นิยายอ่านสนุก ต่อตอน6 - นิยายอ่านสนุก ต่อตอน6 นิยาย นิยายอ่านสนุก ต่อตอน6 : Dek-D.com - Writer

นิยายอ่านสนุก ต่อตอน6

แบบเดิม

ผู้เข้าชมรวม

313

ผู้เข้าชมเดือนนี้

1

ผู้เข้าชมรวม


313

ความคิดเห็น


0

คนติดตาม


0
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  26 มี.ค. 50 / 18:42 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลังจากการประชุมที่ท้องพระโรง ขุนเจืองเดินหาขุนไตย พบว่าเขากำลังนั่งในป่าดอกไม้ข้างพระราชมณเทียร จึงเดินเข้าไปหา กล่าวว่า
    เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าจะทำอย่างนี้
    อะไรรึท่านพี่
    เรื่องที่จะฆ่านางในอีกสามวันให้หลัง เพื่อข่มขวัญเจ้าฟ้าคร้าม
    มันเป็นพระประสงค์ของท่านพ่อ ข้าคงขัดไม่ได้
    ข้าไม่ได้ถามพระประสงค์ ข้าถามตัวเจ้าจริงๆ
    ขุนไตยถอนหายใจ ก้มหน้านิ่ง
    พวกเราเป็นพี่น้องกันมานาน ถึงจะไม่ใช่ท้องเดียวกัน แต่สิ่งที่เจ้าคิดมีหรือข้าจะไม่รู้ เจ้ารักนางจริงๆใช่หรือไม่
    ใช่ ท่านพี่ ข้าก็อยากจะดูแลนาง อยากจะรักนางตลอดไปให้เหมือนกับที่ลั่นวาจาไว้
    แต่ศึกของนพบุรีกับเจ็ดลินกำลังจะถึงจุดสุดท้าย เจ้าเลือกที่จะทำแบบนี้โดยที่ต้องทนทรมานไปชั่วชีวิตงั้นหรือ
    หึ ท่านพี่ ท่านกลายเป็นคนพูดมากแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
    น้องข้า ข้าหวังจะเห็นเจ้าเป็นสุขเช่นตัว ข้าและเจ้ากรำศึกมามากมาย ตลอดเวลาพวกเราเอาแต่จมอยู่กับสงคราม ข้าอยากเห็นเจ้าออกเหย้าออกเรือนกับเขาบ้าง ไม่ใช่ทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้
    ข้าก็หวังจะเห็นท่านเป็นสุขเช่นกันท่านพี่
    เฮ้อ ถ้านพบุรีกับเจ็ดลินไม่เป็นศัตรูกัน ข้าคงให้เสด็จพ่อไปสู่ขอองค์หญิงรัชต์วิภาให้เจ้าไปแล้ว เอาเถอะ ในเมื่อเป็นแบบนี้เราก็คงต้องคล้อยตามสถานการณ์
    ขุนเจืองตบบ่าและเดินจากไป ทิ้งให้ขุนไตยครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง
    .................................................................................................
    ข้าไม่กิน เอาไปให้พ้น
    องค์หญิงรัชต์วิภาโยนถ้วยปลิวว่อนออกจากคุกเดี่ยว ก้มหน้านิ่ง ถึงเวลานี้นางไม่มีแม้น้ำตาสักหยด มีแต่ความโกรธแค้นและชิงชัง ขุนไตยผู้หลอกลวง นางรู้แล้วว่านางยังอ่อนต่อโลกมากมาย สัญญาที่พร่ำเพ้อกันหน้าถ้ำว่าจะครองรักกันตลอดไป สุดท้ายมันก็เป็นแค่ลมปากจากคนหลอกลวง ขุนไตยถือชุดอาหารเดินเข้ามา กล่าวว่า
    ยังไงเวลาของท่านก็เหลืออีกไม่มากแล้ว ก่อนตายน่าจะกินให้อิ่มท้องก่อน
    องค์หญิงน้อยจ้องหน้าขุนไตยด้วยความชิงชัง กล่าวว่า
    ท่านยังมีหน้าพบข้าอีกงั้นรึ ขุนไตย
    เจ้าไม่ใช่ปีศาจ ไม่ได้เป็นยักษ์ ทำไมข้าจะมาพบเจ้าไม่ได้
    น้ำตาที่อดกลั้นไว้ค่อยๆหลั่งไหลอีกครา แม้พยายามจะห้ามก็ไม่เป็นผล กัดกรามกรอด กล่าวว่า
    ข้าคิดว่าได้มอบสิ่งที่สำคัญที่สุดของข้าให้กับคนที่ข้ารัก แต่บัดนี้คนๆนั้นกลับเป็นเหมือนคนที่ข้าไม่รู้จัก ข้าอยากจะกระชากสายเลือดของท่านออกมานัก ไม่ต้องให้มันได้เกิดมาดูหน้าบิดาของมันที่แล้งน้ำใจ เมื่อข้าลงปรโลกไปข้าจะบอกกับลูกของข้าว่ามันมีบิดาที่เลวยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน....
    ขุนไตยใบหน้ากระตุกเมื่อได้ยินคำว่าสายเลือดของตนเอง แต่เป็นเพียงครู่เดียวก็กลับเป็นเหมือนเดิม มองดูองค์หญิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย กล่าวว่า
    สักวันท่านจะรู้เอง
    แล้วหันหลังเดินจากไป
    ...................................................................................

    อาชาสีขาวควบขับเหยาะย่าง เป็นม้าพันธุ์ดีของชาวแม้วที่บรรณาการแก่เจ็ดลิน เจ้าขุนไตยควบขับไปอย่างช้าๆ ส่วนองค์หญิงรัชต์วิภาหลับตานิ่ง อาชาวิ่งเหยาะย่างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าทางใหญ่ ขุนไตยชะงักม้า เพราะว่าเบื้องหน้าคือกองเสบียงของนพบุรี เบื้องหลังยังมีรถม้าอีกคันหนึ่ง นายกองเบื้องหน้าพอเห็นชัดๆ ก็ชักดาบแล้วส่งสัญญาณให้ทหารล้อมไว้ ขุนไตยบังคับม้าให้หยุดลง รถม้าเบื้องหลังก็จอด องค์หญิงสุวรรณวิภาก้าวลงมาจากรถ เดินเข้ามาหา กล่าวว่า
    น้องหญิง เป็นเจ้าจริงๆ ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว ข้าได้ข่าวว่าเจ็ดลินจะประหารเจ้าต่อหน้าเสด็จพ่อ ข้ายังตกใจจนแทบสลบ ไม่คิดว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่
    เสด็จพี่ หม่อมฉัน ขุนไตยช่วยหม่อมฉันไว้เพคะ
    องค์หญิงสุวรรณวิภามองทั้งสองหนุ่มสาว ราวจะเข้าใจความนัยบางอย่าง จึงกล่าวว่า
    ท่านขุนไตย ท่านพาน้องหญิงข้ามาส่งกระนั้นหรือ
    ใช่แล้ว องค์หญิงใหญ่ การศึกสงครามเป็นเรื่องของพวกเราเหล่าบุรุษ ไม่ควรมีเลือดอิสสตรีแปดเปื้อน ไปเถอะน้อง เอ้ย องค์หญิง ทุกคนรอท่านกลับบ้านอยู่
    องค์หญิงรัชต์วิภาหน้าซีดขาว การพรากจากชายที่รักกับอนาคตที่ไม่แน่นอน การศึกไม่รู้ผลแพ้ชนะ หากชนะนางก็ต้องสูญเสียบิดา หากพ่ายแพ้นางก็สูญเสียคนที่นางรักที่สุด นางค่อยๆเดินไปหาพระพี่นาง ฉับพลันเสียงม้าก็ควบขับมาตามทางหลวง เป็นทหารในกองของเจ้าขุนไตยเอง พอม้ามาถึง ก็รายงานว่า
    เรียนท่านแม่ทัพ ขณะนี้นพบุรีเปิดศึกก่อนเวลา กำลังจะประยุทธหัตถีกับเหนือหัวที่ทุ่งสามศึกพะยะค่ะ
    อะไรนะ ขุนไตยชักม้า องค์หญิงรัชต์วิภาได้ยินข่าวก็วิ่งออกมา ขวางม้าไว้ กล่าวว่า
    ขุนไตย ให้ข้าไปด้วย
    ไม่ได้ มันอันตราย
    แต่ยังไงก็เป็นเสด็จพ่อของข้า ให้ข้าไปด้วย บอกเรื่องระหว่างเราให้เสด็จพ่อฟัง ไม่แน่ว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรา เสด็จพ่ออาจจะยับยั้งศึกก็ได้
    ตกลง ขึ้นมาเถิด
    ขุนไตยขึ้นม้าแล้วควบขับออกไปอย่างรวดเร็วราวสายลม
    ............................................................................
    ที่ทุ่งสามศึกทัพช้างและทัพม้ากำลังประจันหน้ากัน ใต้ทุ่งสามศึก ดอยสุเทพ บัดนี้กำลังแดงฉานด้วยเปลวเพลิงและโลหิต ทหารสองฝ่ายกำลังประจันหน้ากัน เสียงประดาบ เสียงม้าร้อง เสียงคชสารโกญจนาท เสียงร้องโอดโอย เสียงโห่ร้อง ปะปนสับสนกันจนแยกไม่ถูก พญาขอมและพญาฟ้าคร้ามกำลังประยุทธหัตถีกันอย่างดุเดือด ส่วนขุนเจืองกำลังประดาบกับปู่ขุนสามนายและเหล่าทหารอื่นๆ แม้จำนวนจะน้อยกว่าแต่เจ็ดลินก็สู้ไม่ถอย เจ้าขุนไตยชักม้าฝ่ากลางวงล้อม ปัดดาบและหอก จนกระทั่งมาถึงที่ยุทธหัตถี องค์หญิงรัชต์วิภา ตะโกนว่า
    เสด็จพ่อ
    ลูกหญิง
    พลช้างบังคับให้ช้างถอยหลัง พญาขอมมองดูองค์หญิงและเจ้าขุนไตย กล่าวว่า
    ขุนไตย นี่มันหมายความว่าอย่างไร เจ้าช่วยนางอย่างงั้นรึ
    เสด็จพ่อ คือหม่อมฉัน
    หุบปาก เจ้ายังเป็นลูกข้าอยู่รึเปล่า ช่วยศัตรูออกไป กฏอัยการศึกมีว่าอย่างไร เจ้าก็น่าจะรู้ดี
    ขุนไตยก้มหน้านิ่ง ทั้งสองฝ่ายหย่าศึกชั่วคราว เจ้าฟ้าคร้ามลงจากหลังช้าง เดินเข้ามากอดองค์หญิงน้อยผู้พลัดพรากจากไป กล่าวว่า
    โอ ลูกข้า ข้านึกว่าข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว
    ขุนไตยช่วยหม่อมฉันออกมาเพคะ
    ขุนไตยงั้นรึ
    เฮ้ย เจ้าฟ้าคร้าม อย่ามัวแสดงความอ่อนแอเยี่ยงอิสสตรี การศึกของเรายังไม่จบ วันนี้แค้นที่เจ้าฆ่าเมียข้า และชิงดินแดนของข้า ข้าจะสะสางให้หมด
    ได้สิ เจ้าพญาขอม เจ้ากับข้าจะต้องรู้แพ้ชนะกันวันนี้แน่
    เสด็จพ่อ ขุนไตยแทรก กล่าวว่า ลูกอยากขอร้อง พวกเราสูญเสียมามากแล้ว ข้าว่าพวกเราควรจบศึกกันได้แล้ว
    ใช่ ศึกจะจบแน่ แต่หลังจากที่เจ้าฟ้าคร้ามมันตาย
    เหตุการณ์เกิดขึ้นในพริบตาเดียว เจ้าพญาขอมยกธนูเล็งจากหลังช้าง ปล่อยผึง ธนูวิ่งลิ่วเข้าสู่อกเจ้าฟ้าคร้าม เสียงธนูปักฉึก โลหิตไหลริน ขุนไตยร้องก้อง ตะโกนว่า
    น้องหญิงงงงงงงงงงงงงงงงง
    รีบวิ่งไปประคองอย่างรวดเร็ว โลหิตไหลรินจากปากเป็นเส้นสาย ธนูฝังที่กลางอก เจ้าพญาขอมตะลึงด้วยไม่คิดว่าธนูจะผิดเป้า ขุนไตยร้องไห้สะอึกสะอื้น ประคององค์หญิงน้อย องค์หญิงหอบหายใจ กล่าวเบาๆว่า
    ท่านพี่ ท่านไม่ต้องเสียใจหรอก ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าพร้อมจะสละชีพ
    เจ้าทำไมทำโง่ๆแบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่คนเดียวได้รึไง ฮือๆๆ ทำมายยย ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้
    แค้นที่พ่อข้าฆ่าแม่ท่าน ก็ใช้ชีวิตข้านี่แหละชำระ เราสองเมืองจะได้ไม่ติดค้างกัน ท่าน ท่านพี่ไม่ต้องเสียใจหรอก
    เสด็จพ่อ
    ลูกหญิง
    ขออภัยที่หม่อมฉันทำแบบนี้
    เจ้าลูกโง่ พ่อแก่มากแล้ว ปล่อยให้พ่อมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย แค้นที่ข้าก่อก็ควรให้ฆ่าเป็นผู้รับสิ
    พญาขอมเดินเข้ามาพร้อมขุนเจือง องค์หญิงน้อยปรายตามอง กล่าวว่า
    ท่านพญาขอม แค้นที่บิดาข้าฆ่าภรรยาของท่านขอให้มันจบลงที่ข้าเถิด ข้าไม่โกรธท่านหรอก
    พญาขอมทำหน้าไม่ถูกเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองพลั้งมือสังหารสตรีในสนามรบ ถือว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรีของนักรบเป็นยิ่งนัก องค์หญิงแก้มกล่าวว่า
    ท่านขุนเจือง ท่านพ่อ
    ขุนเจืองเดินเข้ามาหา พญาฟ้าคร้ามกุมมือสาวน้อยไว้ องค์หญิงแก้มหน้าตาซีดขาว ไอเป็นโลหิตออกมา กล่าวกระท่อนกระแท่นว่า
    ท่านพ่อ ท่านพี่อยู่คนเดียวคงจะเหงา ข้าอยากให้ขุนเจืองดูแลท่านพี่แทนข้า แค้นของพวกเราควรจะจบลงได้แล้ว พวกเราสูญเสียมามากแล้ว
    พญาฟ้าคร้ามพยักหน้าทั้งน้ำตา การสูญเสียครั้งนี้นำความเจ็บปวดเหลือล้นมาสู่พระองค์ เพราะต้องแลกด้วยชีวิตธิดาองค์หนึ่ง แก้มใจ๋หันมามองขุนไตย กล่าวว่า
    ท่านพี่ ดอกนางพญากับ...น้ำ ..น้ำตกตาด...ตาดเหมย...ช่างงดงาม ย..ยิ่งนัก เสีย..เสียดายที่ข้า ไม่..ไม่อาจกำ..เนิดบุตร..แก่ท่าน อยู่...กับ...ท่านอีกแล้ว
    แก้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×