ที่มาของช็อกโกแลตแสนอร่อย
ช็อกโกแลต เป็นชื่อที่หลายๆคนฟังแล้วน้ำลายสอ โดยเฉพาะสาวสวยทั้งหลาย บางคนขนาดลดความอ้วนโดยการไม่ทานข้าว ก็ยังเลือกที่จะทานช็อกโกแลตรองท้อง แต่จะมีใครซักกี่คนที่รู้ว่าช็อกโกแลตมีที่มาอย่างไร
ผู้เข้าชมรวม
916
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ประวัติช็อกโกแลต
เชื่อกันว่า 2000 ปีก่อนคริสตกาล โกโก้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอน
แต่หลักฐานการบันทึกเป็นลายลักษณ์ ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นของชาวมายัน เมื่อ 600 ปีหลังคริสตกาล กล่าวว่า ชาวมายันบริเวณตอนใต้ของเม็กซิโกและอเมริกากลางในปัจจุบันรู้จักและดื่มช็อกโกแลตมาเนิ่นนานแล้วโดยถือเอาหลักฐานที่ว่า cacao อันหมายถึงเมล็ดโกโก้นั้นเป็นภาษามายัน และ chocolate ก็มาจากภาษามายันว่า xocoatl ซึ่งหมายถึง น้ำที่มีรสขม
ชาวมายันเชื่อว่าฝักโกโก้เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ มีการค้นพบภาพแกะสลักบนก้อนหินและภาพเขียนลายบนเครื่องปั้นดินเผาเป็นภาพฝักโกโก้ นอกจากจะใช้ฝักโกโก้ในพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว วรรณคดีมายายังกล่าวถึงโกโก้ว่าเป็นอาหารของเทพเจ้าอีกด้วย กระนั้นก็ยังมีบางคนเชื่อว่าช็อกโกแลตน่าจะมีประวัติเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอารยธรรมโอลเม็ค (Olmec) ที่เกิดก่อนอารยธรรมมายา
ต่อมาเมื่อวัฒนธรรมแอซเทคแผ่ขยายเข้าสู่ดินแดนเม็กซิโกกลางในราวปีค.ศ. 1200 ชนเผ่าแอซเทคเชื่อว่าต้นโกโก้เป็นผลงานของเทพเจ้าเควตซาโคตล์ (Quetzacoatl) โดยพระองค์เสด็จลงจากสวรรค์พร้อมกับต้นโกโก้หนึ่งต้น และทรงสอนให้มนุษย์ทำเครื่องดื่มจากเมล็ดโกโก้นั้นซึ่งมีผลทำให้ผู้ดื่มเกิดปัญญาและพลัง
ในสมัยนั้นการดื่มช็อกโกแลตทำโดยการบดเมล็ดโกโก้กับส่วนผสมพื้นบ้าน บางครั้งก็ใช้น้ำ ไวน์ และอาจปรุงรสด้วยวานิลลา พริกสเปน และพริกแห้งป่น เชื่อกันว่าช็อกโกแลตนี้สามารถรักษาอาการท้องเสียและโรคบิดได้ บางตำรายังว่ามีสรรพคุณเป็นยาปลุกเซ็กส์อีกด้วย
ส่วนชาวยุโรปเริ่มรู้จักช็อกโกแลต เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเดินทางกลับไปยังสเปนหลังจากได้พิชิตทวีปอเมริกันแล้ว เขาเป็นชาวยุโรปคนแรกที่รู้จักกับโกโก้ โดยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1502 ซึ่งเป็นการเดินทางไปยังทวีปอเมริกาเป็นครั้งที่4 และครั้งสุดท้าย โคลัมบัสและลูกเรือพบเรือที่ทำจากไม้ซุงลำใหญ่จอดอยู่ใกล้กับเกาะนอกชายฝั่งที่ปัจจุบันคือ ฮอนดูรัส เรือลำนี้เป็นเรือท้องถิ่นลำใหญ่ที่สุดเท่าที่ชาวสเปนเคยเห็นภายในบรรจุสินค้าพื้นเมืองมากมายรวมทั้งเมล็ดโกโก้ด้วยโคลัมบัสจึงยึดเรือกับสินค้าไว้แล้วจับกัปตันมาเป็นคนนำทาง
ต่อมาเฟอร์ดินานต์ ลูกชายของโคลัมบัส ได้เขียนบันทึกถึงการพบเรือครั้งนี้ว่า ทั้งเขาและโคลัมบัสประหลาดใจที่รู้ว่าชาวพื้นเมืองให้ความสำคัญกับเมล็ดโกโก้มาก เฟอร์ดินานต์ถึงกับออกปากว่า “ ชาวพื้นเมืองที่นี่ดูเหมือนจะเทิดทูนอัลมอนต์พวกนี้ (ซึ่งหมายถึงเมล็ดโกโก้) มากเหลือเกิน ตอนที่พาขึ้นเรือก็ขนมาด้วย พออัลมอนต์ตกแค่เม็ดเดียว ยังต้องก้มลงเก็บอย่างกับทำลูกตาหล่น ” เฟอร์ดินานต์กับลูกเรือนั้นหารู้ไม่ว่าเมล็ดโกโก้ที่เห็นถือเป็นเงินสกุลหนึ่งที่ใช้ในบางที่ของอเมริกากลางเล่ากันว่า 4 เมล็ดใช้ซื้อไก่งวงได้ 1 ตัว เพิ่งเลิกใช้ไปเมื่อราวต้นศตวรรษที่แล้วนี่เอง
เป็นไปได้ว่าโคลัมบัสนำเมล็ดโกโก้ที่ยึดไว้กลับมายุโรปด้วยและได้ถวายต่อกษัตริย์เฟอร์ดินานต์และพระราชินีอิสเบลลาเป็นจำนวนมาก แต่ทางราชสำนักกลับมองข้ามไป
กล่าวกันว่า 20 ปีต่อมาเฮอร์นาโด คอร์เทซ (Hernando Cortez) นักสำรวจชาวสเปนผู้พิชิตดินแดนที่เป็นเม็กซิโกในปัจจุบันได้ค้นพบความสำคัญของเมล็ดโกโก้พวกนั้นด้วยตัวเอง ในภายหลังเมื่อเข้ายึดครองดินแดนของชาวแอซเทค เขาสังเกตเห็นว่าชาวแอซเทคใช้เมล็ดโกโก้ปรุงเป็นเครื่องดื่มสำหรับกษัตริย์และแขกเมือง โดนเรียกเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า chocolatl ซึ่งหมายถึง ของเหลวอุ่น หนำซ้ำยังเล่าต่อกันมาอีกว่า จักรพรรดิโมเทคอูห์โซมา (Motecuhzoma) ของชาวแอซเทคนั้น ดื่มช็อกโกแลตถึงวันละกว่า 50 ถ้วยทองทีเดียว ส่วนคอร์เทซเองก็ได้ลองชิม chocolatl นี้ด้วย แต่ไม่ชอบเนื่องจากมีรสขมเกินไป อย่างไรก็ตามเขาได้เขียนจดหมายไปรายงานกษัตริย์คาร์ลอสที่ 1 แห่งสเปนว่า ช็อกโกแลตที่เรียกว่า xocoalt นั้นเป็นเครื่องดื่มที่สร้างภูมิต้านทานและช่วยแก้ง่วงได้ชะงัด
คอร์เทซได้นำเมล็กโกโก้จำนวน 3 หีบ กลับไปถวายราชสำนักสเปนอีกครั้ง พร้อมกับสูตรในการปรุงเครื่องดื่มช็อกโกแลต ความขมได้ถูกปรับให้ลดลงโดยการใส่น้ำตาลให้หวานหอมถูกปากถูกใจคนสเปนนอกจากนี้ยังเติมเครื่องเทศอื่นๆอย่างลูกจันทน์เทศ วานิลลา และอบเชยด้วย ไม่นานนักเครื่องดื่มชนิดใหม่นี้ก็เป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่ขุนนางสเปน
สำหรับคนยุโรปแล้วการอื่มช็อกโกแลตที่ยังไม่ได้ปรุงแต่งรสหวานเป็นประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง โฮเซ่ เดออะคอสตา (Jose de Acosta) มิชชันนารีชาวสเปน ซึ่งอาศัยอยู่ในเปรู เมื่อปลายทศวรรษที่ 1500 กล่าวถึงช็อกโกแลตไว้ว่า เป็นเครื่องดื่มที่อาจจะไม่น่าพิสมัยนักสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับมัน ด้วยฟองที่ลอยฟู่อยู่ทำให้ไม่น่าชิม แต่กระนั้นช็อกโกแลตก็เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงที่อินเดียนแดงใช้เลี้ยงต้อนรับขุนนางต่างแดนที่เดินทางไปมาหาสู่กันส่วนชาวสเปนที่อยู่ในดินแดนอาณานิคมนี้นิยมดื่มกันจนคุ้นเคยและจะหวงสูตรลับในการชงช็อกโกแลตอย่างมาก พวกเขาปรุงช็อกโกแลตกันหลายแบบ ทั้งแบบร้อน เย็น อุ่น และแบบใส่พริกแห้ง จนถึงแบบเข้มข้น ซึ่งเชื่อว่าดีต่อระบบทางเดินอาหารและป้องกันเยื่อบุคอและจมูกอักเสบได้
ต่อมาไม่นานนักนักช็อกโกแลตก็ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปปรากฏอยู่ที่สเปนและแพร่ขยายไปทั่วทวีปยุโรป การขนส่งช็อกโกแลตอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อปี 1585 จากเมืองเวราครูซ (Veracruz ) แห่งเม็กซิโก ไปยังเมืองเซวิย่า (Seville) ในสเปน เมื่อชาวสเปนนำช็อกโกแลตกลับประเทศไปในระยะแรกๆนั้น ยังนิยมกินกันในรูปเครื่องดื่มอยู่ ซึ่งต่อมาได้มีวิวัฒนาการที่สำคัญของช็อกโกแลตเมื่อมีการใช้น้ำตาลผสมในน้ำช็อกโกแลตแทนพริกแห้งช็อกโกแลตสูตรใหม่ที่หวานอร่อยนี้จึงกลายเป็นอาหารชั้นสูงที่น้อยคนนักจะหาซื้อมาชิมได้
แต่พอศตวรรษที่ 17 เครื่องดื่มชนิดนี้ก็แพร่หลายเป็นเครื่องดื่มสามัญทั่วยุโรป เริ่มจากประเทศอังกฤษซึ่งถือว่าเป็นประชาธิปไตยมากกว่าประเทศอื่นๆ นั้นสามารถหาซื้อช็อกโกแลตได้ในราคาไม่สูงและมีวางขายอยู่ทั่วไป ทั้งนี้คนอังกฤษยังสามารถไปนั่งดื่มช็อกโกแลตได้ตามร้านกาแฟและร้านช็อกโกแลตต่างๆ ร้านช็อกโกแลตแห่งแรกในลอนดอนเปิดขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. 1657
จากนั้นเมื่อประเทศต่างๆ พากันท้าทายการผูกขาดโกโก้ของสเปนช็อกโกแลตจึงยิ่งแพร่หลายเป็นเท่าทวีคูณฝรั่งเศส อังกฤษ และฮอลแลนด์ก็เริ่มเพาะปลูกโกโก้ที่ดินแดนอาณานิคมของตนบริเวณทะเลแคริบเบียน และแถบอื่นๆทั่วโลก
ในเวลาต่อมา เมื่อมีผลผลิตมากขึ้น ราคาจึงลดลง ทั้งชาวยุโรปและอเมริกันสามารถลิ้มรสช็อกโกแลตกันได้อย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตามหลายๆคนเห็นว่าการผลิตโกโก้มากขึ้นในทวีปอเมริกา หรือ New World นั้น คือการใช้แรงงานทาสและความยากลำบากของชนชั้นแรงงาน เพราะการผลิตโกโก้นั้นหมายถึงการใช้แรงงานของชาวพื้นเมืองและแรงงานทาสที่นำเข้ามาจากแอฟริกา
ผลงานอื่นๆ ของ blackmagic_ken ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ blackmagic_ken
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น