สำหรับประวัติความเป็นมาของ ลัทธิแม่มดนั้น แต่เดิมในยุโรปสมัยโบราณ ผู้หญิงเป็นผู้ที่ควบคุมพลังทางจิตวิญญาณของสังคม เนื่องจากผู้หญิงเป็นทั้งผู้ให้กำเนิด และเลี้ยงดูเด็กทารกให้เจริญวัย เป็นผู้ปรุงยาสมุนไพรเพื่อการรักษาโรค ดูแลเกษตรกรรม และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพื้นดิน ผู้หญิงจึงเป็นผู้นำของ ภูมิปัญญาท้องถิ่น(wicca) อย่างแท้จริง มีการบูชาธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ และต้นไม้สีเขียวทั้งหลาย เป็นต้น ในสมัยนั้นประชาชนนิยมบูชา เทพธิดา หรือเทพเจ้าที่เป็นเพศหญิง(goddess) มากกว่าเทพเจ้าเพศชาย นับเป็นศาสนาของสังคมในยุคก่อนที่ผู้ชายจะเป็นใหญ่(pre-patriarchal)
ต่อมาเมื่อศาสนาคริสต์เกิดขึ้นและแพร่หลายไปในยุโรป บาทหลวงซึ่งเป็นเพศชายเริ่มต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางจิตวิญญาณนั้นจากเพศหญิง บาทหลวงผู้ชายเริ่มกล่าวหาและประณามผู้หญิงซึ่งเป็นผู้นำของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ปรุงยาสมุนไพร รักษาโรค และทำหน้าที่ผดุงครรภ์เหล่านั้นว่า แม่มด คำว่า แม่มด(witch) จึงเป็นคำที่ใช้กล่าวอ้างเพื่อที่จะประณาม ปราบปราม หรือทำลายผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของภูมิปัญญาและผู้ควบคุมพลังจิตวิญญาณของสังคมในขณะนั้น
ในยุโรปยุคกลางหรือแม้แต่ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทั้งในยุโรปและอเมริกา มีการออกตามล่า แม่มด กันอย่างขนานใหญ่ ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น แม่มด จะถูกจับมัดติดกับเสา และถูกเผาไฟทั้งเป็น หรือมิฉะนั้นก็จะถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ชีวิต นับเป็นการปราบปรามพลังแห่งจิตวิญญาณและสติปัญญาของเพศหญิงอย่างขนานใหญ่ในยุโรป เพื่อที่จะสถาปนาสังคมที่มีผู้ชายเป็นใหญ่(patriarchy)ขึ้นมาแทนที่ นับต่อจากนั้นศาสนาที่ผู้ชายเป็นใหญ่ จึงได้เข้าแทนที่ศาสนาที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำ
ชื่อของแม่มดก็บอกอยู่แล้วนะว่า ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แถมเป็นผู้หญิงชนิดพิเศษ แบ่งออกเป็นแม่มดออกเป็น แม่มดดำ - แม่มดขาว คำว่าดำ - ขาว เนี่ย ไม่ได้หมายถึงสีผิวหรอก แต่เป็นลักษณะของเวทย์มนตร์ที่แม่มดใช้ และต้นสังกัดที่บรรดาแม่มดทั้งหลายสังกัดอยู่ต่างหาก
แม่มดดำ คือพวกที่เคารพบูชาซาตาน ( Satan ) และใช้เวทย์มนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือ จากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีชาวฝรั่งทั้งหลายที่ฝึกเวทย์มนตร์คาถาแนวนี้ นับเป็นแม่มดดำหมดเลย
ส่วนแม่มดขาว เป็นพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือธรรมชาติ ( Supreme being ) หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจาก นางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม
นี่แหละ คำจำกัดความของแม่มดแบบตะวันตก บางคนอาจจะสงสัยว่า แม่มดมีแต่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายหรือ มีเหมือนกัน พวกนี้เราจะเรียกว่าพ่อมดหรือ warlock ตัวอย่างของ warlock ที่รู้จักกันดีก็คือเมอร์ลิน
คำว่า " Witch " หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า " wit " ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง หยั่งรู้ - ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ ( ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ จะว่าไป แม่มดก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่สนใจค้นคว้าทดลองเพื่อหาความรู้โดยไม่เลือกวิธี และไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความแตกต่างระหว่างแม่มดดำกับขาวคือ แม่มดขาวจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง บางครั้งแม่มดขาวเองก็อาจก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ เพื่อชี้นำกลุ่มชน ให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีกว่าสำหรับชีวิต
แม่มดดำจะบูชาซาตาน รวมทั้งคลุกคลีอยู่กับภูตผีตัวร้ายต่างๆ อย่างเช่น แพน หรือ ลิลิธ - ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำมักจะแสวงหาความรู้ที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่จะ แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อลองวิชา บางทีการทำหุ่นขี้ผึ้งจำลองคนบางคน แล้วเอาเข็มจิ้มเล่นเพื่อให้ทรมานนั้น ก็หาได้เกิดจากความแค้นของแม่มดหรอก แต่เพื่อลองวิชาสนุกๆไปซะอย่างนั้นเอง
ถึงเป็นแม่มดก็ยังต้องกินข้าว แม่มดเองต้องทำมาหากินเหมือนกับคนทั่วไป รายได้ของแม่มดส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนในการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลัง โดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนี้บ้าง
แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือ จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงครับกับแม่มดดำ แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆสิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้ รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มนตร์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่และทรมานเป็นส่วนใหญ่
การเรียนวิชาแม่มดจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใดก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากคาถาง่ายๆ เช่น การใช้เวทย์มนตร์ทำเสน่ห์ การสาปให้พืชผลเ่หี่ยวเฉาและเป็นโรค รวมถึงการมองเห็นอนาคต( ที่ร้ายๆ ) พอวิชาแก่กล้าขึ้นหน่อย ก็มาถึงการทำให้ลอยตัวในอากาศ หรือ เหาะโดยไม่ต้องอาศัยไม้กวาด ขั้นต่อไปก็คือการแปลงร่างให้เป็นสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงการฝึกคาถาขั้นสูงเพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วๆไป ฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ก็ออกเปิดสาขารับศิษย์ได้เลย
ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือ เวทย์มนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า การจะเป็นแม่มดดำที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน อิซโซเบล ดาวดี ( Isobel Dowdie ) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตสมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มดต้องไปยืนแก้ผ้าต่อหน้าพยานหลายคน โดยปฏิญาณตนด้วยท่าว่าจะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกกันว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้เป็นสมาชิกถาวร แม่มดแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คน เพราะถือเป็นเลขสวยงามสำหรับผู้บูชาความมืด กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่วัน Candlemas(2 ก.พ.) วัน Walpergist Night( 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ) วัน Rammas Day(วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี) และครั้งสุดท้ายวึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮัลโลววีน
ตำนานของชาวยุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์
แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตรใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ครับ ยาที่ว่าคือขนเพชรของมัมมี่ รับรองกลายเป็นคนหงิมๆอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย
กล่าวกันไปแล้วในตอนต้น ว่าแม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ " เชือด " เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น
ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะนึกถึงก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่มักหาแพะรับบาปพร้อมหลักซานได้จำนวนหนึ่ง แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มดและถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอน็จอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย
เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า " สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต " -Thou shlt not a suffer a witch to live จึงมีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีต่างๆนาๆที่จะนึกออกได้ ใครที่ทนการทรมานไม่ไหวก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือการเผาทั้งเป็น ! !
ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกคือ Pagan ที่แปลกันตรงๆก็คือ นอกรีต สาเหตุก็มาจากการล่าแม่มดในช่วงยุคกลางนั่นแหละ แต่ความจริงอีกนัยหนึ่งแล้วเพแกนคล้ายๆกับศาสนาทั่วๆไป เพียงแต่ไม่ได้รับการยอมรับ Pagan มีหลายกลุ่มอยู่ที่ความเชื่อและแนวทางปฏิบัติ เช่น
วิคคา wicca นับเป็นสังคมที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเพแกน โดยที่เน้นการเข้าสู่ธรรมชาติ เข้าใจในธรรมชาติ นับถือเทพเจ้า เทพี หลักความเชื่อถูกบัญญัติอยู่ในวิคคารีด พวกนี้จะให้ความเคารพเทิดทูนผู้หญิงมาก และที่สำคัญพวกนี้มีความเชื่อว่าหากทำอะไรลงไปแล้วจะได้กลับคืนมาเป็น 3เท่า เหมือนๆกับกฎแห่งกรรม สัญลักษณ์ของวิคคาคือดาว 5 แฉก มีวงกลมล้อมรอบ แสดงถึงชีวิต เรียกว่า แพนตาเคิล
ลองเอาวิคคารีดมาให้อ่านกันค่ะ
Wiccan Rede
Bide ye Wiccan laws ye must in perfect trust
Live and let live, fairly take and fairly give
Form the circle thrice about to keep all evil spirits out
To bind ye spell every time, let ye spell be spake in rhyme
Soft of eye, light of touch, speak ye little, listen much
Deosil go by the waxing moon, singing out ye Witches' Rune
Widdershins go by the waning moon, chanting out ye Baneful Rune
When the lady's moon is new, kiss your hand to her times two
When the moon rides at her peak ,then ye heart's desire seek
Heed the North wind's mighty gale, lock the door and trim the sail
When the wind comes from the South, love will kiss thee on the mouth
When the wind blows from the West, departed souls may have no rest
When the wind blows form the East, expect the new and set the feast
Nine woods in ye cauldron go, burn them fast and burn them slow
Elder be ye Lady's tree, burn it not or cursed ye'll be
When the wheel begins to turn, soon ye Beltaine fire'll burn
When the wheel hath turned to Yule, light a log the Horned One rules
Heed ye flower, bush and tree, by the Lady blessed be
Where the rippling waters flow, cast a stone and truth ye'll know
When ye have and hold a need, harken not to others greed
With a fool no season spend, nor be counted as his friend
Merry meet and merry part, bright tha cheeks and warm the heart
Mind ye threefold law ye should, three times bad and three times good
When misfortine is anow, wear the blue start upon thy brow
True in love ye must ever be, lest thy love by false to thee
In these eight words the Wiccan Rede fulfill, 'An ye harm none, do what ye will.
อีกพวกที่อยู่ Pagan คือ ชาแมน Shaman เรียกได้ว่าเป็นพวกหมอผีเลยก็ว่าได้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องผีๆ ที่จะเป็นมาแต่กำเนิดคือมองเห็นและติดต่อกับมิติคู่ขนานของเรา ชาแมนจะมีการติดต่อกับเทพเจ้า ติดต่อกับผีเพื่อขอพลังในการรักษา ทำนาย สาปแช่ง นับเป็นกลุ่มที่โบราณและเก่าแก่ที่สุด
ยุคมืดของแม่มด
ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ หรือดีเลวอย่างไรก็ตาม ประมาณต้นศตวรรษที่ 6-11 แถบยุโรปเคยมีแม่มดและมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยกัน แต่พอศตวรรษที่ 15-17 หรือยุคกลางของยุโรป ที่เรียกกันว่า ยุคมืด นั้นมีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะโยนบาปก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และมักเป็นแพะรับบาป พร้อมหลักฐานจำนวนหนึ่ง บางทีหลักฐานก็ดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มด และถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างมั่วว่า สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต ( "Thou shlt not a suffer a witch to live" )
ฉะนั้นจึงมีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีนานาที่จะนึกออกได้ ใครจะทนการทรมานไหว ก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือ การเผาทั้งเป็น!
อีกตัวอย่างเหตุการณ์ของการจับแพะแม่มดที่สำคัญโด่งดังคือ กรณีเซนต์โจนส์แห่งตำบลอาร์ค (โยนส์ออฟอาร์ค) เพียงเพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่คอยมีใครรู้ที่มาที่ไป และนำทัพปฏิวัติให้ฝรั่งเศสเป็นอิสระจากอังกฤษ อย่างเหลือเชื่อ การเมืองไม่เข้าใครออกใคร จะด้วยอิจฉาหรือกลัวถูกแย่งประชานิยมหรือรักษาตัวรอดตามเกมการเมืองก็ตาม ผู้มีอำนาจในฝรั่งเศสสมรู้กันมอบเธอให้อังกฤษ เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งที่เธอต่างหากที่ปลดปล่อยฝรั่งเศสให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และมีกษัฅริย์ของตนเอง เธอถูกตัดสินว่า ผิดจริงโดยใช้พลังของแม่มดในการเมืองการสงคราม และถูกเผาทั้งเป็น แต่ภายหลังเป็นร้อยปี ก็ได้มีการรื้อคดีมาทำใหม่ และประกาศว่าการพิพิากษาครั้งนั้นไม่ถูกต้อง แล้วเธอได้รับยกย่องให้เป็น หนึ่งใน นักบุญ (เซนต์)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น