นิยายอ่านสนุก ต่อตอน3 - นิยายอ่านสนุก ต่อตอน3 นิยาย นิยายอ่านสนุก ต่อตอน3 : Dek-D.com - Writer

นิยายอ่านสนุก ต่อตอน3

หนุกแบบเดิม

ผู้เข้าชมรวม

323

ผู้เข้าชมเดือนนี้

0

ผู้เข้าชมรวม


323

ความคิดเห็น


0

คนติดตาม


0
เรื่องสั้น
อัปเดตล่าสุด :  26 มี.ค. 50 / 18:36 น.


ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พลั่ก
    โอ๊ยยยย
    ขุนไตยจับแขนเจ้ารัชต์วิภาโยนลงกับพื้นถ้ำ ทำให้องค์หญิงน้อยกระเด็นกระดอน นางลุกขึ้นมาจ้องมองขุนไตยด้วยความหวาดกลัว กล่าวว่า
    ท่าน ท่านเป็นใคร ท่านพาข้ามาทำไม........
    ขุนไตยจ้องมององค์หญิงน้อย กล่าวว่า
    เจ้ายังไม่รู้อีกเหรอว่าข้าพาเจ้ามาทำไม ข้าชื่อขุนไตย แม่ทัพแห่งเจ็ดลิน
    พวกลัวะป่า......พวกลัวะงั้นเหรอ
    พวกลัวะป่าเถื่อน หึ บิดาเจ้าคงพูดแบบนี้สินะ เจ้าฟ้าคร้าม ไอ้แก่หนังเหนียว
    หยุดนะ ถึงข้าจะเป็นเชลยของท่าน แต่ท่านก็ไม่มีสิทธิด่าบิดาของข้า
    หึๆๆ กล้าดีนี่สาวน้อย เจ้าเป็นเชลยของข้า แต่ยังกล้าต่อปากต่อคำ เจ้าชื่ออะไร
    แก้ม........
    แก้ม แก้มงั้นเหรอ ทำไมชื่อเจ้าแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้าท่องไปทั่วแผ่นดินยังไม่เคยได้ยินชื่อคนที่ประหลาดเหมือนเจ้ามาก่อน ดูท่าเจ้าคงไม่ใช่ชาวนพบุรีสินะเนี่ย
    แก้มหรือองค์หญิงรัชต์วิภาโกรธจนหน้าซีด เม้มปาก จ้องมองขุนไตยด้วยความชิงชัง ขุนไตยหัวเราะกับท่าทีงอนและโกรธของนาง แต่ฉับพลันขุนไตยกลับชักดาบออกมาแล้ว.....
    ฉัวะ
    เลือดสาดกระจายเต็มผนังถ้ำ
    ...................................................
    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
    แฮ่กๆๆๆๆ
    แก้มใจ๋สะดุ้งตื่น คมดาบวาววับที่พุ่งเข้ามาหา เลือดที่สาดกระจาย ทำให้เธอตกใจจนสะดุ้งตื่น เหลียวดูนาฬิกาเที่ยงคืนกว่า หัวใจของเธอเต้นตึกๆ เพราะเหตุอะไร ทำไมขุนไตยทหารชาวลัวะคนนั้นถึงต้องฆ่าเธอ ดูท่าทางเขาไม่ใช่คนนิยมรังแกอิสสตรีนี่นา หัวใจว้าวุ่น เธอจึงลุกเดินออกจากห้องมาสูดอากาศเบื้องนอก คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องทำบุญอุทิศให้ขุนไตย เจ้ากรรมนายเวรของเธอเสียที.
    ................................................
    อย่านะ ม่ายนะ ม่ายยยยย
    องค์หญิงรัชต์วิภาผวาตื่น บนพื้นถ้ำมีเพียงตนเองที่นอนอยู่ ส่วนขุนไตยหายไป นางเหลียวซ้ายแลขวา ใจคำนึงถึงบ้านเหลือประมาณ แต่ขุนไตยจอมป่าเถื่อนคงไม่ปล่อยให้นางกลับบ้านง่ายๆเป็นแน่ เมื่อมีเรี่ยวแรงกลับคืนนางจึงลุกขึ้น บนพื้นถ้ำมีซากงูจงอางขนาดเท่าแขนนอนหัวขาดตายอยู่บนพื้น
    เจ้าฟื้นแล้วรึ
    ขุนไตยถือกระบอกบรรจุน้ำเดินเข้ามา พร้อมวางผลไม้และไก่ป่าย่างลงบนหิน มองดูงูบนพื้น กล่าวว่า
    ขออภัย ตอนนั้นข้าห่วงเจ้า ก็เลยชักดาบฟันหัวเจ้างูนั่น ไม่คิดว่าเจ้าจะกลัวเลือดขนาดนี้ แค่เห็นเลือดพุ่งก็สลบไปเลย ข้าเลยจัดให้เจ้านอนพักอยู่
    ขอบคุณมาก
    ไม่เป็นไร ถึงยังไงข้าก็มีส่วนที่ทำให้เจ้าต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้
    ทั้งสองเงียบงัน เจ้าขุนไตยกล่าวว่า
    มาเถอะ เจ้าคงจะหิวแล้ว มากินข้าวกินปลาก่อน
    ท่านจะทำยังไงกับข้าต่อไป
    ข้าจะพาท่านไปยังเมืองของข้า เมื่อมีท่านเป็นตัวประกัน บิดาท่านคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
    พระธิดารัชต์วิภาพยักหน้า ก้มลงนั่งกินอาหารอย่างเงียบงัน ดูท่านางคงจะยอมรับสภาพของตัวเองได้แล้ว.
    ...............................................................................
    กระโจมที่พัก เจ้าฟ้าคร้าม
    เหล่าปู่ขุน(อำมาตย์) นั่งพับเพียบกับพื้น เบื้องหน้าเจ้าฟ้าคร้ามเดินไปเดินมาด้วยสีหน้ากังวล ม้าเร็วของทหารจากที่ต่างๆเดินทางมารายงานข่าวเป็นระยะๆ พระองค์ทุบโต๊ะปังใหญ่ เมื่อรายงานมีแต่ไม่พบตัวองค์หญิง พระองค์ตรัสว่า
    เจ้าขุนไตย เจ้าลัวะป่าเถื่อน ถ้าลูกข้าเป็นอะไรไป เจ็ดลินของพวกเจ้ารวมถึงโคตรเหง้าศักราชเจ้า ข้าจะลากมาตัดหัวให้หมด
    ปู่ขุนทั้งหลาย พวกเจ้าจงฟัง หากใครตามหาลูกข้าพบ ข้าจะให้รางวัลแก่มันอย่างงาม หากใครกุดหัวเจ้าลัวะขุนไตยมาได้ ข้าจะให้รางวัลหนึ่งแสนตำลึงทอง.
    ..............................................................................
    รุ่งเช้าเจ้าขุนไตย พาพระราชธิดาลัดเลาะตามลำธาร พระธิดาเดินอย่างทุลักทุเลเพราะไม่เคยลำบากแบบนี้มาก่อน จึงเดินบ้างหยุดบ้าง เจ้าขุนไตยมองสาวน้อยที่ตนเป็นต้นเหตุให้มาตกระกำลำบากแล้วก็ทอดถอนใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ในสงคราม ไม่เคยมีคำว่าปรานี หากตนไม่ตาย ศัตรูก็ต้องตาย แม้จะรู้ว่าสงครามก่อผลกระทบมากมาย ทั้งลูกเด็กเล็กแดงและหญิงสาวต้องไร้บ้านช่อง แต่ก็ได้แต่หวังให้สงครามสงบโดยเร็ว
    พวกเราจะไปไหนกัน ท่านขุนไตย
    พวกเราจะอ้อมไปทางนครเขลาง วกกลับเข้าสู่เจ็ดลิน
    ทำไมท่านต้องเดินไกลขนาดนั้น ถ้าท่านมุ่งตรงไป เพียงเจ็ดวันท่านก็จะถึงนครของท่าน แต่ถ้าท่านอ้อมไป ท่านต้องเสียเวลานับครึ่งเดือนเลยทีเดียว
    ถ้าข้าเดินตรงไป ยังไงพ่อของเจ้าคงจับทางได้ถูก ข้าจำเป็นต้องลวงให้พวกนั้นคิดไม่ถึง
    ขอบคุณมาก
    เรื่องอะไร
    เรื่องที่ท่านไม่ด่าบิดา
    ขุนไตยชะงัก รู้สึกว่าตนเองผิดแปลกไปจากเดิม ตั้งแต่ตนร่วมทางกับสาวน้อยผุ้นี้ ความแข็งกระด้างเหมือนจะถูกลบเลือน อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยสัมผัสกับความรักจากมารดาสักครั้ง เมื่อได้ใกล้ชิดกับอิสสตรีทำให้ตนเองบรรเทาความแข็งกระด้างลงไป องค์หญิงยิ้มกล่าวว่า
    ข้าดูแล้ว ท่านก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร ดูเหมือนท่านจะไม่ได้กระหายสงคราม ทำไมท่านต้องมาเป็นแม่ทัพด้วยล่ะ
    สำหรับพวกเราแล้ว ชายชาติชาตรีความภูมิใจสูงสุดคือได้เป็นทหารปกบ้านป้องเมือง
    สงครามทำให้คนตายมากมาย วันก่อนที่ท่านบุกเข้าไป ทหารก็ตายมากมาย เมื่อไหร่พวกท่านถึงจะยุติสงครามเสียที พ่อต้องจากลูก ภรรยาต้องจากสามี เด็กกำพร้าจากสงครามมากมาย ท่านพอใจหรือที่จะเห็นแบบนั้น
    ขุนไตยเม้มปาก ชักดาบฟาดฟันต้นไม้จนขาดครึ่ง ไหล่สั่นสะท้านด้วยความโกรธ วกปลายดาบมาจ่อคอองค์หญิง กล่าวว่า
    ท่านรู้มั้ย ทำไมข้าจึงจงเกลียดจงชังบิดาของท่าน เพราะบิดาของท่าน เพราะบิดาของท่าน ฮึ่ม
    องค์หญิงรัชต์วิภาหน้าซีดด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็ยังแข็งใจถามว่า
    บิดาของข้าทำอะไรหรือ
    ศึกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน บิดาของท่านสั่งให้คนโจมตีกองเสบียงบิดาของข้า และศึกครั้งนั้นแหละ ทำให้มารดาของข้ากับมารดาของขุนเจืองพี่ข้า ต้องเสียชีวิตลง ท่านเข้าใจมั้ย มันเป็นความโกรธที่ไม่อาจลบล้าง สงครามจะสิ้นก็ต่อเมื่อบิดาของท่านตายเท่านั้น
    องค์หญิงรัชต์วิภาเหม่อมอง เข้าใจความทุกข์ยากของชายหนุ่มเบื้องหน้า มิน่าเล่าลัวะถึงจองเวรนพบุรีไม่สิ้นสุด แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นแผลจากสงครามที่ไม่มีวันลบเลือนทั้งนั้น
    ................................................................................................
    พักนี้แกเป็นอะไรไปแก้ม อยู่ๆก็ยิ้มคนเดียว อยู่ๆก็ทำหน้าเศร้า
    ไม่มีอะไรนี่ สุวรรณวิภา
    หา แกเรียกชั้นว่าไงนะ
    อ๋อ เปล่านี่หยก โทษที เราอ่านนิยายมากไปหน่อยน่ะ
    เออ แปลก บอกตรงๆพักนี้แกแปลกไปจริงๆนะ หรือเพราะฝันครั้งนั้น วันก่อนไปพิพิธภัณฑ์ชั้นเห็นแกมองชุดเครื่องราชตั้งนาน ยังนึกว่าแกเคยใส่ซะอีก
    แก้มใจ๋ยิ้ม ทิ้งให้เพื่อนมองด้วยความแปลกใจ ความแปรเปลี่ยนของเธอคงมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร.
    ...................................................................................
    ทั้งสองเดินลัดเลาะตามลำธาร อ้อมเขาลูกแล้วลูกเล่า ขุนไตยสุ่มหาทางเดินอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งทั้งสองเดินมาถึงป่าทึบ มีแต่แมกไม้ที่เขียวครึ้ม ฉับพลันขุนไตยกลับจับบ่าองค์หญิงรัชต์วิภาหมอบลงกับพื้น องค์หญิงสงสัยจึงมองดู เบื้องหน้าคือกองทหารของนพบุรีประมาณสี่คน กำลังนั่งพักใต้ร่มไม้ ดูท่าคงเป็นกองหนึ่งที่ออกติดตามหาตัวองค์หญิง องค์หญิงยิ้มอย่างมีหวัง แต่ขุนไตยรู้ความคิดดีจึงกล่าวว่า
    ข้าขอเตือนนะองค์หญิง อย่าส่งเสียงเด็ดขาด ถึงข้าจะไม่ชอบรังแกอิสตรี แต่บางทีถ้าจำเป็นก็ไม่แน่
    แล้วชักดาบออกมาพาดคออันขาวผ่องไว้ จนองค์หญิงไม่กล้ากระดุกกระดิก เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันจนกระทั่งทหารทั้งหมดพักเหนื่อยเสร็จแล้วขึ้นม้า ฉับพลันงูเห่าตัวหนึ่งก็เลื้อยปราดมาเบื้องหน้าขององค์หญิง
    กรี๊ด งู
    เฮ้ย บัดซบเอ้ยยยยย เจ้างูบ้า
    ขุนไตยสะบัดปลายดาบตัดหัวงูเห่าจนขาด แต่ในขณะเดียวกันทหารนพบุรีก็ได้ยินเสียงร้องเช่นกัน จึงชักดาบกระโดดลงจากหลังม้า พุ่งรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ขุนไตยไม่รอโอกาส กระโจนจากพุ่มไม้ราวเสือร้าย ถีบทหารนายหนึ่งจนหงายหลัง จากนั้นก็งัดแม่ไม้มวยมาฟาดฟันจนทหารอีกสามนายลงไปกองกับพื้น ดาบถูกเงื้อขึ้นสูง
    อย่าฆ่าพวกเขา
    องค์หญิง
    องค์หญิงรัชต์วิภาเดินออกมาจากพุ่มไม้ตะโกนร้องห้ามขุนไตยไว้ เหล่าทหารจ้องมองพลางร้องลั่น ขุนไตยชักดาบพาดคอทหารนายหนึ่งไว้ กล่าวว่า
    ทำไมข้าจะฆ่ามันไม่ได้ นี่คือสงคราม ผู้พ่ายแพ้สมควรตาย
    ฆ่าๆๆๆๆ เข่นฆ่า แล้วเมื่อไหร่ท่านจะหยุดฆ่า ต่อให้ท่านล้มนพบุรีของพวกเราได้ แล้วแคว้นเล็กแคว้นน้อยที่เป็นญาติของพวกเราเล่า เหล่าญาติของทหารที่เสียชีวิตอีกเล่า พวกเขาจะต้องตามมาล้างแค้นท่านต่อ ฆ่ากับฆ่า เมื่อไหร่จะสิ้นสุด ข้าขอร้อง ปล่อยพวกเขาไป
    องค์หญิง ทหารที่โดนดาบจ่อคอกล่าว ท่านไม่ต้องไปขอร้องไอ้ลัวะป่าเถื่อน พวกเราทหารของนพบุรีไม่เคยกลัวตาย มันอยากจะฆ่าก็ให้มันฆ่า มาเลย
    องอาจ กล้าหาญดี
    ขุนไตยถอนดาบออกมา กล่าวว่า
    เห็นแก่ความกล้าหาญของเจ้า ในฐานะนักรบด้วยกัน เจ้าไม่ควรตายในที่นี้ พวกเจ้าควรจะตายในสนามรบ พวกเจ้าจงกลับไปบอกเหนือหัวของเจ้า วันแตกหักของเจ็ดลินกับนพบุรีใกล้เข้ามาแล้ว
    เหล่าทหารลุกขึ้น จ้องมองขุนไตยและองค์หญิง องค์หญิงกล่าวว่า
    พวกท่านจงกลับไปนพบุรี รายงานท่านพ่อว่าข้าสบายดี ข้าขอไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเจ็ดลินสักพัก ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงข้า ขอให้ท่านพ่อมีพลานามัยแข็งแรง............
    รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ แล้วเราจะได้เจอกันอีกแน่ ขุนไตย
    เชิญ ข้ายินดีเสมอ
    ทหารทั้งหมดขึ้นม้าจากไป องค์หญิงรัชต์วิภาเหม่อมองจนทหารไปลับสายตา ขุนไตยพึมพำว่า
    โชคยังดีนะ พวกเจ้า ดีที่มีคนขอร้องไว้
    องค์หญิงรัชต์วิภาจ้องมองขุนไตย กล่าวว่า
    ตั้งแต่ท่านกับข้าเดินทางมาด้วยกัน วันนี้ท่านทำเรื่องที่ข้าประทับใจที่สุด
    เรื่องที่ข้าล้มทหารของเจ้าน่ะรึ มากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว
    เปล่า ข้าไม่ได้หมายถึงการต่อสู้ ข้าหมายถึงความกล้าของท่าน
    ความกล้า??????
    ใช่ ความกล้าของท่านที่ยอมถอนดาบออก ความกล้าที่จะไม่ฟันลงไป
    องค์หญิงรัชต์วิภากล่าวแล้วก็เดินนำหน้าไปในป่า ทิ้งให้ขุนไตยเหม่อมองเบื้องหน้าและคิดคำนึง
    .........................................................................................
    ทั้งสองเดินรอนแรมเรือยไปจนตะวันเลยยอดไม้ องค์หญิงรัชต์วิภาถามว่า
    แล้วเราจะไปทางไหนกันต่อ
    ก็เดินตามทางนี้เรื่อยๆ พวกเราจะออกสู่ทางใหญ่ แต่ข้าขอเตือนนะว่าอย่าส่งเสียงอีก
    ทำไมหรือ
    แถวนี้คือเขตของพวกว้าแดง พวกมันชอบฆ่าและข่มขืนคนต่างเผ่าเป็นที่สุด
    อะไรนะ ท่านทำไมต้องมาทางนี้
    เพื่อกันนพบุรีติดตามมาไงล่ะ ต่อให้ทหารพวกนั้นไปรายงานพ่อท่าน เชื่อแน่ว่านพบุรีต้องไม่กล้ายกทัพตามไปแน่
    ท่าน ที่แท้ท่านก็คำนวณไว้แล้ว ข้าหลงนึกว่าท่าน......
    ข้าคือลัวะป่าเถื่อน อย่าลืมสิ
    องค์หญิงรัชต์วิภาเชิดปาก แง่งอนแล้วเดินดุ่มๆไปเบื้องหน้า ขุนไตยหัวเราะหึๆกับอาการแง่งอนของหญิงสาวแล้วเดินตามไป.
    ................................................................
    ว่าไงนะ เจอลูกหญิงแล้วรึ
    พะยะค่ะ ทหารลาดตระเวณสี่นายประมือกับเจ้าขุนไตย แต่พ่ายแพ้กลับมา เจ้าขุนไตยพร้อมองค์หญิงเดินทางไปเขตว้าแดงพะยะค่ะ
    ชะ เจ้าขุนไตย มันคงคิดว่าจะให้พวกเรายกกำลังติดตามไป จะได้ปะทะกับพวกว้าแดง กลอุบายตื้นๆแบบนี้ข้าดูออกแต่แรก แต่ยังไงเสือก็มีวันกลับถ้ำ ต่อให้มันเข้าเขตว้าแดง ยังไงมันก็ต้องกลับเจ็ดลินอยู่ดี สั่งทหารของเราทั้งหมด ตรึงกำลังตามแนวชายแดนไว้ ข้าเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องหาทางอ้อมพวกว้าแดงเข้าหาเจ็ดลินแน่ๆ
    พะยะค่ะ
    เจ้าขุนไตย เรื่องมันไม่จบแค่นี้หรอก วันเวลาแตกหักแห่งเจ็ดลินกับนพบุรีใกล้เข้ามาแล้ว ถึงวันนั้นเจ้าจะได้รู้ เกีรยติแห่งนพบุรีมิใช่ใครจะหยามเหยียดได้ ฮึ่ม
    ..........................................................
    ทั้งสองหนุ่มสาวเดินลัดเลาะตามป่าทึบ องค์หญิงรัชต์วิภามอมแมมไปด้วยฝุ่นละอองในป่า ส่วนขุนไตยดูแล้วไม่ยี่หระเพราะชินกับชีวิตแบบนี้ ทั้งสองเดินลัดเลาะตามลำห้วย เวลาผ่านไปจนตะวันเลยเที่ยง องค์หญิงนั่งกระแทกพื้นอย่างหมดแรง กล่าวว่า
    นี่ ท่านขุนไตย ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือไร เดินมาครึ่งค่อนวันแล้ว
    ขุนไตยยื่นน้ำให้องค์หญิงดับกระหาย กล่าวว่า
    ขออภัย ข้าลืมนึกไปว่าท่านเป็นอิสสตรี แถมเป็นองค์หญิงอีกต่างหาก แต่ที่เราต้องรีบเดินก็อย่างที่ข้าบอกให้ฟังนั่นแหละ เขตนี้มันเขตว้าแดง ไม่จำเป็นจริงๆไม่มีใครกล้าผ่านเขตนี้หรอก
    แต่ท่านก็ยังดึงดันจะพาข้าเข้ามา ท่านรู้ทั้งรู้ว่าที่นี่มันอันตราย ท่านก็ยังพาข้ามา
    ขออภัยจริงๆ แต่ข้าก็มองไม่เห็นทางที่จะหนีรอดจากบิดาของท่านไปได้นอกจากทางนี้
    แล้วท่านไม่กลัวข้าหนีไปรึไง
    หึๆๆ ขุนไตยหัวเราะร่วน ตอนนี้ต่อให้ข้าปล่อยท่านไป ท่านก็ไม่ไปหรอก ดูสิป่าทึบแบบนี้ ดีไม่ดีเสือจะขบหัวท่านเอาระหว่างทางน่ะสิ
    ชึ องค์หญิงเบะปาก ขุนไตยยิ้มขำกับอาการแง่งอนของนาง องค์หญิงกล่าวว่า
    ยังไงก็เดินมาหลายเพลาแล้ว เนื้อตัวข้ามอมแมมหมดแล้ว ที่นี่มีลำห้วยด้วย ขอข้าอาบน้ำก่อนได้มั้ย
    อาบน้ำ นี่ท่านคิดอะไรของท่านกันนี่ ท่านรู้รึเปล่าวว่าที่นี่มันอันตราย
    รู้สิ แต่ตลอดทางที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรเลยนี่นา น่า นะ ให้ข้าได้อาบเถอะนะๆ ไม่ยอมให้ข้าอาบข้าไม่ไปจริงๆด้วย
    ขุนไตยทำหน้าเบื่อโลก กล่าวว่า
    เอ้า ก็ได้ๆๆ รีบๆหน่อยก็แล้วกัน ข้าไม่อยากให้เราต้องล่าช้า ก่อนมืดเราต้องพ้นเขตว้าออกไป พรุ่งนี้เราก็เข้าเขตเจ็ดลินแล้ว
    ถ้าเกิดอะไรขึ้น ท่านนั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบ
    อ้าว ทำไมเป็นข้าล่ะ
    ก็ท่านเป็นคนพาข้ามาจากเสด็จพ่อ แล้วก็ยังพามาเขตว้าอีก ไม่ใช่ท่านแล้วจะใครล่ะ
    เอา เอาให้เหมาะ ก็ได้ๆ ข้าจะรับผิดชอบ ถ้าท่านเกิดเป็นอะไรไป ข้าจะยอมเฝ้าติดตามท่านเจ็ดแปดร้อยปีเลยเอ้า รีบๆลงไปเถิด เสียเวลามามากแล้ว
    องค์หญิงยิ้มกริ่มที่ทำให้ขุนพลแห่งเจ็ดลินหัวเสีย กล่าวว่า
    ห้ามท่านแอบดูด้วยล่ะ ถอยไปห่างๆ ข้าเรียกแล้วค่อยเข้ามา
    หึ ท่านคิดว่าข้ามีรสนิยมกับไม้กระดานรึไง ไปก็ไป
    ท่าน ท่านๆๆๆๆๆๆๆๆ
    องค์หญิงเคืองจนพูดไม่ออก ขุนไตยหัวเราะหึๆๆ เดินจากไปไกล.
    .........................................................................
    ธารน้ำเย็นใสไหลพัดซ่าๆๆ องค์หญิงเหลียวซ้ายแลขวา แล้วค่อยๆเปลื้องผ้าออก แล้วค่อยๆก้าวลงไปในธารน้ำ ผิวกายขาวผ่องเป็นยองใย สะท้อนแสงอาทิตย์ ราวกับหยกขาวเนื้องาม นางห่อกายด้วยความเย็นของน้ำ ถูเนื้อถูตัวอย่างสบายอารมณ์ แหวกว่ายเล่นไปมาอย่างสบายอารมณ์ ริมฝีปากแดงซ่าน แก้มขาวอมชมพูใส ผมยาวสลวย ดำขลับราวกับขนนกกา เชื่อแน่ว่าหากบุรุษใดๆ ในใต้หล้าได้มองเห็นนางแล้วไม่หลงใหลก็มิใช่บุรุษที่แท้จริง องค์หญิงรัชต์วิภายังคงอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์โดยไม่รู้ว่าที่หลังพุ่มไม้มีสายตาคู๋ห
    นึ่งของใครบางคนกำลังจ้องมองมา
    ร่างลึกลับจ้องมองอย่างหื่นกระหาย แล้วค่อยๆเคลื่อนกายเข้ามาที่ริมลำธาร เป็นชาวป่าร่างดำทะมึน ทาสีเขียวทีหน้า คาดผ้าแดง มีหัวกระโหลกห้อยสะเอว ดาบโง้งคาดสายเคียนเอว มันจ้องมองพลางเช็ดน้ำลายพลาง ดูท่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาหาองค์หญิงน้อยเสียแล้ว
    เชอะ อีตาขุนไตยบ้า คนอะไร เก็กอยู่ได้ นี่ถ้าแอบดูเราล่ะก็จะกรี๊ดให้แก้วหูแตกเลย
    เสียงแหวกว่ายดังเข้ามาใกล้ องค์หญิงน้อยตกใจเป็นยิ่งนัก ขณะกำลังจะร่ำร้อง มืออันสากหนาก็ปิดปาก นางเห็นชัดเจนแล้วว่าบัดนี้นางมิได้อยู่ผู้เดียว แต่ยังมีชาวป่าลึกลับอยู่ด้วย นางพยายามดิ้นแต่ชาวป่าว้าแดงก็ใช้มือรัดร่างนางอย่างรวดเร็ว นางตกใจอย่างรุนแรงพอตั้งสติได้ก็กัดมือเจ้าชาวป่าจนมันร้องลั่น แล้วตะโกนว่า
    ขุนไตย ช่วยด้วยยยยย กรี๊ดดดดด
    ................................................
    ขุนไตยหูผึ่ง เสียงร้องขององค์หญิงน้อยดังลั่นแล้วก็เงียบลง จึงรีบกระโจนไปที่ลำธารอย่างรวดเร็ว เจ้าชาวป่าชกท้ององค์หญิงน้อยจนสลบแล้วแบกพาดบ่า ดูท่าหากขุนไตยมาไม่ทันองค์หญิงคงโดนเวียนเทียนข่มขืนและกลายเป็นอาหารเย็นของพวกมัน
    เป็นแน่แท้ ขุนไตยตะโกนก้องแล้วชักดาบออก เจ้าชาวป่าก็ไวมิใช่เล่น วางองค์หญิงลงกับพื้นแล้วชักดาบโค้งออกมาประดาบด้วย แต่อย่างไรมันก็ไม่เจนจัดเท่าแม่ทัพที่ชาญศึก ขุนไตยวกดาบปัดขึ้นบน แทงคอแล้วกรีดขึ้นหน้า หัวของว้าแดงถูกผ่าเป็นสองซีก ไม่ทันได้ร้องสักแอะก็กระตุกแล้วล้มลงตกน้ำห้วยไป ขุนไตยรีบไปดูอาการองค์หญิงแก้มแล้วหยิบเสื้อผ้า แบกองค์หญิงพาดบ่า วิ่งไปตามลำห้วยอย่างรวดเร็ว
    ...................................................

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น

    ×