คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : หงสาพ่าย...เมืองหน่ายฮึกเหิม
:::หงสาพ่าย...เมืองหน่ายฮึกเหิม:::
...เมื่อได้ทัพเมืองคังมาสมทบอีกสองพัน พระอินทราธิปราชนัดดาก็ทรงตั้งให้เจ้าฟ้าเมืองคังเป็นรองแม่ทัพ แลทรงบัญชาให้คัดเลือกทหารเมืองคังชั้นดีลงมาไว้ที่ทัพหน้า ๕๐๐ นาย...
...ทางฝ่ายเศิกขวัญที่ควบคุมบัญชาการอยู่ทัพหลักนั้น รับเอาทหารเมืองคังส่วนที่เหลือเข้ามาศึกษายุทธภูมิเมืองหน่าย ทั้งเส้นทางหลักเส้นทางรองจนช่ำชองภูมิประเทศ เนื่องด้วยว่าเมืองหน่ายเองก็เป็นเมืองลักษณะคล้ายกับเมืองคัง...
...พุทธศักราช ๒๑๒๗ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ จอศก กองทัพฝ่ายหงสาวดีอันมีกะเหรี่ยงและคะยาก็ยกมาถึงชายแดนเมืองหน่ายตั้งทัพอยู่ร่วมค่ายเดียวกัน ส่วนกองทัพอังวะนั้นยังมิได้ยกข้ามแดนเข้ามาแต่อย่างใด ยังคงเดินทัพอย่างล่าช้า ด้วยแม่ทัพชะล่าใจคิดว่าเมืองหน่ายนั้นเป็นเมืองเล็ก ลำพังเพียง ๒ เมืองประเทศราชที่ยกมานั้นก็เพียงพอแล้ว ไพร่พลอังวะอันเป็นเชื้อพม่าแท้มิจำต้องเสียเลือดเนื้อ...
...ฝ่ายเมืองหน่ายครั้นพอทราบข่าวศึกยกประชิด พระอินทราธิปก็เสด็จลงมาบัญชาการทัพอยู่ที่ทัพหน้า พร้อมด้วยเจ้าฟ้าเมืองคัง รับสั่งให้คัดเลือกทหารกล้ามีฝีมือจัดเป็นหมู่ทะลวงฟัน ๓๐ นาย หมู่กล ๑๐ นาย หมู่ตลบหลัง ๒๐ นาย และกองโจรใหญ่อีก ๑๐๐ นาย ออกไปซุ่มอยู่ในป่าพอมองเห็นค่ายข้าศึก โดยพระองค์และสองขุนทหารเอกนั้นก็ร่วมอยู่ในกองกำลังนี้ด้วย...
...ส่วนในค่ายทัพหน้านั้น ทรงรับสั่งให้กำลังทหารที่เหลือแบ่งออกมาซุ่มนอกค่ายคืนละร้อยหนึ่ง ครั้นพอรุ่งเช้าให้ทำทียาตราทัพลงมาจากเมือง ทำเช่นนี้ทุกวันคืน ให้เสียงกลองมโหระทึกเป็นจังหวะเคลื่นทัพอยู่ทุกยาม เพื่อลวงข้าศึกว่ากองทัพเมืองหน่ายเมืองคังนั้นมีไพร่พลมาก เข้าเติมทัพหน้ามิขาดสาย...
...ล่วงไปสามราตรี ไม่มีทีท่าว่าจะมีการเข้าสัประยุทธ์กันแต่ประการใด พระอินทราธิปจึงคิดก่อกวนทำลายขวัญกำลังใจข้าศึก รับสั่งให้กองโจรวางแนวเป็นจันทร์เสี้ยวซุ่มอยู่ในป่า ปีกแถวสองข้างยาวพอดีกับแนวค่ายข้าศึก แลให้โห่ร้องตีดาบตีทวญทำว่ามีกำลังพลมากและมีจิตใจฮึกเหิม ทั้งยังให้หมู่ทะลวงฟันซุ่มอยู่ด้านข้างผลัดกันยิงธนูเข้าไปในค่ายข้าศึกมิให้ขาดตลอดทั้งคืน ครั้นพอแจ้งก็ให้ทำเสมือนว่ามิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น...
...เหล่ากองโจรทำเช่นนี้อยู่ถึงเจ็ดราตรี ก็ยังไม่มีการตอบโต้จากข้าศึก...
...ต่อมา...ทหารหมู่ทะลวงฟันผู้หนึ่งได้ออกลาดตระเวนหาข่าวจนสืบทราบว่า ทัพที่ยกมานี้กำลังรอทัพอังวะมาสมทบ และกองทัพอังวะได้เดินทัพล่วงมาถึงชายแดนแล้ว จะถึงในวันพรุ่ง...
...เมื่อทราบดังนั้นและเห็นว่าทัพนี้จะไม่รบจนกว่าอังวะจะมาถึง ราตรีนั้นพระอินทราธิปก็รีบยกกำลังอ้อมค่ายข้าศึกลงไปประชิดชายแดน จนทราบถึงที่พักทัพของอังวะ ครั้นแล้วก็ให้หมู่ทะลวงฟันบุกเข้าจู่โจมทัพหน้าอังวะ ฝ่ายทัพหน้าอังวะมีกำลังส่วนล่วงหน้าเพียงน้อยถูกซุ่มโจมตีไม่ทราบจำนวนข้าศึก ก็หนีแตกลงมาทางทัพใหญ่...
...ทางฝ่ายทัพใหญ่เห็นกองหน้าแตกลงมาก็แตกตื่นพากันระวังตัว...
...ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด เหล่าทหารเมืองอังวะ ภายใต้การบัญชาทัพของมังยีนันตูแม่ทัพหนุ่มอ่อนประสบการณ์ต่างกุมอาวุธในมือแน่น สายตาทุกคู่เฝ้าระวังรอบด้าน...
...แม้ทัพอังวะจะยกมามากถึงห้าพัน แต่เมื่อมองไม่เห็นศัตรูย่อมมิอาจทราบได้ว่าศัตรูมีมากเท่าใด...
...ทันใดนั้น!!! ห่าลูกดอกก็สาดใส่ทัพอังวะทางด้านทิศบูรพา ฝ่ายทหารอังวะต่างกรูเข้ามาต่อรบ ไม่ทันไรทางทิศอุดรก็ถูกจู่โจมในลักษณะเดียวกัน ทหารบางส่วนล้มตายบ้างเจ็บบ้าง มังยีนันตูตัดสินใจสั่งจู่โจมเป็นหน้ากระดานมุ่งไปทางทิศอิสาน ห่าธนูยังคงพวยพุ่งสวนทัพมาไม่ขาดสาย ถูกทหารล้มตายไปมากนัก...
...ฝ่ายอังวะรุกเรื่อยจนลึกเข้าไปในป่าทึบหมายจะควานหากองทหารลึกลับ แต่ยิ่งลึกมากเท่าใด ไพร่พลก็ยิ่งถูกลูกดอกตายไปเท่านั้น มังยีนันตูนั่งอยู่บนหลังม้าเห็นท่าไม่ดีจึงสั่งหยุดทัพ เพื่อจับทิศทางที่แน่นอนของข้าศึก...
...ทันใด!!! กองทหารลึกลับก็โดดเข้าจู่โจมจากบนต้นไม้บ้าง ผุดขึ้นมาจากกอหญ้าบ้าง โผล่ออกมาจากเครือเถาวัลย์บ้าง เข้าฆ่าฟันทหารอังวะที่กำลังสับสน เสียงเห่โห่ดังก้องไล่หลังมาจากทางทิศหรดี คราวนี้เห็นเป็นกองกำลังถนัดตามีประมาณร้อยหนึ่ง...
...มังยีนันตูหันหลังกลับมามองจึงรู้ว่าเสียท่า ถูกข้าศึกลวงตลบหลัง จึงร้องสั่งทหารให้กลับหลังหันเข้าตะลุมบอน ฝ่ายทหารที่รบติดฟันทางด้านหน้าก็ไม่สามารถหันหลังกลับมาสู้ได้ ฝ่ายทางด้านหลังก็ลังเลเกรงว่าทางด้านหน้าจะลอบเข้าด้านหลัง...
...ความพะว้าพะวงบวกกับความตกใจไม่ทันตั้งตัว ทำให้ไพร่พลอังวะถูกจู่โจมอย่างไร้ทางต่อสู้...
...ด้วยความที่เป็นแม่ทัพ มังยีนันตูกับทหารอารักขาอีกจำนวนหนึ่งหันหน้าเข้าสู้กองทัพข้าศึก พระอินทราธิปรบติดพันอยู่ทอดพระเนตรเห็นม้าขุนศึก ทราบชัดว่าเป็นแม่ทัพก็วิ่งเข้าต่อรบ...
...เจ้าชายหนุ่มวิ่งขึ้นต้นไม้เหนือหัวมังยีนันตูอย่างว่องไว ขุนพิทักษ์แลหมื่นฤทธิ์เห็นดังนั้นก็เร่งเข้าประชิดม้าแม่ทัพข้าศึกสังหารพลอารักขาสิ้น ครั้นพอได้จังหวะเจ้าชายหนุ่มโหนพระองค์ลงถีบเข้ากลางหลังแม่ทัพอังวะอย่างเต็มเชิง ร่างมังยีนันตูลอยจากหลังม้าล้มกลิ้งลงคลุกกับพื้น ขุนทหารทั้งสองเข้าจับตัวเอาดาบคู่กายจ่อคอหอยไว้...
"แม่ทัพพวกเอ็งถูกจับแล้ว จงยอมแพ้เสียโดยดี!" พระอินทราธิปตะโกนร้องบอกเหล่าทหารที่สู้รบกันอยู่ ฝ่ายอังวะเห็นดังนั้นก็ยอมจำนนทิ้งอาวุธ ฝ่ายไทยใหญ่บางคนแม้ทหารข้าศึกวางอาวุธแล้วก็ยังเข้าฆ่าเล่นจนหนำใจ เพราะไทยใหญ่ทุกผู้ล้วนแค้นเคืองชิงชังพม่ายิ่งนัก จนเจ้าชายหนุ่มต้องร้องบอกขอชีวิต...
...ทหารอังวะถูกจับนับได้สี่ร้อยกว่า พวกเจ็บนั้นร่วมสองพัน ที่เหลือเป็นพวกตาย...
...พวกเชลยถูกจับมัดโยงกันเป็นทอด ถูกควบคุมกลับไปยังค่ายฝ่ายเมืองหน่าย พร้อมเครื่องศาสตราวุธ ม้า วัว ควายและเสบียงจำนวนมาก...
...เมื่อกลับถึงค่ายนั้นเป็นเพลาเช้าพอดี พระอินทราธิปรับสั่งให้ขุดหลุมลึกลง ๓ วา กว้างพอใส่คนร้อยกว่า จำนวน๑๐ หลุม ให้เอาซุงมาทำตะแลงแกงขนาดใหญ่พอดีหลุม แล้วจับนักโทษใส่ขังไว้ จากนั้นรับสั่งให้คุมตัวมังยีนันตูขึ้นไปไว้ในเมือง...
...ครั้นแล้วก็เรียกชาวเมืองออกมาชุมนุมกัน ชาวบ้านต่างตื่นเต้นเมื่อทราบข่าวพระอินทราธิปชนะศึกกลับมา ต่างพากันออกมายินดี และสาปแช่งก่นด่า บ้างก็จะตรงเข้าทำร้ายมังยีนันตู แต่ก็ถูกทหารกันไว้...
...หน้าบ้านเศิกขวัญคือลานชุมนุมของชาวเมือง บนแท่นหินขนาดใหญ่คือพระอินทราธิปราชนัดดานักรบผู้สง่างาม ข้างพระองค์นั้นคือมังยีนันตูแม่ทัพพม่าผู้ปราชัย ถูกมัดมือไพล่หลังนั่งคุกเข่าอยู่
"เมื่อราตรีก่อน เราพร้อมทหารกล้าจำนวนร้อยกว่า ทราบข่าวอังวะยกประชิดแล้ว จึงรีบยกออกไปต่อรบ..." สิ้นดำรัส กษัตริย์หนุ่มผินพระพักตร์ไปอีกทางหนึ่ง
"อังวะยกมาถึงห้าพัน" สิ้นเสียงชาวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บ้างห่อปากทำท่าตกใจ เสียงหืออือดังระงมไปทั่ว
"อาศัยว่าเราชำนาญภูมิประเทศ จึงใช้กลอุบายจนชำนะข้าศึกในคราวนี้ได้"
"แต่อย่างไรเสีย...การศึกครั้งนี้อาจจะชำนะมิได้ หากปราศจากขวัญกำลังใจอันฮึกเหิมจากพวกท่านทั้งหลาย ที่ได้ส่งผ่านทหารกล้าทุกนายให้พึงระลึกไว้เสมอว่า สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นได้กระทำอยู่เบื้องหน้า หาใช่กระทำไปด้วยความหิวกระหายในสงคราม หากแต่ได้กระทำเพื่อการชำระล้างอดีตอันแสนทุกข์ระทม..." ชาวบ้านต่างจับจ้องมาที่พระอินทราธิป พระองค์ตรัสได้กินใจนัก
"เราอยู่ใต้อำนาจหงสาวดีมานานแล้ว นานจนบางคนคิดว่าตัวเรานั้นก็เป็นคนหงสา..."
"แต่วันนี้! เราจะประกาศให้เทพยุดาฟ้าดินได้รับรู้ทั่วกันว่า ไทยใหญ่มิได้สัมพันธ์กับหงสาวดี มิได้มีความเกี่ยวข้องกันฉันท์มิตร มิได้สนิทชิดในเชื้อแห่งชนชาติ มิได้อยู่ใต้อำนาจของหงสาวดี และมิได้อยู่ร่วมในสุวรรณปฐพีเดียวกัน อีกต่อไป!!!"
สิ้นพระดำรัส เกิดอสุนีบาตลงมากลางที่ประชุมนั้น แต่มิได้ถูกใครเป็นอันตราย ทันใดพระอินทราธิปทรงเงื้อพระแสงศาสตราวุธฟันลงปลิดชีพมังยีนันตูคอขาดกระเด็น ชาวบ้านโห่ร้องกึกก้องทั่วทั้งบริเวณ...
"ไตเฮาก็มีชัยเหนือหงสาวดีได้!!!" พระอินทราธิปตะเบงพร้อมชูพระแสงศาสตราวุธขึ้น ชาวบ้านชูมือชูอาวุธโห่ร้องอย่างฮึกเหิม...
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
...ความปราชัยของหงสาวดีในครั้งนี้ สร้างความอัปยศไปทั่วทุกหัวเมือง บรรดาเจ้าฟ้าไทยใหญ่ที่เคยสวามิภักดิ์ต่อหงสาวดีต่างคิดเอาใจออกห่าง...
สิ้นพระดำรัส เกิดอสุนีบาตลงมากลางที่ประชุมนั้น แต่มิได้ถูกใครเป็นอันตราย ทันใดพระอินทราธิปทรงเงื้อพระแสงศาสตราวุธฟันลงปลิดชีพมังยีนันตูคอขาดกระเด็น ชาวบ้านโห่ร้องกึกก้องทั่วทั้งบริเวณ...
"ไตเฮาก็มีชัยเหนือหงสาวดีได้!!!" พระอินทราธิปตะเบงพร้อมชูพระแสงศาสตราวุธขึ้น ชาวบ้านชูมือชูอาวุธโห่ร้องอย่างฮึกเหิม
...ต่อมา...ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาได้ทราบข่าวศึกเมืองหน่ายก็ยินดียิ่งนัก ด้วยเพราะหงสาวดีนั้นเมื่อปราบเมืองไทยใหญ่มิได้ ก็เท่ากับขาดกำลังทัพจากไทยใหญ่ไปส่วนหนึ่งในการยกเข้ามาตีกรุงศรี...
...ที่กรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงกำลังเร่งฝึกหัดกองทัพของพระองค์เอาไว้รับมือหงสาวดี...
...พระองค์ทรงคัดเลือกบรรดาชายฉกรรจ์ที่อาสาเข้ามาในทัพ พวกลูกเจ้านายขุนนางก็ทรงให้เป็นหัวหน้ากองรบต่างๆ ด้วยเพราะลักษณะสังคมอยุธยานั้น มีความนับถือกันตามบรรดาศักดิ์อยู่โดยเดิม เมื่อผู้มีบรรดาศักดิ์นั้นมีบุตรธิดา บุตรธิดาก็จะถูกยกไว้ในชั้นหัวหน้าของบรรดาเด็กทั้งหลายในวัยใกล้เคียงกัน...
...การฝึกกองอาสารบดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง ทหารกล้าผู้เข้ารับการฝึกต่างตั้งใจ ด้วยเพราะการศึกในภายภาคหน้านั้น หาใช่เดิมพันด้วยบ้านเมืองแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากแต่เป็นศึกที่จะประกาศจุดยืนและความเป็นเอกราชอย่างเต็มตัว...
"สมเด็จพี่ได้ข่าวศึกเมืองหน่ายหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า" พระเอกาทศรถตรัสถามพระนเรศวรระหว่างทั้งสองพระองค์ดำเนินทอดพระเนตรการฝึกในค่ายต่างๆ พระนเรศวรทรงหยุดดำริครู่หนึ่งก่อนหันมาตรัสตอบ
"อืม...พี่ได้ยิน ข่าวว่าหงสายกมาหลายพัน แต่ต่อรบเอาเมืองหน่ายไม่ได้"
"มันจะได้เยี่ยงไรพระเจ้าข้า หงสาวดีมันถือว่ากำลังมันมีมาก ยกไปตีเมืองใดก็ยกเข้าต่อรบเสียตรงๆ นี่เพราะแม่ทัพเมืองหน่ายนั้นมีปรีชารู้ทันท่าทีของหงสาวดี จึงชำนะศึกนี้ได้โดยง่าย" ตรัสเสร็จพระเอกาทศรถทรงเอื้อมพระหัตถ์ลงหยิบทวญไม้เล่มหนึ่ง ที่ทหารฝึกซ้อมต่อสู้กันแล้วฝ่ายหนึ่งเสียท่าถูกตวัดหลุดมือลิ่วมาตกเฉพาะพระพักตร์ ทหารนายนั้นรีบวิ่งมากราบบังคมทูลขอพระราชอาญา แต่พระองค์โบกมือเชิงว่าไม่เอาความ ก่อนส่งทวญไม้คืนทหารนายนั้นไป...
"พี่ทราบข่าวพี่ก็ยินดีนัก และรู้ทันทีว่าผู้ใดคือแม่ทัพในการศึกครั้งนี้"พระนเรศวรตรัสเสร็จทรงแย้มพระสรวล
"จะใครเล่า ก็อินทราธิปไงพระเจ้าข้า" พระเอกาทศรถตรัสเสริม พลันตรัสต่อ
"หม่อมฉันหวังว่า อินทราธิปจะยกลงมาช่วยตลบหลังในศึกครานี้ได้ทันท่วงที"
"แม้อินทราธิปจะเป็นเสมือนพ่อเมืองหน่ายไปแล้วในเพลานี้ แต่หน้าที่รับผิดชอบต่อมาตุภูมิย่อมไม่เคยเลือนไปจากใจเป็นแน่ ...นับว่าดีแล้วที่เราได้ไทยใหญ่ไว้เป็นมิตร เพราะเราต่างก็ไทยด้วยกัน จะให้มาพิฆาตฆ่าฟันกันเองนั้นใช่เรื่อง อีกทั้งไทยใหญ่ก็ชิงชังหงสาวดีไม่ต่างเรา นับว่าอินทราธิปนั้นฉลาดนัก ที่กระทำการจนได้หัวใจคนไทยใหญ่ไว้ทั้งเมือง..." พระนเรศวรตรัสอย่างภาคภูมิใจ
"เพลานี้ ไทยใหญ่กับไทยสยามนั้นก็เปรียบประดุจมหามิตรกันโดยแท้..."
สองกษัตริย์ทรงพระดำเนินทอดพระเนตรค่ายฝึกต่างๆ ต่อไป
พระนเรศวรทรงดำริถึงอดีตที่เคยเติบโตด้วยกันมาพร้อมกับพระองค์ชายทั้งหลายในพระราชวังหลวง เดิมทีพระองค์กับพระเอกาทศรถและพระอินทราธิปนั้นก็เคยเล่นฟันดาบ กระบี่กระบองด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์ บางครั้งก็แบ่งฝ่ายกันรบ ผลัดให้ฝ่ายหนึ่งรุก ฝ่ายหนึ่งรับ และพระองค์ทั้งสามมักจะอยู่ฝ่ายเดียวกันเสมอ เมื่อพระองค์นึกไปถึงเพลานั้นก็ดำริขึ้นในพระหทัย
"ไม่นึกว่าเมื่อเจริญชันษาแล้ว เราทั้งสามจะได้ร่วมกันทำศึกของบ้านเมืองจริงๆ"
ทันใดขุนราชวรินทร์และขุนอินทรเดช นายทัพผู้มีฝีมือเก่งกล้าก็วิ่งเข้ามานั่งคุกเข่าประนมมือถวายบังคม
"ถวายบังคมพระเจ้าข้า...ตามพระบัญชาที่ทรงให้หม่อมฉันแลขุนอินทรเดชออกไปสืบราชการที่กาญจนบุรีนั้น...บัดนี้ได้ความมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า..." สิ้นคำ พระนเรศวรตรัสถามอย่างรีบร้อน
"ว่าอย่างไร ท่านจงแจ้งมาโดยพลัน"
"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันทั้งสองได้รับแจ้งจากพวกมอญกองอาทมาตเมืองสังขละว่า พระยาพะสิมคุมไพร่พลสามหมื่นยกผ่านด่านพระเจดีย์เข้ามาเรียบร้อยแล้วพระพุทธเจ้าข้า..."
"ฮึ! ทัพพระสิมยกเข้ามาแล้วรึ แล้วทางพระยากาญจนบุรีว่าอย่างไร"
"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า พระยากาญจนบุรีคงไม่มีกำลังพอจะต้านทานทัพพะสิมได้พระพุทธเจ้าข้า" ขุนอินทรเดชรีบประนมมือขึ้นกราบทูล
พระองค์ดำทรงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทรงพยักพระพักตร์นัยน์ว่าดำริบางอย่างอยู่ในพระหทัย ขุนทหารทั้งสองมองหน้ากันไปมา พระเอกาทศรถทรงเห็นดังนั้นก็ตรัสถาม
"สมเด็จพี่อย่าได้ทรงห่วง...แม้จะต้องเสียไปหนึ่งทอง เราก็ยังเหลืออีกหนึ่งทองพระพุทธเจ้าข้า ...แลดูเหมือนว่าทองนี้ข้าศึกจะมาหักเอาไปมิได้ง่ายนัก..."
พระองค์ดำได้สดับดังนั้นก็ทรงผินพระพักตร์ไปทางพระเจ้าน้องยา พลันสบพระเนตรแสดงความเข้าพระทัย
"อืม...เสียเมืองกาญจน์ ยังมีเมืองสุพรรณ..."
ขุนทหารทั้งสองได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าใส่กัน เชิงเข้าใจพระดำรัสของสมเด็จพระเจ้าน้องยา
"ถ้าเช่นนั้น...ท่านทั้งสองจงไปแจ้งบรรดาแม่ทัพนายกองออกญาพระยาขุนนางผู้ใหญ่ในฝ่ายพระยุทธนากลาโหมทั้งสิ้นมวลมาชุมนุมโดยพร้อมกันที่ในท้องพระโรง ยามหนึ่งราตรีนี้เถิด..."
"พระพุทธเจ้าข้า" ขุนราชวรินทร์ ขุนอินทรเดช รับพระบัญชาก่อนกราบบังคมทูลลาไป
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:::เมืองหน่าย:::
หลังจากเสร็จศึกเมืองหน่ายแล้ว บรรดาชาวเมืองก็สถาปนาเศิกขวัญเป็นเจ้าฟ้าเมืองหน่าย ส่วนเจ้าฟ้าเมืองคังนั้นก็กลับไปปกครองเมืองคังตามเดิม พวกไทยใหญ่เมืองเล็กน้อยทั้งหลายต่างเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ยังแต่พวกไทยใหญ่เมืองใต้ที่คงเกรงกลัวหงสาวดีอยู่
พระอินทราธิปราชนัดดายังคงประทับอยู่ ณ เมืองหน่าย เพื่อฝึกทหารไทยใหญ่ให้สามารถป้องกันตนเองได้
วันหนึ่ง...หมื่นฤทธิณรงค์วิ่งตรงมายังที่ประทับอย่างรีบร้อน
"พระโอรส!! พระโอรสพระเจ้าข้า!!"
อินทราธิปหันไปตามเสียงเรียก ขุนพิทักษ์ราชกิจทำหน้างุนงงพลันพนมมือขึ้นกราบทูล
"มันรีบร้อนอะไรของมันพระเจ้าข้า" สิ้นคำ หมื่นฤทธิ์ก็เข้ามาในถึงที่ประทับพอดี พลันกราบทูลด้วยความตระหนก
"พระโอรส!! ทัพพะสิมยกประชิดเมืองกาญจน์แล้วพระเจ้าข้า"
"ฮะ! จริงรึ!" พระอินทราธิปตกพระทัย พลันลุกขึ้นจากพระแท่น
"พระเจ้าข้า พวกอาทมาตส่งข่าวมาบอกหม่อมฉันเมื่อสักครู่นี่เองพระเจ้าข้า" สิ้นคำขุนทหาร พระโอรสหนุ่มทำท่ารีบร้อน ฉวยพระแสงดาบแล้วดำเนินออกนอกเรือนที่ประทับไป สองทหารมองหน้ากันพลันเดินตามอย่างเร่งรีบ
นายหอกลองลั่นกลองรวมพล ไม่นานนักเหล่าทหารอาสาทัพไทยใหญ่ต่างรวมกันเป็นระเบียบอยู่เฉพาะพระพักตร์ พระอินทราธิปราชนัดดาขึ้นทรงม้า
"ทหารกล้าทั้งหลาย...บัดนี้หงสาวดียกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคราแล้ว..." สิ้นพระดำรัส เหล่าทหารสูดหายใจลึกอย่างฮึกเหิมเสมือนรอเสียงสวรรค์สั่งให้จับอาวุธต่อสู้อีกคราหนึ่ง อันอริราชศัตรูนั้นคือผู้ที่ทำความแค้นอันหนักหนาไว้ให้กับแผ่นดิน แม้ตัวต้องตายก็ขอให้ได้เอาชีวิตศัตรูมาชำระ
"เราจักยกทัพลงไปช่วยสมเด็จพระเชษฐาธิราช..." พลันสายพระเนตรกวาดไปทั่วบริเวณ ทหารไทยใหญ่กำอาวุธแน่น
"ทหารกล้าผู้ใด...จักอาสาไปกับเราบ้าง!" สิ้นพระสุรเสียง เหล่าทหารไทยใหญ่ชูศาสตราวุธขึ้นโห่ร้องกึกก้อง พระอินทราธิปแย้มพระสรวลเล็กน้อย พระองค์ชื่นพระทัยนัก ไม่เสียทีที่ได้ทำคุณไว้ให้แก่แผ่นดินไทยใหญ่...
ทิวาต่อมา กองทัพพระอินทราธิปราชนัดดาจำนวน ๑,๐๐๐ นายก็ยาตราออกจากเมืองหน่ายมุ่งสู่ลำน้ำสาละวิน...
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
...จะบรรจบรบทัพกับข้าศึก...
...ให้ก้องกึกกอบกู้สู้หงสา...
...จะยกรวมร่วมทัพกับอยุธยา...
...ให้พระเชษฐาธิราชไม่ขาดพล...
ความคิดเห็น