ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Opps! My first kiss. . .

    ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องคืนนั้นฉันจะคิดเสียว่าฝันไป. . .ยั่ย ยัย ย้า~

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 38
      0
      18 ม.ค. 51

    แย่แล้ว!  จูบแรกของฉ้าน

     

    1.

     

                แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัดเลย” -_+

     

                ฉันบ่นกับตัวเองด้วยเสียงหอบแฮ่ก   ถึงปากจะบ่นแต่เท้าก็ยังก้าวไม่หยุด *U*

     

                เพราะแก  นังมน  เพราะแกมันชอบเล่นอะไรแผลงๆ  เค้าเลยพลอยซวยไปด้วย

     

                ถึงจะเหนื่อย  แต่ไอ้ปากเจ้ากรรมมันก็ไม่ยอมหยุดบ่นยัยมน  เพื่อนสนิทฉัน  ที่วันๆ ไม่ค่อยทำอะไร  นอกจากคอยหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ยัยริมธารเพื่อนมานคนนี้ตามแก้(ต่าง)

               

                อย่างวันนี้  วันที่ฉันคิดว่าคงเป็นวันที่ซวยที่สุดในชีวิตก็ว่าได้  = =”

     

                วันสอบวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน ม.3!!!

     

                หลังสอบเสร็จ  ฉันและเพื่อนๆ ก็ออกจากห้องสอบมาอย่างหน้าชื่นตาบาน  แม้ว่าการทำข้อสอบจะไม่ใช่เรื่องถนัด  และพวกเราก็ไม่มั่นใจนักว่ามันจะออกมาดี  แต่ถึงอย่างไร  เราก็ดีใจที่มันจบเสียที  ชีวิต ม.3  ปิดเทอมแย้ว  ดีใจๆ ^o^

     

                เรื่องอื่นค่อยคิดกันทีหลัง  เย็นวันนั้นฉันกะกลุ่มเพื่อนอีก 4 คน มี มน  บิว  แจง และน้ำ  นัดกันไปฉลองสอบเสร็จที่ FUJI  แม้บิวจอมงกจะบ่นงุด  และเรียกร้องให้เปลี่ยนสถานที่  แต่สุดท้ายเราก็ขอร้อง (แกมบังคับ)  จนไอ้บิวมันยอมมาอย่างไม่เต็มใจนัก >o<

     

                ถ้าฉันรู้ก่อนว่าจะมีเรื่องซวยๆ แบบนี้เกิดขึ้นละก็  ฉันจะตามใจไอ้บิว  ไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวข้างท้างซะก็ดี -_-“

               

                ย้อนไป 30 นาทีที่แล้ว -------à

     

                ริมเพื่อนรัก

     

                มนเรียกชื่อเล่นฉันเสียงหวาน  ที่จริงฉันชื่อริมธาร  ชื่อเล่น ธาร  แต่เพื่อนๆ มันชอบเรียก ริม  แรกๆ ก็ไม่ยอมหรอกนะ (ยอมได้ไง  พ่อแม่อุตสาห์ไปวานลุงข้างบ้านมาช่วยตั้งให้)  แต่พอมันเรียกกันไม่เลิก  ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย

     

                มีไรอ่ะ  อย่าบอกนะ  ว่าปวดอึ  ฉันไม่ไปเฝ้าแกหน้าห้องน้ำหรอก  กำลังทำหน้าที่เป็นเทศบาลเก็บกวาดเศษอาหารอยู่

     

                ไม่ใช่  เรื่องที่กรูจะบอกมันแย่กว่านั้นอีก

     

                ไรอ่ะ

     

                ฉันถามอย่างไม่ค่อยสนใจไยดีนัก  เพราะกำลังใช้สมาธิคีบผักบุ้งอย่างเอาจริงเอาจัง  ในร้านตอนนี้เหลือฉันกะมนแค่สองคน  เพื่อนๆ คนอื่นต่างขอตัวกลับบ้านก่อนแล้ว

     

                คือ  ตอนแรกอ่ะ  ค่าอาหาร  เราตกลงว่าจะให้ฉันออกเงินก่อนใช่ป่ะ  แล้วไปหารกันทีหลัง

               

                อืม  อ่ะดิ  แล้วไงอ่ะ

     

                คือว่า  ฉันเพิ่งรู้ตัวเมื่อกี้อ่ะ  ว่า…”

     

                พอมานพูดอ้ำๆ อึ้ง  ฉันก็เริ่มใจเสีย  คงไม่ใช่เพราะมันลืมเอากระเป๋าตังค์มาหรอกนะ 

     

                โอ้!  พระเจ้า  ทำไมเวลาบอกเลขให้แม่ไปซื้อหวย  ทำไมมันไม่แม่นอย่างนี้นะ

     

                ทำใจดีๆ นะไอ้ริม  คือ  ฉันลืมเอากระเป๋าตังมา

     

                นั่นไง  ไอ้เพื่อนเฮงซวย!  ทำไงดีล่ะ  บังเอิ๊น  บังเอิญ  วันนี้กะมาเกาะเพื่อนกินเต็มที่  ฉันแกล้งไม่เอากระเป๋าตังค์มา  เผื่อมันแกล้งให้จ่ายจะได้ออกตัวทัน  มีติดตัวพอแค่ค่ารถ 20 บาท

     

                แกมีไหมอ่ะ

     

                มี  แกอ่ะ  ยังมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอ

     

                ขณะที่เราสองคนกำลังนั่งคิดไม่ตกกันอยู่ในร้านนั้น  พี่บริกรคนสวยก็ก้าวเข้ามา  พร้อมบิลในมือ

     

                น้องคะ  ร้านจะปิดแล้วนะคะ  พี่ขอคิดเงินนะคะ  ทั้งหมด  สองพันสามร้อยเจ็ดสิบค่ะ

     

                โห!  พี่   ขอจ่ายมัดจำก่อนได้มะ  หรือไม่ก็ขอจ่ายราคาเต็มหารด้วยร้อย

     

                มนมองหน้าฉัน

     

                ฉันมองหน้ามน

     

                เราพยักหน้าหงึกหงักกันสองสามครั้งเป็นอันเข้าใจ

     

                มนจับแขนฉัน

     

                แล้วก็วิ่ง !

                มันลากฉันให้วิ่งไปพร้อมๆ กัน

     

                เรื่องวิ่งสบายอยู่แล้ว  ดีกรีระดับนักกรีฑาของโรงเรียน  บรรยากาศยิ่งเป็นใจ  ตอนที่ห้างใกล้ปิด  อะไรๆ มันก็ดูโล่งๆ วิ่งง่าย  เสียอย่างเดียว  พี่ร้านฟูจิก็วิ่งตามง่ายเหมือนกัน

     

                เอาล่ะ  กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน

     

                ฉันกะไอ้มนวิ่งกันออกมา  วิ่งไม่หยุด  วิ่งแทบจะชิงเหรียญทองสาขาวิ่งอึดได้เลย 

               

                จำไม่ได้ว่าวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว  รู้ตัวอีกทีเราสองคนก็มายืนหายใจหอบอยู่ตรงป้ายรถเมล์

     

                แกว่าพี่เค้าจะจำหน้าเราได้ไหมวะ

     

                มนมานถาม  หน้ามันซีดไม่ต่างจากฉัน  อากาศตอนดึกถึงจะหนาว  แต่เราทั้งคู่ก็เหงื่อโชกเต็มหลัง

     

                ไม่รู้  เฮ้ย  นี่มันซอยเข้าบ้านแกนี่นา  เราวิ่งกันเก่งเหมือนกันแฮะ  ไม่ต้องเปลืองค่ารถด้วย

     

                เออ จริงด้วย  เหอะๆ

     

                งั้นแกเข้าบ้านไปก่อนเหอะ  เดี๋ยวแม่แกจะว่า

     

                แล้วแกอ่ะริม

     

                แกใช้สมองให้เป็นประโยชน์หน่อยดิ  ฉันก็ยืนรอรถอ่ะดิ

                คนเดียวเนี่ยนะ

     

                ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง  ถึงฉันบอกว่ารอคนเดียวไม่ได้  ยังไงแกก็ไม่รอเป็นเพื่อนฉันอยู่ดี  แกมันเป็นเพื่อนฉัน  ทำไมฉันจะไม่รู้นิสัยวะ

     

                 เออ  งั้นฉันไปแล้วนะ  กลับบ้านดีๆ ล่ะ  ระวังโดนฉุดไปข่มขืนนะ  แต่ถ้าเจอคนหล่อๆ  แกก็ยอมๆ เค้าไปเหอะ

               

                อ้าว!  ไอ้เพื่อนเลว  มันอวยพรหรือมันแช่งฟะเนี่ย  ถ้าโดนจริงๆ ละก้อ  จะบอกบ้านเลขที่ให้มันขึ้นไปปล้นบ้านแกต่อเลย

     

                ถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วยนะ   เผื่อฉันหลับ  แล้วแกโทรมาปลุก  ฉันจะได้ตื่นขึ้นมาดูรายการโปรดพอดี

     

                นึกว่าห่วง  นี่มันกะให้ฉันเป็นนาฬิกาปลุกให้มันแค่นั้นเรอะ >_d!

     

                ล้อเล่นน่า  ไปล่ะ  เด๋วแม่บ่น

     

                แล้วมันก็ไปจริงๆ เสียที

     

                พี่บริกรขา  ร้านฟูจิจ๋า  ที่จริงเราก็ไม่อยากจะชักดาบหรอกนะ  แต่มันจำเป็นจริงๆ แล้วทีนี้เราจะทำไงดีล่ะ  อดเข้าห้างนั้นแน่เลย o_+

     

                หรืออดเข้าร้านอาหารทั่วประเทศเลย

     

                หรืออาจจะโดนตำรวจตามล่าตัว

     

                แล้วเราจะไปกบดานที่ไหนดีอ่ะ

     

                โอ้ย!  คิดไปใหญ่แล้ว  คงไม่มีไรแล้วล่ะ  วิ่งมาเหนื่อยขนาดนี้คงคุ้มกะสองพันกว่านั่นแล้วมั้ง  แล้วอีกอย่าง  ร้านนั้นรวยจะตาย  คงไม่ติดใจอะไรกับเงินไม่ถึงสามพันมั้ง *-*

     

                (แต่คุณหนูๆ ทั้งหลายอย่าคิดเหมือนยายริมธารนะคะ  มันไม่ดีมั่กๆ >-<)

     

                ที่จริงบ้านฉันมันต้องไปอีกทางหนึ่ง  ซึ่งตรงกันข้ามกับบ้านมน  ขนาดว่าอีกฟากหนึ่งเลยก็ว่าได้  นั่งรถเมลล์ก็อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

     

                เพราะฉะนั้นโดยปกติ  ฉันเลยไม่ค่อยได้มาแถวนี้บ่อยนัก  วันนี้มีโอกาสมาก็ขอเดินดูบรรยากาศหน่อยละกัน

     

                ไฟสว่างขนาดนี้คงไม่มีพวกหื่นอย่างที่ไอ้มนมันแช่งหรอกเนอะ ^-^

     

                ตรงนี้มีสะพานด้วย  สะพานที่ไอ้มนมันเคยพูดถึงบ่อยๆ ว่ามักจะมีคนรักมาสารภาพกัน  ให้ดวงดาวและแสงจันทร์เป็นพยาน  ให้เงาที่ทอดไปในแม่น้ำเป็นผู้แสดงความยินดี ^-^

               

                ฉันขึ้นไปยืนกลางสะพาน  ลมกลางคืนพัดผ่าน  = =^

     

                เงียบจัง -_-

     

                เหงาเหลือเกิน - - a

     

                อยู่ดี ๆ  น้ำตาของฉันมันก็ไหลอาบแก้ม  ความเศร้าในใจที่ถูกเก็บไว้มันไหลทะลักออกมา  T-T

     

                จบ ม.3 เสียที  ฉันจะย้ายโรงเรียน ไปให้พ้นๆ  จากความซ้ำซากจำเจ

     

                ความทรงจำที่โหดร้าย

     

                ผู้ชายสารเลว

     

                และเพื่อน  ที่หักหลังกันได้หน้าตาย >T_T<

     

                น้ำ  เพื่อนในกลุ่มฉันที่เราเพิ่งไปกินฟูจิกันเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

     

                น้ำเป็นเพื่อนที่ฉันไว้ใจเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมากที่สุด  โดยเฉพาะเรื่องชัย  ผู้ชายที่ฉันรัก

     

                ฉันแอบชอบชัยมาตั้งแต่ตอน ม.1 

               

                จนตอน ม.2  เหมือนฟ้าเป็นใจ  ชัยมาขอฉันเป็นแฟน

     

                เรารักกันมาก

     

                และสามเดือนก่อนสอบปลายภาค  ชัยมาบอกเลิกฉัน

     

                ไม่มีเหตุผล  แค่ชัยบอกว่า  ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังชอบริมอยู่หรือเปล่า  ถ้ามันไม่ใช่ก็ไม่อยากจะหลอกลวงริมต่อไป

     

                สองเดือนหลังเราเลิกกัน  วันนึงขณะที่ฉันกำลังนั่งกินไอติมอย่างเศร้าสร้อย

     

                ชัยเดินมาพร้อมกับน้ำ

     

                และน้ำก็แนะนำว่าชัยคือแฟนของเธอ

     

                ให้มันได้อย่างนี้สิ

     

                แต่ก็เอาเถอะ  ไหนๆ ทำยังไงก็เอาใจชัยกลับคืนมาไม่ได้

     

                แค่เพราะผู้ชายคนเดียวจะมาทำให้มิตรภาพของฉันกับน้ำสั่นคลอนเหรอ  ไม่มีทาง - -

     

                ฉันกับน้ำยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่  แต่ไม่สนิทเหมือนเดิม  เพราะฉันมาสนิทกับมนแทน 

               

                ฉันไม่เคยร้องไห้เลยจริงๆ นะ

     

                นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันหลั่งน้ำตา

     

                ขอเวลาช่วงปิดเทอมให้ฉันปรับสภาพตัวเองจนหายเป็นปกติได้ก่อนเถอะ

     

                เปิดเทอมใหม่  โรงเรียนใหม่  เพื่อนใหม่  ความทรงจำใหม่ >+<

     

                ถึงตอนนั้น  อดีตอันแสนเศร้าก็คงไม่มีความหมายอะไร ^o^

     

                ฉันถอดแว่นออก  เช็ดน้ำตา (ลืมบอกไป  ฉันสายตาสั้นห้าร้อยกว่า  ต้องใส่แว่น)  แล้วสวมมันกลับเข้าที่เดิม

     

                มองไปบนท้องฟ้าเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตกำลังส่งยิ้มให้  ฉันยิ้มตอบ  และหมุนตัวกลับเดินลงจากสะพาน

     

                พลั่ก!

                ร่างหนึ่งท่าทางรีบร้อนพุ่งเข้าชนฉันจนล้ม  ร่างหนักๆ นั่นล้มทับฉ้าน

     

                หนักนะ  อีตาบ้า

     

                ที่สำคัญ!!!

     

                ความรู้สึกบางอย่างของฉัน  มันรู้สึกอบอุ่นแบบประหลาด

     

                ริมฝีปากของใครก็ไม่รู้มาประกบอยู่กับริมฝีปากของฉัน

     

                จูบแรกของฉ้าน 

     

                สิ่งสำคัญที่แม้แต่ชัยยังไม่มีโอกาสได้สัมผัส

     

                แง้ๆ  T_T  แม่จ๋าช่วยด้วย  ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาลักจูบหนู

     

                รึว่าจะเป็นพวกบ้ากามมาดักข่มขืนหนูตามที่ไอ้มนปากหมามันแช่งไว้ -_+!

     

                เกือบนาทีกว่าที่ไอ้คนความรู้สึกช้านั่นมันจะรู้สึกตัว  <o>

     

                มันค่อยๆ ถอนปากออกจากฉัน

     

                ลุกขึ้น  และดึงมือฉันขึ้น

     

                เป็นอะไรมากไหมครับ  *()*

     

                เป็นสิ  เมื่อกี้นายทำอะไรไปรู้ตัวไหม  >O<

                ฉันแทบจะตะโกนด่าผู้ชายจอมซุ่มซ่ามนี่เลย  ถ้าไม่ติดว่ากำลังก้มคลำหาแว่นอยู่  หายไปไหนแล้วนะ

               

                ฉันอายสภาพตัวเองตอนนี้ซะเหลือเกิน  ที่กำลังจะคลานคลำหาแว่นบนพื้นสะพาน

     

                หาอะไรเหรอครับ

     

                หาแว่นน่ะสิ  ฉันจะหาให้เจอ  จะได้ใส่มามองหน้าผู้ชายเฮงซวยอย่างนายให้ชัดๆ

     

                อยากรู้นักว่าหน้าตามันจะหื่นแค่ไหน  แง้ๆ  ยังเสียดาย เอ้ย  เสียใจไม่หาย  จูบแรกของช้านนนน  >_+

     

                แว่นเหรอครับ  รู้สึกว่าเมื่อกี้ตอนล้ม  แว่นของคุณจะหล่นลงไปในแม่น้ำนะครับ

     

                หา!”

     

                ไม่ต้องหาแล้วครับ  ผมมั่นใจว่าตอนนี้มันคงอยู่ในแม่น้ำ

     

                บ้าจริง  ไม่เป็นไร  ถึงตอนนี้ฉันจะไม่มีแว่น  แต่ฉันก็ยังด่านายได้อยู่  นายรู้ไหม  เมื่อกี้นายทำอะไรลงไป

     

                ก็  ล้มไงครับ” +_+

     

                ล้มแล้วไง  แล้วปากอ่ะ  ปากนายโดนปากฉันอ่ะ” >_<

     

                ที่เค้าเรียกว่าจูบใช่ไหมครับ” O_o

     

                นี่  อย่ามาตอกย้ำนะ  นั่นมันจูบแรกของฉันนะ  นายรู้ไหมว่ามันสำคัญกับฉันแค่ไหนน่ะ  นายนี่มันบ้ากาม  ไม่มีมารยาท  ทุเรศบัดซบ  น่ารังเกียจ  พวกไม่มีวัฒนาธรรม…”

     

                มันก็เป็นจูบแรกของผม  เป็นจูบที่สำคัญเหมือนกันครับ” - -‘

     

                หมอนั่นพูดแทรกขึ้นขัดจังหวะการด่าของฉัน  ฉันจึงเงียบลง  เงี่ยหูฟัง

     

                ผู้ชายอะไร  ผู้ชายเคยใส่ใจกับเฟิร์สคิสด้วยเหรอ +_-

     

                คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมจูบ  แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

     

                เออ  ไม่ต้องมาตอกย้ำ  ทำอย่างกับฉันอยากจูบนักแหละ  ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันย่ะ

     

                หมอนั่นทำท่าทางประหลาด

     

                เขาคุกเข่าลง  ขาข้างหนึ่งตั้งชั้น

     

                มือทั้งสองข้างแกะสร้อยที่คอดึงแหวนที่ห้อยไว้ออกมา

     

                ตาบ้านี่กำลังจะทำไรอ่ะ  ฉันงงไปหมดแล้วนะ

     

                เขาจับมือฉัน

     

                ด้วยความงุนงง  ฉันทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนนิ่งๆ  ดูความเป็นไป

     

                จากนี้เป็นต้นไป  คุณคือคู่หมั้นของผม  คุณคือผู้หญิงที่จะเข้าพิธีแต่งงานร่วมกับผม  คุณคือราชินีองค์ต่อไปของทาซิเนียร์

     

                เขากำข้อมือฉันแน่น

     

                ฉันฝันไปหรือเปล่านี่  เขาทำท่าทางราวกับเจ้าชายขอเจ้าหญิงเป็นชายา

     

                ตื่นสิ  ริมธาร  ตื่นจากฝันบ้าๆ นี่เสียที

     

                ไม่!  นี่ไม่ใช่ฝัน

     

                ข้อมือฉันเจ็บระบมไปหมดจากการบีบจนแน่นของเขา

     

                ยากที่จะขัดขืน

     

                เขาสวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของฉัน

     

                อีตาบ้า  มายุ่งอะไรกับนิ้วฉันน่ะ  เอาแหวนลาวๆ นี่คืนไปนะ

               

                ฉันด่าเขาใหญ่เลย  และพยายามจะดึงแหวนออก  แต่ข้อมือที่แข็งแกร่งของเขาทั้งสองข้างกำมือฉันไว้แน่น >^+^<

     

                ฟังผมนะ  ไม่ว่ายังงัย  เราจะต้องแต่งงานกัน  ผมเป็นเจ้าชายแห่งทาซิเนียร์  ที่ผมมาเมืองไทยแค่มาเที่ยวดูงานการศึกษา  แล้วผมก็กำลังจะไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน  ที่ผมรีบจนชนคุณล้มเพราะต้องไปขึ้นเครื่องให้ทันเวลา  เมื่อกี้ผมแค่อยากกลับมาดูหลอดไฟหน้าสระน้ำอีกครั้งก่อนกลับ  ขอโทษจริงๆ ที่ความรีบของผมมันทำให้เราสองคนต้องจูบกัน  แต่อาจจะเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิต    ที่ประเทศของผม  มีประเพณีการเลือกคู่ของเจ้าชาย  ผู้หญิงที่ได้รับจูบแรกจากเจ้าชายจะต้องเป็นชายา เป็นราชินีของทาซิเนียร์  และผู้หญิงคนนั้นคือคุณ  ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้

                นายว่าไงนะ  ฉันรู้ว่านายต้องโกหกเพื่อที่จะไม่ให้ฉันเอาเรื่องนาย  ไอ้เรื่องเจ้าชายบ้าบออะไรเนี่ย  เลิกหลอกฉันเสียที  นายเห็นว่าบนหัวฉันมีเขาหรือไง  บอกความจริงมานะ  ไม่งั้นฉันจะ…”

     

                ไม่ว่ายังงัย  แม้ตอนนี้เราต้องแยกกัน  แต่ผมจะตามหาคุณให้พบ  แล้วเราจะแต่งงานกัน  ถ้าคุณไม่ทำตามประเพณีความเชื่อของประเทศผม  เรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจะเกิดขึ้น  ผมขอโทษกับเรื่องทั้งหมด  ผมเห็นทีจะต้องไปแล้ว  ลาก่อน

     

                เขาพยุงฉันให้ลุกขึ้น  และรีบวิ่งไป

     

                ฉันได้แต่มองตามอย่างงุนงง  เรื่องบ้าบออะไรนี่ U_U!

     

                ดูเหมือนเขาจะหยุด  และหันมาตะโกนบอกอะไรบางอย่างแก่ฉัน  แต่มันไกลมาก  ไกลจนฉันฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไร h_-

     

                ตอนเราโตขึ้น  ผมจะตามหาคุณให้พบ  ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน  คุณคือเจ้าสาวของผม  และแหวนที่นิ้วของคุณนั่น  คือกุญแจไขคลังสมบัติแห่งทาซิเนียร์ที่ตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ  เก็บมันไว้ให้ดีๆ ล่ะ

     

                อืม  มันพูดอะไรก็ไม่รู้  ฉันได้แต่มองตามด้านหลังของมันที่ค่อยๆ หายไปเมื่อก้าวลงสะพาน

     

                เขาน่าจะอายุเท่าๆ ฉัน  แผ่นหลังกว้างนั่น  ริมฝีปากนั่น  โอ้ย  ฉันคิดถึงเขาหรือเนี่ย

     

                เขาหน้าตาเป็นยังงัยนะ  เพราะว่าแว่นหายไปเลยมองไม่เห็นเขาเลย  โดยเฉพาะนี่เป็นตอนกลางคืนด้วย = =’

     

                อีตานั่นต้องมาหลอกลวงแน่  นี่มันอะไรกัน  นิยายน้ำเน่าเหรอ (ก็เออน่ะสิ  อ่านมาตั้งนานเพิ่งรู้เหรอคะ)   ที่นางเอกบังเอิญมาพบกับเจ้าชายปลอมตัวมา  แต่หมอนั่นไม่ได้ปลอมตัวมาสักหน่อย

     

                คงแค่คนโกหกหลงตัวเองมั้ง  แล้วก็ไอ้แหวนกิ๊กก๊อกนี่

     

                ฉันถอดมันออกจากนิ้วเรียวงามของฉัน  ใส่ความโกรธทั้งหมดลงไป

     

                จ๋อม!

     

                ฉันเหวี่ยงมันลงน้ำ  -_-“

     

                อย่างน้อยก็จะได้ไม่มีหลักฐานว่าเคยจูบกะไอ้บ้านั่น  มันต้องบ้าแน่ๆ ที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย

     

                ฉันยืนอยู่บนสะพานสักพักหนึ่ง  รวบรวมสติขจัดความงุนงงออกไป *(-)*

     

                ค่อยๆ คิดอะไรออก

     

                วันนี้เป็นวันที่ซวยสุดๆ  ซวยมั่กๆ

     

                และสำคัญที่ซวยสุดๆ ตอนนี้  ฉานจะกลับบ้านได้ยังงัย

     

                แว่นตาอยู่ในน้ำแล้วอ่ะ

     

                สั้นห้าร้อยกว่าเนี่ย  ยิ่งตอนกลางคืนด้วย

     

                แค่เดินลงสะพานจะรอดมั้ย!

     

                ซวยแล้วเรา  ริมธารเอ๋ย!

     

    *-* จอบตอน 1 ใครรู้ตัวว่าน่ารัก เม่นให้ด้วยนะคะ  แล้วจะเร่งอัพให้ทันใจเลย ฝากด้วยน๊ะ ขอบคุณค่า~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×