไร้แวว สายตาคมเฉียบจนดูน่าหวาดกลัวอย่างที่ฉันไม่เคยให้ใครเห็นมาก่อนปรากฏขึ้นตามอารมณ์โกรธที่เริ่มปะทุ
“...”
(“ก็รู้อยู่หรอกนะ... ว่าเธอกำลังรอสามีของเธอ... จะบอกให้เอาบุญว่าเขาเพิ่งออกจากห้องฉันไปเมื่อกี๊... ขอบคุณนะที่ให้ยืมสามีเธอมาสร้างความสุขตั้งหลายชั่วโมง สามีเธอน่ารักที่สุดเลยล่ะ... เธอว่างั้นมั้ย อิอิ”) ดูเธอจะพึงพอใจไม่น้อยที่ได้ยั่วให้ฉันเต้นไปตามเกมนั้นได้
“เลิกยุ่งกับผัวชาวบ้านได้แล้ว!!!” ฉันตะคอกกลับไปด้วยความโกรธ มือที่บีบแน่นนั้นเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมาได้อย่างชัดเจน ใบหน้าแดงก่ำตามความรู้สึกที่ไม่อาจอดกลั้น ฉันอยากพ่นคำผรุสวาทใส่เธอนับร้อยพัน หากลำคอมันแหบแห้งจนมีเพียงประโยคที่เล็ดลอดผ่านไรฟันสั้นๆ ไปเท่านั้น
(“งั้นก็ถาม ‘ผัว’ เธอดีกว่ามั้ย... ว่าใครยุ่งกับใครกันแน่..... ฮ่าๆ”)
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!” สิ้นคำ โทรศัพท์ในมือก็ลอยละลิ่วไปกระแทกกำแพงเต็มแรง ชิ้นส่วนที่ประกอบไว้เป็นโครงแยกออกจากกันอย่างไม่มีชิ้นดี ฉันหายใจหอบเหนื่อย มือกุมขมับแน่นเมื่อความปวดหัวแล่นเข้ามาทำร้ายให้ต้องสั่นไหว
ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างทุรนทุราย มืออันสั่นเทาเอื้อมไปหยิบขวดยาเล็กๆ ข้างเตียง เขย่าเพื่อเรียกเม็ดยาสีขาวภายในออกมาสองสามเม็ด ก่อนจะกลืนมันลงลำคอทันทีโดยไม่ต้องใช้น้ำช่วย ฉันนอนกุมขมับตนเองอยู่ครู่ใหญ่ๆ จนอาการพวกนั้นเริ่มทุเลาลง หากหยาดเหงื่อกลับพราวทั่วผิวกาย ประหนึ่งว่าต้องออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วง
“แทรักฉัน... แทรักฉัน... แทรักฉัน” ริมฝีปากพึมพำซ้ำๆ กันอย่างนั้นแทบไม่ได้ศัพท์ เหมือนว่าจะหลอกตัวเอง ทว่าอย่างน้อยแทยอนก็ยังบอกรักฉันอยู่ไม่ใช่หรอ... เธอยังอยู่ข้างฉันอย่างในทุกวันนี้ เธอก็แค่กลับบ้านดึกไปบ้างก็เท่านั้น เวลาประชุมก็อาจไม่ได้เปิดโทรศัพท์ก็ได้ เธอคงมีงานใหญ่ ที่ทำให้ต้องประชุมจนกลับบ้านดึกทุกวันมาเกือบห้าหกเดือนอย่างนี้... มันก็แค่ประชุม... อย่าคิดมาฟานี่... อย่าคิดมาก...
เจสสิก้าก็อาจจะแค่อยากยั่วให้ฉันโมโหเล่นใช่มั้ย เธอก็แค่แอบชอบแทยอนมาตั้งแต่ม.ปลาย เลยไม่พอใจที่ฉันได้เป็นคนรักของแทยอนทุกวันนี้ เลยต้องทำเรื่องบ้าๆ พวกนั้นลงไป ด้วยการโทรมาพูดยั่วประสาทฉันทุกวัน ก็แค่อยากให้ฉันระแวงอยากให้ฉันวีนแตกจนเลิกกับแทยอนอย่างนั้นสินะ...
...อย่าคิดมาก ฟานี่... แทยอนยังอยู่กับเธอไง... เขายังรักเธอ... อย่าฟังใคร... อย่าฟุ้งซ่าน...
เมื่อปลอบตัวเองได้เช่นนั้น ฉันก็นับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆ อย่างข่มอารมณ์ เสียงเปิดประตูห้องทำให้ฉันยิ้มออกมาทันที ยามเห็นใบหน้าที่หวานซึ้งของคนรักก็รีบวิ่งเข้าไปกอดเอวเธอไว้อย่างออดอ้อน ใบหน้าซุกลงยังต้นคอของเธอเพื่อสูดกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ที่ฉันเคยคุ้น
“ทำไมไม่นอน...” แทยอนถามอย่างขัดใจเล็กน้อย เธอคงเป็นห่วงที่ฉันต้องมานั่งรอเธอจนเกือบตีสองอย่างนั้นใช่รึเปล่า เธอแค่อยากให้ฉันพักผ่อนเยอะๆ อย่างนั้นใช่มั้ย.....
“รอแท... ไปไหนมาหรอ” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาที่เป็นประกาย หากก็ต้องยิ้มเศร้าๆ เมื่อเธอมองตอบมาอย่างรำคาญเล็กน้อย มือเอื้อมมากุมมือฉันที่โอบเอวอยู่ให้ปล่อยออก ก่อนจะพาร่างบางของฉันเดินไปยังเตียงแล้วกดให้ฉันนั่งลง ส่วนตัวเธอก็ถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไปไหนมา...” เริ่มเซ้าซี้เมื่อไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด ดูเธอจะนิ่งไปเล็กน้อยพลางถอนหายใจเสียงดัง
“แทบอกแล้วไงว่าประชุม...”
“ประชุมดึกทุกวันเลยหรอ”
“แล้วจะเซ้าซี้ให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะฟานี่! เข้าใจคำว่าประชุมบ้างมั้ย... ฉันไปทำงานนะ!!” เธอขึ้นเสียงเล็กน้อย เหมือนกับรำคาญคำถามที่ต้องคอยตอบอยู่ทุกวัน แน่ล่ะว่าฉันจะไม่ถามได้ยังไง ในเมื่อเธอก็กลับดึกทุกคืนเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่วันสองวัน หากเธอเป็นอย่างนี้มาเกือบห้าเดือนแล้วนะ... จะประชุมอะไรนักหนา......
เธอหันกลับมาขณะที่มีเพียงเสื้อกล้ามตัวบางปกปิดผิวกายขาวเนียนของเธอ นั่นทำให้ฉันเห็นรอยแดงยังต้นคอกับแผ่นหลังอย่างเด่นชัด...
“นี่รอยอะไร!!”
“ก็รอยฟานี่นั่นแหละที่ทำไว้เมื่อคืน จำไม่ได้หรอ” น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ขณะที่เธอโน้มกายทับฉันลงมาเชื่องช้าให้ต้องสะดุ้งจนแขนเอื้อมไปโอบต้นคอเธอลงมาให้แนบชิดมากขึ้น
...อืม... นั่นสินะ... รอยฉันเองนี่หน่า... จะรอยใครได้เล่า...
...อย่าคิดมากสิฟานี่... อย่าคิดมาก...
“แทรักฉันใช่มั้ย... แทเป็นของฉันนะ!” พูดอย่างเอาแต่ใจ ใบหน้าซุกลงกับแผงอกของเธอได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นนิ่งสนิทอยู่ภายใน อยากรู้จังว่ามันกำลังเต้นเป็นชื่อฉันใช่มั้ย คงไม่มีใครมาแทนที่ฉันหรอกนะ คงไม่มีวันใดที่จะเปลี่ยนจากฉันเป็นเจสสิก้าใช่รึเปล่า...
“อื้ม... ฉันเป็นของฟานี่...”
...เห็นมั้ย... แทยอนยังเป็นของฉัน เธอไม่ได้เป็นของใคร เธอไม่ได้นอกใจฉัน ไม่ได้จะทิ้งฉันไปไหน ตอนนี้เธอยังอยู่ข้างๆ ฉัน... ยังบอกรักฉัน... ยังกอดฉันอยู่...
...ฉันต้องไม่คิดมาก... เธอรักฉัน... เธอรักฉัน...
...อย่าคิดมากสิฟานี่ แทยอนไม่ได้ทิ้งเธอ...
9 March 2010
“อื้อ.... แท... แรงอีก...” เจสสิก้าเร่งเร้าคนที่กำลังเพิ่มจังหวะให้บทเพลงรักเร่าร้อนขึ้น หากนั่นยังไม่พอกับความต้องการของเธอ ดูแทยอนจะเข้าใจดีเลยพลิกตนเองไปอยู่ด้านล่าง เพื่อให้แม่เสือสาวร้อนแรงควบคุมจังหวะรักได้ตามใจชอบ ในขณะที่มือของเธอก็ช่วยโอบสะโพกร่างบางให้ลงมาแนบชิดมากยิ่งขึ้น
“สิก้า...เซ็กซี่มากเลยรู้ตัวมั้ย” แทยอนกล่าวเสียงหอบกระเส่า เธอยอมรับว่าติดใจและหลงใหลในรสสัมผัสของคนด้านบนอย่างยากจะถอนตัวได้ สำหรับเธอแล้วเจสสิก้าเป็นเหมือนเปลวไปอันร้อนแรง แม่รู้ว่ายิ่งเข้าใกล้ยิ่งอันตราย ทว่าเธอก็ยังพอใจที่จะยอมให้ไฟแห่งความหลงใหลแผดเผาหัวใจจนวายวอด
“อยู่กับสิก้านานๆ เลยนะคะ...” พูดแล้วก็ต้องขบริมฝีปาก เมื่อความอัดอั้นในร่างแล่นเข้ามาจนรู้สึกเหมือนกายจะระเบิด เธอนอนนิ่งสนิทบนกายของร่างเล็กที่เขาเริ่มขยับข้อมือด้านล่างเพื่อส่งเธอไปยังจุดมุ่งหมาย เจสสิก้าจิกปลายเล็บลงบนไหล่มนของแทยอนแน่น เธอพยายามอดกลั้นแล้ว หากเกินกว่าที่เสียงครางจะถูกเก็บไว้ต่อไป สุดท้ายริมฝีปากก็เผลอปล่อยเสียงหวานๆ ออกมาเพื่อระบายอารมณ์ที่พุ่งทะยานถึงขีดสุด เนื้อตัวเกร็งไปทั่วร่างตั้งแต่สมองที่ขาวโพลนจนปลายเท้า นั่นทำให้รู้ว่าเธอกำลังเหยียบปลายขอบฟ้าเป็นรอบที่เท่าไหร่ของคืนนี้ก็ไม่อาจนับ
“แทน่ารักที่สุดเลย...” แขนเรียวดึงคนตัวเล็กมากอดไว้แน่น นิ้วลูบไล้ไปตามไหล่กว้างจรดหน้าอกที่ขยับตามอัตราการหายใจของแทยอนอย่างรักใคร่ ริมฝีปากก้มลงจรดลงปนตำแหน่งเดียวกันกับหัวใจให้อีกคนถึงกับสะท้านไปทั้งร่างเมื่อถูกยั่วอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เดี๋ยวแทต้องกลับบ้านแล้วนะ...” แทยอนบอกพลางขยับกายออก ทว่ามีหรือที่เจสิก้าจะปล่อยไปง่ายๆ
“อย่าเพิ่งกลับเลย อยู่กับสิก้าก่อนสิคะ...”
“แต่วันนี้วันเกิดแท... แทไม่อยากให้ฟานี่รอนาน” ถึงจะได้ชื่อว่านอกใจยังไง แต่คบกันมาสิบกว่าปี ความผูกพันมันก็ยังมากอยู่ เธอยอมรับว่าเธอยังแคร์ทิฟฟานี่มาก จนถึงขั้นไม่กล้าบอกเลิกเพราะกลัวคนรักจะอยู่ไม่ได้ เธอรู้ดีว่าทิฟฟานี่ต้องการเธอดี ทว่าเธอก็หมดรักอีกฝ่ายไปแล้ว เนื่องจากเธอแค่เบื่อกับนิสัยที่แสดงตนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมากเกินไป หึงได้แม้กระทั่งพนักงานเสิร์ฟกาแฟร้านที่เธอไปกิน จนต้องบังคับไม่ให้เธอไปเหยียบร้านนั้นอีก อะไรอย่างเนี้ย!... เป็นใคร... ก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหละ มันมากเกินไปจริงๆ
“แทรักสิก้ารึเปล่า...” ถามเพื่อความแน่ใจ ในฐานะตัวสำรองที่จะถูกเฉดหัวทิ้งวันไหนก็ได้ เจสสิก้าก็แค่อยากแน่ใจว่าคนที่เธอรักจนยอมเป็นชู้ด้วยจะมีความรู้สึกเดียวกันตอบกลับคืนมาบ้าง
“ค่ะ... แทรักสิก้า... รักสิก้าที่สุด รักสิก้าคนเดียว... แล้วแทก็จะไม่ทิ้งสิก้าไปไหนด้วย...” ว่าแล้วก็ก้มลงจุมพิตลงบนหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน แทยอนลุกขึ้นแต่งตัวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียงยิ้มกระหยิ่มด้วยความสุข มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูที่วางไว้ข้างเตียงขึ้นมาก่อนจะกดปุ่มเพลย์
“อื้อ... อ่า~” ทั้งเสียงและภาพชัดเจน รวมถึงประโยคเมื่อครู่ที่แทยอนกระซิบรักพรอดให้เธอได้ยินอีกด้วย เจสสิก้าเหยียดยิ้มมุมปาก มืดกดส่งคลิปที่ว่าไปยังเบอร์อันแสนคุ้นเคยที่เธอติดต่อมาตลอดห้าเดือนนี้ โดยที่แทยอนเองก็ไม่เคยรับรู้เลยว่าเธอบอกทิฟฟานี่ไปแล้ว เกี่ยวกับ ‘เรื่องของเรา’
‘ไฟล์ถูกส่งเรียบร้อย...’
“ของขวัญจากฉัน...” น้ำเสียงหวานแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างอย่างที่ใครคงคาดไม่ถึง เธอมองโทรศัพท์เครื่องหรูด้วยความสะใจ “ดูให้สนุกนะ...... ทิฟฟานี่...”
เลยเที่ยงคืนมานานพอสมควรแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่านี่คือวันที่เก้ามีนาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของเธอ... ฉันจึงได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่บนโต๊ะกินข้าวของเรา บนโต๊ะนั้นถูกตกแต่งสวยด้วยอาหารเลิศรสที่ถูกวางทิ้งไว้จนเย็นชืด เมื่อคนรักผิดสัญญาที่ว่าจะกลับบ้านเร็ว เพื่อมาฉลองด้วยกันข้ามวันจนถึงเที่ยงคืน หากนี่เลยวันเกิดเธอมาตั้งเกือบชั่วโมง ฉันยังไม่เห็นแม้แต่เงาของแทยอนเลยด้วยซ้ำ
เทียนที่ถูกจุดไว้ เธอจะรู้บ้างมั้ยว่ามันถูกเปลี่ยนไปกี่รอบแล้ว เทียนเล่มเล็กเริ่มละลายทันทีที่ถูกจุดไฟ แล้วเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน มันก็ละลายจนเกือบหมดเล่มให้ฉันต้องเปลี่ยนเทียนใหม่ทั้งหมด เพราะกลัวว่าเธอกลับมาแล้วจะไม่เห็นเค้กที่ฉันอุตส่าห์เตรียมไว้ให้...
จานที่วางอยู่ตรงหน้าขาวสะอาด เมื่อฉันไม่แม้แต่จะละเลียดอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเลยซักนิด นั่นอาจเป็นเพราะว่าฉันไม่อยากกินก่อนเธอ... ฉันก็แค่อยากให้เรากินข้าวเย็นพร้อมกันบ้าง ในวันสำคัญอย่างวันเกิดของแทยอนเช่นนี้ ไม่ใช่มีเพียงฉันคนเดียวในบ้านของเรา...
เธอทิ้งให้ฉันเหงาอีกแล้วหรอ... เธอรู้ไม่ใช่รึไงว่าฉันเกลียดความเหงาแค่ไหน แล้วยังจะสัญญานั่นอีก ถ้ารู้ว่าทำไม่ได้แล้วจะให้ความหวังฉันทำไม ให้ฉันต้องมานั่งทรมานมองดูนาฬิกาที่เข็มเคลื่อนผ่านไปแต่ละวินาทีด้วยหัวใจอันร้าวรานทำไม สู้บอกว่ากลับดึกซะยังจะดีกว่าทิ้งให้ฉันต้องเจ็บปวดอยู่อย่างนี้
...เธอจะไปหาใครรึเปล่าแทยอน... เธอยังรักฉันอยู่ใช่มั้ย ... บอกกับฉันมาสิ ตอนนี้เธออยู่กับผู้หญิงแพศยาพรรค์นั้นรึเปล่า!!...
คิดแล้วก็ต้องหวาดกลัวกับความคิดตนเอง มือยกขึ้นกุมขมับกับอาการปวดหัวที่รุมเร้าเล็กน้อย ฉันส่ายหน้าทั้งหยาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามันไหลมาเมื่อไหร่ อาการป่วยที่เธอไม่แม้แต่จะรับรู้ว่าฉันเป็นอยู่นั่นคืออาการทางประสาทที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ นอกเสียจากฉันจะเลิกคิดมาก
ไม่คิดมากได้ไง... คนอย่างเธอ ใครอยู่ใกล้ก็ต้องหลงใหลซะขนาดนั้น หน้าตาดี ฐานะดี คารมดี เทคแคร์เอาใจเก่ง... ผู้หญิงที่ไหนไม่เอาเธอสิโง่ แล้วจะให้ฉันนั่งสบายใจยิ้มรับกับตำแหน่งเมียหลวงรึไงเล่า! ฉันก็แค่อยากเป็นผู้หญิงคนเดียวในใจที่เธอรัก
ระแวง... ยอมรับว่าระแวงไปหมด ไหนจะพนักงานเสิร์ฟคนนั้นที่แอบมองเธอ ไหนจะเลขาของเธอกับสายตาที่บ่งบอกถึงความนัยจนฉันอยากให้เธอไล่ๆ เขาออกไปซะ ไหนจะเด็กผู้หญิงที่ชอบเข้ามาใกล้เธอ ซึ่งเธอก็เห็นเขาเป็นน้องสาว ดูแลทุกคนไปทั่ว
ฉันหวง... หวงจนอยากจะควักลูกตาของคนที่มองเธอออกมาให้หมด พร้อมเข้าไปกรีดร้องประกาศว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของฉันคนเดียว... บ้าจริง! ฉันพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดอย่างนั้นแล้วนะ หากมันก็อดไม่ได้ ทุกครั้งที่เห็นเธอเข้าใกล้ใคร ใจของฉันก็เต้นแรงแทบคลั่ง อยากกระชากแทยอนให้ห่างออกมาไกลๆ เหลือเกิน
ฉันเป็นอย่างนี้เพราะใครล่ะ... เพราะเธอนั่นแหละ คิม แทยอน! เธอทำให้ฉันรักเธอมากไป ทำให้ฉันต้องมานั่งหวงเธอจนแทบจะเป็นบ้าตายอยู่อย่างนี้!
...ใจเย็นไว้ ฟานี่... รถมันติด.... รถ...มันติด...
...แทยอนไม่ได้ทิ้งเธอ... อย่าคิดมาก...
พยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ฟุ้งซ่าน แต่ความหงาที่เข้าปกคลุมจิตใจดูเหมือนจะมีอิทธิพลมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน ก็เจอแต่เหล่าผู้หญิงที่คอยวิ่งเข้าหาเธอทั้งนั้น ผู้หญิงที่ฉันเกลียดจนแทบอยากฆ่าให้ตายคามือ ในฐานะที่พยายามจะแย่งแทยอนไปจากฉัน
...ไม่! ... แทยอนเป็นของฉัน ฉันไม่มีวันยกเธอให้ใครแน่ๆ!!...
เสียงข้อความเข้าทำให้ฉันต้องรีบหยิบมันมาดูอย่างร้อรน ด้วยหวังจะเป็นข้อความของเธอ หากหมายเลขที่กระจ่างชัดแทบทิ่มตาทำให้ฉันต้องกัดริมฝีปากแน่นอย่างสะกดกลั้นความรู้สึกไม่ให้เผยออกมา
“...” พูดไม่ออก... บอกตรงๆ ว่าพูดไม่ออก ไม่มีถ้อยคำใดเอ่ยเอื้อนออกมาจากริมฝีปากของฉันแม้แต่น้อย มีเพียงหยาดน้ำตาที่พากันไหลรินไม่ขาดสาย ทว่าแม้นม่านน้ำใสจะฉาบอยู่ แต่ฉันก็ยังเห็นภาพเคลื่อนไหวในคลิปนั่นได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ภาพ... ทว่าทุกอย่างมันชัดเกินไป!
เสียงครางกระเส่าเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าบุคคลในคลิปสองคนนั้นจะแค่นอนกอดก่ายกันเฉยๆ ไหนจะเสียงพร่ำบอกรักนับร้อยพันที่กรีดแทงหัวใจฉันซ้ำๆ ให้แทบสติแตก ทุกอย่างมันบ้าบอสิ้นดี...
“แทรักสิก้านะคะ รักสิก้าที่สุด รักสิก้าคนเดียว...”
“กรี๊ดดดดดดดด! ไม่จริ๊งงงงงงงง!!!!!!” ฉันตะโกนกรีดร้อออกมาอย่างบ้าคลั่ง โทรศัพท์หลุดออกจากมือไปกระแทกกำแพงเต็มแรง ต่างจากวันก่อนๆ ตรงที่คราวนี้มันแรงจนแตกเป็นสองเสี่ยงอย่างร้านที่ไหนก็ไม่รับซ่อม หากมีหรือที่ฉันจะสนใจ ยามนี้ฉันพาร่างตัวเองมาดิ้นกับพื้นอย่างรับไม่ได้กับสิ่งที่เห็น
...ไม่จริง... ไม่จริง....
ฉันกระเสือ-กกระสนคลานไปหยิบกระปุกยาที่นอนกลิ้งอยู่กับพื้นเพราะแรงเหวี่ยงตามอารมณ์ของฉันเมื่อครู่ ทว่าก็ต้องบีบมันไว้แน่นเมื่อภายในนั้นไม่เหลือยาแม้แต่เม็ดเดียว ฉันหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มันดูขัดตาไปหมด แรงบีบนั้นทำให้ขวดพลาสติกถูกบีบจนเละคามือก่อนจะปาทิ้งไปอย่างไม่รู้จุดหมาย
“หึหึ... ไม่จริงใช่มั้ย... แทยอน... บอกฉันสิว่ามันไม่จริง...” ฟูมฟายปนเสียงหัวเราะกลั้วลำคอ ฉันร้องไห้ออกมาเหมือนคนบ้าในขณะที่มือกวาดอาหารบนโต๊ะให้ตกลงบนพื้นไปกว่าครึ่ง เสียงจานตกกระทบกับพื้นกระเบื้องดังเสียดแทงโสตประสาท โต๊ะที่เคยจัดไว้อย่างสวยงาม บัดนี้มันมีค่าเพียงแค่เครื่องระบายอารมณ์ของฉันเท่านั้น
...ยอมรับสิฟานี่... แทยอนไม่ได้รักเธอ... แทยอนกำลังจะทิ้งเธอไป...
“ม่ายยย!! หยุดพูดซะยัยบ้า!!!” น้ำเสียงหลอกหลอนที่ดังขึ้นในห้วงความคิดทำให้ฉันต้องทึ้งหัวตัวเอง เหมือนว่าจะไล่เสียงที่ตามมาทำร้ายหัวใจนั้นไปได้ ไม่จริง... มันก็แค่พูดยุให้ฉันแตกกับแทยอนเท่านั้นแหละ ตอนนี้แทยอนยังรักฉัน เธอยังรักฉันเหมือนทุกที
...เลิกโง่ได้แล้ว... แทยอนไม่ได้รักเธอ... แทยอนเบื่อเธอ!...
“หุบปาก!!!!!” ฉันกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง เท้าถอยหลังเพื่อหลบหนีเสียงที่ตามก่อกวน ทว่าฝ่าเท้าเปล่าๆ ก็เหยียบเข้ากับจานแก้วที่แตกกระจายเป็นวงกว้างอยู่กับพื้นเต็มแรงจนเจ็บแสบไปหมด ฉันได้ยินเสียงคนหัวเราะเยาะฉัน... หัวเราะคนโง่ที่ทำหลับตาไม่รู้ไม่เห็นว่าเธอนอกใจ หัวเราะคนโง่ที่กำลังจะเป็นบ้าเพราะหึงหวงเธอจนโรคประสาทกำเริบ หัวเราะคนโง่ที่พยายามจะหนีความเป็นจริง
“ฉันบอกว่าแทรักฉันไง เลิกพูดเดี๋ยวนี้!”
...แทยอนรักเจสสิก้า... รักเจสสิก้าคนเดียว...
“กรี๊ดดดดดดดดดด ไปให้พ้นนนนนน!!!” สิ้นคำก็ตามด้วยเสียงเปิดประตูเต็มแรง ร่างเล็กก้าวเข้ามาในห้องด้วยความงุนงงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า เธอวิ่งเข้ามาหาฉัน ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ด้าน กับโต๊ะที่เละไปครึ่งแถบ กับข้าวทุกอย่างกองอยู่เต็มพื้น ในขณะที่จานหลายใบแตกกระจายอยู่รอบๆ โต๊ะ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยฟานี่!” แทยอนพูดอย่างหัวเสีย ดูเธอจะตกใจมากที่เห็นสภาพบ้านตนเอง คนตัวเล็กสาวเท้าเข้ามาหาฉันที่นั่งชันเข่าอยู่กับพื้นด้วยหวังจะถามถึงเหตุผล มือกุมไหล่ไว้แน่น ขณะที่ฉันปัดมันออกเต็มแรง ผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่แยแสต่อความเจ็บปวดยังฝ่าเท้าที่ตอนนี้มีเลือดไหลไม่หยุด หากมันด้านชาไปหมดแล้ว ทั้งตัวและหัวใจ...
“เกิดอะไรขึ้นฟานี่... ใจเย็นไว้สิ” แทยอนพยายามจะไม่สติแตกไปตามฉัน เธอเขย่าร่างของฉันหวังจะเรียกสติให้กลับคืน หากไม่ใช่เธอรึไง ที่ทำให้ฉันต้องเป็นบ้าเพราะหึงหวงเธออยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเธอหรอที่หนีไปกับใครต่อใครลับหลังฉัน แล้วทิ้งฉันไว้ท่ามกลางความโดดเดี่ยวเพียงคนเดียว ทั้งที่รู้ว่าฉันกลัวความเหงามากขนาดไหน!
“คนทรยศ! เธอทิ้งฉันแล้วไปนอนกับผู้หญิงโสโครกพรรค์นั้นเนี่ยนะ!!” ฉันตวาดใส่ มือไม้เริ่มทุบตีเธอไม่มีหยุด ฉันเห็นได้ชัดถึงรอยร่วมรักระหว่างเธอและเขาที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง รอยที่ฉันควรจะมีสิทธิ์ทำมันได้คนเดียว ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าด้านที่มาแย่งของชาวบ้านอย่างเจสสิก้า!
“เธอเป็นบ้าอะไรห๊ะ!” แทยอนยกมือขึ้นมาปัดป้อง ทว่าฉันกลับกระหน่ำตีเธอไม่ยั้ง ยังจะมาทำไขสืออะไรอีก คลิปพวกนั้นมันยังไม่ชัดเจนพออีกหรอ ใบหน้าเธอ น้ำเสียงเธอ เรือนร่างของเธอ... ทุกอย่างคือคิม แทยอน ชัดๆ... ทุกสิ่งที่เห็นมันคือสิ่งที่เธอเคยทำกับฉัน ต่างเพียงแค่คนในรูปเป็นเขาไม่ใช่ฉัน
...ถูกแล้ว ฮวัง มิยอง... คิม แทยอน ไม่ได้รักเธอ... ไม่เคยรักเธอเลยซักนิด...
“กรี๊ดดด ก็บอกว่าไม่จริง!!!” เสียงพวกนั้นดังขึ้นอีกแล้ว... ฉันมองหน้าเธอ ดวงตาใสซื่อคู่นี้น่ะหรอที่เคยหลอกให้ฉันเชื่อสนิทใจ หลงอยู่ภายใต้คำพูดที่เธอปั้นแต่งมาหลอกลวงฉันเกือบครึ่งปีอย่างนั้น ฉันไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว ฉันรักคนคนนี้มากเหลือเกิน... รักจนอยากจะฆ่าให้ตายคามือ... เธอจะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับใคร!
ไม่รู้ว่าความคิดอันแสนน่าขยะแขยงนั่นมาอยู่ในหัวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ หากยามนี้ฉันอยากทุบตีเธอให้สาแก่ใจ คนที่ทรยศฉัน... ทรยศความเชื่อใจ ทรยศความรักที่ฉันทุ่มเทให้หมดทั้งใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันไม่เหลือใครอีกแล้วน่ะหรอ...
“ฟานี่หยุด!... หยุดได้แล้ว... ฉันเจ็บนะ!!” แทยอนพยายามรวบสองมือที่ทุบตีเธอไม่หยุด หากดูท่าทางทิฟฟานี่จะไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเลย เธอเหมือนคนที่ไม่อาจควบคุมตนเองได้ ทำให้ร่างเล็กถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าทิฟฟานี่จะรู้เรื่องของเธอกับเจสสิก้าได้ไง แต่ที่รู้คือตอนนี้ทิฟฟานี่เหมือนใครก็ไม่รู้ที่เธอไม่เคยรู้จัก
คนที่เธอรักไม่เคยเป็นแบบนี้...
“นังแพศยานั่นมีอะไรดีกว่าฉัน... เธอทิ้งฉันได้แม้กระทั่งในวันเกิดเธอ... วันสำคัญที่ควรจะอยู่กับฉันน่ะหรอ!!” ว่าแล้วก็เอื้อมเค้กบนโต๊ะมาปาใส่เธอเต็มแรงจนใบหน้าที่ฉันเคยชมว่าสวยจนน่าหลงใหลนั้นเละไปด้วยครีมสีขาว เธอปาดมันออกด้วยความโมโหไม่แพ้กัน มือที่พยายามปัดป้องจากการถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว บัดนี้รวบสองแขนฉันไว้แน่นอย่างมั่นคง ดวงตาของเธอแข็งกร้าวขึ้น
“ทำไมเธอพูดไม่รู้เรื่องอย่างนี้! สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยคุยกันดีๆ โวยวายเหมือนคนบ้าไปได้”
“ใช่สิ! เธอเป็นคนทำให้ฉันเป็นอย่างนี้.... ฉันบ้า...ได้ยินมั้ยว่าฉันบ้า... ฉันบ้าก็เพราะเธอนั่นแหละ บ้าที่เอาแต่หึงเธอ คนเลว! เธอทำอย่างนั้นกับฉันได้ยังไง” ดิ้นพราดๆ เมื่อแทยอนพยายามจะเข้ามากอดให้ฉันอยู่นิ่ง นั่นทำให้มือเธอที่เคยพันธนาการฉันอยู่หลุดออก ส่งผลให้ร่างของฉันล้มลงกระแทกชั้นวางของเต็มแรง!
ที่เสียบมีดซึ่งทำด้วยไม้ที่วางอยู่บนนั้นตกลงมากระทบพื้น... มีดหนึ่งในนั้นกระเด็นมาด้วยแรงที่ถูกกระทำก่อนจะปักเข้าที่ขาเรียวของฉันซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด...
น่าแปลก... ไม่เจ็บเลยซักนิด... มีดนี่มันคมจริงๆ น่ะหรอ... ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ มีเพียงเลือดที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย โลหิตสีแดงชะโลมทั่วขาขวานั้น ฉันได้แต่ก้มหน้ามองดูเลือดตนเองด้วยสายตาที่เย็นชา เรียบเฉยประหนึ่งว่าประสาทการรับความรู้สึกของฉันขาดหายไปแล้ว...
“ฟานี่... เป็นอะไรรึเปล่า...” เธอถลาเข้ามาด้วยความเป็นห่วง มือสั่นสะท้านอย่างไม่กล้าจะสัมผัสบาดแผลของฉันที่มีมีดปักเข้าไปเกือบครึ่งเล่ม ฉันได้แต่ยิ้มตอบเธอก่อนที่จะกระชากมีดเล่มนั้นออกมาจากขาอย่างไร้ซึ่งความเจ็บปวด ตวัดปลายแหลมคมใส่เธอที่เข้ามาใกล้ทำให้ข้อมือขาวๆ มีรอยมีดกรีดบาดลึกจนเธอได้แต่กุมข้อมือข้างนั้นแน่น
แทยอนมองฉันด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก มันเต็มไปด้วยความระแวงกึ่งหวาดกลัว เธอมองฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เท้าพยายามจะถอยหนีฉันที่ลุกขึ้นมาแล้วลากขากะเผลกๆ เข้าไปใกล้เธอ หากเหมือนจะโชคร้ายเมื่อเธอเหยียบเศษจานที่แตกกระจายอยู่เบื้องหลังเต็มแรง ฉุดรั้งร่างเล็กให้ทรุดลงกับพื้นทับกับเศษแก้วพวกนั้นที่รายล้อม
เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลท่วมทั้งฝ่าเท้าขาว ฝ่ามือ และแผ่นหลังที่ถูกแก้วเฉือนเนื้อออกบางๆ ผ่านเสื้อเชิ้ตที่เธอใส่เป็นประจำ แทยอนพยายามกระเสือ-กกระสนถอยหลังหนีฉันที่ถือมีดเข้าไปใกล้ เสียงหอบเหนื่อยของเธอดังขึ้นเหมือนวิ่งมาจากระยะไกล ในขณะที่ฉันยิ้มออกมาบางๆ อย่างอ่อนโยน
...บางทีถ้าไม่มีเธอมันก็ดีเหมือนกันนะ... ฉันจะได้ไม่ต้องหึงใครอีก...
...ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความมืดตลอดไป ก็เข้าท่าดีนี่....... หึหึหึ......
“เธอ...เธอบ้าไปแล้ว...” ริมฝีปากที่เคยพร่ำบอกคำว่ารักแก่ฉัน เคยพรมจูบให้ฉันหลงบัดนี้สั่นสะท้านจนน้ำเสียงฟังแทบไม่ได้ศัพท์ เธอกระเสือ-กกระสนพาร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นถอยห่างหนีฉันไปเรื่อยๆ ทว่ามีหรือจะหนีพ้น เมื่อแผ่นหลังที่มีเศษแก้วเคลือบเจือปนอยู่นั้นสัมผัสกับผนังเย็นเฉียบจนทำให้เธอสะดุ้ง
“บ้า?... อืม... นั่นสิ... ฉันบ้าแล้ว...มั้ง...” ท้ายประโยคพูดด้วยเสียงเบาจนไม่ได้ยิน ฉันนั่งลงตรงหน้าเธอ มือเรียวจับข้อมือที่เปื้อนเลือดของเธอเอาไว้ แรงบีบทำให้โลหิตสีเข้มไหลออกมาจากบาดแผลจากรอยมีดมากยิ่งขึ้นจนเธอถึงกับร้องเสียงหลง ตามองฉันอย่างไม่ยากจะเชื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่านี่คือตัวฉันจริงๆ...
...มันเหมือนกับปีศาจแห่งความลุ่มหลงครอบงำหัวใจทั้งดวง...
“ฉันขอโทษ... ปล่อยฉันเถอะ....ฟานี่...ปล่อยฉันเถอะนะ” ขอร้อง... งั้นรึ?... อ้อนวอนตอนนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา ทีฉันเคยร้องขอให้เธอมีแค่ฉันคนเดียว เพราะฉันขาดเธอไม่ได้ เธอยังไม่เห็นใจเลยซักนิด หนีไปมีใครต่อใครแล้วทิ้งให้ฉันต้องเหงา ต้องมานั่งระแวงอยู่ทุกนาที ไม่คิดว่าฉันจะเหนื่อยบ้างเลยใช่มั้ย...
“เลือดคนทรยศก็สีสวยดีนี่...... ว่างั้นรึเปล่า...” ฉันจ้องมองของเหลวหนืดข้นจากเธอที่เริ่มเปรอะเปื้อนมือของฉัน สีแดงสดของมันช่างน่าหลงใหล เมื่อตัดกับผิวเนียนละเอียดสีขาวได้อย่างสวยงาม สีแดงมันช่างสวยอย่างที่เราคาดไม่ถึง ยิ่งสะท้อนกับแสงจากดวงจันทร์ที่สาดทอเข้ามาทางหน้าต่างภายนอกแล้วมันช่างดูน่าพิสมัยอย่าบอกใคร
“ฟ...ฟานี่...” เธอสะอื้นฮักเมื่อปลายโลหะเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งแห่งโลกันต์ทาบทับลงบนผิวกาย ฉันวาดมีดไปตามแขนเรียวของเธอเชื่องช้า หากยังไม่ได้กดคมของมันลงไป ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอกลัวเป็นรึเปล่า... แล้วเธอจะรู้บ้างมั้ยว่าเวลาเธอทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว ฉันก็กลัวเหมือนกันนี่แหละ
“ไหนบอกว่าจะรักฉันคนเดียวไง...” ถามย้ำแล้วค่อยๆ กรีดปลายมีดลงบนแขนขวาของเธอที่เคยกอดประโลมฉัน ในขณะที่เธอก็ใช้มันสร้างความสุขให้กับเจสสิก้าไม่ต่างกัน
...ถ้าไม่มีแขนนี่... เธอก็จะไม่มีใคร...
“อ๊ากก...” เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มเสียงแห่งความเจ็บปวดของตนเอง ร่างเล็กหอบเหนื่อย เธอมองฉันอย่างตัดพ้อ มือซ้ายที่ถูกเกาะกุมไว้เลื่อนมากุมแก้มใสของฉันบางเบาให้ใจกระตุก เธอกัดฟันแน่น น้ำเสียงหลุดออกมาจากริมฝีปากอย่างยากลำบากเหมือนกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดยังแขนขวา
“ฉ...ฉันรักฟานี่... ฉันไม่เคยโกหก...”
“ฉันควรเชื่อใช่มั้ย..... ฮ่าๆๆ...” หัวเราะอย่างไร้สติ โง่นะถ้าเชื่อเธอ... เชื่อจนไม่รู้จะเอาอะไรมาเชื่อแล้วล่ะ ฉันมองเรียวปากนั้นแล้วก็ต้องยิ้มด้วยรอยยิ้มแบบเดิมที่เธอหวาดกลัวมันมากที่สุด
...ถ้าไม่มีปากนี่... เธอก็จะไม่บอกรักใครไปทั่ว...
โลหะเย็นค่อยๆ กรีดผ่านตำแหน่งที่ฉันต้องการ เธอดิ้นพล่านกับการกระทำของฉัน ทว่ายิ่งดิ้น คมมีดก็กรีดบาดแผลลึกเป็นทางยาวมากเท่านั้น ของเหลวหนืดข้นหยดกระทบพื้นใสตัดกันประหนึ่งภาพวาดของปวงเทพ กลิ่นคาวคละคลุ้งของมันทำให้ฉันกำลังหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
เธอหลับตาแน่น ไม่มีแม้แต่เสียงร้องขอความเห็นใจ มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสายเพราะความเจ็บปวดเกินกว่าจะทนไหว กับกายที่ขยับขึ้นลงความการหายใจเท่านั้น
“หัวใจของคนหลายใจ... เก็บใครเอาไว้กี่คน...” กล่าวออกไปแล้วก็นึกอยากรู้เหลือเกิน ไม่รอช้าที่จะขยับวัตถุในมือเพื่อพิสูจน์มัน...........
...จะว่าไป หัวใจเธอก็ ‘สวย’ ดีเหมือนกันเนอะ...
ปกติเคยพร่ำบอกแต่ว่าหัวใจเธอเป็นของฉัน ทว่าครั้งนี้แหละที่ฉันเพิ่งได้เห็นมันชัดๆ ขนาดมันก็แค่เท่ากำปั้นของเธอไม่ใช่หรอ ฟังดูอาจจะเล็กนะ หากทำไมยัดใครไว้ได้ตั้งหลายคน ไหนจะฉัน ไหนจะเจสสิก้า ไหนจะใครคนอื่นที่อยู่ใกล้เธอ ใครสารพัดที่ฉันไม่รู้จัก ทว่าเขาบังอาจมองคนรักของฉัน บังอาจจะเข้ามาแย่งเบียดเบียนพื้นที่ในหัวใจดวงนี้ที่ฉันเคยอยู่ได้ยังไง เฮอะ... ฝันไปเถอะ
“ฮ่าๆ... เห็นมั้ย... ตอนนี้หัวใจแทเป็นของฉันแล้ว.... ฮ่าๆๆๆ.... ฉันจะไม่ยกมันให้ใคร” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแห่งชัยชนะกับคำพูดที่เคยตามหลอกหลอนในโสตประสาท เห็นมั้ยล่ะ... มันเงียบแล้ว มันแพ้ฉันแล้ว... ฉันบอกแล้วว่าหัวใจของเธอเป็นของฉัน แล้วเธอก็จะไม่มีวันยกให้ใครได้แน่ๆ เพราะตอนนี้มันอยู่ในมือฉัน...
ก้อนเนื้อชิ้นเล็กยังคงเต้นตุ้บๆ ในกำมือที่บีบมันแทบแหลกเหลว สีแดงที่ฉันพิศวาสไหลอาบย้อมเต็มฝ่ามือจนน่าจับตา ฉันปรายตาไปทางร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งหลังพิงผนังด้วยความรู้สึกยากจะกล่าวได้ บาดแผลทั่วตัวเธอมีเต็มจนนับไม่ถ้วน พอๆ กับโลหิตที่อาบผิวกายจนเปียกชุ่ม
“...แทรักฟานี่นะ...” ดูเหมือนคำกล่าวนั้นจะดังมาจากที่แสนไกลจนฉันแทบไม่อาจจับใจความได้ หากฉันก็ไม่มีโอกาสจะรับรู้ได้ถึงมันอีกแล้ว...
10 March 2010
ท่ามกลางห้องใหญ่ที่บ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของ เครื่องปรับอากาศแม้จะทำหน้าที่ของมันตามปรกติ ทว่าก็ไม่อาจกลบกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั้งห้องจนเหม็นหืนได้ กลิ่นอายอันน่าสะอิดสะเอียนจนไม่มีใครอยากปรารถนาจะย่างก้าวเข้ามากระมัง
บนเตียงใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าปูที่นอนสีขาว บัดนี้กลายเป็นย้อมสีแดงอันสวยสด หากคงยากจะมองว่ามันสวยได้ ถ้ารู้ว่าสีที่ย้อมนั้นคือโลหิตที่เคยไหลเวียนอยู่ในร่างที่มีชีวิต...
หญิงสาวคนนึงกอดร่างเปลือยเปล่าเอาไว้แน่นแนบอก ทั้งที่ร่างนั้นมองเผินๆ ก็รู้ดีว่าไม่มีทางจะหายใจได้อีกเป็นครั้งที่สอง นั่นไม่ใช่เพราะบาดแผลฉกรรจ์ตามตัวแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพราะรอยกรีดกว้างยังแผงอกข้างซ้ายที่เลือดซึ่งหยุดไหลกำลังเกราะแห้งกรังบนนั้นต่างหาก ซึ่งถ้าลองมองดูดีๆ ก็เห็นได้ชัดว่าร่างนั้นเป็นร่างที่ไม่มีหัวใจอย่างที่ใครหลายคนเคยปรามาสไว้แล้วจริงๆ
“คิกๆๆ” เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความพึงพอใจมาจากร่างบางทีนอนก่ายกอดคนตัวเล็ก เธอไล้มือไปตามแผงอกกว้างอย่างวาดฝัน ไม่มีใครล่วงรู้ความคิดของเธอว่าตอนนี้กำลังจมอยู่กับความฝันที่สวยงามเพียงใด ดูท่าทางเธอคงยากจะกลับมายังโลกปัจจุบันได้เฉกเช่นดังเดิม...
ฆาตกร?... งั้นหรอ... คนอย่างเธอสมควรได้รับคำสบประสาทเช่นนั้นใช่หรือไม่ หากตอนนี้ฆาตกรคงกำลังมีความสุขกับจินตภาพในห้วงความคิดของตนเองเสียเหลือเกิน ยากจะคาดเดาว่าเธอจินตนาการความรักครั้งนี้ต่อไปเช่นไร หากตอนนี้คนภายนอกคงเห็นได้แค่ว่าเธอเป็นผู้หญิงเสียสติที่เอาแต่หัวเราะไม่หยุด แล้วก็นอนกอดศพเสมือนเป็นคนรักที่เธอหวงแหนอย่างไรอย่างนั้น
“ฟานี่รักแทนะคะ... แทเป็นของฟานี่ ‘คนเดียว’ ” คนที่เคยหัวเราะมาโดยตลอดพูดขึ้นพลางก้มลงจูบริมฝีปากที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรัง หากเธอคงไม่คิดรังเกียจเลยซักนิด
“หัวใจแทเป็นของฟานี่นะคะ... เป็นของฟานี่ตลอดไป... คิกๆๆๆ”
ท่ามกลางห้องครัวที่เต็มไปด้วยรอยเลือดสาดกระเซ็น เศษอาหารกองอยู่กับพื้นเริ่มส่งกลิ่นเน่าเสีย ทว่าไม่มีใครเข้ามากำจัดมันเป็นแน่ ถ้าคนที่อยู่ภายในห้องนี้ยังมีเพียงคนสองคนที่คนนึงนั้นไม่หายใจ ส่วนอีกคนกำลังฝังตนเองอยู่ในความฝันที่แสนหวาน คงต้องรอเพียงแค่กลิ่นอันน่าขยะแขยงของมันลอยโชยไปถึงบ้านข้างๆ นั่นล่ะมั้ง จึงจะมีคนรับรู้เรื่องราวอันแสนน่ากลัวนี้เสียที
ภายในบรรยากาศที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ใต้โต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ มีกระปุกยาพลาสติกสีขาวเท่าฝ่ามือซึ่งถูกบีบจนไม่เหลือเค้าเดิมนอนแน่นิ่งอยู่อย่างเดียวดาย ข้างในนั้นว่างเปล่าโดยไม่มีสิ่งที่เคยบรรจุหลงเหลืออยู่เลยนอกเสียจากผงขาวๆ ที่คงไม่มีประโยชน์ใดๆ อีก...
...มันก็แค่ขวดยาที่หมดแล้วเท่านั้นเอง...
“หึหึหึหึหึหึ..............................”
.
.
.
.
.
‘คุณทิฟฟานี่ครับ... คุณเป็นโรคประสาทอ่อนๆ เนื่องจากการเครียดกับเรื่องใดเรื่องนึงมากเกินไป ทางที่ดีหมออยากให้คุณปล่อยวางเรื่องพวกนั้นบ้าง คนรักของคุณไม่นอกใจคุณหรอกครับ... อย่าพยายามคิดมาก แล้วเดี๋ยวหมอจะให้ยาไปทาน... ทานเรื่อยๆ อย่าหยุดนะครับ ไม่ฉะนั้นจะดื้อยา...’
‘แล้วก็... ที่สำคัญ... อย่าปล่อยให้ยาหมดเด็ดขาด... ต้องมาหาหมอให้สม่ำเสมอด้วยนะครับ...’
.
.
.
.
.
“ฟานี่เป็นเจ้าหญิงคนเดียว และเจ้าหญิงคนสุดท้ายที่แทจะฝากหัวใจไว้...”
The end
เป็นไงคะ... แบล็คมะบุง... มีใครติดใจจนอยากมีภาคสองอีกรึเปล่า ^_^
ตอนแรกอัพไป 6 หน้าเอสี่ 75% แต่ 25% หลังนั้น ขอบอกว่า 9 หน้าเต็มๆ ทำไมมันเยอะกว่าเดิมก็ไม่รู้
กะจะแต่งแค่ห้าหน้า ไปๆ มาๆ ดันกลายเป็น 15 หน้าเอสี่ซะงั้น T^T
จะบอกว่าเรื่องนี้มาด้วยอารมณ์จิตล้วนๆ ค่ะ พอดีเพิ่งอ่านการินมา ToT
แล้วตอนบุงแต่งฟิค บุงต้องเอาตัวเองไปเป็นตัวละครทุกครั้ง
เพื่อที่จะสื่ออารมณ์ให้คนอ่านเข้าใจ... พอเดาได้รึเปล่าคะ... ว่าตอนแต่งบุงจะเป็นไง อิอิ
ก็ง่ายๆ ค่ะ แค่คืนแรกที่แต่ง ประหนึ่งตัวเองเป็นฟานี่ (จิตแบบนั้นเลย - -^) นั่งหัวเราะอยู่คนเดียวนานสองนาน
แม่เห็นยังเริ่มกลัว จนนั่งพึมพำว่า “เอาเข้าไปลูกฉัน... วันนั้นแต่งปวดตับ มานั่งร้องไห้ดราม่า
วันนี้แต่งโรคจิตนั่งหัวเราะคนเดียว แม่ล่ะกลัวลูกจริงๆ นะเนี่ย = =”
รู้มั้ยคะ...บุงตอบว่าไง... บุงพูดเต็มปากเต็มคำว่า “เลือดสีสวยดีนะแม่ ฮ่าๆๆ” >>> (คิดแล้วตกใจแทนแม่ T__T)
อย่าว่าแต่แม่เลยค่ะ ตอนแต่งบุงก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
พออ่านทวนอีกทีเริ่มตกใจตัวเองกับสภาพแบล็ค
กลัวรีดเดอร์จะไม่กล้าอ่านจนไม่กล้าอัพไปเลย
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถ้าอ่านแล้ว “อย่าคิดมาก” นะคะ
มันเป็นแค่ฟิคค่ะ ท่องไว้ มันเป็นแค่ฟิค ^^
เอาล่ะ... พล่ามนานแล้ว... บุงก็ขอตัวไปไล่แบล็คมะบุงออกก่อนนะคะ
เพราะถ้าเอาแบล็คมะบุงไม่ออก มีหวังงานนี้ได้อยู่ศรีธัญญาจริงๆ =[]=
ยังไงก็อย่าลืมคอมเมนต์บ้างนะคะ ถ้าไม่มีเมนต์
เดี๋ยวแบล็คมะบุงมันคัมแบ็คเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ คิกๆๆ ^_^
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง)
ความคิดเห็น