ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] Just A Little Bit of Us | yugmark (SF/OS)

    ลำดับตอนที่ #7 : [SF] Collar and Leash [Kingsman AU]

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 58


    หมายเหตุ:
    เป็นฟิค spin-off จากเรื่อง Suit ฟิคสั้นคู่บีสันใน Kingsman AU ค่ะ
    จะอ่านเรื่องก่อนหรือไม่อ่านก็ได้ค่ะ :)





    Collar and Leash

     

     

    หลังจากการดื่มไว้อาลัยให้เพอร์ซิวัล พวกเขาทุกคนก็ไม่มีเวลาเศร้าโศกเสียใจมากนัก อาเธอร์สั่งให้จารชนทุกคนที่เหลืออยู่ในองค์กรคิงสแมนไปสรรหาและเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมที่จะมาฝึกฝน รับการทดสอบ และเข้ามาเป็น เพอร์ซิวัลคนใหม่ 

     

    แม้ว่ารหัสลับของพวกเขาจะมาจากชื่อของอัศวินโต๊ะกลม เครื่องแบบเป็นชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างดีและรองเท้าหนังทรงอ็อกซ์ฟอร์ดเหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดของพวกเขาจะไปในทางเดียวกันตลอด 

     

    มาร์ค ต้วน ได้แต่ลอบเหยียดยิ้มเงียบๆ ตอนที่ฟังเจบีตอกกลับอาเธอร์อย่างสุภาพว่าเขาสนใจพวกคนธรรมดามากกว่าจะมองหาเหล่าผู้สูงส่งที่โดดเด่น  ช่างหัวเจบีและความเชื่อโง่ๆ นั่นเถอะ  ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจอย่างสมบูรณ์แบบก็ต้องเป็นคนที่สุดยอดและเพียบพร้อมในทุกด้านไม่ใช่หรือ? 

     

     

     

    ในทุกปี เมอร์ลินและเจ้าหน้าที่คนอื่นที่ประจำการอยู่ในอีกหลายประเทศจะคอยรวบรวมรายชื่อนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ ทหาร เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ หรือคนในแวดวงกีฬาที่มีผลงานและความสามารถโดดเด่นเข้ามาไว้ในฐานข้อมูลของคิงสแมน  เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาต้องการมองหาผู้ร่วมงานคนใหม่ พวกเขาก็มักจะค้นหาและคัดเลือกจากบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลก่อน ถ้าถูกใจก็ติดต่อไป  แต่นี่ไม่ใช่ข้อบังคับ อย่างในกรณีของการเฟ้นหาสายลับคนใหม่ หากพวกเขามีคนอื่นที่คิดว่าเหมาะสมอยู่ในใจ ก็สามารถเสนอชื่อคนเหล่านั้นได้

     

    มาร์คไม่ใช้เวลานานจนเกินไป เมื่อได้ชื่อและที่อยู่ของคนที่เข้าคิดว่าเหมาะสมและยอดเยี่ยมที่สุดมาจากฐานข้อมูลแล้ว เขาก็พาตัวเองมายืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุดหน้าบานประตูสีฟ้าอ่อน และกดกริ่งเรียกคนข้างใน ไม่กี่วินาทีถัดมา ประตูที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เปิดออก เผยให้เห็นเด็กหนุ่มชาวเอเชียตัวสูงวัยยี่สิบปี ผมสั้นสีดำของเขายุ่งไม่เป็นทรง ค่อนข้างจะไม่เรียบร้อยสำหรับการออกมาต้อนรับแขกที่หน้าประตูบ้าน แต่ประเมินจากสายตาที่มองลงมายังมาร์ค เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตัวเอง แม้ว่าผู้มาเยือนจะอยู่ในชุดสูทเรียบกริบที่ดูดีมากก็ตาม  ถึงอย่างนั้น มาร์คก็คิดว่าตัวจริงของชายตรงหน้าดูดีกว่ารูปในฐานข้อมูลมาก

     

    “มีอะไรครับ?”

     

    “คุณยูคยอม คิม ผมชื่อมาร์ค ต้วน และผมอยากให้คุณมาร่วมงานกับเรา”

     

    ยูคยอมโต้กลับด้วยน้ำเสียงรำคาญแทบจะทันทีที่เขาพูดจบ

     

    “นี่มาถึงบ้านอีกแล้ว ไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยหรือครับ ผมไม่รู้และผมไม่สนใจว่าคุณมาจากบริษัทไหน แต่ผมได้ปฏิเสธข้อเสนอไปอย่างสุภาพแล้วว่าผมกำลังอยู่ในช่วงว่างเพื่อรอบรรจุเป็น...”

     

    “ผมไม่ได้มาจากบริษัทไหนทั้งนั้น”

     

    “หรือโรงเรียน? มหาวิทยาลัย? หรือศูนย์วิจัยที่ไหน? ผมจำไม่ได้แล้ว ช่างมันเถอะ ผมตกลงรับงานที่อื่นไปแล้ว”

     

    “งานที่ผมจะเสนอให้คุณไม่ใช่งานน่าเบื่อๆ แบบนั้นหรอก ถ้าคุณยอมเชิญผมเข้าไปข้างใน หรือออกไปหาที่นั่งดื่มกัน ผมก็จะมีเวลาอธิบายให้คุณฟัง”

     

    ยูคยอมยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจนมาร์ครู้สึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเขาตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ได้ทันได้อธิบายอะไร บางครั้งการปฏิสัมพันธ์กับพวกอัจฉริยะเกินมนุษย์มนาทั่วไปก็ยากที่จะคาดการณ์ผลลัพธ์ เพราะไม่มีกรอบทฤษฎีที่ตายตัวและแน่นอนที่จะบอกได้ว่ามาร์คควรทำอย่างไรกับคนคนหนึ่งที่สมองทำงานได้ดีกว่าคนธรรมดา คนที่เขารู้แค่ชื่อกับประวัติที่เป็นเลิศ เขาไม่รู้หรอกว่ายูคยอมจะยอมพยักหน้าตกลงและรับฟังเขาแต่โดยดี หรือจะพูดเสียงเย็นชาใส่หน้าเขาว่า Fuck off ก่อนจะปิดประตูไล่

     

    มาร์คใจชื้นขึ้นเมื่อยูคยอมยักไหล่แล้วเบี่ยงตัวให้มาร์คเดินผ่านประตูเข้าไป

     

     

     

    จะเป็นอัจฉริยะหรือคนธรรมดา แต่ยูคยอมก็ท่าทางตื่นเต้นและสนใจเมื่อได้ยินคำว่า สายลับสมกับวัยเพียงยี่สิบปีของตนเอง  เขานั่งฟังมาร์คอธิบายความเป็นมาและหน้าที่ของสายลับแห่งคิงสแมนอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมๆ กับที่มองสำรวจมาร์คอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับว่ามาร์คเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เขากำลังทำวิจัย และรอยยิ้มเยือกเย็นที่พาดบนใบหน้าก็ทำให้มาร์ครู้สึกว่ายูคยอมกำลังประเมินเขากลับเช่นกัน

     

    “ทำไมถึงเลือกผม”

     

    “คุณมีจุดเด่นที่พิเศษ”

     

    ยูคยอมยิ้ม “มิสเตอร์ต้วน ผมรู้ตัวดีน่าว่าผมพิเศษแค่ไหน และผมก็รู้ว่าบนโลกนี้ก็มีคนอีกมากมายที่มีความสามารถเทียบเท่าหรือเหนือกว่าผม แค่ปริญญาทางด้านฟิสิกส์สองใบตอนอายุยี่สิบคงไม่ได้ทำให้ผมเด่นกว่าคนพวกนั้นมากนักหรอก จริงมั้ย”

     

    คำถามของยูคยอมทำให้มาร์คสนุก “คุณพูดถูก มิสเตอร์คิม  การหาคนที่เหมาะสมนั้นทำได้ยากทีเดียว คนที่มีมันสมองเป็นเลิศ หรือคนประเภทเดียวกันกับคุณนั้นมีมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะ...” มาร์คเว้นช่วง จงใจกระแอมนิดหนึ่ง “เคยเข้าร่วมชมรมยิงปืนของมหาวิทยาลัย ได้เหรียญทองในการแข่งขันยิงปืนระดับภูมิภาค  และคุณเองก็คงจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเพราะอะไรหัวข้อเปเปอร์วิจัยของคุณถึงมีแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาวุธทั้งทางตรงและทางอ้อม”

     

    มาร์คเพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าการศึกษาการเคลื่อนไหวบนใบหน้าและภาษากายเพื่อจับอารมณ์ความรู้สึกของคู่สนทนานั้นใช้ไม่ได้ผลในบางกรณี เมื่อครู่นี้เขาคาดหวังว่ายูคยอมจะแสดงความพึงพอใจหรือความประทับใจที่มาร์คศึกษาเขามาอย่างดีให้เห็นบ้าง แต่รอยยิ้มที่มุมปากบนหน้ายูคยอมเมื่อครู่นี้กลับลับหายไป เหลือเพียงสีหน้าเรียบนิ่งและสายตาที่ไม่สื่ออารมณ์ความรู้สึกใดๆ จนมาร์คเดาไม่ถูกว่ายูคยอมกำลังคิดอะไร  เขาเริ่มประหม่า พลางคิดในใจว่านี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเจบีถึงอยากมองหาคนธรรมดามากกว่า อย่างน้อยคนเหล่านั้นก็ไม่มีความคิดจิตใจซับซ้อนจนเกินเข้าใจ

     

    ยูคยอมยกถ้วยชาขึ้นจิบ เขาไม่ละสายตาไปจากมาร์คเลยสักนิดจนกระทั่งเขาวางถ้วยลงและถามว่า

     

    “แล้วถ้าผมตอบตกลง ผมจะได้อะไร”

     

    “เงินเดือน สวัสดิการ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามสัญญาที่คุณจะได้รู้รายละเอียดหากคุณผ่านการทดสอบรอบสุดท้าย ซึ่งผมมั่นใจมากว่ามากและคุ้มค่ากว่างานที่คุณตกลงไปแล้ว”

     

    “ที่อื่นก็จ่ายค่าตอบแทนให้ผมสูงมากพอ โดยที่ผมไม่ต้องเสี่ยงตาย”

     

    “แต่ลึกๆ แล้วคุณก็ต้องการงานที่น่าตื่นเต้นไม่ใช่หรือไง ผมไม่คิดหรอกนะว่าคนหนุ่มที่หลงใหลอาวุธปืนอย่างคุณจะอยากเก็บตัวอยู่แต่ในแล็บเพื่อนั่งทำวิจัยและสอนหนังสืออย่างเดียวไปทั้งชีวิต ที่ผ่านมาคุณก็แค่ไม่มีทางเลือกมากนักเพราะพวกผู้ใหญ่เขาเห็นคุณเป็นอัจฉริยะ เขาก็ชี้นำคุณไปทางนั้น”

     

    มาร์คพูดโน้มน้าวด้วยสิ่งที่เขารู้เห็นจากการอ่านประวัติของอีกฝ่าย ยูคยอมเพียงแค่นั่งรับฟังเงียบๆ แต่เขาเชื่อว่ายูคยอมกำลังลังเลและใช้ความคิดอยู่มาก เขาปล่อยให้ยูคยอมคิดโดยไม่กดดัน แต่ก็แสดงออกให้อีกคนรู้ตัวว่าเขากำลังรอฟังคำตอบ ซึ่งคำตอบที่มาร์คต้องการมีเพียงคำตอบเดียว

     

    “แล้วคุณล่ะ”

     

    คำถามที่อยู่นอกบริบทเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ทำให้มาร์คชะงัก “ผมเหรอ? ผมแค่เสนอชื่อคุณ ซึ่ง...”

     

    “ไม่ใช่ผมหมายถึงคุณ” เมื่อเห็นมาร์คนิ่งเฉยเหมือนยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาบอก ยูคยอมก็อธิบายต่อ “ก่อนหน้านี้เคยมีบริษัทหนึ่งส่ง ของขวัญมาให้ผมถึงหน้าบ้านเพื่อหวังว่าผมจะพอใจจนยอมเซ็นสัญญากับพวกเขา แต่ผมส่งของขวัญนั้นกลับไปเพราะผมไม่นอนกับผู้หญิง  ผมยอมรับนะว่าเมื่อกี้ตอนที่เห็นคุณหน้าบ้าน ผมนึกว่าพวกเขาพยายามเอาใจผมอีกครั้งเสียอีก คุณต้องการให้ผมไปร่วมงานด้วยมากเท่าพวกเขารึเปล่า”

     

    ยูคยอมมองเขาไม่วางตาราวกับพยายามจะมองทะลุเข้าไปถึงภายใน มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยดูเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ มาร์คเข้าใจความหมายของยูคยอมแต่ไม่อาจรู้เจตนา ว่ายูคยอมหมายความเช่นนั้นจริงๆ แค่ต้องการทดสอบ หรือแค่ต้องการล้อเล่นกับเขา

     

    ตอนแรกมาร์คแค่เกรงว่าเขาจะรับมือกับคนอย่างยูคยอมได้ยากเพราะคนพวกนี้ซับซ้อนกว่าคนทั่วไป แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีอีกสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับยูคยอมที่เขาควรต้องระวัง  คนที่กล้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาต่อรองกับคู่สนทนาที่ตัวเองก็รู้อยู่ว่าไม่ได้ทำงานธรรมดาๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนได้เปรียบกว่าและอีกฝ่ายต้องยอมอ่อนข้อให้ย่อมมีความบ้าบิ่นอย่างที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่  มาร์คคิดถึงบททดสอบต่างๆ ที่ผู้ทดสอบจะต้องผ่าน อดกลัวไม่ได้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่กดดันกว่านี้ ยูคยอมจะทำอะไรที่เหนือความคาดหมายหรือไม่

     

    ที่จริงเขาจะยิงเข็มลบความทรงจำใส่ยูคยอมแล้วตัดใจไปหาผู้ท้าชิงคนใหม่ที่เขา ควบคุมง่ายกว่าก็ได้ แต่ถึงยูคยอมจะอันตราย คุณสมบัติอันเป็นเลิศทุกด้านของเขาเป็นประโยชน์ต่อองค์กร คุ้มค่าจนมาร์คไม่อยากปล่อยไป

     

    ฉะนั้นแล้ว เมื่อกำลังจะเลี้ยงสุนัขล่าเนื้อที่ดุร้าย คนเป็นนายก็ต้องหาทางเลี้ยงให้เชื่องตั้งแต่เนิ่นๆ

     

    มาร์คสวนกลับเสียงเข้ม

     

    “คุณแค่ตอบตกลง หรือไม่ตกลง ถ้าไม่ตกลง ผมมีวิธีที่จะทำให้คุณลืมทุกอย่างที่เราคุยกัน” เขาจับนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เตรียมยิงเข็มลบความทรงจำ “แต่ถ้าคุณตกลง ผมให้เวลาคุณเตรียมตัวสิบห้านาที แล้วผมจะพาคุณไปที่ร้านตัดสูทที่ผมเล่าให้ฟัง”

     

    ***

     

    หลังจากที่มาร์คพายูคยอมมาที่กองบัญชาการคิงสแมนเพื่อให้รับการฝึกฝนและทดสอบเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินทางไปกลับระหว่างร้านคิงสแมนในลอนดอนกับกองบัญชาการได้เพียงไม่กี่วัน จากนั้นก็ต้องออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ตุรกี   กว่าเขาจะได้กลับมาที่กองบัญชาการอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปเกือบสามสัปดาห์แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นเขาแทบไม่รู้ความคืบหน้าของการฝึกฝนและการทดสอบต่างๆ ของผู้ชิงตำแหน่งเพอร์ซิวัลเลย

     

    ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้เจอเมอร์ลินที่กองบัญชาการเพื่อรับภารกิจใหม่ เขาจึงไม่รอช้าที่จะถามถึงยูคยอมก่อน

     

    “ยูคยอมเป็นยังไงบ้าง”

     

    เมอร์ลินเปิดหน้าจอขนาดใหญ่ แสดงรูปภาพของผู้เข้าชิงและคะแนนระหว่างภารกิจของแต่ละคน “คะแนนเป็นที่หนึ่งแทบทุกด้าน ทำข้อสอบข้อเขียนรอบแรกเสร็จก่อนใครในห้องและได้คะแนนเต็มด้วย ยกเว้นเรื่องทีมเวิร์ก ต่ำไปหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับแย่เหมือนบางคน  นี่คุณไปเจอเขาได้ยังไงนะ กาเวน”

     

    “เขามีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของเราอยู่แล้ว พวกฝ่ายวิจัยอาวุธดูจะสนใจเขา เข้าไปดูไฟล์เขาบ่อยเชียวล่ะ แต่ผมตัดหน้าพวกเขาก่อน” มาร์คดูคะแนนการใช้อาวุธของยูคยอมที่แสดงอยู่บนหน้าจอ “เอาคนแบบนี้ไปนั่งอยู่ในแล็บเฉยๆ น่าเสียดายแย่”

     

    “แต่คะแนนของแจ็คสันก็ไม่เลวนะ อยู่อันดับสี่ ทั้งที่ไม่เคยยิงปืนจริงจังมาก่อน”

     

    มาร์คแค่นหัวเราะเมื่อได้ยินชื่อผู้ท้าชิงของเจบี เขาได้ยินมาว่าแจ็คสันเคยเป็นพวกโจรลักเล็กขโมยน้อยมาก่อน “เคย์จะคิดอะไรก็ช่าง ผมเชื่อในทฤษฎีของดาร์วินนะว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ที่อยู่รอด”

     

    “ผู้ที่ปรับตัวได้ก็อยู่รอดเช่นกัน”

     

    “เรียนรู้เพื่อปรับตัวทีหลังกับแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดมันไม่เหมือนกันหรอกนะ จับห่านมาแปลงให้เหมือนหงส์ได้มากแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังคงเป็นห่าน”

     

    เมอร์ลินไม่พยายามที่จะเถียง รู้ดีว่าต่อให้พูดอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของมาร์คได้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าสาเหตุที่มาร์คชื่นชมความสมบูรณ์แบบ ก็เป็นเพราะว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างของคนที่สมบูรณ์แบบ รูปลักษณ์ของเขายอดเยี่ยมด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา รูปร่างอาจเล็กและผอมไปแต่ก็ช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วปราดเปรียว  บิดาของเขาเป็นเอกอัครราชทูต มารดามาจากตระกูลเศรษฐีเก่า เขาเติบโตมาในสังคมของคนระดับสูง  มันสมองไม่ถึงขั้นอัจฉริยะเป็นเลิศเหมือนยูคยอม แต่ก็คว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากอ็อกซ์ฟอร์ดมาได้  นอกจากนี้เขายังเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลตัวท็อปของมหาวิทยาลัย  ตอนที่เมอร์ลินอ่านไฟล์ของยูคยอมที่มาร์คส่งต่อมาให้เขา จึงเหมือนว่าเขาได้อ่านประวัติและคุณสมบัติพิเศษของมาร์คซ้ำอีกครั้ง มีเพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่ต่างกัน

     

    น่าสนุกดีที่ได้เห็นคนที่เพียบพร้อมไปหมดทุกด้านสองคนมาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้

     

    “คุณคิดว่าเขามีสิทธิ์ชนะมั้ย”

     

    “กาเวน คุณก็รู้ว่าในฐานะผู้ฝึกสอน ผมไม่สามารถแสดงความเห็นของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้”

     

    “หน้าผมดูเหมือนคนที่แคร์อะไรแบบนั้นด้วยหรือไง”

     

    เมอร์ลินหัวเราะอย่างอ่อนใจ เขายอมแพ้

     

    “...ถ้าเขาทำได้ดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ และไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น คุณก็จัดห้องที่บ้านคุณเตรียมไว้ให้เขาได้เลย” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม พร้อมกับยื่นแฟ้มภารกิจที่วางอยู่ให้แก่มาร์ค “และก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น คุณช่วยตั้งใจฟังผมอธิบายภารกิจใหม่ของคุณก่อนแล้วกัน”

     

     

     

    หลังจากรับภารกิจใหม่มาเรียบร้อยแล้ว มาร์คก็ออกจากห้องทำงานของเมอร์ลินแล้วตรงไปยังห้องพักส่วนตัวของตัวเองที่อยู่ในกองบัญชาการ เขามีเวลาเตรียมตัวอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินจากที่นี่ไปอเมริกา  ชายหนุ่มสวมสูทสีถ่านตัวใหม่คู่กับเนกไทสีดำสลับเทาอ่อนลายเฉียง ไม่ลืมแว่นตาที่เป็นอุปกรณ์สื่อสารระหว่างเขากับเมอร์ลิน  แม้ว่าช่วงนี้เมอร์ลินจะติดพันกับการทดสอบว่าที่เพอร์ซิวัลคนใหม่ แต่เขาก็ยังคอยให้ความช่วยเหลือแก่เขาอยู่ที่นี่เสมอ

     

    [เครื่องบินของคุณพร้อมแล้ว กาเวน ลงไปได้เลย]  

     

    เสียงของเมอร์ลินดังขึ้นจากลำโพงขนาดเล็กตรงขาแว่น มาร์คตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจกอีกครั้งก่อนจะหยิบกระเป๋าหนังหูหิ้วสีดำ ก้าวเท้าไปยังประตู

     

    [อ้อ เมื่อกี้นี้ยูคยอมแวะมาที่นี่ ผมบอกเขาไปว่าคุณกลับมาที่กองบัญชาการแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะ]

     

    มาร์คได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นต่ำๆ ดังมาจากอีกฝั่งของประตูห้อง และยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตูด้วยตัวเองหรือได้ยินเมอร์ลินพูดจนจบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามครั้ง ตามด้วยบานประตูตรงหน้าที่เปิดเข้ามาโดยไม่รอฟังคำตอบรับจากคนที่อยู่ในห้อง

     

    [เขาไปหาคุณจริงๆ ด้วย] เมอร์ลินเอ่ยหลังจากที่เขาได้เห็นภาพเดียวกับที่มาร์คเห็น

     

    “คุณกลับมาแล้วแต่ไม่คิดจะบอกผมสักคำเลยเหรอ” ยูคยอมพูดพร้อมกับปิดประตูห้อง

     

    “ไม่มีเวลาน่ะ นี่เดี๋ยวก็ต้องรีบไปอเมริกาต่อแล้ว”

     

    “การมาทักทายผมสักนิดคงไม่เสียเวลาคุณมากหรอกมั้ง ช่างเถอะ ในเมื่อเวลาของคุณมีค่านัก ผมก็จะรีบเข้าประเด็น” เด็กหนุ่มตัวสูงค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้จนใบหน้าของเขาที่ก้มมองลงมาอยู่ห่างใบหน้าของมาร์คไปเพียงไปนิดเดียว ปลายจมูกของเขาแทบแตะกับแว่นบนหน้าของชายอายุมากกว่า “ผมมาขอรางวัลที่ผมควรจะได้”

     

    มาร์คเลิกคิ้ว “รางวัลอะไร”

     

    “คุณบอกผมเองว่าถ้าผมทำได้ดี คุณจะให้สิ่งที่ผมต้องการ ผมหวังว่าตุรกีคงไม่ทำให้คุณลืมว่าเคยพูดอะไรไว้” ฝ่ามือใหญ่แตะลงบนไหล่ของมาร์ค เป็นสัมผัสที่ดูธรรมดา แต่มาร์ครู้ดีว่ามือใหญ่ข้างนี้จะคอยรั้งเขาไว้ไม่ให้หลบเลี่ยงไปไหนได้หากมาร์คคิดจะทำ

     

    ทำได้ดี นั่นหมายถึงตอนที่คุณได้เป็นเพอร์ซิวัล นี่ยังไม่ถึงรอบหกคนสุดท้ายเลย”

     

    “ผมจะได้เป็นเพอร์ซิวัล และคะแนนของผมตอนนี้ก็ดีกว่าใครทั้งหมด ผมไปถึงรอบสองคนสุดท้ายแน่”

     

    “ยังไม่ถึงเวลา ยูคยอม”

     

    “ผมดูเหมือนคนที่แคร์อะไรแบบนั้นด้วยหรือไง?”

     

    ในวันนั้น หลังจากที่เขาเห็นว่ายูคยอมมีท่าว่าจะปฏิเสธคำเชิญชวนของเขา เขาได้รีบยื่นเงื่อนไขว่าหากยูคยอมตกลงร่วมทดสอบและทำได้ดีพอจนได้เป็นเพอร์ซิวัล ยูคยอมจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ  

     

    ความคิดนี้แทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและลบแผนการที่จะยิงยาลบความทรงจำใส่ยูคยอมไปอย่างฉับพลัน อาจเป็นเพราะยูคยอมเหมาะสมและเพียบพร้อมอย่างที่เขาต้องการเกินกว่าจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้  แต่ถึงเขาจะยอมเอาตัวเองเป็นเงื่อนไขต่อรองกับยูคยอม ก็ไม่ได้หมายความว่ายูคยอมจะเอาเรื่องนี้มากดดันเพื่อให้เขายอมเอาใจได้อย่างง่ายดาย

     

    คนที่มีอำนาจต่อรองคือเขา ไม่ใช่ยูคยอม

     

    มาร์คกระชากมือของยูคยอมออกจากไหล่ของตนเองอย่างไม่เกรงกลัว เขาจ้องตายูคยอมเขม็ง

     

    “คนเป็นนายจะตัดสินเองว่าจะให้อาหารสัตว์เลี้ยงของตัวเองเมื่อไร และถ้ายังไม่ถึงเวลา ก็คือยังไม่ถึงเวลา ออกไปได้แล้ว” เขาพูดเสียงเย็น

     

    ร่างเล็กพยายามเดินหลบยูคยอมที่ยืนขวางอยู่ไปอีกทาง แต่อีกฝ่ายกลับขยับตัวได้รวดเร็วกว่าที่มาร์คคิดไว้ซึ่งคงเป็นผลจากการฝึก สมกับที่เมอร์ลินให้คะแนนเขาไว้สูงลิบลิ่ว คราวนี้ยูคยอมคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ ไม่ยอมพลาดปล่อยให้มืออีกข้างว่างเหมือนเมื่อครู่นี้ เขาก้มหน้าลงมาใกล้มาร์ค

     

    “คนเป็นนายก็น่าจะรู้นะครับว่าถ้ามัวแต่ปล่อยให้หมามันหิวมันก็จะหาทางให้ได้กิน ไม่สนหรอกว่าถึงเวลาหรือไม่”

     

    ริมฝีปากของยูคยอมประกบลงมาอย่างรวดเร็วและไม่เปิดโอกาสให้มาร์คได้พูดอะไรโต้ตอบ เขาเม้มปากแน่น แต่เนื้อนุ่มที่บดเบียดลงมาก็บังคับให้เขาต้องรับจูบนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เขาอ่อนโยนกว่าที่มาร์คคิด แต่มือสองข้างที่จับไหล่มาร์คไว้ก็ไม่ปล่อยให้เขาหลุดไปได้ตามใจ กระทั่งตอนที่มาร์คปล่อยกระเป๋าในมือทิ้งและกำลังจะแอบใช้แหวนไฟฟ้าช็อต คนที่ควรจะกำลังตักตวงรสจูบจากเขาไปอย่างเพลิดเพลินก็กลับเลื่อนมือลงมาตรึงข้อมือของเขาเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว  พร้อมกับขบเม้มที่กลีบปากล่างของเขาแรงๆ ราวกับทำโทษกัน แต่ยูคยอมก็ไม่ปล่อยให้มาร์ครู้สึกเหมือนโดนแกล้งได้นานเมื่อปลายลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ เร่งจังหวะกระหวัดเกี่ยวและดึงมาร์คให้เตลิดจนหมดแรงที่จะแข็งขืน ยอมโอนอ่อนให้ยูคยอมอย่างยาวนานจนกระทั่งลมหายใจแทบขาดห้วง

     

    จูบจนพอใจแล้วยูคยอมก็ปล่อยมาร์คให้เป็นอิสระ เขากระตุกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นใบหน้าที่เริ่มมีสีเลือดจางๆ ของมาร์ค ผู้ที่ตอนนี้กำลังทั้งอายระคนเจ็บใจที่เมื่อกี้นี้ไม่สามารถตอบโต้ยูคยอมได้ แทนที่เขาจะจัดการให้จูบลามปามเมื่อกี้มันจบลงไปอย่างรวดเร็ว เขากลับปล่อยให้ยูคยอมละลาบละล้วงเขาได้ตามใจแถมยังเป็นคนเลือกเองว่าจะหยุดเมื่อใด

     

    ร่างสูงเดินหลบออกมาจากประตูห้องนิดหนึ่งก่อนจะผายมือให้มาร์ค “เชิญออกไปช่วยโลกได้แล้วครับ กาเวน”

     

    มาร์คได้แต่ระงับความโกรธเอาไว้ในใจเพราะเขาไม่มีเวลาจะมาสะสางกับยูคยอมในตอนนี้ เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมาและกำลังจะเดินผ่านยูคยอมไป แต่หนุ่มอายุน้อยกว่ากลับยื่นมือมาขวางเขาไว้แล้วจัดปกเสื้อและเนกไทของเขาให้เรียบร้อย ไม่ลืมกระซิบให้ได้ยินว่า

     

    Be safe.

     

    เขาสะบัดตัวออกจากมือของยูคยอม จากนั้นจึงก้าวเท้าออกจากห้องอย่างเร่งรีบ ได้ยินเสียงยูคยอมปิดประตูห้องของตัวเองไล่หลังและหันไปมองให้แน่ใจว่ายูคยอมเดินไปอีกทางแล้ว เขาก็ถอนหายใจแรงๆ

     

    “เมอร์ลิน... ผมหวังว่าเมื่อกี้คุณคงไม่...”

     

    [ได้ยินเต็มสองหูและเห็นเต็มสองตาเลยครับ]

     

    มาร์คปลง ช่วยไม่ได้ที่เมอร์ลินจะเห็นและได้ยินทุกอย่างตอนที่เขากำลังสวมแว่นนี่ “เอาเถอะ อย่างน้อยก็แค่คุณคนเดียว”

     

    [เสียใจด้วยนะกาเวน ผมเข้ามาหาเมอร์ลินถูกเวลาไปหน่อย] เป็นเสียงของเจบีที่ดังขึ้นมาแทนที่เสียงของเมอร์ลิน มาร์คแทบทำกระเป๋าหลุดออกจากมือ [นี่น่ะเหรอเด็กสุดเพอร์เฟกต์ของคุณ อย่างน้อยแจ็คสันก็ฟังคำพูดของผมนะ]

     

    “คุณอยากพูดอะไรก็พูดเถอะ แต่สุดท้ายยูคยอมก็จะชนะ”

     

    [อ้อ คุณจะได้ขึ้นเตียงกับเขาได้โดยไม่ต้องมีข้ออ้างหลีกเลี่ยงใช่มั้ย หรือที่คุณเลือกเขามาแต่แรกก็เพราะ...]

     

    “...ขอโทษนะ เมอร์ลิน ไว้เครื่องลงจอดเมื่อไหร่ผมค่อยใส่อีกทีแล้วกัน”

     

    มาร์คพับขาแว่นตาของตัวเองเก็บและเหน็บไว้กับกระเป๋าเสื้อ ปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างตัวเองและเมอร์ลินกับเจบีอย่างเด็ดขาด พร้อมกับสาวเท้าเข้าไปในลิฟต์ที่กำลังจะพาเขาลงไปยังลานจอดเครื่องบินที่อยู่ใต้ดิน หวังว่าการหลับพักผ่อนนานๆ บนเครื่องบินจะทำให้เขาลืมจูบที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเมอร์ลินกับเจบีเมื่อกี้ไปได้

     

    ไม่น่าเชื่อว่าแผนปล่อยสุนัขให้หิวโซเพื่อเร่งให้มันออกล่าจะเห็นผลทันตาขนาดนี้

     

    ***

     

    เมื่อมาร์คกลับมาถึงอังกฤษอีกครั้ง เขาก็ไม่แปลกใจเท่าไรที่เมอร์ลินบอกเขาว่ายูคยอมผ่านการทดสอบรอบรองสุดท้ายได้ฉลุย ผู้เข้ารอบสุดท้ายอีกคนต่างหากที่ทำให้เขาอดทึ่งไม่ได้  ไม่น่าเชื่อว่าคนของเจบีจะผ่านมาถึงรอบนี้ได้เช่นกัน  หลังจากเมอร์ลินแสดงความยินดีกับเขาและเจบีแล้ว มาร์คก็รีบเดินนำเด็กหนุ่มอีกคนออกมา

     

    “ยินดีด้วยนะ คุณทำได้ดีอย่างที่ผมคิดไว้”

     

    “นี่เรากำลังจะไปไหนกัน”

     

    “บ้านผม”

     

    คนที่เดินตามก้าวเท้ายาวกว่าเดิมเล็กน้อยจนตามอีกฝ่ายได้ทัน ใช้แขนยาวโอบเอวของมาร์คเอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่คนโดนโอบไม่มีท่าทางตกใจแต่อย่างใด ยังคงเดินต่อไปด้วยจังหวะเท่าเดิม

     

    ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกนะ” มาร์ครีบพูด

     

    “ผมก็ไม่ได้คิดอะไร หรือว่าคุณคิดล่ะ”

     

     

     

    ทันทีที่มาร์คพายูคยอมไปถึงบ้าน เขาก็ถอดสูทตัวนอกและปลดเนกไทออก แขวนไว้กับที่แขวนสูทไม้อย่างดี  บนตัวเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีถ่านและถุงเท้าสีดำ  ส่วนแขกผู้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกหันซ้ายหันขวาสำรวจห้องรับรองแขกอย่างสนอกสนใจ เขาสะดุดกับรูปครอบครัวในกรอบสีทองขนาดใหญ่ที่แขวนไว้บนกำแพง  นอกจากผู้ชายและผู้หญิงสองคนที่ดูอาวุโสกว่าคนอื่นแล้ว ในรูปก็มีมาร์คที่ดูอ่อนเยาว์กว่าในปัจจุบันนี้สักสี่หรือห้าปี และเด็กหนุ่มอีกคนที่หน้าตาคล้ายกับมาร์คอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน

     

    “นั่นครอบครัวคุณเหรอ”

     

    มาร์คเดินตามมายืนข้างๆ ยูคยอมที่ยืนมองรูปนั้นอยู่ เขาชี้ให้ดูว่าแต่ละคนเป็นใคร “ใช่ นั่นพ่อ แม่ แล้วก็โจอี้ รูปนี้ถ่ายตอนเขาเรียนอยู่ปีสุดท้าย ตอนนี้ทำงานอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ”

     

     “พวกเขารู้รึเปล่าว่าคุณทำงานอะไร”

     

    มาร์คสั่นศีรษะ “พ่อผมรู้คนเดียวเพราะอาเธอร์รู้จักกับท่าน  ส่วนแม่กับโจอี้ และญาติสนิทมิตรสหายคนอื่นๆ เข้าใจว่าผมทำงานอยู่ที่สำนักข้าหลวงใหญ่ในปาปัวนิวกินี”

     

    “และคุณก็อยู่ที่นี่คนเดียว”

     

    “ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนของคิงสแมนต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดนะ พวกที่แต่งงานมีลูกแล้วก็มี แต่ชีวิตการทำงานของพวกเขาก็ยังคงเป็นความลับ” เขาอธิบาย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ไปนั่งตรงนั้นได้แล้ว เราไม่ได้จะมาคุยเรื่องชีวิตส่วนตัวของผม”

     

    ชายหนุ่มเจ้าของบ้านผายมือให้ยูคยอมนั่งลงบนเบาะโซฟาตัวกว้าง ส่วนตัวเองนั่งลงบนเบาะประจำของตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่เด็กหนุ่มตัวสูงกลับยังยืนนิ่ง เหมือนไม่สนใจคำสั่งของมาร์คเมื่อกี้

     

    “นั่งลง”

     

    “...ผมมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้รางวัลผมสักหน่อยเหรอ”

     

    ยูคยอมร้องขอ เขายืนมองมาร์คพร้อมทั้งกะพริบตาปริบๆ ไม่หลงเหลือเค้าของคนเอาแต่ใจที่ฉกฉวยจูบของมาร์คไปในวันก่อน  จากที่ตอนแรกมาร์คจะปฏิเสธ เขาก็ใจอ่อน

     

    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใจดี

     

    “คุกเข่า ตรงนี้”

     

    เขาชี้ไปยังพื้นที่ว่างบนผืนพรมตรงหน้า คนโดนสั่งมองไปยังตำแหน่งนั้นสลับกับมองหน้ามาร์คอีกครั้ง  ดูก็รู้ว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกใจ แต่ยูคยอมก็ยอมทำตามแต่โดยดีด้วยการก้าวเท้าช้าๆ มาหยุดตรงหน้ามาร์คแล้วคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย  มาร์คใช้ปลายนิ้วแตะคางของยูคยอมเบาๆ ให้เขาเชิดหน้าขึ้น เขามองตรงลงไปในดวงตาคู่นั้น  ริมฝีปากสวยระบายยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจ

     

    “ดีมาก สุภาพบุรุษต้องรู้จักรอคอย ไม่รีบร้อนเอาแต่ใจเหมือนครั้งนั้น”

     

    มาร์คกล่าวชมก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงไปมอบรางวัลให้กับยูคยอม จูบเนิบนาบราวกับเพื่อให้ยูคยอมได้ค่อยๆ ละเลียดชิม อาจเป็นเพราะว่าครั้งนี้มาร์คเป็นผู้เริ่ม หรืออาจเป็นเพราะว่ายูคยอมเรียนรู้ที่จะใจเย็นและรอให้เจ้านายเอาของหวานมาป้อนให้ถึงปากเองอย่างเต็มใจมากกว่าจะเร่งเร้า เขาจึงปล่อยให้มาร์คจูบเขาอย่างเชื่องช้า...เนิ่นนาน  เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นหวังจะยึดเหนี่ยวส่วนใดส่วนหนึ่งของมาร์คเอาไว้ แต่ชายหนุ่มกลับปัดมือของอีกฝ่ายทิ้ง  เขาต้องการจำกัดสิ่งที่ยูคยอมจะได้แตะต้อง 

     

    “หวังว่าแค่นี้จะทำให้คุณพอใจ”

     

    มาร์คเอ่ยหลังจากที่ผลักยูคยอมออกไป  รางวัลในรอบนี้สิ้นสุดลงแค่นี้  ทว่ายูคยอมกลับจับต้นขาของเขาไว้ ลูบไล้ขึ้นลงช้าๆ จนน่ากลัวว่าปลายนิ้วหรือฝ่ามือของเขาจะเข้าใกล้จุดที่อันตรายกว่านี้

     

    “ยอมรับเถอะ มิสเตอร์ต้วน คุณต้องการให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของคิงสแมนมากแค่ไหน คุณก็ต้องการผมมากเท่านั้น อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ” มาร์คเผลอเกร็งตัว สัมผัสจากมือของยูคยอมเหมือนทาบทับลงมาบนผิวหนังของเขาโดยตรง เนื้อผ้าของกางเกงที่ขวางกั้นอยู่ไม่ได้ช่วยอะไร และเสียงพูดของยูคยอมก็ทำให้แย่ลงกว่าเดิม “มีคนอีกมากมายที่เหมาะสมกับคิงสแมน คุณจะทิ้งผมไปก็ได้ คิงสแมนไม่ได้ต้องการคนอย่างผมเสมอหรอก คุณต่างหาก...ที่เจาะจงว่าต้องเป็นผมจนถึงกับเอาตัวเองเป็นเดิมพัน”

     

    มาร์คกลั้นหายใจ เขาจับมือซุกซนของยูคยอมไว้อย่างแน่นหนา หยุดการเคลื่อนไหวของมันโดยสิ้นเชิง เขาโน้มตัวลงไปอีกครั้งเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เพื่อพูดเสียงเย็นที่ริมหูของยูคยอมให้เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่า

     

    “และผมก็รู้ว่าคุณต้องการผมมากจนถึงกับห้ามใจไม่อยู่แล้วพูดออกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน มิสเตอร์คิม ฉะนั้น...” เขาเพิ่มน้ำหนักมือข้างที่บีบมือของยูคยอมเอาไว้ “ลุกขึ้น  ไปนั่งตรงนั้น ฟังสิ่งที่ผมจะพูดและสอนคุณในอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ ชนะการทดสอบรอบสุดท้าย แล้วเป็นเพอร์ซิวัลผู้สมบูรณ์แบบที่ผมอยากให้คุณเป็น

     

    ***

     

    ในวันทดสอบรอบสุดท้าย อาเธอร์ เมอร์ลิน และผู้เข้าชิงสองคนสุดท้ายคือยูคยอมและแจ็คสันต่างก็มารวมตัวกันที่ชั้นล่างของกองบัญชาการ  อาเธอร์กับเมอร์ลินแยกกันไปนั่งรออยู่ในคนละห้อง  แจ็คสันกับอิงลิชบูลด็อกสีขาวเดินเข้าไปในห้องที่อาเธอร์อยู่ ส่วนยูคยอมกับโกลเดนรีทรีฟเวอร์เข้าไปในห้องของเมอร์ลิน 

     

    วันนี้มาร์คไม่ได้ติดภารกิจใดๆ จึงมายืนสังเกตการณ์อยู่หน้าห้องสอบ  หากเจบีไม่ได้ติดภารกิจอยู่ที่อื่นก็คงมายืนรอแจ็คสันอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่ก็อาจจะดีแล้วที่เจบีไม่ได้มาเห็นความพ่ายแพ้ของคนของตัวเองที่นี่  มาร์คมั่นใจว่าเขาจะต้องชนะ เขารู้อยู่แล้วว่าบททดสอบรอบสุดท้ายคืออะไร  อย่างยูคยอมคงใช้เวลาทำใจอยู่สักพักแต่ก็ไม่น่าพลาด

     

     

    เปรี้ยง!

     

     

    เสียงดังลั่นมาเร็วกว่าที่มาร์คคาดการณ์ไว้จนกระทั่งเขาที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังตกใจ หูของเขาอื้อไปชั่วขณะ ไม่ถึงหนึ่งนาทีถัดมา ประตูห้องที่เมอร์ลินกับยูคยอมอยู่ด้วยกันก็เปิดออก แต่มีแค่เมอร์ลินเท่านั้นที่ก้าวเท้าตรงมาทางเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     

    “คุณไม่ได้บอกข้อสอบรอบนี้ให้ยูคยอมรู้ใช่มั้ย”

     

    “ผมไม่ได้บอก คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนทำอะไรขี้โกงแบบนั้น”

     

    เมอร์ลินมองตาของมาร์ค แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกและไม่ได้จงใจโกงแน่นอนจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง

     

    “ยูคยอมยิงหมาของตัวเองแทบจะทันทีตอนที่ผมสั่ง เขาไม่ลังเลหรือแสดงอาการเสียใจเลย ดูโล่งอกตอนที่รู้ว่าหมาไม่เป็นอะไร  ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...”

     

    มาร์ครู้ว่าเมอร์ลินต้องการบอกอะไร  ในสถานการณ์คับขัน ความเด็ดขาดที่จะกล้าปลิดชีวิตของคนใกล้ชิดเพื่อรักษาความลับหรือเพื่อความจำเป็นอื่นๆ นั้นก็เป็นเรื่องดีสำหรับสายลับ แต่การตัดสินใจอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยต่างหากที่น่าหวาดหวั่น  เมอร์ลินกำลังกังวล

     

    “แล้วแจ็คสัน...”

     

    “เขาได้ยินเสียงปืนแล้ว ถ้ากล้าทำได้จริงๆ ก็คงทำไปแล้ว และต่อให้เขากล้า คนที่ยิงได้เร็วกว่าก็ชนะอยู่ดี”

     

    นั่นเป็นการยืนยันแล้วว่ายูคยอมคือเพอร์ซิวัลคนถัดไป  เมอร์ลินกำลังจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อรอให้อาเธอร์เข้าไปพบและแสดงความยินดีกับเพอร์ซิวัลคนใหม่อย่างเป็นทางการ ก่อนจะจากไป เขาเอ่ยกับมาร์คว่า

     

    “กาเวน เขาจะต้องทำงานร่วมกับคุณและภายใต้การบังคับบัญชาของคุณในช่วงแรกระวังตัวด้วย

     

    “ผมจัดการเขาได้ เมอร์ลิน”

     

    มาร์คยืนยันหนักแน่นเพื่อคลายความไม่สบายใจของเมอร์ลิน เขามองชายอีกคนกลับเข้าไปในห้องเดิมที่ออกมา ตามด้วยอาเธอร์กับแจ็คสันที่ออกมาจากอีกห้องหนึ่ง ชายหนุ่มผมสีเทาจนเกือบขาวในสูทสีน้ำตาลดูภูมิฐานเดินเข้าไปในอีกห้อง ทิ้งแจ็คสันที่มีสีหน้าผิดหวังให้อยู่กับอิงลิชบูลด็อกของตัวเอง วูบหนึ่งที่มาร์ครู้สึกสงสารที่แจ็คสันต้องพลาดโอกาสนี้ไปด้วยความใจอ่อนของตัวเอง แต่...ก็อย่างที่ดาร์วินกล่าวไว้ ระหว่างการทำภารกิจที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและในโลกที่โหดร้าย คนที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด

     

     

     

    ยูคยอมเดินออกมาจากห้องหลังจากนั้นไม่นานนัก  เขาสบตากับมาร์คก่อนเป็นสิ่งแรก ยื่นสายจูงสุนัขของตัวเองที่มีชีวิตอยู่ปลอดภัยดีให้แก่เมอร์ลิน พอเมอร์ลินกับอาเธอร์จากไปแล้ว มาร์คก็เรียกอีกฝ่ายทันที

     

    “ตามผมมา เพอร์ซิวัล” เขาเอ่ยถึงยูคยอมด้วยรหัสลับประจำตัวใหม่ ไม่ลืมกำชับว่าเมื่อยูคยอมได้รหัสลับประจำตัวแล้ว เขาต้องเรียกมาร์คว่ากาเวนเสมอในเวลางาน  ชายหนุ่มเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องพักของตัวเองที่อยู่อีกชั้น เมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง ยูคยอมก็นึกอะไรได้

     

    “นี่ แล้วสูทที่คุณพาผมไปวัดตัววันก่อนล่ะ”

     

    “ตอนนี้น่ะยังไม่ต้องใช้หรอก”

     

    มาร์คตอบขณะที่คลายปมเนกไทของตัวเอง มองไม่เห็นรอยยิ้มกระหยิ่มอย่างพึงใจของยูคยอมที่ยืนอยู่ข้างหลัง  เขาเดินก้าวเข้าไปในห้องก่อน และยูคยอมก็ตามเขาเข้ามาอย่างว่าง่ายโดยที่เขาไม่ต้องสั่ง  ทั้งที่ยูคยอมรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่พยายามรุกเร้า เหมือนรอให้มาร์คเป็นผู้เริ่มก่อน

     

    นี่เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับมาร์ค  แม้ว่ายูคยอมจะแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว หรืออาจถึงขั้นอำมหิตไร้จิตใจแค่ไหน ยูคยอมต้องไม่ลืมว่าเขา มาร์ค ต้วน เป็นคนชักชวนและดึงยูคยอมมาให้ถึงจุดนี้ได้  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกิดจากความตั้งใจของเขา และเป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาต่างหากที่จะควบคุมและชักจูงยูคยอมได้ทุกย่างก้าว  ยูคยอมอาจคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ต่อรอง ซึ่งเขาคิดผิด เพราะยูคยอมก็แค่ไหลไปตามสิ่งที่เขาวางไว้ทั้งหมดเท่านั้น

     

    เขาผลักยูคยอมลงไปบนเตียง  ตอนนี้ และหลังจากนี้ เขาจะพิสูจน์เรื่องนั้นให้ยูคยอมได้เข้าใจ

     

    สุนัขล่าเนื้อจะดุแค่ไหน ก็ต้องเชื่อฟังนายของมัน

     

     

    END.

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×