คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #269 : พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๔๘ พระชันษาจึงครบรอบร้อยปีในปีนี้ (พุทธศักราช ๒๕๔๘)
เสด็จถึงสถานีนิวตัน ในการเสด็จพระราชดำเนินเมืองกัวลาลัมเปอร์ วันที่ ๒๙ กันยายน ทรงแนะนำเจ้าจอมสุวัทนาแก่สุลต่านสลังงอ |
ทรงเป็นพระมเหสีเทวีพระองค์สุดท้ายในรัชกาลที่ ๖ และเป็นพระองค์เดียวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ทรงระบุไว้ในพระราชพินัยกรรม์ (องค์ พ.ศ.๒๔๖๘ เพิ่มเติมจากพระราชพินัยกรรม์องค์ พ.ศ.๒๔๖๓ ที่พระราชทานไว้ก่อนหน้าแล้ว)
ว่า โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโกศพระอังคารพระนางเจ้าสุวัทนา คู่กับพระโกศบรรจุพระราชสรีรังคาร ซึ่งในพระราชพินัยกรรม์องค์แรกทรงมีพระราชดำรัสว่า ให้กันส่วนหนึ่งของพระราชสรีรังคาร เชิญไปบรรจุใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ณ พระปฐมเจดีย์
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติพระราชธิดา สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ได้เพียงวันเดียว พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ก็เสด็จสวรคต
ตลอดพระชนมชีพของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้ทรงอภิบาลทำนุบำรุงใกล้ชิดสมเด็จพระราชธิดา เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก มิได้ห่างเลยสักเวลาจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๘ พระชันษาได้ ๘๐ ปี
ทรงพระเกียรติยศในฐานะ พระมเหสีในพระเจ้าแผ่นดินสยาม และพระชนนีผู้ประเสริฐมาจนตลอดพระชนมชีพของพระองค์
ซึ่งเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระตำหนักไบรตัน ห่างกรุงลอนดอนไป ๕๐ ไมล์ พร้อมด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ พระราชธิดานั้น คนอังกฤษเรียกกันว่า Queen of Siam ดังที่ คุณเสถียร พันธรังษี เขียนเอาไว้ เมื่อเป็นผู้แทนของหนังสือพิมพ์ ‘ชาวไทย’ ไปทำข่าวงานบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ แล้วเลยไปขอเข้าเฝ้าพระนางเจ้าฯ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๖
ประทับทอดพระเนตรการแข่งขันเทนนิสในงานแอตโฮมฯ ที่จวนคาโคซา วันที่ ๓๐ กันยายน ผู้ที่นั่งเฝ้า ๑ นางสโตนเนอร์ ๔ มิสเตอร์สโตนเนอร์ ๕ สุลต่านแห่งนครสลังงอ และ ๒ เจ้าจอมสุวัทนา |
“ถึงสถานีปลายทาง ต้องอาศัยแผนที่ที่ท่านเอกอัครราชทูตประทานไป ออกจากสถานีก็ยื่นแผนที่ให้ตำรวจ ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในอังกฤษ พอเห็นแผนที่และบ้านเลขที่ที่ประทับ ตำรวจอังกฤษก็รู้ทันที่ว่าเราจะไปหาใคร”
‘Queen of Siam ใช่หรือไม่’ เขาถามและยิ้ม ข้าพเจ้ารับว่าใช่ เขาก็จูงมือเราไปขึ้นรถบัส ซึ่งมีอยู่หลายสายที่จะผ่านชายทะเลไปยังพระตำหนัก
ข้าพเจ้าคิดไปตลอดทาง ถึงคำว่า Queen of Siam คิดถึงคำว่า นางกษัตริย์ของประเทศสยาม ซึ่งคนอังกฤษทั้งหลายพากันขนานพระนามให้ ตั้งแต่มาประทับอยู่ที่พระตำหนักชายทะเลแห่งนี้ ไม่มีใครพูดว่านางกษัรติย์ของประเทศไทยเลยสักคนเดียว”
พระประวัติของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี นั้น แม้จะมิได้มีเชื้อสายแห่งราชตระกูล ก็ทรงเป็นผู้ “มีสกุลสูงทั้งสองสาย” ปรากฏอยู่ในพระบรมราชโองการสถาปนาขึ้นเป็น ‘เจ้า’ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๘
“พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ ฯลฯ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริว่า เจ้าจอมสุวัทนาได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณโดยความซื่อสัตย์กตเวที มีความจงรักภักดีในใต้ผ่าละอองธุลีพระบาทเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมควรที่จะได้ยกย่องให้เป็นใหญ่ เพื่อผดุงพระราชอิสริยยศแห่งพระราชกุมารที่จะมีพระประสูติการในเบื้องหน้า
อนึ่ง เจ้าจอมสุวัทนาก็เป็นเชื้อสกุลที่บรรพบุรุษทั้งสองฝ่าย ได้รับราชการมีความดีความชอบในราชการ ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินต่อเนื่องกันมาหลายชั่วคน คือข้างฝ่ายบิดาของเจ้าจอมสุวัทนาเป็นเชื้อสายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ซึ่งเคยรับราชการเมืองพระตะบองต่างพระเนตรพระกรรณ ตั้งแต่รัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีพระองค์ที่หนึ่งมาจนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ฝ่ายมารดาก็เป็นเชื้อสายสืบสกุลลงมาจากเจ้าพระยาอัครมหาเสนาทางสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ นับว่าเป็นผู้มีสกุลสูงทั้งสองสาย จะทรงยกย่องให้เจ้าจอมสุวัทนามีอิสริยยศสูงในตำแหน่งก็สมควรแล้ว
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็นเจ้า มีพระอิสริยยศ เป็นพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี”
สาแหรกสกุล หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Family Tree ของเจ้่าจอมสุวัทนา เป็นสาขาลงมาดังนี้
เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ + ท้าวศรีสุนทรนาฏ
(วร บุนนาค) (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา)
| |
+--------------------------|----------+
v
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ + คุณเล็ก บุนนาค
(เลื่อม อภัยวงศ์)
| |
+-------------|------------+
v
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
(พระนามเดิมว่า เครือแก้ว)
เสด็ตประพาสร้าน บี.บี. เดอ ซิลวา เกาะหมาก วันที่ ๗ ตุลาคม พร้อมด้วยเจ้าจอมสุวัทนาตามเสด็จ |
พระประวัติของพระนางเจ้าฯ นั้น คงมีผู้เขียนกันไว้หลายสำนวนแล้ว มีความปรากฏโดยสรุปว่า ทรงเข้ารับราชการโดยเข้าไปอยู่กับท้าวศรีสุนทรนาฏ คุณยายซึ่งเข้าไปเป็นครูฝึกหัดการฟ้อนรำในราชสำนักพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ทรงมีพระมเหสีเทวีอยู่ ๒ พระองค์ คือ พระนางเธอลักษมีลาัวัณ และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระบรมราชินี ทรงมีพระสนมเอก ๑ ท่าน คือ พระสุจริตสุดา
และเวลานั้น สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระบรมราชินีทรงเป็น ‘ข้างใน’ ที่มีพระอิสริยยศสูงสุด
ตามพระประวัติพระมเหสีเทวีและพระสนมเอกนั้นปรากฏว่าทรงจดทะเบียนสมรสด้วยทั้ง ๓ พระองค์ และ ๑ ท่าน
ดังนั้น จึงมีผู้สงสัยกันมากเรื่อง “จดทะเบียนสมรส”
ที่จริงสมัยนั้นเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ บรรดา ‘ข้างใน’ แห่งองค์พระมหากษัตริย์ ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรส
หากแต่ว่า ใน พ.ศ.๒๔๕๗ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ ๕ ปี โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศกฏมณเฑียรบาล ว่าด้วยครอบครัวแห่งข้าราชการในราชสำนัก บังคับให้ข้าราชสำนักต้องจดทะเบียนชื่อภรรยาทุกคน และถ้ายังไม่มีภรรยา ต่อไปหลัีงจากออกกฏมณเฑียรบาลนี้ หากจะมีภรรยาต้องจดทะเบียนที่กรมตนสังกัด
ทอดพระเนตรการแข่งขันคลี ที่สุลต่านอีสคันดาจัดมีขึ้นถวาย ณ สนามเมืองกัวลากังสาร์ วันที่ ๘ ตุลาคม ผู้ที่นั่งเฝ้า ๑ นางพารร์ ๒ รายาประไหมสุหรี ๖ รายามูดาแห่งเประ และ ๔ เจ้าจอมสุวัทนา |
แต่เมื่อในสมัยก่อนโน้นความนิยมในการมีภรรยาหลายคนยังคงอยู่ในสังคม จึงมีมาตรา ๑๖ กล่าวว่า
“มาตรา ๑๖ ผู้ใดที่มีภรรยาหรือเคหสถาน อันได้จดทะเบียนแล้ว ถ้าจะมีภรรยาหรือเคหสถานเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า ต้องไปจดทะเบียนเพิ่มเติมภายในกำหนดปักษ์หนึ่ง นับแต่วันได้ภรรยาใหม่ หรือได้เป็นเจ้าของเคหสถานใหม่นั้นเป็นต้นไป”
ทั้งยังมีมาตรา ๓๕ ที่ว่า
“มาตรา ๓๕ ผู้ใดได้มีภรรยาแล้ว แต่ได้หย่าร้างกับภรรยาแล้วก็ดี หรืออยู่แยกกับภรรยาโดยความยินยอมพร้อมใจกันก็ดี ท่านว่าให้ถือเอาเป็นคนโสด”
จึงถือว่าการทรงจดทะเบียนรับพระมเหสีเทวีและเจ้าจอมนั้น ทรงปฏิับัติตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยครอบครัวฯ นั่นเอง ซึ่งมิได้เหมือนกับการ ‘จดทะเบียนสมรส’ ในกฏหมายปัจจุบัน
ในเดือนกันยายนปีนั้นเอง เสด็จฯ พระราชดำเนินประพาสประเทศมะลายู ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้เจ้าจอมสุวัทนาตามเสด็จในฐานะ ‘ข้างใน’ พร้อมด้วยท้าวนางและข้าหลวง แม้เจ้าจอมสุวัทนาจะยังมิได้มีพระอิสริยยศเป็นพระมเหสีเทวี ก็ทรงยกย่องคู่กันกับพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินกลับเดือนตุลาคม เจ้าจอมสุวัทนาก็ยังคงเป็นเจ้าจอมสุวัทนาอยู่ จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๘ จึงได้โปรดฯ ให้เปลี่ยนท้ายพระนามสมเด็นพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระบรมราชินี เป็น “สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา”
และวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๘ นั้นเอง ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนา ขึ้นเป็น “พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี”
ความคิดเห็น