ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #1 : I_ผมสัญญาจะช่วยนาย ถ้านายช่วยผม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 679
      6
      6 พ.ย. 58


                        THE WHITE RABBIT

    I

    ผมสัญญาจะช่วยนาย ถ้านายช่วยผม



    7:00 .

          กริ๊งงงงงงงงงง

          เสียงนาฬิกาปลุกยามเช้า เป็นอะไรที่เเสบเเก้วหูสำหรับคนที่นอนตื่นสาย....ต้องการเวลานอนเป็นพิเศษ และไม่ว่ามันจะเป็นเสียงเเบบไหนหรือนาฬิการุ่นใดเดาได้เลยว่าคนที่ได้ยินจะมีปฏิกิริยาเเบบเดียวกันคือลุกขึ้นมาปิดมันแล้วก็กลับไปนอนต่อ โดยเฉพาะอาการมันจะรุนเเรงขึ้นกับเด็กม.ปลายขี้เซาบางท่านที่ต้องตื่นไปโรงเรียน

          ร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาสีขาว ยื่นมือผอมเรียวออกมาปัดป้ายไปทั่วเพื่อหานาฬิกาปลุกทั้งๆที่หัวยังไม่ยอมโผล่ออกมาจากผ้าห่ม เหมือนไม่อยากให้ลูกกะตาต้องเเสงอาทิตย์ยามเช้าอะไรปานนั้น แต่จนเเล้วจนรอดมือนั้นก็ชนะนาฬิกาปลุก โดยการปัดมันอย่างเเรงไปกระเเทกผนังแตก และเสียงก็เงียบลง มือนั้นกลับมุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างสบายใจ แต่มันประมาทไปเพราะดันลืมไปว่ายังมีนาฬิกาปลุกอยู่อีกตัวนึง...

          "พี่ค้า ตื่นได้เเล้ว"เสียงใสของหญิงสาวดังเข้ามาพร้อมเสียงเปิดประตู และเผยร่างของ เมทริซ เจย์ เด็กหญิงผมหน้าม้าสีนํ้าตาลกับหน้าตาน่ารักวัยสิบสามปีของเธอ ดวงตากลมโตสีทองมองไปที่พี่ชายซึ่งยังซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม เธอกวาดตาไปที่พื้นห้องที่มีนาฬิกาปลุกสภาพยับยู่ยี่ตกอยู่   

          "นี่พังไปหกเรือนเเล้วนะคะพี่... ถ้าพี่ไม่ยอมตื่นจะตั้งปลุกทำไมล่ะเนี่ย"เมทริซเดินไปหานาฬิกาปลุกที่ถูกกระทำจนสภาพน่าสงสาร พร้อมกับเจ้าเเมวดำขนยาวที่เเอบตามเข้ามา เมทริซหยิบนาฬิกาปลุกมันขึ้นมาเคาะๆ คล้ายพยายามจะซ่อมเเละเจ้านาฬิกาเเสนดีก็ทำงานตามหน้าที่ของมันโดยการส่งเสียงต่อ ถึงเเม้จะผิดคีย์ไปจากเดิมก็เถอะ...

          เด็กนักเรียนว่าไว้ การใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนว่ายากเเล้วเเต่การตื่นไปโรงเรียนนั้นยากยิ่งกว่า เเต่ภาษิตนี้ใช้ไม่ได้กับเด็กดีอย่างเมทริซที่ตื่นมาเองเเต่คํ่ามืด ทำงานบ้านงานเรือนแล้วก็ปลุกพี่ชายในเวลาเดิมของวันเป๊ะๆ และเธอก็จะไม่ยอมออกไปจากห้องพี่ชายจนกว่าเขาจะตื่น เช่นเดียวกับเช้าของวันนี้ เมทริซทำหน้าเบ้อย่างไม่พอใจเมื่อเห็นพี่ชายยังไม่ยอมลุกจากเตียง เมื่อเธออุสส่าบุกเข้ามาถึงห้องเเล้วเเท้ๆ เด็กหญิงเดินจํ้าอ้าวเข้าไปหาเจ้าหนอนขี้เซาตัวดีที่ดึงผ้าห่มเข้ามาพันตัวเองซะหนาหลังจากที่รู้ว่าเธอเดินเข้ามาในห้อง

          "ตื่น-เดี๋ยว-นี้-น้าา"เด็กหญิงใช้พลังของสาวน้อยดึงผ้าห่มออกจากตัวพี่ชาย และไม่น่าเชื่่อว่าเจ้าหนอนขี้เซาตัวนี้จะเบาขนาดกลิ้งหลุนๆหล่นเตียงได้ง่ายๆเหมือนหมอนข้างจากเเรงของเด็กสาว

          "ยอมเเล้วคร้าบ ยอมเเล้ว ผมตื่นเเล้ววผมตื่นเเล้วคร้าบ" คุณพี่ชาย  ายอมยกธงขาวหลังจากกลิ้งมาแทบท้าวน้องสาวที่ยืนเท้าเอวเป็นคุณเเม่อยู่ไม่ไกล เขาตะกุยเอาผ้าห่มที่พันตัวออก แล้วร่างเปลือยท่อนบนของหนุ่มน้อยเอริควัยสิบเจ็ดปีก็โพล่ออกมา ร่างกายผอมแต่ไม่ถึงกับเเห้ง ผิวขาวเนียนสะอาดกับ กล้ามเนื้อท้องเล็กน้อยเเต่พองามอันชวนลูบ(-.,-) นิ้วเรียวยาวที่ขนาดผู้หญิงต้องอายเกลี่ยไปตามเส้นผมสีดำที่ปรกหน้าให้เห็นโครงหน้าเรียวสวยได้รูปกับดวงตาสีทับทิมอันโดดเด่น รูปกายอันสวยงามนี้ไม่ว่าหญิงใดเห็นเป็นต้องสยบ ยกเว้นอยู่คนเดียว

          "พี่นอนเเก้ผ้าอีกแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"น้องสาวที่เห็นหุ่นอันเซ็กซี่นี้จนชินตา สำหรับเธอก็เเค่เห็นพี่ชายนอนเเก้ผ้าเท่านั้น

          "ไม่ได้เเก้ผ้าสักหน่อย พี่ใส่กางเกงอยู่นะเห็นไหม"พี่ชายชี้ไปที่กางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ เเล้วเถียงน้องสาวด้วยท่าทางเด็กๆ

          "หนูบอกว่านอนเเก้ผ้า ก็คือนอนเเก้ผ้า!! แล้วจากนี้พี่ก็ห้ามนอนเเก้ผ้าด้วย รีบเเต่งตัวแล้วลงไปกินข้าวได้เเล้ว"เมื่อน้องสาวชี้นิ้วสั่งพี่ชายก็ได้แต่นั่งจ๋อย พลางหยิบเจ้าแมวดำที่อยู่ไม่ไกล้ไม่ไกลมาเกาคางแก้เบื่อ เด็กหนุ่มถอนหายใจเหนื่ิิอยหน่ายเเล้วใช้เเรงที่มีพยุงตัวลุกขึ้นไปแต่งตัว ส่วนเจ้าแมวที่หลับสบายอยู่บนตักเลยถูกปล่อยให้ร่วงตุบลงมาบนพื้นนอนแปะอยู่บนพื้น  [สะใจ!!!ヽ(´ー`)]   


                                       



         

       เมื่อเอริคลากสังขารลุกจากเตียงมาได้ก็มานั่งที่โต๊ะอาหารเช้ากับน้องสาว แล้วมองข้าวที่จัดใส่จานน่ารักๆฉบับน้องเมทริซพักนึงอย่างพิจารณา ก่อนจะหยิบช้อนหยิบซ่อมจัดการเขี่ยผักสีส้มรูปลูกเต๋าขนาดเล็กออกจากจาน ซึ่งพฤติกรรมนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจกับน้องสาวเท่าไร

          "หนูอุจส่าตัดให้เหลือชิ้นเล็กๆแล้วนะ...."เมทริซทำหน้าเอือมระอากับนิสัยเลือกกินของพี่ชาย ทั้งๆที่เธออุสส่าหั่นจนเป็นเล็กเพื่อล่อให้พี่ชายเคี้ยวมันเข้าไป

          "คราวหน้าไม่ต้องใส่มาก็ได้นะ มันเปลืองของ"เอริคพูดเสียงเรียบไม่รู้สึกรู้สากับความพยายามของน้องสาวเท่าไร

          "ถ้าคิดว่ามันเปลืองของก็กินเข้าไปสิคะ!!"เมทริซกระเเทกช้อนกังซ่อมที่อยู่ในมือลงกับโต๊ะพร้อมเเยกเขี้ยวใส่พี่ชายที่ทำนิสัยเป็นเด็กๆ จนคุณพี่ชายรู้สึกว่าตัวเองกำลังตัวลีบลง

          "อะไรเล่าขนาดเจ้าเมลโล่มันยังไม่กินอาหารเลย ถ้าว่าพี่ไม่กินก็ต้องว่ามันไม่กินด้วยสิ"เอริคโบ้ยไปทางเจ้าเเมวดำขนยาวที่ไม่ยอมกินอาหารที่เมทริซตักให้ซะพูนจาน เแต่ดันเลียมือไปมาอย่่งเพลิดเพลินโดยไม่สนอาหารในจานของมันสักนิด

          "จริงด้วย...เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยกินอาหารเลยป่วยรึเปล่านะ"เมทริซทำหน้าเครียดเเล้วไปนั่งจ้องเเมวเมลโล่แล้วก็ดันจานอาหารให้มันแต่เจ้าเเมวก็เมินหน้านี้ เมื่อเห็นน้องสาวไปสนใจเจ้าแมวคุณพี่เอริคก็เเอบเขี่ยเเครอทที่อยู่ในจานทิ้ง แล้วทำเนียนไปหยิบรีโมทเปิดทีวีที่อยู่ไกล้ๆเมื่อน้องสาวหันกลับมา เมทริซโดนใบหน้าของนักข่าวสาวที่วาบขึ้นมาในทีวีเรียกความสนใจเลยไม่ทันได้ดูว่าเเคริทในจานของพี่ชายหายไปแล้ว

          'ข่าวสดค่ะ เมื่อหกนาฬิกาของวันนี้ เกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลคาเมล็อตในกลางเมืองของเดอะทาวน์ค่ะ ทางตำรวจคาดว่าเกิดจากแก๊สระเบิด'ภาพของนักข่าวสาวถูกตัดไปให้เห็นตัวตึกสูงใหญ่ที่มีไฟไหม้ลุกลามโหมกระหนํ่ารุนเเรงที่บริเวณชั้นเเรกๆของตึก

          "ฮึ... ไฟขนาดนั้นไม่ใช่เเค่แก๊สระเบิดเเล้วล่ะม้าง"เอริควิจารณ์ข่าวแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอพลางหยิบเเก้วนมขึ้นมาดื่ม

          "พี่นี่เหมือนพ่อจริงๆเลยน้า อ้อ...ถ้าเปลี่ยนจากนมเป็นกาแฟน่ะนะ"เมทริซนั่งจ้องพี่ชายเเล้วเทียบกับภาพคุณพ่อที่อยู่ในหัว

          "หือ...จริงสิ"เอริคทำหน้าแปลกใจ เขาเเทบไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยต่างจากเมทริซที่เคยอยู่กับพ่อมาตั้งเเต่เล็กๆ

          การสนทนาของสองพี่น้องจบลงที่เอริคปิดทีวีเเล้วเดินออกจากบ้านพร้อมน้องสาว ทันทีที่เปิดประตูออกมาลมเย็นๆกับกลิ่นดินที่คลุ้งขึ้นมาหลังฝนตกก็เข้าปะทะหน้า หยาดนํ้าหยดเล็กๆอยู่ตามต้นไม้ใบหญ้ามีอยู่ประปรายบ่งบอกว่าฝนพึ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน เอริคมองฟ้าใสหลังฝนที่ชวนสบายตา พลางสูดกลิ่นธรรมชาติเข้าปอด สองพี่น้องเดินเท้าออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียนเหมือนเช้าของทุกๆวัน บรรยากาศเงียบสงบของชานเมืองเล็กๆในชนบทไม่มีรถราหรือตึกระเกะระกะชวนรกหูรกตา มีแต่ไร่สวนเรือกนาน้อยใหญ่กับต้นไม้ ภูเขา แล้วก็เเม่นํ้า... ธรรมชาติล้วนๆเลยนั่นเอง

          เมื่อเข้ามาในโรงเรียนสองพี่น้องก็โบกมือลากันแล้วก็เดินเเยกทางออกไปเข้าชั้นเรียนของตนเพราะอยู่กันคนละชั้นเรียน

          "เฮ้ ดูนั่นสิ พี่ชายมาส่งน้องสาวถึงโรงเรียนเลยว่ะ"

          "ฮ่าๆๆๆๆๆ"

          หึ! ทำไมมากับน้องสาวเเล้วมันผิดตรงไหน

          เอริคปรายตามองแก็งปากหมาประจำโรงเรียนที่มักชอบนั่งอยู่ไกล้ๆรั้วแล้วแซวคนนู้นคนนี้ไปทั่ว มากี่ครั้งๆพวกนี้ก็เเซวเรื่องน้องเขาทุกครั้งแล้วก็หัวเราะ...ถามจริง เล่นมุขเดิมๆแล้วมันน่าขำนักเหรอ?

          ผมเดินอาดๆเข้าห้องเรียนเเบบไม่ดูเวรํ่าเวลาเช่นเคย และเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับอาจารย์โฮมรูมที่มาตรงเวลาเสมอ แบบเป๊ะๆไม่มีขาดเกิดคล้ายๆกัลบเมทริซที่ไม่มีวันเบี้ยวเเม้เเต่วันเดียว เมื่อผมเดินเข้ามาอาจารย์เเกก็ยังพูดไปเรื่อยๆโดนไม่ต้องหันมามองว่าใครกันนะที่มาสายในคาบของฉันก็รู้โดยธรรมชาติว่าต้องเป็นขา(มาสาย)ประจำเอริค เจย์เเน่ๆ จริงๆเเล้วตอนเเรกๆผมไม่ได้เดินเข้ามาง่ายๆเหมือนครั้งนี้หรอกทั้งโดนดุโดนบ่นโดนทำโทษสารพัดสารเพแต่วันต่อๆมาผมก็มาสายเหมือนเดิม อาจารย์แกก็ได้พบกับความจริงที่ว่า 'ฆ่าให้ตายไอ้เด็กนี่ก็มาสายทุกที' แกเลยปลงเเล้วปล่อยให้ผมเป็นเเค่ธาตุอากาศที่ลอยเข้ามาเท่านั้น

          ผมเดินเข้ามานั่งเงียบๆริมหน้าต่างฟังอาจารย์พูดวนไปวนมาซักพักก็ดันหลับไปตั้งเเต่เมื่อไรไม่รู้ พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กำลังฝันหวานแล้วดันโดนเพื่อนตัวเเสบปลุกด้วยการเคาะกระบาลเเรงๆจนตื่นเต็มตา เฮ้อ...สวรรค์ไม่คิดจะให้ผมได้หลับได้นอนบ้างรึไง

          "ตื่นได้เเล้วเจย์ พักเที่ยงเเล้ว"

          "ฟิลิป..."ผมมองเพื่อนหัวทองที่เตรียมจะเคาะกบาลผมอีกทีถ้าไม่ยอมลุก นิสัยเหมือนน้องผมจริงๆเลยเเฮะ อะไรถึงทำให้พวกเขาเหมือนกันอย่างนี้นะ...อ้อ...คงเป็นเพราะผมนี่เอง

        "หืม...อืม พักที่ยงเเล้วเหรอ"ผมลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจสักพัก แล้วก็โดนเพื่อนตัวดีลากไปโรงอาหารก่อนที่ผมจะหย่อนก้นลงเก้าอี้เเล้วหลับต่อ ผมโดนลากมาเเล้วก็โยนลงโต๊ะอาหารเรียบร้อย

          "พักนี้นายดูเหนื่อยๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า"ฟิลิปถามระหว่างที่ผมกำลังจัดเเจงเรียงผักกาดในจานอาหารกลางวันของผมให้ไปอยู่อย่างเป็นระเบียบข้างๆจาน

          "ฉันก็เป็นเเบบนี้อยู่เเล้วไม่ใช่รึไง" เอริคตอบกลับแบบปัดๆไป

          "ก็ใช่... แต่ขอบตานายสีมันเข้มกว่าเดิม"ฟิลิปพูดพลางจ้องเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง

          หืม? สมกับเป็นหมอนี่จริงๆทั้งๆที่ผมเอาเครื่องสำอางตบมาเเล้วนะเนี่ย ขนาดน้องฉันที่มาปลุกทุกเช้ายังดูไม่ออกเลย...

          "ก็แค่ช่วงนี้นอนไม่หลับ"ขยายความนิดนึงนะครับ 'ช่วงนี้' ที่พูดถึงก็คือตลอดสี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง และ 'นอนไม่หลับ' นี่หมายถึงไม่ได้นอนเลยตลอดคืน แค่ตอนกลางคืนนะ ตอนเช้าก็อย่างที่เห็นหลับนอนตลอดที่มีโอกาส และถ้าเอาสองอย่างนี้มาพูดรวมๆก็กลายเป็น 'ผมแทบไม่ได้นอนเลยตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา' ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นโรคอะไรหรือผมกำลังกลายร่างเป็นมนุษย์กลางคืนกันเเน่ แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจไปหาหมอซักทีถึงจะยังงั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ได้จนป่านี้เลยนะ

          "หา!!! นอนไม่หลับ เป็นโรคเครียดรึเปล่า?? รึนายเครียดเรื่องเรียน เรื่องสอบ เรื่องน้อง เรื่อบหนี้ รึเปล่าเเล้วนายกินยานอนหลับบ้างรัยัง "

          ถ้าฉันจะเครียดก็เพราะนายนี่เเหละ....

          ส่วนยานอนหลับก็ลองมาเเล้ว แล้วก็ล้มเลิกไปแล้ว... แต่จะให้บอกกับหมอนี่ยังไงล่ะ 'ฉันอัดยานอนหลับมาทั้งกระปุกแล้ว แต่ยังตาเเจ้งทั้งคืนเลยว่ะ' งั้นเหรอ แค่ผมบอกว่านอนไม่ค่อยหลับคุณเพื่อนเขายังยื่นหน้าเข้ามาไกล้ด้วยความเป็นห่วงซะขนาดนี้ แต่ขอโทษเถอะครับคุณพี่ คนโต๊ะข้างๆเขากำลังมองว่าเราเป็นเกย์นะ ดูสิ ฉันได้ยินเสียง 'จูบเลยๆ' มาจากไหนก็ไม่รู้ซะด้วย

          "เอ่อ... แล้วฉันจะซื้อมาเเล้วกัน"ผมตอบเเบบปัดๆไป ถ้าพูดมากกว่านี้อาจโดนคนเป็นห่วงลากไปอาบนํ้ามนต์ หรือโดนทำพิธีไล่ผี ก็ได้

          "อืม งั้นก็ดี"คุณเพื่อนหัวทองนั่งลงอย่างวางใจ แต่ผมว่ายังไม่จบเเค่นั้น นอกจากเขาจะมองผมออกแล้วผมก็ต้องมองเขาออกเช่นกัน คุณชายผมทองฟิลิปหลังจากพูดจบไปพักนึงก็ทำท่ากำลังลุกลี้ลุกลนเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ อ้าปากพะงาบๆเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมาซักที

          "มีอะไรก็พูดมาสิ"ผมถาม

         "เอ่อ...คือว่าที่หอนาฬิกา... มีสระว่ายนํ้าของสโมสรมาเปิดใหม่ด้วยล่ะ มีสระว่ายนํ้าสวยๆด้วยนะ คยก็เยอะ มีชุดให้เช่า สาวๆเต็มสระ..."ฟิลิปพูดพลางยิ้มเเป้น กับหัวเราะเเห้งๆ

          "อืม แล้วไง"

          "ไปว่ายนํ้ากันเถอะ"

          อือ เข้าใจล่ะ... หึ? เดี๋ยวไปว่ายนํ้าเหรอ

          พอทวนประโยคเข้าสมองอีกที ผมเเทบจะพ่นข้าวที่ยัดอยู่ในปากออกมาซะให้รู้เเล้วรู้รอด

          "ฉันว่ายนํ้าเป็นที่ไหนเล่า...."แถมยังไม่ชอบนํ้าด้วย อ๊ะ... ผมไม่ใช่กลัวนํ้าอย่างเเมวนะ แค่ไม่ชอบลอยตุ๊บป่องๆอยู่ในนํ้าโดยไม่มีที่ยืนมั่นคงเท่านั้นเอง

          "ไม่เป็นไรฉันสอนนายได้!!"ฟิลิปพูดด้วยดวงตาวาววับและความมั่นใจ ถ้าผมปฏิเสธเขาต้องร้องไห้เป็นลูกหมาเเน่ๆ แถมผมจะไม่มีคนปลุกไปกินข้าวเที่ยงไปอีกสองสามวันด้วย ผมมองหน้าออดออ้นของเพื่อนพลางถอนหายใจยาวๅ เฮ้อ...เอาเถอะ ไปสักแปปก็ได้ แล้วผมก็พยักหน้าไปตามเวรตามกรรม

          "เย้! ยะฮู้! นายสัญญาเเล้วนะ เลิกเรียนเจอกัน ฉันไปเล่นบาสก่อนล่ะ"ฟิลิปเฮลั่นแล้วก็เดินดี๊ด๊าออกไป ผมรู้ดีว่าฟิลิปชอบเล่นกีฬา แต่ถามจริงๆเถอะพ่อคู๊นพึ่งยัดข้าวลงกระเพาะไปเมื่อกี้ แล้วแกดันไปเด้งๆอยู่ในสนามบาสจะไม่ขย่อนของที่กินไปออกมาเรอะ!!!

        




          หอนาฬิกา...จะว่าจริงๆก็คือใจกลางเมืองที่ผมอยู่นี่เอง บริเวณนี้เป็นย่านการค้าขนาดย่อมๆ เป็นสถานที่เดียวที่ไม่เงียบสงบในเมืองของผมโดยเฉพาะยิ่งตอนเย็นๆนี่คนยิ่งคึกคักแถมรถเยอะอีกต่างหาก

          ผมมาหยุดตรงหน้าทางม้าลายเตรียมจะข้ามถนนแต่รถมันเยอะจับใจซะจริงๆ นี่ผมยืนเเช่มานานละนะยังไม่มีจังหวะให้ข้ามไปอีกเหรอ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองไปอีกฟากของถนน ฟิลิปที่เเอบหนีไปตั้งเเต่เมื่อไรไม่รู้กำลังโบกมือไหวๆอยู่หน้าสโมสรว่ายนํ้าที่อยู่อีกฝากของถนนที่ผมยืนอยู่ เป็นตึกสีฟ้าใหม่เอี่ยมมีลวดลายเป็นลายนํ้ากับปลาที่กำลังเเหวกว่ายและประตูกระจกข้างหน้าทำให้มองเห็นสระว่ายนํ้าข้างในได้ชัดเจน

          ผมยืนเมื่อยรอจังหวะข้ามถนนอยู่ซักพักเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังเเทรกเข้ามา แน่นอนว่าผมต้องคุ้ยขึ้นมารับเเละเสียงอันคุ้นเคยก็ดังสนั่นกรอกเข้ามาในหู

          "พี่อยู่ไหนคะ!! จนป่านนี้เเล้วทำไมยังไม่ยอมกลับบ้านอีก!!"

            อ้า...เมทริซนี่เองจะว่าไปก็ลืมบอกไปเลยว่าจะมากับฟิลิป

           "เอ่อ... พี่มาเที่ยวกับเพื่อน..."

          "แล้วทำไมไม่ยอมโทรมาบอกล่ะคะ ไม่รู้รึไงว่าคนเขาเป็นห่วงน่ะ"เมทริซตะโกนสวนกลับมาอย่างเดือดดาล ไม่รู้ว่าเธอไปโกรธอะไรมา ปกติไม่เป็นอย่างนี้นี่นา...

          "เห...ไม่เห็นต้องโมโหขนาดนั้นเลย แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง"ผมทำเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนเด็กเเบะปากจะร้องไห้ที่ถ้าฟิลิปเห็นต้องผวาไปพักใหญ่เพราะผมตอนอยู่กับคนอื่นนอกจากน้องจะทำหน้านิ่งๆน่ากลัวแต่พออยู่กับเมทริซผมก็กลายเป็นเด็กน้อยที่กำลังออ้นเเม่

          "ไม่ต้องมาออ้นเลยนะ ให้ตายสิเป็นเหมือนกันทั้งคู่เลย..."

         หืม...ทั้งคู่เหรอ ผมงงๆกับคำพูดที่ได้ยินแต่ยังไม่ทันได้ถาม เพราะเห็นจังหวะที่รถว่างอยู่ไม่ไกลซะก่อนเลยยินดีปรีดาซะลืมเรื่ิองที่จะถามอยู่

          "ก่อนกลับบ้านฝากซื้ออาหารเเมวมาให้ด้วยสิ เจ้าแมวตัวเเสบนี่ดันแอบฉีกถุงอาหารเเมวที่หนูซ่อนไว้ในตู้กินซะหมดเลย..."

          ผมฟังน้องเล่าแล้วหัวเราะพลางนึกถึงภาพที่บ้านตอนนี้คงจะเป็นเมทริซที่มือหนึ่งถือโทรศัพท์คุยกับผม อีกมือหนึ่งหนีบคอเเมวตัวเเสบ....เข้าใจทั้งคู่ที่ว่าคือเเกกับฉันนี่เองเมลโล่ รอบนี้โดนดุพร้อมๆกันเลยสินะ ผมคุยโทรศัพท์หัวเราะกับน้องพลางเดินข้ามถนนด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

          "อ๋อ...งี้นี่เอง ฮ่าๆๆ ได้สิงั้นพี่จะซื้อไปให้เเล้วกันนะ อึก!.."

          ตึง!!!

          เอี๊ยด!!

          "กรี๊ดดดดดด!!!!"

          เสียงกระเเทกหนักๆ เสียงเบรก เเล้วก็เสียงกรี๊ดลั่นของผู้หญิงขวัญออ่น ทำให้ผมนึกถึงว่ามีใครโดนรถชน แต่...นอกจากนั้นยังมีเสียงวิ้งๆที่อยู่ในหัวมันคืออะไรหว่า

          เพียงวินาทีสั้นๆเสียงรอบกายผมเหมือนโดนเพิ่มโวลลุ่ม คนรอบข้างฮือฮากันยกใหญ่ แล้วที่ดังเเทรกเข้ามานอกจากนั้นคือเสียงของฟิลิปที่เรียกชื่อผม

          "เจย์!! เจย์!! ตอบฉันสิ เอริค เจย์!!!"

          นายจะตะโกนให้มันหนวกหูทำไม... ผมกำลังจะเปิดปากพูดแต่สิ่งที่ออกมากับเป็นไอเลือดที่ฟุ้งออกมา...ดวงตาหรี่มองสิ่งรอบกายที่เห็นถ้ากลับหัวกลับหางให้ถูกผมกำลังนอนอยู่บนถนน

          อ้อ...ผมโดนรถชนนี่เอง

          ความเจ็บปวดที่ร้าวมาตั้งเเต่กระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกไหปลาร้า แล้วก็อวัยวะภายในที่ปานถูกสะบัดให้ฉีกขาด นอกจากนั้นยังมีอวัยวะสำคัญอย่างสมองที่กระเเทกกับพื้นถนนอย่างเเรงจนเลือดไหลนอง ผมควรจะดีใจว่าเลือดไม่คลั่งอยู่ในสมองดีรึเปล่านะ?

          ร่างที่นอนแผ่กลางถนนของผมถูกฟิลิปเขย่าไม่หยุด ผมไล่สายตาไปตามทางที่ผมกระเด็นมาเป็นรถสีดำสนิทคันนั้นนี่เองที่ส่งผมหมุนหลายตลบมาตรงนี้ แถมคนขับยังยืนจับขอบประตูหน้าเหลอหราอยู่อีกต่างหาก ผมไล่สายตามาขึ้นมาอีกครั้งตอนนี้มาหยุดที่บนหัวตัวเองฟิลิปมองมาที่ผมปานจะร้องไห้ ไม่...หมอนี่จะร้องไห้จริงๆนี่นา เฮ่ย ไม่เอาน่าฉันไม่ได้อยากเห็นผู้ชายร้องไห้ก่อนตายซะหน่อย

          ผมซึมซับความเจ็บปวดเเละภาพที่อยู่รอบตัวนี่ผมจะตายจริงๆเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆกับชีวิตบัดซบของตัวเอง เเต่.... ผมดันไม่มีเเรงเเล้วแม้เเต่จะหายใจซะเเล้วสิ จังหวะนั้นผมมองไปบนนาฬิกาเรือนโตบนหอนาฬิกาเก่าๆสีเปลือกไข่ ผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะ...เหมือนมีใคร มองผมอยู่ พระเจ้างั้นเหรอ? หรือยมบาลล่ะ?

          แต่จะอะไรก็ช่าง... ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ได้โปรด...ผมยังไม่อยากตาย...

           ผมไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรเเล้วตั้งเเต่โดนชนเเต่ตอนนี้ตาของผมยังมองเห็นนาฬิกาเรือนโต สมองของผมยังพอมีแรงคิดอะไรไปมา แต่ร่างกายกับเสียงที่ผ่านเข้ามาในหูนั้นดับสนิท...แปลกแฮะ อ้อ ไม่ใช่อาการของผมหรอก เเต่เป็นเจ้านาฬิกาเรือนนี้ต่างหาก

           คุณเคยเป็นแบบผมรึเปล่าครับ? คุณจ้องมองนาฬิกาอยู่เพื่อดูเวลาของคุณเองอยู่แต่เเวบหนึ่ง แค่แวบหนึ่งเท่านั้นคุณมองไปทางเข็มเรียวๆบางๆที่ชื่อว่าเข็มวินาที แล้วมันดันไม่ขยับ...? เสี้ยววินาทีนั้นคุณก็คิดว่า มันเสียรึเปล่า? ถ่านหมดรึเปล่า? ทำไมมันไม่เดินล่ะ? ช่วงเวลาที่ความคิดคำถามมากมายพุ่งเข้ามามันเหมือนจะนานแต่มันแค่เสี้ยววินาที เสี้ยววินาที่จริงๆ และต่อจากนั้น เข็มวินาทีก็เดินต่อไปตรงจังหวะเดิมเป๊ะๆเหมือนช่วงเวลาที่คุณคิดคำถามนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้น

         ….. และผมก็อาจจะอยู่ในเสี้ยววินาทีนั้นก็ได้...ทว่า กรณีของผมมันนานเกินไปรึเปล่า???

          ผมจ้องมองนาฬิกาเรือนโตสีเปลือกไข่ เข็มวินาทีมันไม่ขยับมาค่อนข้างนานแล้ว รึมันจะเสียกันหว่า? ผมก็พยายามจะคิดอย่างงั้น แต่พอมองไปรอบๆ...เท่าที่มองเห็นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันหยุดไปหมดเลยนี่ ผู้หญิงที่กรี๊ดด้วยความตกใจยังอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม เพื่อนผมที่พยายามช่วยด้วยการเเหกปากตะโกนเรียกชื่อกลับนิ่งไม่ขยับ ใบไม้ที่กำลังร่วงกลับค้างอยู่ที่เดิม แล้วคนอื่นๆหรือสิ่งอื่นๆก็นิ่งไม่ขยับเหมือนกัน อย่างกับโดนหยุดเวลายังไงยังงั้น...

          หรือ... พอคนใกล้จะตายจะเป็นเเบบนี้กันนะ??

          "คิกๆๆๆๆ ไม่ใช่หรอกขอรับ"

          ผมหูผึ่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะประหลาดๆ กับสำเนียงพูดอย่างกับคนโบราณยุคร้อยปีที่แล้ว ของใครบางคนกำลังหัวเราะเยาะผมด้วยนํ้าเสียงกวนบาทาอยู่ตรงไหนซักเเห่งซึ่ง...ผมไม่เห็นเขา ผมพยายามมองไปรอบๆ แต่น่าเสียดายดูเหมือนคอผมมันจะเดี้ยงสนิทไปซะแล้วเลยต้องฟังเสียงกวนบาทานี่ต่อไป

          "แหมๆ ดูท่าท่านจะอาการหนักพอตัวเลยนะขอรับ น่าเสียดายจริง...อายุเพียงเเค่นี้กลับต้องมาจบชีวิตเสียเเล้วหรือ อนิจจัง..."

          "เฮ้... เห็นคนอื่นกำลังตายพูดแบบนี้ได้ยังไง แค็กๆๆๆ"

          ถึงผมจะโงหัวขึ้นมาพูดได้ในสภาพแบบนี้ แต่ดูท่าจะไม่ไหวเเล้วเเฮะ ให้ตายเถอะ จะด่าไอ้ตัวปากเสียนี่ซะหน่อย ว่าเเต่...มันเป็นใครฟะ?

          "โอ้... อาการหนักเลยนะขอรับ ทั้งๆที่กระผมหยุดเวลาไว้ให้แล้วแท้ๆ"เจ้าของเสียงเดิมพูดขึ้นอีกครั้ง

          "เช่นนั้นเเล้ว กระผมขอเข้าเรื่องเลยนะขอรับ ผมมีข้อเเลกเปลี่ยนเล็กน้อยมาเสนอกับท่านขอรับ ... กระผมจะช่วยชีวิตท่านหากท่านยินยอมจะช่วยเหลือผม น่าสนใจไหมขอรับ? หึๆๆๆ มาแลกเปลี่ยนกันเถิดขอรับ"

          ฮะ...ฮ่าๆๆ ถามบ้าๆน่า ถ้าแกกำลังจะตายเองบ้าง เเล้วมีคนเสนอจะช่วยชีวิตยืดลมหายใจของเเก ใครมันจะไปปฏิเสธกันวะ!!!  ถึงจะไม่รูว่าแกจะขอให้ฉันช่วยอะไรก็เถอะ!!! 

          ร่างสีขาวที่อยู่หลังนาฬิกาเรือนโตนั้นยิ้มเยาะอย่างกับได้ยินเสียงในใจของเด็กหนุ่ม

          "เอ่ยชื่อของท่านมาสิขอรับ พร้อมกับคำตอบ"ดวงตาสีชมพูเข้มมองมาที่เด็กหนุ่มจากช่องว่างเล็กๆในนาฬิกาเรือนโตด้วยประกายลุกวาว

          "เอริค... ผมชื่อเอริค เจย์.... ผม สัญญา จะช่วยนายหากนายช่วยผม..."เด็กหนุ่มพูดเสียงเบาปานจะสิ้นใจ เเต่หูสีขาวเรียวยาวคู่น้นกลับได้ยินมันชัดเจน เจ้าของใบหูยิ้มเยาะอย่างชอบใจเบาๆและร่างสีขาวนั้นก็กระโดดไปที่ขอบของนาฬิกาเรือนโตก่อนจะใช้เท้าเตะเข็มใหญ่แต่สั้นของนาฬิกาจนมันหมุนติ้วอย่างเร็วและ...เข็มนั้น ก็หยุดลง

          7:00

          กริ๊งงงงงงงงงง

          "เฮือก!!"

          เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกขึ้นมาจากผ้าห่มสีขาว ดวงตาสีทับทิมกวาดตาไปรอบๆ อย่างมึนๆระคนตกใจ

          นี่มัน...ห้องของฉันนี่นา

          เด็กหนุ่มกุมหัวทีหน้าอกที  ที่มันเคยเจ็บปวดอย่างรุนเเรงเบาๆ และพบว่ามันยังสะอาดเกลี้ยงไม่มีรอยขีดข่วนเช่นเคย ดวงตาสีทับทิมมองรอบตัวอย่างเหม่อลอยก่อนจะมองไปที่นาฬิกาปลุกที่ยังดังเเสบเเก้วหู แล้วก็กดปิดมันอย่างงงๆ

          ฝันเหรอ....ฮึ...เป็นตุเป็นตะดีเเฮะ

          "พี่ค้า ตื่นได้เเล้ว"

          เสียงใสๆของน้องสาวดังมาจากประตู เมทริซเดินเข้ามาพร้อมกับเเมวดำตัวโปรด

          "เอ๊ะ..."เด็กสาวส่งเสียงสงสัยเบาๆเมื่อมองไปที่พี่ชายที่ตื่นได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ

          "พี่นอนเเก้ผ้าอีกแล้วนะเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"เมทริซทำเสียงไม่พอใจ ถึงแม้จะดีใจที่พี่หัดตื่นเองได้เเล้ว เเต่สภาพล่อนจ้อนนี้ก็ยังขัดใจเธอ

          "จากนี้ห้ามนอนเเก้ผ้าอีกล่ะ รีบเเต่งตัวเเล้วลงไปกินข้าวได้เเล้ว"เมทริซทิ้งท้ายเเล้วก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมนั่งทำตาปริบๆอยู่บนเตียง

          ในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังมึนๆกับฝันอันเหมือนจริง เจ้าเเมวตัวดีของบ้านนี้ที่เป็นโรคประหลาดเห็นคนนั่งไม่ได้ต้องโดดไปนั่งทับ ก็กำลังกะระยะแรงมุมและองศาให้พอดีเพื่อให้กระโดดขึ้นไปบนตักเจ้านายเป๊ะๆ เจ้าเมลโล่หลี่ตาอย่างชํ่าชองดีดตัวกระโดดผลุงออกไปสู่ที่นอนอุ่นๆ แต่ทว่า....

          ตุบ....

          ร่างสีดำหัวโหม่งเตียงเมื่อเจ้านายของมันดันลุกขึ้นพอดีดวงตาสีอำพันมองค้อนไปที่เจ้านายแต่สิ่งที่มันเห็นกลับไม่ใช่เจ้านายของมันที่เห็นบ่อยๆกลับเป็นร่างสีขาวกับดวงตาโตคู่สวยสีชมพูเข้มที่จ้องมายังมันด้วยความสงสัย เจ้าเหมียวขู่ฟ่ออย่างใจกล้าเเต่เมื่อเห็นร่างเต็มๆของผู้ที่มันขู่หูของเจ้าเหมียวก็ลู่ลง สัญชาตญานของมันบอกให้วิ่งหนีและสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่มันจะไปหาเรื่องได้

     




          'ข่าวสดค่ะ เมื่อหกนาฬิกาของวันนี้ เกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลคาเมล็อตในกลางเมืองของเดอะทาวน์ค่ะ ทางตำรวจคาดว่าเกิดจากแก๊สระเบิด ขณะนี้ยังไม่ทราบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตค่ะ'

          นี่มันบ้าอะไรกันวะ??!!

          ผมมองข่าวที่รายงานเเบบเหมือนกับในฝันเด๊ะๆ อย่างมึนๆเเบบมึนยกกำลังสอง ผมจ้องข่าวสดในทีวีอยู่นานแถมไม่กระพริบตาจนเมทริซยังงง

          "พี่คะ..."เมทริซเอ่ยขึ้นเเทรกเข้ามาในหัวที่กลวงโบ๋ของผมเธอดูงงๆสงสัยกับอาการของผมพอสมควร

          "เป็นอะไรรึเปล่าคะถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวมันก็เย็นหมดหรอก"

          "อะ...เอ้อ"

          ผมตักข้าวเข้าปากทั้งๆที่สมองยังขาวโพลน สภาพผมตอนนี้เหมือนคนโดนฉีดยาหลอนประสาทยังไงก็ไม่รู้ แต่ตรงกันข้ามกับเมทริซที่ตาเป็นประกายเมื่อเห็นพี่ชายกินเเครอทที่เธอเเอบหั่นชิ้นเล็กๆไว้ และเธอก็แทบจะโบยบินเมื่อเห็นพี่ชายกินข้าวจนหมดจานโดยไม่เขี่ยทิ้ง

          สำเร็จเเล้ว... ในที่สุดพี่ชายก็โตเป็นผู้ใหญ่สักที!!

          ในระหว่างที่เมทริซถูกคลื่นเเห่งความตื้นตันใจซัดไม่หยุด เอริคก็เริ่มเรียบเรียงความคิดในฝันที่เขาจำได้เเม่นเหมือนเป็นเรื่องจริง เมื่อมองน้องสาวที่มองเขาด้วยตาเป็นประกายเด็กหนุ่มก็นึกอะไรออกแล้วก็อยากลองพิสูจดู เขาเลยหยิบเเก้วนมขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางที่เหมือนทุกที

          "พี่นี่เหมือนพ่อจริงๆเลยน้า อ้อ...ถ้าเปลี่ยนจากนมเป็นกาแฟน่ะนะ"คำพูดของเมทริซที่เหมือยเป๊ะๆทำให้ผมอยากจะพ่นนมออกมาเป็นนํ้าพุ

          "หึ...จริงเหรอเนี่ย"ใครก็บอกผมทีว่าจะไปเป็นหมอดู หรือจะไปหาจิตเเพทย์ดี ผมถอนหายใจเบาๆเพื่อเรียกสมาธิเเล้วเรียบเรียงเหตุการณ์ใหม่อีกที ไม่นานผมก๋ถึงบางอ้อ ข้อพิสูจน์ที่สองเริ่มได้

        ไวเท่าความคิดดวงตาของผมตวัดไปที่จานอาหารแมวที่พูนจานเเบบไม่พร่องไปเลยซักนิด แล้วหันไปหาน้องสาว

         "เมทริซ เธอเก็บอาหารเเมวไว้ที่ไหนเหรอ"  

         "หืม...ก็ในตู้ตรงนั้นน่ะ"เมทริซชี้ไปที่ตู้เตี้ยๆตรงมุมห้องผมเดินไปเปิดมันดูและกระสอบอาหารเเมวก็หล่นแปะลงมา ผมหยิบมันขึ้นมาและก็พบว่ามันเหลือเเต่ถุงที่มีขาดๆจากฟันเเมว ส่วนอาหาร... เจ้าตัวดีนี่คงฟาดเรียบไปหมดแล้ว

         "ดูนี่สิ เมลโล่มันฟาดเรียบไปแล้วเเนะ"ผมโชว์ถุงอาหารให้เมทริซดูเธอช็อกไปแวบนึงก่อนจะคว้าคอเเมวดำเจ้าปัญหาขึ้นมา

          "นั้นเป็นอาหารสำหรับหนึ่งเดือนของเเกเลยนะ... แล้วฟาดเรียบในอาทิตย์เดียวได้ยังไง!! ตอบมาซะเมลโล่!!"

          "เหมียว~"

          ผมมองหนึ่งคนหนึ่งเเมวที่กำลังทะเลาะกันเรื่องอาหารหนึ่งเดือนเหมือนคุยกันรู้เรื่องแล้วยิ้มเเห้งๆ จะว่าไปเจ้าเเมวตัวนี้ก็มีส่วนให้ผมตายในฝันแปลกๆนี่เหมือนกันนี่นะ

    ---------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×