ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    CONNECT (KRISBAEK | CHANBAEK)

    ลำดับตอนที่ #2 : ` 연결 ★ wufan ____( ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 383
      2
      29 ก.ย. 56

     

     

     

    ผมมั่นใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำลงไป

    มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องดีแล้ว...  

     

     

     

     

     

     

    C O N N E C T
    krisbaek  :  chanbaek

     

    2

    WUFAN

     

     
     

     

    “ขอบคุณมากนะยุนอา...”

     

    ผมยื่นแฟ้มเอกสารให้หญิงสาวตรงหน้า  หล่อนรับมันไปกอดเอาไว้  ก่อนจะขมวดคิ้วเล็ก ๆ เมื่อผมเอื้อมมือไปดึงกระดาษทิชชู่จากกล่องข้าง ๆ โต๊ะทำงานมาปิดปากตอนที่จาม  

     

    “วันนี้จะไหวไหมคะบอส ?”

     

    ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ เลขาคนสวยยังคงยืนอยู่ที่เดิม หล่อนแสดงสีหน้าเป็นกังวล ทั้งยังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำได้แค่โบกมือไปมาในอากาศ 

     

    “ไม่เป็นไร ผมโอเค” 

     

    ผมบอกให้หล่อนสบายใจ จะได้กลับไปทำงานต่อเสีย  ถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเล็กน้อย เพราะยังไม่สร่างจากไข้เมื่อวานก็ตามที...

     

    “โอเคค่ะ...ฉันจะได้สบายใจ” 

     

    หล่อนพยักเพยิดหน้า ก่อนจะปิดประตูออกไป ...  ผมปล่อยปากกาหมึกซึมในมือออกทันที  เอื้อมมือไปนวดขมับก่อนจะปรับเก้าอี้ทำงานให้เอนลงเพื่อพักผ่อน  ตั้งแต่ปลายอาทิตย์ที่แล้วมา ที่ผมรู้สึกไม่ค่อยดี นอนหลับไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่เพราะสภาพอากาศ  อาการเป็นหวัด แพ้อากาศแบบนี้ผมเป็นมาตั้งแต่เด็ก แค่อากาศชื้นก็ดูเหมือนจะไม่สบายได้แล้ว เพราะงั้นผมถึงได้เกลียดที่จะให้ใครมารับรู้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง...

     

    ไม่อยากให้ใครมาเวทนา... 

     

     ผมไม่ชอบเวลาใครมาถามว่า แล้วดีขึ้นรึยัง ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ด้วยสายตาสงสาร ทั้ง ๆ ที่ผมเคยชินกับการดูแลตัวเองในช่วงเวลาแบบนี้มาเกือบ 30 ปีแล้ว แต่เมื่อราว ๆ สองสามปีที่ผ่านมานี้ ก็ดันมีใครคนนึงเข้ามาและเริ่มทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะชินกับชีวิตที่ผ่านมาเอาเสียเลย...

     

    บยอน แบคฮยอน...

     

    อย่าลืมกินผลไม้ในตู้เย็น

    อย่าลืมเอายาไปที่ทำงานด้วยนะครับ

    BH’

     

    นึกถึงโพสอิทที่แปะไว้หน้าประตูตู้เย็นแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อคืนเด็กนั่นมาค้างด้วยทั้ง ๆ ที่วันนี้มีตารางเรียนตอนเช้าตรู่ คอนโดของผมกับมหาลัยของแบคฮยอนอยู่ห่างกันมาก ใช้เวลาเดินทางฝ่ารถติดในช่วงเร่งด่วนไปก็เกือบชั่วโมง นั่นทำให้ผมไม่ชอบขับรถไปส่งเขาเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะทำให้เราทั้งคู่สายแล้ว  ยังมีเรื่องให้หงุดหงิดใจกันไปทุกทีที่เราอยู่ด้วยกันในรถ ท่ามกลางสภาพแออัด และอึดอัดใจ

     

    เลยกลายเป็นว่า เราทั้งคู่ตกลงกัน ว่าวันไหนที่เขามีเรียนตอนเช้า ถ้าจะมาค้างที่คอนโดผม เขาก็ต้องนั่งรถไฟกลับเอง...

     

    เราเข้าใจกันดี....

     

    แบคฮยอนเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเรื่องมาก อาจเพราะเขาเป็นเด็กผู้ชาย และยังมองโลกในแง่ดีอีกด้วย พวกเราอยู่ด้วยกันแบบผู้ชาย ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อย ไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลา นั่นทำให้ผมไม่ต้องมานั่งปวดหัวเท่ากับการคบผู้หญิง เพราะแบคฮยอนไม่เคยเรียกร้องเอาอะไร.... ไม่เคยเรื่องมาก พูดอะไรก็พร้อมจะเข้าใจมันโดยง่าย  

     

    นั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจทุกครั้ง

     

    นี่เป็นครั้งแรกสำหรับการคบกับผู้ชาย  ครั้งแรกที่ผมรู้สึกชอบผู้ชายคนหนึ่งจนสามารถคบเป็นแฟนด้วยได้...  แบคฮยอนคือประสบการณ์ใหม่ที่ดีเยี่ยม ทั้งร่างกายของเราเวลาที่สัมผัสกันมันเข้ากันได้ดีอย่างประหลาด ความเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งผ่านมาถึง ความอ่อนแอของผมที่ไม่เคยให้ใครได้มีโอกาสรับรู้ เวลานี้มีแค่เด็กคนนั้นเพียงคนเดียวที่เข้าใจตัวผมเป็นอย่างดี 

     

    Rrrrrr Rrrrrrr 

     

    ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงอยู่บนโต๊ะทำงาน  เห็นหน้าจอแล้วถึงกับต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ ....เพราะคนที่ผมเพิ่งจะนินทาในความคิดไปดันโทรเข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี.. 

     

    “ว่ายังไง” 

     

    ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์  เสียงจ่อกแจ่กจอแจดังขึ้นมาก่อนเสียงของเจ้าตัวเสียอีก ซ้ำร้าย ดูเหมือนมันจะกลืนเสียงของแบคฮยอนไปซะหมด  นั่นทำให้ผมชักจะหงุดหงิด เพราะผ่านไปครึ่งนาทีแล้วแต่ผมยังฟังไม่ออกว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่

     

    “เดินออกมาห่างคนหน่อย...พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง”  ดูเหมือนจะมีปลายสายที่ฟังรู้เรื่องอยู่คนเดียว แบคฮยอนกระซิบอะไรซักอย่าง ก่อนสายจะตัดไป  พักเดียวเท่านั้นก็โทรเข้ามาใหม่อีกครั้ง

     

    “ได้ยินรึยังครับฮยองนิม” 

     

    แบคฮยอนอยู่ในที่เงียบแล้วตอนนี้   นั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เวลาที่คู่สนทนาอยู่ในที่เสียงดัง ๆ หรือ เวลาที่คุยกันอยู่แล้วอีกฝ่ายหันไปคุยกับคนอื่น... 

     

    จะว่าเป็นเรื่องที่เอาแต่ใจก็ได้....แต่นั่นเป็นสิ่งที่มักจะทำให้ผมหงุดหงิดแบคฮยอนอยู่บ่อย ๆ

     

    “ได้ยินแล้ว”  ผมเอื้อมไปหยิบปากกามาหมุนเล่น “มีอะไรรึเปล่า...”  ปลายสายเงียบไปซักพัก ถ้าฟังไม่ผิดดูเหมือนจะได้ยินอีกฝ่ายกำลังสูดน้ำมูกเบา ๆ

     

    “วันนี้ฮยองนิมกลับบ้าน หรือ กลับคอนโดครับ ?”

     

    “นั่นไม่สบายใช่รึเปล่า ?” 

     

    “โธ่ฮยองนิม....ช่างมันก่อนนะ....ตกลงกลับบ้านหรือคอนโด ?”

     

    ผมชักเริ่มจะหงุดหงิดเล็ก ๆ  เด็กนั่น....เมื่อวานไม่ยอมสระผมตามที่บอกแน่ ๆ ถึงได้คัดจมูกเสียงฟึดฟัดแบบนั้น...

     

    “กลับคอนโด...ทำไม จะมาหรือไง?”  ผมถามออกไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบกลับมาแค่เบา ๆ

     

    “อือ...ไปไม่ได้หรอครับวันนี้ ?”

     

    “นายเป็นหวัด....ไม่ต้องมาหรอกเดี๋ยวติดกันไปติดกันมา ไม่หายซักที”  ผมกรอกเสียงลงไปดุ ๆ เด็กนั่นผิดเองที่ไม่ยอมทำตามที่ผมบอก ไม่ดูแลตัวเองจนไม่สบายแบบนี้ รู้ก็รู้อยู่ว่าเวลาผมไม่สบายแล้วมันหายยาก ถ้าได้เชื้อมาจากเด็กนั่นอีก อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ก็คงไม่หายแน่ ๆ

     

    “...แต่.....วันนี้วันเกิดฮยองนิม....”

     

    อีกฝ่ายพูดเบา ๆ ฟังออกว่าหงอยลงไปถนัด....  ผมเงียบไปซักพัก ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน้อง ๆ ในออฟฟิศเอ่ยปากว่าจะเลี้ยงวันเกิดให้ ซึ่งผมก็ตบปากรับคำไปเรียบร้อยแล้ว... ไม่น่าล่ะเมื่อเช้ายุนอาถึงได้ถามว่าผมโอเครึเปล่า...

     

    “ไว้พรุ่งนี้ไหม ?”  ผมหันไปดูตารางนัด ยังไงวันพรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว “เป็นพรุ่งนี้แล้วกัน อีกอย่างวันนี้นายก็ไม่สบาย พี่ว่าไปนอนพักผ่อนให้หายก่อนดีกว่า”

     

    แบคฮยอนทำแค่เงียบไป แล้วก็ตอบกลับมาว่าอืม ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอ หรือไม่สำคัญหรอกนะ  แต่เด็กคนนั้นกำลังป่วย แล้วอีกอย่างน้อง ๆ ก็นัดไว้ตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แล้วถ้าเจ้าของงานวันเกิดไม่โผล่ไปซักหน่อย มันก็คงจะแปลกพิลึก... 

     

    เอาไว้แก้ตัวโดยการพาเด็กคนนั้นไปกินข้าวร้านที่เจ้าตัวร้องอยากไปก็แล้วกัน...                   

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    ผมเงยหน้าขึ้นมองบานประตูทั้ง ๆ ที่โทรศัพท์ยังแนบอยู่ที่หู แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่ก้าวเข้ามาในห้อง ผมเลยขอเวลาเด็กคนนั้นซักครู่ ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานโดยที่ยังไม่ได้วางสายจากกัน

     

    “เอ่อ....บอสคะดิฉันมีเรื่องจะรบกวน”  ยุนอาเดินเข้ามานั่งที่ฝั่งตรงข้าม หล่อนทำสีหน้ากระอักกระอ่วนพอดู 

     

    “พูดมาสิ”

     

    “ดิฉันอยากจะรบกวน...ขอเบิกเงินล่วงหน้าครึ่งเดือนน่ะค่ะ”  เลขาสาวเม้มริมฝีปาก “พอดีเมื่อเช้าพี่สาวโทรมาว่าแม่ล้ม......”  

     

    “ได้สิ....” ผมสวนออกไป  เลขาสาวตาโต หล่อนค้อมหัวขอบคุณทันที  “เดี๋ยวผมจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”

     

    “ขอบคุณนะคะบอส...งั้นไม่รบกวนแล้วค่ะ”  

     

    อิม ยุนอากล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะออกจากห้องไป  จะว่าไปนี่ก็ครึ่งเดือนหลังแล้ว บางทีผมควรจะโอนให้เธอทั้งหมดรวมถึงโบนัสที่เธอล่วงเวลาด้วยเลย....  

     

    “แบคฮยอน....”   ผมเอาโทรศัพท์แนบแก้มอีกครั้ง ส่งเสียงเรียกคนปลายสายให้รับรู้ว่าผมพูดธุระเสร็จแล้ว “เดี๋ยวพี่ต้องทำงานแล้ว...มีอะไรอีกรึเปล่า”

     

    “เอ่อ......”    คนปลายสายเงียบไปซักพัก

     

    สำหรับพวกผม การคุยโทรศัพท์กันมักจะคุยแต่เรื่องจำเป็น หรือโทรนัดกันเท่านั้น น้อยครั้งที่เราจะคุยกันนอกเหนือประเด็นพวกนี้  เพราะผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์ซักเท่าไหร่ เวลาที่ต้องแนบหูกับเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่นาน ๆ บางทีก็ทำให้ประสาทกินได้เหมือนกัน....   

     

    เรื่องนี้แบคฮยอนรู้ดีที่สุด.... 

    ผมเอื้อมไปหยิบเอกสารที่พักยกไปนานขึ้นมาดูอีกครั้ง  “ว่ายังไง” 

     

    “พี่.......เอ่อ.....ไม่มีอะไรครับ...”  ปลายสายตอบตะกุกตะกัก.... ดูเหมือนจะมีเรื่องต้องพูดกันมากกว่านั้น  แต่แบคฮยอนเลือกที่จะไม่พูด เพราะงั้นควรเป็นผมที่เอ่ยปากเองคงจะดีกว่า

     

    “เงินน่ะ...เดี๋ยวโอนให้เย็นนี้...” ผมเอื้อมมือไปหยิบปากกามาขีดฆ่าข้อความบางอย่างในปฏิทินที่อยู่ด้านหน้าเอกสารทั้งหลาย “พรุ่งนี้ก็เอาไปจ่ายค่าหอซะ...”

     

    “พรุ่งนี้?......” 

     

    “พรุ่งนี้กำหนดจ่ายค่าหอ”

     

    “อ๋อ......ขอบคุณนะครับ....” เด็กคนนั้นเอ่ยขอบคุณเสียงแผ่ว “ฮยองนิม...เดี๋ยวผมจะต้องเข้าเรียนแล้ว”

     

    “งั้นหรอ....งั้นเท่านี้แล้วกัน....” 

     

    “เดี๋ยวสิครับฮยอง....”   แบคฮยอนพูดสวนขึ้นมาเสียงดังในขณะที่ผมกำลังจะกดวางสาย นั่นทำให้ผมต้องแนบโทรศัพท์ไว้กับหูอีกครั้ง

     

    “ว่ายังไง...” 

     

    “.......คิดถึงนะครับ”

     

    “อืม...." เด็กคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ผมเพียงแค่พยักหน้ากับตัวเองเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้  ถึงแม้แบคฮยอนจะไม่ได้เห็นมัน แต่ผมก็คิดว่าเขาคงจะรู้ว่าผมก็รู้สึกเหมือนกับเขา

     

    สายตัดไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราเงียบกันอยู่พักหนึ่ง เป็นแบคฮยอนเองที่ทำลายกำแพงลงเด็กคนนั้นปรับน้ำเสียงเป็นร่าเริงและขอตัวไปรวมกับเพื่อนๆ  ส่วนผมก็คงต้องรีบตรวจทานงานของตัวเองให้เสร็จเสียที...

     

    _______________________________

     

    23.20

     

    ผมละสายตาออกจากนาฬิกาข้อมือทันทีที่น้องฝ่ายธุรการยื่นกับแกล้มมาให้ ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในสุดของผับ ซึ่งยุนอาที่ไม่ได้มาด้วยในวันนี้เป็นคนจองโต๊ะ ทีแรกผมว่าจะมากินพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่เด็ก ๆ ฝ่ายอาร์ตมันรวมหัวกันท่าไม่ให้ผมกลับบ้าน ก็เลยต้องนั่งกินกับพวกมันไปด้วยโดยปริยาย

     

    “บอสเติมเหล้าอีกไหมคะ” 

     

    น้องฝ่ายธุรการถามอีกครั้ง ก่อนจะได้คำตอบเพราะผมส่ายหน้าปฏิเสธ หล่อนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปชงแก้วใหม่ให้แฟนของตัวเองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

     

    น้อง ๆ ในออฟฟิศกับผมถือว่าเป็นกันเองในระดับหนึ่ง เพราะเราต้องออกอีเว้นท์ด้วยกันบ่อย ผ่านร้อนผ่านหนาว เหนื่อยกายหนักใจร่วมกันมาก็มาก นั่นทำให้ผมและน้อง ๆ พวกนี้วางตัวต่อกันเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่าที่จะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง

     

    “ผมไปห้องน้ำก่อนนะ”

     

    เอ่ยบอกกับเจ้าฝ่ายอาร์ตที่นั่งถัดมา  ก่อนที่จะหามุมสงบเพื่อเช็คโทรศัพท์ มิสคอลสองสายจากแบคฮยอนโทรมาเมื่อหัวค่ำ นั่นทำให้ผมไม่ลังเลที่จะโทรกลับไปหาอีกฝ่ายทันที... 

     

    เสียงสัญญาณดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก่อนจะดับไป เด็กคนนั้นกดตัดสายของผม ทันทีที่โทรไปอีกครั้ง ก่อนจะเป็นริงโทนเครื่องผมเองที่แผดเสียงดังขึ้นมา

     

    “ขอโทษครับฮยองนิม” ผมได้ยินเสียงเพลงร็อคดังแผ่ว ๆ มาจากปลายสาย ท่าทางเบื้องหลังของแบคฮยอนจะอึกทึกพอควร

     

    “อยู่ที่ไหน...” 

     

    “อยู่ร้าน NICZ ครับ....”

     

    “ไปกับใคร....” 

     

    “สายรหัสครับฮยอง....” 

     

    ผมเองที่เป็นฝ่ายเงียบ...  ยอมรับว่าหงุดหงิดเล็ก ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ทั้ง ๆ  ที่ตัวเองก็ไม่สบายอยู่... แต่ก็เอาเถอะ แบคฮยอนก็ควรจะมีสังคมเป็นของตัวเองบ้าง อีกอย่างเด็กคนนั้นก็เป็นเด็กผู้ชาย สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกันนักกับแบคฮยอนในตอนนี้

     

    “ใกล้เสร็จรึยัง”  

     

    ผมเดินไปเข้าห้องน้ำในโซนของผับด้านนอกที่เสียงเบากว่าด้านใน  แนบโทรศัพท์ไว้กับแก้มด้านซ้าย ก่อนจะเอื้อมมือไปกวักน้ำมาล้างมือ 

     

    “....พี่รหัสยังไม่ยอมให้กลับเลยครับ.....”

     

    “แล้วอยากกลับรึยัง”  ผมเดินออกมานั่งที่บาร์ในโซนด้านนอก เอ่ยสั่งมาร์ตินี่ไม่เอามะกอกมาแก้วนึง.... ปลายสายเงียบไปซักพักเพราะตอบรับเสียงตะโกนเรียกจากเพื่อนรุ่นพี่ ขณะเดียวกับที่ใครบางคนทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้สูงข้าง ๆ ผม

     

    “.....อยากจะแย่” 

     

    ผมหันหน้าไปมองหญิงสาวที่เริ่มซบลงบนบ่าผม  เจ้าหล่อนเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาช้อนตามองผม....  เท่านั้นก็เข้าใจได้แล้วว่าอะไรเป็นสิ่งที่เธอต้องการในคืนนี้... 

     

    “....งั้นก็กลับ....เดี๋ยวไปรับ”   ผมยังคงกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ขณะที่ก็เขยิบให้หญิงสาวข้างกายได้เอนซบไหล่ได้ง่ายขึ้น 

     

    “จริงหรอครับ ฮยองนิม!” ปลายสายน้ำเสียงร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อครู่

     

    “อืม......”  ผมยื่นเงินให้บาร์เทนเดอร์ตรงหน้า ก่อนจะสบตากับหญิงสาวผมบรอนซ์ข้างกายอีกครั้ง “เอาล่ะ...กลับกันเถอะ....”

     

    “โอเคครับ !

     

    _______________________________

     

     

    ผมเลี้ยวรถเข้าข้างฟุตบาทหน้าร้านที่แบคฮยอนบอก ซึ่งเด็กคนนั้นยืนรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ก่อนที่แบคฮยอนจะเดินเข้ามาถึงตัวรถ เด็กคนนั้นมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

     

    ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะ ว่าการที่พาผู้หญิงมาด้วยจากผับแล้วยกที่ข้างหน้าให้เธอนั่งแทนที่จะเป็นเด็กคนนั้นนั่งเป็นเรื่องที่น่าน้อยใจ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่แบคฮยอนทำสีหน้าประหลาด เพราะหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวฉับ ๆ เปิดประตูหลังแล้วขึ้นมานั่ง แถมเอื้อมมือมาปรับแอร์ไปด้านหลังหน้าตาเฉย

     

    ท่าทางจะหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน....เด็กคนนั้น...แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไร ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องพูดอะไร ในเมื่อไม่ถามก็ไม่เห็นต้องตอบอะไร ก็รู้กันอยู่แล้วว่าผมก็เป็นแบบนี้  ทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

     

    พวกเราสามคนนั่งกันเงียบ ๆ อยู่ซักพัก พอผมมองผ่านกระจกไปอีกทีแบคฮยอนก็หันไปทางอื่นแล้ว แถมดูเหมือนจะกำลังหลับอีกด้วย

     

    “น้องชายคุณหรอคะ” 

     

    หญิงสาวข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้นมา เธอใช้นิ้วชี้ไปที่คนบนเบาะด้านหลัง  ผมกลับมาสนใจถนนข้างหน้าต่อก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก 

     

    “เปล่าหรอก”  

     

    _______________________________

     

     

    02.59

     

    ผมลุกขึ้นมาจากเตียงคิงไซส์ที่เพิ่งผ่านมรสุมมาหมาด ๆ เดินฝ่ากองเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายให้สดชื่น ก่อนจะออกมาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแร่ยี่ห้อโปรดมาดื่ม  ทันใดนั้นเองที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นกล่องทับเปอร์แวร์ที่แบคฮยอนปอกผลไม้ใส่เอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวาน

     

    มันยังไม่พร่องไปซักนิด เพราะผมไม่ได้แตะต้องมันเลย เมื่อเช้าผมตื่นสายเกินกว่าที่จะมานั่งละเลียดมันลงท้องตามด้วยยาอย่างที่อีกคนเขียนแปะเอาไว้บนโพสอิท  แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ.... 

     

    แอปเปิล เมล่อน แล้วก็ส้ม  มีแค่สามอย่างนี้ที่ผมชอบ และจะไม่ยอมแตะอะไรเลยหากไม่สบาย ยกเว้นเจ้าสามอย่างที่ว่ามา

     

    แบคฮยอนจำได้เป็นอย่างดี....

     

    ผมหยิบมันออกมาจากตู้เย็น ค่อย ๆ จิ้มเจ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าปาก... ความหวานฉ่ำเย็นชื่นใจของผลไม้สามอย่างที่ผมมักจะกินมันบ่อย ๆ บอกผมว่าเด็กคนนั้นเอาใจใส่ผมมากแค่ไหน  บางทีอาจจะมากกว่าใครทั้งหมดที่ผมเคยคบมาด้วยซ้ำ  ทั้งรอยยิ้ม การแสดงออกนั่นทำให้ผมสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วย...

     

    ทว่าวันนี้เจ้าตัวออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด.... 

     

    ไม่บ่อยนักหรอกที่แบคฮยอนจะแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา ก็อย่างที่ผมบอก....เด็กคนนั้นเข้าใจอะไรง่าย ๆ แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นที่สุด...

     

    Rrrr Rrrrrrrrrrrrrrrr 

     

    เสียงริงโทนโทรศัพท์ในเวลานี้ทำให้ผมประหลาดใจ  แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครกลับทำให้ยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย

     

    “ทำไมยังไม่นอน...”  ผมกรอกเสียงลงไป  ได้ยินเสียงลมแผ่ว ๆ จากปลายสาย  “ออกไปอยู่ทำไมระเบียง...” 

     

    “ลมมันเย็นดี...”  

     

    “เดี๋ยวก็ไม่หายซักที...”

     

    “........”

     

    “......”

     

    “ฮยองนิม.....ผมขอโทษ....” 

     

    “ขอโทษเรื่องอะไร”  

     

    “ที่วันนี้งี่เง่าใส่....” แบคฮยอนส่งเสียงอ้อน ๆ

     

    “อืม...”  ผมยังคงเงียบ เพื่อฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาอีก  แต่รอได้ไม่ถึงนาทีเด็กคนนั้นก็ปรับน้ำเสียงให้ร่าเริงแล้วเอ่ยสิ่งที่ผมคิดอยู่ว่าจะเป็นคนชวนเอง

     

    “งั้น....พรุ่งนี้ไปกินข้าวกันนะครับ...นะ”

     

    “ได้สิ”

     

    ผมตอบตกลงไป เด็กคนนั้นกับผมคุยกันเหมือนกับว่าลืมไปว่าเคยมีเรื่องให้อึดอัดใจเมื่อก่อนหน้า เขาเล่าเรื่องเพื่อนที่มหาลัย รุ่นพี่ในสายรหัส รวมไปถึงร้านเหล้าที่ไปเลี้ยงกันมาวันนี้ให้ฟัง  น้ำเสียงร่าเริงซะจนผมนึกอยากจะให้เจื้อยแจ้วต่อไปถ้าไม่ติดว่าผมจะต้องตอบอีเมลล์ของลูกค้าต่อ  

     

    ผมบอกให้แบคฮยอนไปนอนได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้เด็กคนนั้นมีเรียนแต่เช้า กว่าพวกเราจะวางสายจากกัน ตอนนี้เข็มนาฬิกาที่แขวนบนผนังก็ตีไปที่เลขสี่เสียแล้ว นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมยอมเอาหูแนบกับโทรศัพท์นาน ๆ ...

     

    แบคฮยอนวางหูไปแล้วผมถึงเริ่มเปิดโน้ตบุ๊ค แต่ยังไม่ทันที่จะได้วางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ เสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้นมา

     

    แฮปปี้เบิร์ดเดย์ครับฮยองนิม......

     

    ข้อความอวยพรจากคนที่เพิ่งวางหูไปทำให้ผมถึงกับต้องอมยิ้มออกมา  เป็นแบคฮยอนทุกทีที่ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวา... 

     

    บางทีดินเนอร์พรุ่งนี้คงจะทำให้ผมมีกำลังใจทำงานไปอีกหลายวัน

     

     

    ________________________________

    TALK

     

    อย่าลืมติดแท็กน้า #ฟิคคอนเนค

    ถ้าชอบก็ช่วยบอกต่อด้วยนะคะ <3

     









                           

                            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×