ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ... ขุนโจร ... The Warrior of King Nares

    ลำดับตอนที่ #16 : หงสาพ่าย...เมืองหน่ายฮึกเหิม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 548
      2
      31 ธ.ค. 49

    :::หงสาพ่าย...เมืองหน่ายฮึกเหิม:::

    ...
    เมื่อได้ทัพเมืองคังมาสมทบอีกสองพัน พระอินทราธิปราชนัดดาก็ทรงตั้งให้เจ้าฟ้าเมืองคังเป็นรองแม่ทัพ แลทรงบัญชาให้คัดเลือกทหารเมืองคังชั้นดีลงมาไว้ที่ทัพหน้า ๕๐๐ นาย...

    ...
    ทางฝ่ายเศิกขวัญที่ควบคุมบัญชาการอยู่ทัพหลักนั้น รับเอาทหารเมืองคังส่วนที่เหลือเข้ามาศึกษายุทธภูมิเมืองหน่าย ทั้งเส้นทางหลักเส้นทางรองจนช่ำชองภูมิประเทศ เนื่องด้วยว่าเมืองหน่ายเองก็เป็นเมืองลักษณะคล้ายกับเมืองคัง...

    ...พุทธศักราช ๒๑๒๗ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ จอศก กองทัพฝ่ายหงสาวดีอันมีกะเหรี่ยงและคะยาก็ยกมาถึงชายแดนเมืองหน่ายตั้งทัพอยู่ร่วมค่ายเดียวกัน ส่วนกองทัพอังวะนั้นยังมิได้ยกข้ามแดนเข้ามาแต่อย่างใด ยังคงเดินทัพอย่างล่าช้า ด้วยแม่ทัพชะล่าใจคิดว่าเมืองหน่ายนั้นเป็นเมืองเล็ก ลำพังเพียง ๒ เมืองประเทศราชที่ยกมานั้นก็เพียงพอแล้ว ไพร่พลอังวะอันเป็นเชื้อพม่าแท้มิจำต้องเสียเลือดเนื้อ...

    ...ฝ่ายเมืองหน่ายครั้นพอทราบข่าวศึกยกประชิด พระอินทราธิปก็เสด็จลงมาบัญชาการทัพอยู่ที่ทัพหน้า พร้อมด้วยเจ้าฟ้าเมืองคัง รับสั่งให้คัดเลือกทหารกล้ามีฝีมือจัดเป็นหมู่ทะลวงฟัน ๓๐ นาย หมู่กล ๑๐ นาย หมู่ตลบหลัง ๒๐ นาย และกองโจรใหญ่อีก ๑๐๐ นาย ออกไปซุ่มอยู่ในป่าพอมองเห็นค่ายข้าศึก โดยพระองค์และสองขุนทหารเอกนั้นก็ร่วมอยู่ในกองกำลังนี้ด้วย...

    ...ส่วนในค่ายทัพหน้านั้น ทรงรับสั่งให้กำลังทหารที่เหลือแบ่งออกมาซุ่มนอกค่ายคืนละร้อยหนึ่ง ครั้นพอรุ่งเช้าให้ทำทียาตราทัพลงมาจากเมือง ทำเช่นนี้ทุกวันคืน ให้เสียงกลองมโหระทึกเป็นจังหวะเคลื่นทัพอยู่ทุกยาม เพื่อลวงข้าศึกว่ากองทัพเมืองหน่ายเมืองคังนั้นมีไพร่พลมาก เข้าเติมทัพหน้ามิขาดสาย...

    ...ล่วงไปสามราตรี ไม่มีทีท่าว่าจะมีการเข้าสัประยุทธ์กันแต่ประการใด พระอินทราธิปจึงคิดก่อกวนทำลายขวัญกำลังใจข้าศึก รับสั่งให้กองโจรวางแนวเป็นจันทร์เสี้ยวซุ่มอยู่ในป่า ปีกแถวสองข้างยาวพอดีกับแนวค่ายข้าศึก แลให้โห่ร้องตีดาบตีทวญทำว่ามีกำลังพลมากและมีจิตใจฮึกเหิม ทั้งยังให้หมู่ทะลวงฟันซุ่มอยู่ด้านข้างผลัดกันยิงธนูเข้าไปในค่ายข้าศึกมิให้ขาดตลอดทั้งคืน ครั้นพอแจ้งก็ให้ทำเสมือนว่ามิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น...

    ...เหล่ากองโจรทำเช่นนี้อยู่ถึงเจ็ดราตรี ก็ยังไม่มีการตอบโต้จากข้าศึก...

    ...ต่อมา...ทหารหมู่ทะลวงฟันผู้หนึ่งได้ออกลาดตระเวนหาข่าวจนสืบทราบว่า ทัพที่ยกมานี้กำลังรอทัพอังวะมาสมทบ และกองทัพอังวะได้เดินทัพล่วงมาถึงชายแดนแล้ว จะถึงในวันพรุ่ง...

    ...เมื่อทราบดังนั้นและเห็นว่าทัพนี้จะไม่รบจนกว่าอังวะจะมาถึง ราตรีนั้นพระอินทราธิปก็รีบยกกำลังอ้อมค่ายข้าศึกลงไปประชิดชายแดน จนทราบถึงที่พักทัพของอังวะ ครั้นแล้วก็ให้หมู่ทะลวงฟันบุกเข้าจู่โจมทัพหน้าอังวะ ฝ่ายทัพหน้าอังวะมีกำลังส่วนล่วงหน้าเพียงน้อยถูกซุ่มโจมตีไม่ทราบจำนวนข้าศึก ก็หนีแตกลงมาทางทัพใหญ่...

    ...ทางฝ่ายทัพใหญ่เห็นกองหน้าแตกลงมาก็แตกตื่นพากันระวังตัว...

    ...ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด เหล่าทหารเมืองอังวะ ภายใต้การบัญชาทัพของมังยีนันตูแม่ทัพหนุ่มอ่อนประสบการณ์ต่างกุมอาวุธในมือแน่น สายตาทุกคู่เฝ้าระวังรอบด้าน...

    ...แม้ทัพอังวะจะยกมามากถึงห้าพัน แต่เมื่อมองไม่เห็นศัตรูย่อมมิอาจทราบได้ว่าศัตรูมีมากเท่าใด...

    ...ทันใดนั้น!!! ห่าลูกดอกก็สาดใส่ทัพอังวะทางด้านทิศบูรพา ฝ่ายทหารอังวะต่างกรูเข้ามาต่อรบ ไม่ทันไรทางทิศอุดรก็ถูกจู่โจมในลักษณะเดียวกัน ทหารบางส่วนล้มตายบ้างเจ็บบ้าง มังยีนันตูตัดสินใจสั่งจู่โจมเป็นหน้ากระดานมุ่งไปทางทิศอิสาน ห่าธนูยังคงพวยพุ่งสวนทัพมาไม่ขาดสาย ถูกทหารล้มตายไปมากนัก...

    ...ฝ่ายอังวะรุกเรื่อยจนลึกเข้าไปในป่าทึบหมายจะควานหากองทหารลึกลับ แต่ยิ่งลึกมากเท่าใด ไพร่พลก็ยิ่งถูกลูกดอกตายไปเท่านั้น มังยีนันตูนั่งอยู่บนหลังม้าเห็นท่าไม่ดีจึงสั่งหยุดทัพ เพื่อจับทิศทางที่แน่นอนของข้าศึก...

    ...ทันใด!!! กองทหารลึกลับก็โดดเข้าจู่โจมจากบนต้นไม้บ้าง ผุดขึ้นมาจากกอหญ้าบ้าง โผล่ออกมาจากเครือเถาวัลย์บ้าง เข้าฆ่าฟันทหารอังวะที่กำลังสับสน เสียงเห่โห่ดังก้องไล่หลังมาจากทางทิศหรดี คราวนี้เห็นเป็นกองกำลังถนัดตามีประมาณร้อยหนึ่ง...

    ...มังยีนันตูหันหลังกลับมามองจึงรู้ว่าเสียท่า ถูกข้าศึกลวงตลบหลัง จึงร้องสั่งทหารให้กลับหลังหันเข้าตะลุมบอน ฝ่ายทหารที่รบติดฟันทางด้านหน้าก็ไม่สามารถหันหลังกลับมาสู้ได้ ฝ่ายทางด้านหลังก็ลังเลเกรงว่าทางด้านหน้าจะลอบเข้าด้านหลัง...

    ...ความพะว้าพะวงบวกกับความตกใจไม่ทันตั้งตัว ทำให้ไพร่พลอังวะถูกจู่โจมอย่างไร้ทางต่อสู้...

    ...ด้วยความที่เป็นแม่ทัพ มังยีนันตูกับทหารอารักขาอีกจำนวนหนึ่งหันหน้าเข้าสู้กองทัพข้าศึก พระอินทราธิปรบติดพันอยู่ทอดพระเนตรเห็นม้าขุนศึก ทราบชัดว่าเป็นแม่ทัพก็วิ่งเข้าต่อรบ...

    ...เจ้าชายหนุ่มวิ่งขึ้นต้นไม้เหนือหัวมังยีนันตูอย่างว่องไว ขุนพิทักษ์แลหมื่นฤทธิ์เห็นดังนั้นก็เร่งเข้าประชิดม้าแม่ทัพข้าศึกสังหารพลอารักขาสิ้น ครั้นพอได้จังหวะเจ้าชายหนุ่มโหนพระองค์ลงถีบเข้ากลางหลังแม่ทัพอังวะอย่างเต็มเชิง ร่างมังยีนันตูลอยจากหลังม้าล้มกลิ้งลงคลุกกับพื้น ขุนทหารทั้งสองเข้าจับตัวเอาดาบคู่กายจ่อคอหอยไว้...

    "แม่ทัพพวกเอ็งถูกจับแล้ว จงยอมแพ้เสียโดยดี!" พระอินทราธิปตะโกนร้องบอกเหล่าทหารที่สู้รบกันอยู่ ฝ่ายอังวะเห็นดังนั้นก็ยอมจำนนทิ้งอาวุธ ฝ่ายไทยใหญ่บางคนแม้ทหารข้าศึกวางอาวุธแล้วก็ยังเข้าฆ่าเล่นจนหนำใจ เพราะไทยใหญ่ทุกผู้ล้วนแค้นเคืองชิงชังพม่ายิ่งนัก จนเจ้าชายหนุ่มต้องร้องบอกขอชีวิต...

    ...ทหารอังวะถูกจับนับได้สี่ร้อยกว่า พวกเจ็บนั้นร่วมสองพัน ที่เหลือเป็นพวกตาย...

    ...พวกเชลยถูกจับมัดโยงกันเป็นทอด ถูกควบคุมกลับไปยังค่ายฝ่ายเมืองหน่าย พร้อมเครื่องศาสตราวุธ ม้า วัว ควายและเสบียงจำนวนมาก...

    ...เมื่อกลับถึงค่ายนั้นเป็นเพลาเช้าพอดี พระอินทราธิปรับสั่งให้ขุดหลุมลึกลง ๓ วา กว้างพอใส่คนร้อยกว่า จำนวน๑๐ หลุม ให้เอาซุงมาทำตะแลงแกงขนาดใหญ่พอดีหลุม แล้วจับนักโทษใส่ขังไว้ จากนั้นรับสั่งให้คุมตัวมังยีนันตูขึ้นไปไว้ในเมือง...

    ...ครั้นแล้วก็เรียกชาวเมืองออกมาชุมนุมกัน ชาวบ้านต่างตื่นเต้นเมื่อทราบข่าวพระอินทราธิปชนะศึกกลับมา ต่างพากันออกมายินดี และสาปแช่งก่นด่า บ้างก็จะตรงเข้าทำร้ายมังยีนันตู แต่ก็ถูกทหารกันไว้...

    ...หน้าบ้านเศิกขวัญคือลานชุมนุมของชาวเมือง บนแท่นหินขนาดใหญ่คือพระอินทราธิปราชนัดดานักรบผู้สง่างาม ข้างพระองค์นั้นคือมังยีนันตูแม่ทัพพม่าผู้ปราชัย ถูกมัดมือไพล่หลังนั่งคุกเข่าอยู่

    "เมื่อราตรีก่อน เราพร้อมทหารกล้าจำนวนร้อยกว่า ทราบข่าวอังวะยกประชิดแล้ว จึงรีบยกออกไปต่อรบ..." สิ้นดำรัส กษัตริย์หนุ่มผินพระพักตร์ไปอีกทางหนึ่ง

    "อังวะยกมาถึงห้าพัน" สิ้นเสียงชาวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บ้างห่อปากทำท่าตกใจ เสียงหืออือดังระงมไปทั่ว

    "อาศัยว่าเราชำนาญภูมิประเทศ จึงใช้กลอุบายจนชำนะข้าศึกในคราวนี้ได้"

    "แต่อย่างไรเสีย...การศึกครั้งนี้อาจจะชำนะมิได้ หากปราศจากขวัญกำลังใจอันฮึกเหิมจากพวกท่านทั้งหลาย ที่ได้ส่งผ่านทหารกล้าทุกนายให้พึงระลึกไว้เสมอว่า สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นได้กระทำอยู่เบื้องหน้า หาใช่กระทำไปด้วยความหิวกระหายในสงคราม หากแต่ได้กระทำเพื่อการชำระล้างอดีตอันแสนทุกข์ระทม..." ชาวบ้านต่างจับจ้องมาที่พระอินทราธิป พระองค์ตรัสได้กินใจนัก

    "เราอยู่ใต้อำนาจหงสาวดีมานานแล้ว นานจนบางคนคิดว่าตัวเรานั้นก็เป็นคนหงสา..."

    "แต่วันนี้! เราจะประกาศให้เทพยุดาฟ้าดินได้รับรู้ทั่วกันว่า ไทยใหญ่มิได้สัมพันธ์กับหงสาวดี มิได้มีความเกี่ยวข้องกันฉันท์มิตร มิได้สนิทชิดในเชื้อแห่งชนชาติ มิได้อยู่ใต้อำนาจของหงสาวดี และมิได้อยู่ร่วมในสุวรรณปฐพีเดียวกัน อีกต่อไป!!!"


    สิ้นพระดำรัส เกิดอสุนีบาตลงมากลางที่ประชุมนั้น แต่มิได้ถูกใครเป็นอันตราย ทันใดพระอินทราธิปทรงเงื้อพระแสงศาสตราวุธฟันลงปลิดชีพมังยีนันตูคอขาดกระเด็น ชาวบ้านโห่ร้องกึกก้องทั่วทั้งบริเวณ...


    "ไตเฮาก็มีชัยเหนือหงสาวดีได้!!!" พระอินทราธิปตะเบงพร้อมชูพระแสงศาสตราวุธขึ้น ชาวบ้านชูมือชูอาวุธโห่ร้องอย่างฮึกเหิม...      

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    ...ความปราชัยของหงสาวดีในครั้งนี้ สร้างความอัปยศไปทั่วทุกหัวเมือง บรรดาเจ้าฟ้าไทยใหญ่ที่เคยสวามิภักดิ์ต่อหงสาวดีต่างคิดเอาใจออกห่าง...

    สิ้นพระดำรัส เกิดอสุนีบาตลงมากลางที่ประชุมนั้น แต่มิได้ถูกใครเป็นอันตราย ทันใดพระอินทราธิปทรงเงื้อพระแสงศาสตราวุธฟันลงปลิดชีพมังยีนันตูคอขาดกระเด็น ชาวบ้านโห่ร้องกึกก้องทั่วทั้งบริเวณ...

    "ไตเฮาก็มีชัยเหนือหงสาวดีได้!!!" พระอินทราธิปตะเบงพร้อมชูพระแสงศาสตราวุธขึ้น ชาวบ้านชูมือชูอาวุธโห่ร้องอย่างฮึกเหิม           

    ...ต่อมา...ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาได้ทราบข่าวศึกเมืองหน่ายก็ยินดียิ่งนัก ด้วยเพราะหงสาวดีนั้นเมื่อปราบเมืองไทยใหญ่มิได้ ก็เท่ากับขาดกำลังทัพจากไทยใหญ่ไปส่วนหนึ่งในการยกเข้ามาตีกรุงศรี...

    ...
    ที่กรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงกำลังเร่งฝึกหัดกองทัพของพระองค์เอาไว้รับมือหงสาวดี...

    ...
    พระองค์ทรงคัดเลือกบรรดาชายฉกรรจ์ที่อาสาเข้ามาในทัพ พวกลูกเจ้านายขุนนางก็ทรงให้เป็นหัวหน้ากองรบต่างๆ ด้วยเพราะลักษณะสังคมอยุธยานั้น มีความนับถือกันตามบรรดาศักดิ์อยู่โดยเดิม เมื่อผู้มีบรรดาศักดิ์นั้นมีบุตรธิดา บุตรธิดาก็จะถูกยกไว้ในชั้นหัวหน้าของบรรดาเด็กทั้งหลายในวัยใกล้เคียงกัน...

    ...
    การฝึกกองอาสารบดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง ทหารกล้าผู้เข้ารับการฝึกต่างตั้งใจ ด้วยเพราะการศึกในภายภาคหน้านั้น หาใช่เดิมพันด้วยบ้านเมืองแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากแต่เป็นศึกที่จะประกาศจุดยืนและความเป็นเอกราชอย่างเต็มตัว...

    "
    สมเด็จพี่ได้ข่าวศึกเมืองหน่ายหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า" พระเอกาทศรถตรัสถามพระนเรศวรระหว่างทั้งสองพระองค์ดำเนินทอดพระเนตรการฝึกในค่ายต่างๆ พระนเรศวรทรงหยุดดำริครู่หนึ่งก่อนหันมาตรัสตอบ

    "
    อืม...พี่ได้ยิน ข่าวว่าหงสายกมาหลายพัน แต่ต่อรบเอาเมืองหน่ายไม่ได้"

    "
    มันจะได้เยี่ยงไรพระเจ้าข้า หงสาวดีมันถือว่ากำลังมันมีมาก ยกไปตีเมืองใดก็ยกเข้าต่อรบเสียตรงๆ นี่เพราะแม่ทัพเมืองหน่ายนั้นมีปรีชารู้ทันท่าทีของหงสาวดี จึงชำนะศึกนี้ได้โดยง่าย" ตรัสเสร็จพระเอกาทศรถทรงเอื้อมพระหัตถ์ลงหยิบทวญไม้เล่มหนึ่ง ที่ทหารฝึกซ้อมต่อสู้กันแล้วฝ่ายหนึ่งเสียท่าถูกตวัดหลุดมือลิ่วมาตกเฉพาะพระพักตร์ ทหารนายนั้นรีบวิ่งมากราบบังคมทูลขอพระราชอาญา แต่พระองค์โบกมือเชิงว่าไม่เอาความ ก่อนส่งทวญไม้คืนทหารนายนั้นไป...

    "
    พี่ทราบข่าวพี่ก็ยินดีนัก และรู้ทันทีว่าผู้ใดคือแม่ทัพในการศึกครั้งนี้"พระนเรศวรตรัสเสร็จทรงแย้มพระสรวล

    "
    จะใครเล่า ก็อินทราธิปไงพระเจ้าข้า" พระเอกาทศรถตรัสเสริม พลันตรัสต่อ

    "
    หม่อมฉันหวังว่า อินทราธิปจะยกลงมาช่วยตลบหลังในศึกครานี้ได้ทันท่วงที"

    "
    แม้อินทราธิปจะเป็นเสมือนพ่อเมืองหน่ายไปแล้วในเพลานี้ แต่หน้าที่รับผิดชอบต่อมาตุภูมิย่อมไม่เคยเลือนไปจากใจเป็นแน่ ...นับว่าดีแล้วที่เราได้ไทยใหญ่ไว้เป็นมิตร เพราะเราต่างก็ไทยด้วยกัน จะให้มาพิฆาตฆ่าฟันกันเองนั้นใช่เรื่อง อีกทั้งไทยใหญ่ก็ชิงชังหงสาวดีไม่ต่างเรา นับว่าอินทราธิปนั้นฉลาดนัก ที่กระทำการจนได้หัวใจคนไทยใหญ่ไว้ทั้งเมือง..." พระนเรศวรตรัสอย่างภาคภูมิใจ

    "
    เพลานี้ ไทยใหญ่กับไทยสยามนั้นก็เปรียบประดุจมหามิตรกันโดยแท้..."

    สองกษัตริย์ทรงพระดำเนินทอดพระเนตรค่ายฝึกต่างๆ ต่อไป

    พระนเรศวรทรงดำริถึงอดีตที่เคยเติบโตด้วยกันมาพร้อมกับพระองค์ชายทั้งหลายในพระราชวังหลวง เดิมทีพระองค์กับพระเอกาทศรถและพระอินทราธิปนั้นก็เคยเล่นฟันดาบ กระบี่กระบองด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์ บางครั้งก็แบ่งฝ่ายกันรบ ผลัดให้ฝ่ายหนึ่งรุก ฝ่ายหนึ่งรับ และพระองค์ทั้งสามมักจะอยู่ฝ่ายเดียวกันเสมอ เมื่อพระองค์นึกไปถึงเพลานั้นก็ดำริขึ้นในพระหทัย

    "
    ไม่นึกว่าเมื่อเจริญชันษาแล้ว เราทั้งสามจะได้ร่วมกันทำศึกของบ้านเมืองจริงๆ"

    ทันใดขุนราชวรินทร์และขุนอินทรเดช นายทัพผู้มีฝีมือเก่งกล้าก็วิ่งเข้ามานั่งคุกเข่าประนมมือถวายบังคม

    "
    ถวายบังคมพระเจ้าข้า...ตามพระบัญชาที่ทรงให้หม่อมฉันแลขุนอินทรเดชออกไปสืบราชการที่กาญจนบุรีนั้น...บัดนี้ได้ความมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า..." สิ้นคำ พระนเรศวรตรัสถามอย่างรีบร้อน

    "
    ว่าอย่างไร ท่านจงแจ้งมาโดยพลัน"

    "
    ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันทั้งสองได้รับแจ้งจากพวกมอญกองอาทมาตเมืองสังขละว่า พระยาพะสิมคุมไพร่พลสามหมื่นยกผ่านด่านพระเจดีย์เข้ามาเรียบร้อยแล้วพระพุทธเจ้าข้า..."

    "
    ฮึ! ทัพพระสิมยกเข้ามาแล้วรึ แล้วทางพระยากาญจนบุรีว่าอย่างไร"

    "
    ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า พระยากาญจนบุรีคงไม่มีกำลังพอจะต้านทานทัพพะสิมได้พระพุทธเจ้าข้า" ขุนอินทรเดชรีบประนมมือขึ้นกราบทูล

    พระองค์ดำทรงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทรงพยักพระพักตร์นัยน์ว่าดำริบางอย่างอยู่ในพระหทัย ขุนทหารทั้งสองมองหน้ากันไปมา พระเอกาทศรถทรงเห็นดังนั้นก็ตรัสถาม

    "
    สมเด็จพี่อย่าได้ทรงห่วง...แม้จะต้องเสียไปหนึ่งทอง เราก็ยังเหลืออีกหนึ่งทองพระพุทธเจ้าข้า ...แลดูเหมือนว่าทองนี้ข้าศึกจะมาหักเอาไปมิได้ง่ายนัก..."

    พระองค์ดำได้สดับดังนั้นก็ทรงผินพระพักตร์ไปทางพระเจ้าน้องยา พลันสบพระเนตรแสดงความเข้าพระทัย

    "
    อืม...เสียเมืองกาญจน์ ยังมีเมืองสุพรรณ..."

    ขุนทหารทั้งสองได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าใส่กัน เชิงเข้าใจพระดำรัสของสมเด็จพระเจ้าน้องยา

    "
    ถ้าเช่นนั้น...ท่านทั้งสองจงไปแจ้งบรรดาแม่ทัพนายกองออกญาพระยาขุนนางผู้ใหญ่ในฝ่ายพระยุทธนากลาโหมทั้งสิ้นมวลมาชุมนุมโดยพร้อมกันที่ในท้องพระโรง ยามหนึ่งราตรีนี้เถิด..."

    "
    พระพุทธเจ้าข้า" ขุนราชวรินทร์ ขุนอินทรเดช รับพระบัญชาก่อนกราบบังคมทูลลาไป

    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

    :::
    เมืองหน่าย:::

    หลังจากเสร็จศึกเมืองหน่ายแล้ว บรรดาชาวเมืองก็สถาปนาเศิกขวัญเป็นเจ้าฟ้าเมืองหน่าย ส่วนเจ้าฟ้าเมืองคังนั้นก็กลับไปปกครองเมืองคังตามเดิม พวกไทยใหญ่เมืองเล็กน้อยทั้งหลายต่างเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ยังแต่พวกไทยใหญ่เมืองใต้ที่คงเกรงกลัวหงสาวดีอยู่

    พระอินทราธิปราชนัดดายังคงประทับอยู่ ณ เมืองหน่าย เพื่อฝึกทหารไทยใหญ่ให้สามารถป้องกันตนเองได้

    วันหนึ่ง...หมื่นฤทธิณรงค์วิ่งตรงมายังที่ประทับอย่างรีบร้อน

    "
    พระโอรส!! พระโอรสพระเจ้าข้า!!"

    อินทราธิปหันไปตามเสียงเรียก ขุนพิทักษ์ราชกิจทำหน้างุนงงพลันพนมมือขึ้นกราบทูล

    "
    มันรีบร้อนอะไรของมันพระเจ้าข้า" สิ้นคำ หมื่นฤทธิ์ก็เข้ามาในถึงที่ประทับพอดี พลันกราบทูลด้วยความตระหนก


    "
    พระโอรส!! ทัพพะสิมยกประชิดเมืองกาญจน์แล้วพระเจ้าข้า"


    "
    ฮะ! จริงรึ!" พระอินทราธิปตกพระทัย พลันลุกขึ้นจากพระแท่น


    "
    พระเจ้าข้า พวกอาทมาตส่งข่าวมาบอกหม่อมฉันเมื่อสักครู่นี่เองพระเจ้าข้า" สิ้นคำขุนทหาร พระโอรสหนุ่มทำท่ารีบร้อน ฉวยพระแสงดาบแล้วดำเนินออกนอกเรือนที่ประทับไป สองทหารมองหน้ากันพลันเดินตามอย่างเร่งรีบ


    นายหอกลองลั่นกลองรวมพล ไม่นานนักเหล่าทหารอาสาทัพไทยใหญ่ต่างรวมกันเป็นระเบียบอยู่เฉพาะพระพักตร์ พระอินทราธิปราชนัดดาขึ้นทรงม้า


    "
    ทหารกล้าทั้งหลาย...บัดนี้หงสาวดียกเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคราแล้ว..." สิ้นพระดำรัส เหล่าทหารสูดหายใจลึกอย่างฮึกเหิมเสมือนรอเสียงสวรรค์สั่งให้จับอาวุธต่อสู้อีกคราหนึ่ง อันอริราชศัตรูนั้นคือผู้ที่ทำความแค้นอันหนักหนาไว้ให้กับแผ่นดิน แม้ตัวต้องตายก็ขอให้ได้เอาชีวิตศัตรูมาชำระ


    "
    เราจักยกทัพลงไปช่วยสมเด็จพระเชษฐาธิราช..." พลันสายพระเนตรกวาดไปทั่วบริเวณ ทหารไทยใหญ่กำอาวุธแน่น


    "
    ทหารกล้าผู้ใด...จักอาสาไปกับเราบ้าง!" สิ้นพระสุรเสียง เหล่าทหารไทยใหญ่ชูศาสตราวุธขึ้นโห่ร้องกึกก้อง พระอินทราธิปแย้มพระสรวลเล็กน้อย พระองค์ชื่นพระทัยนัก ไม่เสียทีที่ได้ทำคุณไว้ให้แก่แผ่นดินไทยใหญ่...


    ทิวาต่อมา กองทัพพระอินทราธิปราชนัดดาจำนวน ๑,๐๐๐ นายก็ยาตราออกจากเมืองหน่ายมุ่งสู่ลำน้ำสาละวิน...


    <><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><> 


    ...จะบรรจบรบทัพกับข้าศึก...

    ...ให้ก้องกึกกอบกู้สู้หงสา...

    ...จะยกรวมร่วมทัพกับอยุธยา...

    ...ให้พระเชษฐาธิราชไม่ขาดพล...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×