ต้นไม้ประหลาด - ต้นไม้ประหลาด นิยาย ต้นไม้ประหลาด : Dek-D.com - Writer

    ต้นไม้ประหลาด

    โดย A.Pen

    เหตุการณ์ประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้กับน้องสาวของคิ้ม เมื่อเธอแค่เผลปล่อยน้องไว้ลำพังบนห้อง

    ผู้เข้าชมรวม

    903

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    903

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ส.ค. 50 / 01:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่จากเหตุการณ์ไม่สงบในปัจจุบัน  ทำให้หลายครอบครัวต้องมีภาระหนี้สินเพิ่ม บ้างต้องผกผันอาชีพตนเองไปเป็นพ่อค้า แม่ค้า ครอบครัวของคิ้มก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากสภาวะความไม่สงบจนต้องย้ายถิ่นไปอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ พ่อของเธอเป็นพนักงาสนบริษัทขายรถยี่ห้อหนึ่ง ส่วนแม่ก็เป็นนางพยาบาล  ทั้งสองต้องออกจากงานด้วยสาเหตุที่บริษัทของพ่อต้องจำกัดงบประมาณไว้ เมื่อบริษัท ขายรถได้ไม่ดี พ่อก็ทำยอดได้น้อยจึงได้ซองขาวมา ส่วนแม่ที่ต้องอกงานเพราะต้องการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เพิ่งใช้หนี้หมดไป

     

     คิ้มอาศัยอยู่กับพ่อ แม่และน้องสาวที่เพิ่งคลออดไม่กี่เดือน เธอเป็นเด็กดีและประพฤติตัวดีเสมอ จึงทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ไปได้บ้าง พ่อแม่ของคิ้มเมื่อย้ายมาก็มาทำอาชีพขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋อยู่หน้าบ้านที่เช่าอยู่เดือนละไม่กี่พันบาท  ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม  เธอจึงได้อยู่ช่วยแม่ขายของและเลี้ยงน้องได้อย่างเต็มที่  แต่ส่วนใหญ่แม่ก็จะให้เธอเลี้ยงร้องมากกว่าเพราะน้องยังเล็กอยู่ 

     

    วันหนึ่งหลังจากที่แม่ออกไปขายของแล้ง คิ้มก็ไปทำงานบ้านตามปกติ งานประจำของเธอก็คือ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจานและตวงน้ำ  ซึ่งในเวลาที่คิ้มทำงานบ้านอยู่ คิ้มก็จะให้น้องหลับก่อน หรือไม่ก็ให้น้องอยู่ในเปลเพื่อจะได้ไม่ออกไปซนที่ไหนเพราะน้องเริ่มจะคลานได้แล้ว  วันนั้นในขณะนั้นที่คิ้มกำลังล้างจานอยู่น้องของเธอก็ตื่น ด้วยความซนของเด็กจึงปีนออกมาจากเปลโดยที่คิ้มไม่รู้ แล้วน้องของเธอก็คลานลงมาจากชั้นบนแล้วออกไปนอกบ้าน ไปเล่นกับลูกแมวที่เพิ่งเกิดใหม่  จากนั้นก็คานไปยังด้านข้างของตัวบ้านที่ยังพอมีพื้นที่ให้เป็นซอกเล็กๆเอาไว้เก็บของได้ ซึ่งก็มีของไม่มากชิ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหญ้าและตะไคร่น้ำ ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ก่อนที่ครอบครัวคิ้มจะย้ายมาอยู่ ลำต้นไม่สูงมาก มีใบที่เรียวยาวและปกคลุมลำต้นอยู่เฉพาะด้านบน  มีผลกลมสีม่วงสดที่ดูแล้วคล้ายกับมะเขือม่วง

                   

    คิ้มเดินเข้ามาดูน้องในห้องเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้กลับไม่พบน้องสาว คิ้มตกใจมากจึง รีบวิ่งหาทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบจึงวิ่งออกๆไปดูที่หน้าบ้าน วิ่งไปหน้าปากซอย แต่ก็ไม่เจอ คิ้มกลัวว่าถ้าเกิดน้องออกไปยังถนนใหญ่ก็อาจจะถูกรถชนหรือทับก็เป็นได้เพราะน้องของเธอยังตัวเล็กอยู่ รถที่วิ่งไปมาอาจจะไม่ทันเห็นจึงอาจจะ....

    คิ้มไม่อยากคิดต่อ ตอนนี้ใจของเธอกระวนกระวายและรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าจะไปหาน้องที่ไหน จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปดูในบ้านอีกครั้ง  ถ้าพ่อกับแม่มาแล้วไม่เจอน้องเธอคงจะโดนอ่วมแน่  ในระหว่างทางนั้นเธอก็คิดไปว่า...อะไรกัน นี่ฉันเพิ่งอยู่ป.4 เองนะ ทำน้องหายไปแล้วพ่อกับแม่คงจะโกรธเอามากๆ... เมื่อคิ้มกลับเข้ามาในบ้านด้วยอาการที่เหนื่อยหอบ เธอจึงหยุดยืนนิ่งๆเพื่อหายใจ คิ้มเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ ที่หน้าประตูบ้าน เธอจึงหันไปดูแล้วจึงพบว่าน้องของเธอนั่นเอง คิ้มรีบวิ่งเข้าไปกกอดและอุ้มน้องเข้ามาในบ้าน

     

                    หายไปไหนมา รู้มั้ยทำพี่หัวใจเกือบวายแน่ะคิ้มกอดน้องไว้แน่น แล้วนี่ปากไปเลอะอะไรมาเนี่ย แอบกินน้ำองุ่นในตู้เย็นมาใช่มั้ย น้องยิ้ม

              เย็นวันนั้นหลังจากที่พ่อแม่ขายของกลับมาเสร็จ น้องของเธอก็ร้องไห้เอาอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พ่อกับแม่จึงตัดสินใจพาน้องไปหาหมอ เมื่อตรวจหมอก็บอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่อาหารไม่ย่อยเท่านั้นเองเลยทำให้เกิดอาการแน่นท้อง

     

                    หลายวันผ่านไป คิ้มเริ่มรู้สึกว่าน้องมีอาการแปลก คือเมื่อได้อยู่คนเดียว น้องจะหัวเราะคนเดียวเสียงดังทั้งๆที่ไม่ได้เปิดทีวี  เล่นคนเดียวบ้าง เหมือนกับพูดกับคนอื่นบ้าง บางทีในขณะที่คิ้มมองการกระทำของน้องอยู่แล้วน้องก็จะหันมามองคิ้มโดยยิ้มให้แต่ลึกลงไปในแววตานั้นแฝงไปด้วยความสะใจ และเลือดเย็น แต่พอเมื่อเวลาอยู่กับพ่อแม่ น้องก็จะเป็นเด็กหญิงที่ใสซื่อเหมือนปกติ จะเป็นเฉพาะเมื่ออยู่กับคิ้มสองคนเท่านั้น

     

                    หลายปีผ่านไปคิ้มได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กิจการขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็เติบโตขึ้นจนพ่อและแม่ขยายกิจการซื้อตึกหนึ่งห้องเป็นร้านขายของ มีทั้งกาแฟ ชาเย็น  โอวัลติน น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ ทำให้ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก  แต่ก็ยังต้องผ่อนค่าตึกอยู่ดี น้องของคิ้มตอนนี้ก็โตใกล้เข้าอนุบาลแล้ว คิ้มจึงไม่ต้องเหนื่อยเหมือนแต่ก่อนเพราะน้องเริ่มรู้เรื่องขึ้น

     

                    คิ้ม  จูนแม่เรียกชื่อพร้อมกับเดินเข้ามาหาเด็กทั้งสองโดยมีพ่อเดินมาข้างๆ

              ว่าไงจ้ะแม่ คิ้มถาม

                    แม่จะมีน้องให้พวกหนูแล้วนะแม่ยิ้มแล้วหันไปมองพ่อที่กำลังปลื้มยิ่งกว่าเสียอีก

                    จริงหรอจ้ะ?!! ดี ใจจังเลย คิ้มกอดที่ท้องแม่แล้วเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของน้องอีกคนที่อยู่ข้างใน  หน้าคิ้มเอียงหันข้างจึงทำให้เห็นว่าจูนนั้นทำหน้าไม่พอใจอย่างมาก แล้วสายตาเคียดแค้น รอยยิ้มแสยะก็บังเกิดขึ้นบนใบหน้าของน้องเหมือนเมื่อสามปีก่อน น้องจ้องมองท้องของแม่  คิ้มตกใจอย่างมากหลังจากลืมเรื่องนี้ไปนานมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

     

                    โอ๋ๆ แม่ก็รักจูนนะ ไม่ดีใจหรอ จะได้มีน้องมาเล่นด้วยไง พี่คิ้มน่ะโตแล้ว คงเล่นกับหนูไม่รู้เรื่องเท่าไหร่หรอกแม่อุ้มจูนขึ้นมาแล้วปลอบประโลมเพราะเห็นว่าจูนเงียบไป แล้วหอมแก้มหนึ่งที ก่อนจะเดินออกไปกับพ่อ

     

                    สายตาที่มีแต่ความเกลียดชังนั้นได้ปะทุขึ้นอย่างแรงจนคิ้มรู้สึกได้ว่าจูนได้เกลียดน้องคนเล็กเข้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คิ้มก็คิดว่าคงเป็นเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็คงชินไปเอง 

     

                    เวลาผ่านมาเรื่อยๆ จนคิ้มได้เห็นความผิดปกติของจูนอีกครั้งเมื่อคืนหนึ่งในขณะที่คิ้มกำลังเก็บหนังสือที่เอามานั่งทำการบ้านอยู่ข้างล่าง แล้วจึงเดินขึ้นไปชั้นบนที่ห้องนอน( พ่อ แม่ คิ้มและน้องนอนรวมกัน) ทุกคนปิดไฟนอนกันหมดแล้ว แต่ว่าคิ้มต้องเอาของมาเก็บจึงต้องเปิดไฟ เมื่อมือแตะสวิตซ์เปิด  คิ้มก็ต้องตกใจอย่างมากเมื่อภาพที่ได้เห็นคือ จูน เด็กหญิงวัยเพียงสามขวบกำลังนั่งจ้องที่ท้องของแม่สายตาไม่กระพริบไปไหน กลุ่มหมอกควันสีดำบางๆลอยวนเวียนอยู่รอบๆตัวของจูน ทั้งยังสายตาที่จ้องนั้นก็เกิดเปลวไฟสีน้ำเงินที่ดูร้อนผ่าวแสดงออกมาเป็นความดูถูก เหยียดหยาม เคียดแค้น และอาฆาต   คิ้มรีบวิ่งเข้าไปหาน้อง เขย่าตัวน้องแรงๆแต่จูนก็ยังไม่ละสายตาที่มอง

                    จูน จูน...เป็นอะไรไป ทำไมต้องมองน้องอย่างงนั้น เสียงของคิ้มทำให้ แม่ตื่น แล้วจูนสายตาและกลุ่มหมอกนั้นก็หายไป กลับกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดารรีบฟุบนอนหลับไป 

    แม่เห็นคิ้มหน้าตาตื่นจึงถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่คิ้มก็บอกไม่มีอะไร  แล้วคิ้มก็นอนครุ่นขึ้นถึงสิ่งที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ ตอนนี้เธอเริ่มกลัวน้องของเธอขึ้นมาเสียแล้ว คิ้มคิดว่าบางทีอาจจะมีบางสิ่งที่อยู่ในตัวน้องก็ได้  ทุกคืนที่

    คิ้มนอนดึกแล้วขึ้นมาทีหลังก็จะเห็นเป็นเช่นนี้อยู่ทุกคราว น้องมักจ้องมองที่ท้องของแม่ซึ่งคิ้มก็รู้ดีว่าจูนมองที่น้องคนเล็กที่กำลังจะเกิดมา  เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้คิ้มคอยระแวงและสังเกตจูนตลอดเวลาและดูเหมือนจูนเองก็จะรู้ว่าพี่คิ้มคิดอะไรอยู่

     

                    คิ้ม ไปเอาไม้อัดที่พ่อพิงไว้ตรงข้างบ้านให้หน่อยสิลูก พ่อเรียกใช้  ไม้อัดที่ว่าพ่อจะเอามาทำโต๊ะและเก้าอี้เสริมในร้าน

     

                    จ้า คิ้มรีบเดินไปหยิบให้พ่อ  คุณคงจำได้ ข้างบ้านนั้นเป็นที่เก็บของเล็กๆน้อยๆแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตะไคร่และหญ้า  ที่ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นมีใบเรียวขึ้นแต่ตอนบนและมีลูกสีม่วงสด  คิ้มเคยเดินเข้ามาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้งแต่ก็ไม่ได้สังเกตอะไร แต่ในวันนี้ที่เดินเข้ามา คิ้มถูกดึงดูดให้ไปสนใจกับสิ่งๆหนึ่ง นั่นคือผลของต้นไม้ทิอยู่ท้ายสุด มันมีสีม่วงสดช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ คิ้มเดินตรงเข้าไปยังผลของมัน เด็ดมันออกจากลำต้นจากนั้นคิ้มก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างๆหู

     

                    ....กินสิ  อร่อยนะ แล้วเธอจะติดใจ กินสิ กินฉันสิ....  จากนั้นกลุ่มหมอกควันเช่นเดียวกับที่เธอเคยเห็นมันออกจากตัวของจูนก็ค่อยๆลอยออกมาจากผลไม้นั่น  คิ้มกรี้ดทันทีแล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน พอพ่อกับแม่ถามว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น คิ้มก็บอกแต่เพียงว่า ให้ไปโค่นต้นไม้นั่นทิ้งซะ มันมีปิศาจสิงอยู่ พ่อกับแม่ฟังดังนั้นก็ตกใจแต่แล้วก็ปลอบประโลมลูกสาวให้ใจเย็นลง  เธอจำอะไรไม่ได้เลย จำได้เลือนรางว่าเห็นอะไรที่น่ากลัวสักอย่างจากต้นไม้นั่น

     

     คืนนั้นเองในขณะที่คิ้มนอนอยู่ข้างๆพ่อ (พ่อจะนอนริมสุด ถัดมาก็คือคิ้ม จูน  และแม่) คิ้มก็ได้ยินเสียงแปลก ดังครืดคราดๆ เธอเกรงทันทีว่านั่นอาจจะเป็นจูนที่กำลังจ้องมองท้องแม่อยู่เช่นเคย เธอไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักวัน คิ้มเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟังและให้พ่อลองสังเกตดูแล้วพ่อก็เห็นเหมือนกับเธอ  คืนนี้เธอก็เลยสะกิดพ่อเพราะเธอเกิดความกลัวบางอย่าง พ่อลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆเอามือหยิบไฟฉายอย่งเบาที่สุด  และก่อนที่จะเปิดไฟฉาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

     

    แกจะเกิดมาทำไม ฉันเกลียดแก คิ้มนอนตัวสั่นเพราะเสียงที่จูนพูดมันเหมือนไม่ใช่เสียงของเธอ พ่อก็ได้ยินและคิดเหมือนคิ้ม แต่ยังรอดูเหตุการณ์ต่อไป

     

      แม่จ๋า คราวนี้กลายเป็นเสียงของจูนเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเยือกเย็นลึกๆ แม่จ๋า..น้องในท้อง  กับรกน่ะ หนูขอนะ แล้วภาพที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จูนเงื้อมือ กางแขนซึ่งเผยให้เห็นกรงเล็บที่ยาวแหลม สายตาเพ่งเล็งไปยังเป้าหมายอย่างจดจ่อ ตอนนั้นแม่ท้องได้เกือบๆแปดเดือนแล้ว ทำให้เห็นท้องที่ยื่นออกมาอย่างชัดเจน คิ้มตกใจกลัวสุดขีด เธอรีบขยับตัวไปใกล้พ่อแล้วมองหน้า ในขณะเดียวกันพ่อก็ลุกขึ้น มือทั้งสองกำไฟฉายไว้แน่น ในใจก็คิดว่า นี่คงไม่ใช่ลูกของตนเป็นแน่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่านี่คือลูกของเรานะ จะทำได้ลงคอเลยหรอ  ความคิดทั้งหลายเกิดขึ้นว่าควรทำอย่างไรดี  มันเร็วมากทีเดียว จูนเริ่มเงื้อมือลงต่ำแต่ทันใดนั้น กระบอกไฟฉายด้ามโตก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยของจูน ถึงแม้จะไม่เต็มแรงแต่จูนก็ล้มลงแล้วสลบไป คิ้มรีบวิ่งไปเปิดไฟแล้วสิ่งที่ทั้งสองได้เห็นคือ กลุ่มหมอกควันสีดำม้วนตัวบิดเกลียวเป็นรูปร่างคล้ายกับร่างของผู้หญิงบิดออกจากร่างของน้องสาววัยสามขวบพร้อมกับเสียงกรี้ดและหวีดร้องดังเข้าไปในแก้วหู จากนั้นก็ลอยออกไป

    ช่วงเวลานั้นมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แล้วแม่ก็ตื่นขึ้นพบจูนนอนสลบอยู่ข้างๆ พ่อนั่งกำกระบอกไฟฉายไว้แน่น ส่วนคิ้มก็ยืนอยู่ที่หน้าประตู

     

                    หลังจากที่พ่อพาจูนไปหาหมอ หมอก็บอกว่าจูนได้รับบาดเจ็บที่ท้ายทอย แต่แปลกมากคือไม่เป็นอะไรเลย เพียงไม่กี่อาทิตย์จูนก็หายเจ็บและหายร้องไห้  เมื่อแม่ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงขอร้องให้พ่อย้ายบ้านโดยด่วน คิ้มเองก็รู้สึกและนึกได้ว่าวันนั้นที่น้องหายไปคงได้ไปกินผลจากต้นไม้นั่นเหมือนที่ตนเกือบจะกิน แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าน้องกลับมาเป็นน้องจูนที่น่ารักคนเดิมแล้ว ดูออกจะรักน้องที่อยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ 

     

                    เย็นวันนั้นครอบครัวของคิ้มจึงตัดสินใจไปวัด ทำบุญให้วิญญาณหรือปิศาจตนนั้น  ในขณะที่กำลังกรวดน้ำอยู่นั้น หลวงตาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า

                    โยม แล้วสีกาที่นั่งข้างหลังลูกคนเล็กไม่มากรวดน้ำด้วยกันหรอ

              ....

     

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่จากเหตุการณ์ไม่สงบในปัจจุบัน  ทำให้หลายครอบครัวต้องมีภาระหนี้สินเพิ่ม บ้างต้องผกผันอาชีพตนเองไปเป็นพ่อค้า แม่ค้า ครอบครัวของคิ้มก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากสภาวะความไม่สงบจนต้องย้ายถิ่นไปอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ พ่อของเธอเป็นพนักงาสนบริษัทขายรถยี่ห้อหนึ่ง ส่วนแม่ก็เป็นนางพยาบาล  ทั้งสองต้องออกจากงานด้วยสาเหตุที่บริษัทของพ่อต้องจำกัดงบประมาณไว้ เมื่อบริษัท ขายรถได้ไม่ดี พ่อก็ทำยอดได้น้อยจึงได้ซองขาวมา ส่วนแม่ที่ต้องอกงานเพราะต้องการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เพิ่งใช้หนี้หมดไป

       

       คิ้มอาศัยอยู่กับพ่อ แม่และน้องสาวที่เพิ่งคลออดไม่กี่เดือน เธอเป็นเด็กดีและประพฤติตัวดีเสมอ จึงทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ไปได้บ้าง พ่อแม่ของคิ้มเมื่อย้ายมาก็มาทำอาชีพขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋อยู่หน้าบ้านที่เช่าอยู่เดือนละไม่กี่พันบาท  ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม  เธอจึงได้อยู่ช่วยแม่ขายของและเลี้ยงน้องได้อย่างเต็มที่  แต่ส่วนใหญ่แม่ก็จะให้เธอเลี้ยงร้องมากกว่าเพราะน้องยังเล็กอยู่ 

       

      วันหนึ่งหลังจากที่แม่ออกไปขายของแล้ง คิ้มก็ไปทำงานบ้านตามปกติ งานประจำของเธอก็คือ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจานและตวงน้ำ  ซึ่งในเวลาที่คิ้มทำงานบ้านอยู่ คิ้มก็จะให้น้องหลับก่อน หรือไม่ก็ให้น้องอยู่ในเปลเพื่อจะได้ไม่ออกไปซนที่ไหนเพราะน้องเริ่มจะคลานได้แล้ว  วันนั้นในขณะนั้นที่คิ้มกำลังล้างจานอยู่น้องของเธอก็ตื่น ด้วยความซนของเด็กจึงปีนออกมาจากเปลโดยที่คิ้มไม่รู้ แล้วน้องของเธอก็คลานลงมาจากชั้นบนแล้วออกไปนอกบ้าน ไปเล่นกับลูกแมวที่เพิ่งเกิดใหม่  จากนั้นก็คานไปยังด้านข้างของตัวบ้านที่ยังพอมีพื้นที่ให้เป็นซอกเล็กๆเอาไว้เก็บของได้ ซึ่งก็มีของไม่มากชิ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหญ้าและตะไคร่น้ำ ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ก่อนที่ครอบครัวคิ้มจะย้ายมาอยู่ ลำต้นไม่สูงมาก มีใบที่เรียวยาวและปกคลุมลำต้นอยู่เฉพาะด้านบน  มีผลกลมสีม่วงสดที่ดูแล้วคล้ายกับมะเขือม่วง

                     

      คิ้มเดินเข้ามาดูน้องในห้องเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้กลับไม่พบน้องสาว คิ้มตกใจมากจึง รีบวิ่งหาทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบจึงวิ่งออกๆไปดูที่หน้าบ้าน วิ่งไปหน้าปากซอย แต่ก็ไม่เจอ คิ้มกลัวว่าถ้าเกิดน้องออกไปยังถนนใหญ่ก็อาจจะถูกรถชนหรือทับก็เป็นได้เพราะน้องของเธอยังตัวเล็กอยู่ รถที่วิ่งไปมาอาจจะไม่ทันเห็นจึงอาจจะ....

      คิ้มไม่อยากคิดต่อ ตอนนี้ใจของเธอกระวนกระวายและรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าจะไปหาน้องที่ไหน จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปดูในบ้านอีกครั้ง  ถ้าพ่อกับแม่มาแล้วไม่เจอน้องเธอคงจะโดนอ่วมแน่  ในระหว่างทางนั้นเธอก็คิดไปว่า...อะไรกัน นี่ฉันเพิ่งอยู่ป.4 เองนะ ทำน้องหายไปแล้วพ่อกับแม่คงจะโกรธเอามากๆ... เมื่อคิ้มกลับเข้ามาในบ้านด้วยอาการที่เหนื่อยหอบ เธอจึงหยุดยืนนิ่งๆเพื่อหายใจ คิ้มเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ ที่หน้าประตูบ้าน เธอจึงหันไปดูแล้วจึงพบว่าน้องของเธอนั่นเอง คิ้มรีบวิ่งเข้าไปกกอดและอุ้มน้องเข้ามาในบ้าน

       

                      หายไปไหนมา รู้มั้ยทำพี่หัวใจเกือบวายแน่ะคิ้มกอดน้องไว้แน่นแล้วนี่ปากไปเลอะอะไรมาเนี่ย แอบกินน้ำองุ่นในตู้เย็นมาใช่มั้ย น้องยิ้ม

                เย็นวันนั้นหลังจากที่พ่อแม่ขายของกลับมาเสร็จ น้องของเธอก็ร้องไห้เอาอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พ่อกับแม่จึงตัดสินใจพาน้องไปหาหมอ เมื่อตรวจหมอก็บอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่อาหารไม่ย่อยเท่านั้นเองเลยทำให้เกิดอาการแน่นท้อง

       

                      หลายวันผ่านไป คิ้มเริ่มรู้สึกว่าน้องมีอาการแปลก คือเมื่อได้อยู่คนเดียว น้องจะหัวเราะคนเดียวเสียงดังทั้งๆที่ไม่ได้เปิดทีวี  เล่นคนเดียวบ้าง เหมือนกับพูดกับคนอื่นบ้าง บางทีในขณะที่คิ้มมองการกระทำของน้องอยู่แล้วน้องก็จะหันมามองคิ้มโดยยิ้มให้แต่ลึกลงไปในแววตานั้นแฝงไปด้วยความสะใจ และเลือดเย็น แต่พอเมื่อเวลาอยู่กับพ่อแม่ น้องก็จะเป็นเด็กหญิงที่ใสซื่อเหมือนปกติ จะเป็นเฉพาะเมื่ออยู่กับคิ้มสองคนเท่านั้น

       

                      หลายปีผ่านไปคิ้มได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กิจการขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็เติบโตขึ้นจนพ่อและแม่ขยายกิจการซื้อตึกหนึ่งห้องเป็นร้านขายของ มีทั้งกาแฟ ชาเย็น  โอวัลติน น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ ทำให้ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก  แต่ก็ยังต้องผ่อนค่าตึกอยู่ดี น้องของคิ้มตอนนี้ก็โตใกล้เข้าอนุบาลแล้ว คิ้มจึงไม่ต้องเหนื่อยเหมือนแต่ก่อนเพราะน้องเริ่มรู้เรื่องขึ้น

       

                      คิ้ม  จูนแม่เรียกชื่อพร้อมกับเดินเข้ามาหาเด็กทั้งสองโดยมีพ่อเดินมาข้างๆ

                ว่าไงจ้ะแม่ คิ้มถาม

                      แม่จะมีน้องให้พวกหนูแล้วนะแม่ยิ้มแล้วหันไปมองพ่อที่กำลังปลื้มยิ่งกว่าเสียอีก

                      จริงหรอจ้ะ?!! ดี ใจจังเลย คิ้มกอดที่ท้องแม่แล้วเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของน้องอีกคนที่อยู่ข้างใน  หน้าคิ้มเอียงหันข้างจึงทำให้เห็นว่าจูนนั้นทำหน้าไม่พอใจอย่างมาก แล้วสายตาเคียดแค้น รอยยิ้มแสยะก็บังเกิดขึ้นบนใบหน้าของน้องเหมือนเมื่อสามปีก่อน น้องจ้องมองท้องของแม่  คิ้มตกใจอย่างมากหลังจากลืมเรื่องนี้ไปนานมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

       

                      โอ๋ๆ แม่ก็รักจูนนะ ไม่ดีใจหรอ จะได้มีน้องมาเล่นด้วยไง พี่คิ้มน่ะโตแล้ว คงเล่นกับหนูไม่รู้เรื่องเท่าไหร่หรอกแม่อุ้มจูนขึ้นมาแล้วปลอบประโลมเพราะเห็นว่าจูนเงียบไป แล้วหอมแก้มหนึ่งที ก่อนจะเดินออกไปกับพ่อ

       

                      สายตาที่มีแต่ความเกลียดชังนั้นได้ปะทุขึ้นอย่างแรงจนคิ้มรู้สึกได้ว่าจูนได้เกลียดน้องคนเล็กเข้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คิ้มก็คิดว่าคงเป็นเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็คงชินไปเอง 

       

                      เวลาผ่านมาเรื่อยๆ จนคิ้มได้เห็นความผิดปกติของจูนอีกครั้งเมื่อคืนหนึ่งในขณะที่คิ้มกำลังเก็บหนังสือที่เอามานั่งทำการบ้านอยู่ข้างล่าง แล้วจึงเดินขึ้นไปชั้นบนที่ห้องนอน( พ่อ แม่ คิ้มและน้องนอนรวมกัน) ทุกคนปิดไฟนอนกันหมดแล้ว แต่ว่าคิ้มต้องเอาของมาเก็บจึงต้องเปิดไฟ เมื่อมือแตะสวิตซ์เปิด  คิ้มก็ต้องตกใจอย่างมากเมื่อภาพที่ได้เห็นคือ จูน เด็กหญิงวัยเพียงสามขวบกำลังนั่งจ้องที่ท้องของแม่สายตาไม่กระพริบไปไหน กลุ่มหมอกควันสีดำบางๆลอยวนเวียนอยู่รอบๆตัวของจูน ทั้งยังสายตาที่จ้องนั้นก็เกิดเปลวไฟสีน้ำเงินที่ดูร้อนผ่าวแสดงออกมาเป็นความดูถูก เหยียดหยาม เคียดแค้น และอาฆาต   คิ้มรีบวิ่งเข้าไปหาน้อง เขย่าตัวน้องแรงๆแต่จูนก็ยังไม่ละสายตาที่มอง

                      จูน จูน...เป็นอะไรไป ทำไมต้องมองน้องอย่างงนั้น เสียงของคิ้มทำให้ แม่ตื่น แล้วจูนสายตาและกลุ่มหมอกนั้นก็หายไป กลับกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดารรีบฟุบนอนหลับไป 

      แม่เห็นคิ้มหน้าตาตื่นจึงถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่คิ้มก็บอกไม่มีอะไร  แล้วคิ้มก็นอนครุ่นขึ้นถึงสิ่งที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ ตอนนี้เธอเริ่มกลัวน้องของเธอขึ้นมาเสียแล้ว คิ้มคิดว่าบางทีอาจจะมีบางสิ่งที่อยู่ในตัวน้องก็ได้  ทุกคืนที่

      คิ้มนอนดึกแล้วขึ้นมาทีหลังก็จะเห็นเป็นเช่นนี้อยู่ทุกคราว น้องมักจ้องมองที่ท้องของแม่ซึ่งคิ้มก็รู้ดีว่าจูนมองที่น้องคนเล็กที่กำลังจะเกิดมา  เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้คิ้มคอยระแวงและสังเกตจูนตลอดเวลาและดูเหมือนจูนเองก็จะรู้ว่าพี่คิ้มคิดอะไรอยู่

       

                      คิ้ม ไปเอาไม้อัดที่พ่อพิงไว้ตรงข้างบ้านให้หน่อยสิลูก พ่อเรียกใช้  ไม้อัดที่ว่าพ่อจะเอามาทำโต๊ะและเก้าอี้เสริมในร้าน

       

                      จ้า คิ้มรีบเดินไปหยิบให้พ่อ  คุณคงจำได้ ข้างบ้านนั้นเป็นที่เก็บของเล็กๆน้อยๆแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตะไคร่และหญ้า  ที่ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นมีใบเรียวขึ้นแต่ตอนบนและมีลูกสีม่วงสด  คิ้มเคยเดินเข้ามาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้งแต่ก็ไม่ได้สังเกตอะไร แต่ในวันนี้ที่เดินเข้ามา คิ้มถูกดึงดูดให้ไปสนใจกับสิ่งๆหนึ่ง นั่นคือผลของต้นไม้ทิอยู่ท้ายสุด มันมีสีม่วงสดช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ คิ้มเดินตรงเข้าไปยังผลของมัน เด็ดมันออกจากลำต้นจากนั้นคิ้มก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างๆหู

       

                      ....กินสิ  อร่อยนะ แล้วเธอจะติดใจ กินสิ กินฉันสิ....  จากนั้นกลุ่มหมอกควันเช่นเดียวกับที่เธอเคยเห็นมันออกจากตัวของจูนก็ค่อยๆลอยออกมาจากผลไม้นั่น  คิ้มกรี้ดทันทีแล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน พอพ่อกับแม่ถามว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น คิ้มก็บอกแต่เพียงว่า ให้ไปโค่นต้นไม้นั่นทิ้งซะ มันมีปิศาจสิงอยู่ พ่อกับแม่ฟังดังนั้นก็ตกใจแต่แล้วก็ปลอบประโลมลูกสาวให้ใจเย็นลง  เธอจำอะไรไม่ได้เลย จำได้เลือนรางว่าเห็นอะไรที่น่ากลัวสักอย่างจากต้นไม้นั่น

       

       คืนนั้นเองในขณะที่คิ้มนอนอยู่ข้างๆพ่อ (พ่อจะนอนริมสุด ถัดมาก็คือคิ้ม จูน  และแม่) คิ้มก็ได้ยินเสียงแปลก ดังครืดคราดๆ เธอเกรงทันทีว่านั่นอาจจะเป็นจูนที่กำลังจ้องมองท้องแม่อยู่เช่นเคย เธอไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักวัน คิ้มเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟังและให้พ่อลองสังเกตดูแล้วพ่อก็เห็นเหมือนกับเธอ  คืนนี้เธอก็เลยสะกิดพ่อเพราะเธอเกิดความกลัวบางอย่าง พ่อลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆเอามือหยิบไฟฉายอย่างเบาที่สุด  และก่อนที่จะเปิดไฟฉาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

       

      แกจะเกิดมาทำไม ฉันเกลียดแก คิ้มนอนตัวสั่นเพราะเสียงที่จูนพูดมันเหมือนไม่ใช่เสียงของเธอ พ่อก็ได้ยินและคิดเหมือนคิ้ม แต่ยังรอดูเหตุการณ์ต่อไป

       

        แม่จ๋า คราวนี้กลายเป็นเสียงของจูนเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเยือกเย็นลึกๆ แม่จ๋า..น้องในท้อง  กับรกน่ะ หนูขอนะ แล้วภาพที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จูนเงื้อมือ กางแขนซึ่งเผยให้เห็นกรงเล็บที่ยาวแหลม สายตาเพ่งเล็งไปยังเป้าหมายอย่างจดจ่อ ตอนนั้นแม่ท้องได้เกือบๆแปดเดือนแล้ว ทำให้เห็นท้องที่ยื่นออกมาอย่างชัดเจน คิ้มตกใจกลัวสุดขีด เธอรีบขยับตัวไปใกล้พ่อแล้วมองหน้า ในขณะเดียวกันพ่อก็ลุกขึ้น มือทั้งสองกำไฟฉายไว้แน่น ในใจก็คิดว่า นี่คงไม่ใช่ลูกของตนเป็นแน่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่านี่คือลูกของเรานะ จะทำได้ลงคอเลยหรอ  ความคิดทั้งหลายเกิดขึ้นว่าควรทำอย่างไรดี  มันเร็วมากทีเดียว จูนเริ่มเงื้อมือลงต่ำแต่ทันใดนั้น กระบอกไฟฉายด้ามโตก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยของจูน ถึงแม้จะไม่เต็มแรงแต่จูนก็ล้มลงแล้วสลบไป คิ้มรีบวิ่งไปเปิดไฟแล้วสิ่งที่ทั้งสองได้เห็นคือ กลุ่มหมอกควันสีดำม้วนตัวบิดเกลียวเป็นรูปร่างคล้ายกับร่างของผู้หญิงบิดออกจากร่างของน้องสาววัยสามขวบพร้อมกับเสียงกรี้ดและหวีดร้องดังเข้าไปในแก้วหู จากนั้นก็ลอยออกไป

      ช่วงเวลานั้นมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แล้วแม่ก็ตื่นขึ้นพบจูนนอนสลบอยู่ข้างๆ พ่อนั่งกำกระบอกไฟฉายไว้แน่น ส่วนคิ้มก็ยืนอยู่ที่หน้าประตู

       

                      หลังจากที่พ่อพาจูนไปหาหมอ หมอก็บอกว่าจูนได้รับบาดเจ็บที่ท้ายทอย แต่แปลกมากคือไม่เป็นอะไรเลย เพียงไม่กี่อาทิตย์จูนก็หายเจ็บและหายร้องไห้  เมื่อแม่ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงขอร้องให้พ่อย้ายบ้านโดยด่วน คิ้มเองก็รู้สึกและนึกได้ว่าวันนั้นที่น้องหายไปคงได้ไปกินผลจากต้นไม้นั่นเหมือนที่ตนเกือบจะกิน แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าน้องกลับมาเป็นน้องจูนที่น่ารักคนเดิมแล้ว ดูออกจะรักน้องที่อยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ 

       

                      เย็นวันนั้นครอบครัวของคิ้มจึงตัดสินใจไปวัด ทำบุญให้วิญญาณหรือปิศาจตนนั้น  ในขณะที่กำลังกรวดน้ำอยู่นั้น หลวงตาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า

                      โยม แล้วสีกาที่นั่งข้างหลังลูกคนเล็กไม่มากรวดน้ำด้วยกันหรอ

                ....

       

       

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×