ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คัมภีร์กฤตยามนตร์

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท (แก้ไขแล้ว)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 286
      0
      24 ส.ค. 52

    ณ ป่าหิมพานต์อันเป็นที่อาศัยของสิงห์สาราสัตว์และอมนุษย์พฤกษชาตินานาพรรณกำลังตื่นขึ้นรับอรุณในฤดูหนาวที่มาเยือน หมอกสีขาวที่ล้อมรอบทิวเขาดุจกระเษียรสมุทร อันเป็นที่ประทับแห่งพระนารายณ์ ค่อยๆจางหาย ในขณะที่ดวงตาแห่งวันแผ่รัศมีมากขึ้น หยาดน้ำค้างที่กระทบกับแสงยามเช้าสะท้อนแสงงามจับตาเปรียบดังดวงแก้วแห่งฤดูเหมันต์


    "ได้เวลาแล้ว เดินทางกันต่อเถอะ" เสียงหนึ่งดังมาจากใต้ต้นพัทธริกา ต้นใหญ่ข้างๆเนินเขา


    เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ แต่บุคลิกช่างดูคล่องแคล่วปราดเปรียว เขาสวมใส่อาภรณ์สีเขียวมรกต ผมที่ปล่อยให้ยาวจนเลยบ่า เข้าใช้ผ้าผูกผมไว้ให้เรียบร้อย ที่คอผู้แหวนทองมีลายอักขระโบราณสลักไว้ ขณะลุกขั้นยืน มือซ้ายเอื้อมไปคว้าทวนอันใหญ่ อีกมือหนึ่งสะพายย่ามพาดบ่าเตรียมตัวออกเดินทางต่อ สตรีสี่นางนั่งถัดต่อมารีบลุกตามพวกนางแต่งกายทะมัดทะแมง   สวมเสื้อสีเรียบและกางเกงสีดำ   แต่ยังคงสวมอาภรณ์ประดับกายที่แต่ละคนมีมาอย่างละชิ้น  


    "จะรีบไปไหน  ไยต้องเร่งวันเร่งคืนขนาดนั้น" สตรีที่สวมกำไลสีอำพันถามอย่างข้องใจ พลางรีบหยิบคันธนู เกาทัณฑ์ และย่ามสะพายบ่าวิ่งตามไป  


    จะไม่ให้รีบได้อย่างไร    กรรณาภรณ์นี่เวลาก็เร่งรัดเข้ามาทุกทีแล้ว ถ้าเรานำสารนี้ไปส่งให้ท่านฤาษีไม่ทันเวลา อาจจะเกิดเรื่องวุ่นวานขึ้นก็ได้" ชายหนุ่มตอบอย่างร้อนรน มือที่สะพายย่ามอยู่ก็ดึงให้กระชับมากยิ่งขึ้น


    "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้อความในสารบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ   เจ้าได้อ่านเนื้อความแล้วรึ ?" สตรีที่สวมใส่กำไลทองถามตามมา   ดูท่าทางนางเหมือนมิค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นัก


    "ยังหรอก ! แต่ถ้ายื่นถึงมือท่านฤาษีเมื่อไรก็คงจะรู้เอง"


    เขาตอบเป็นประโยคสุดท้าย และไม่พูดอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว เพื่อจะได้เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับไว้สักที   หญิงสาวสี่นางซึ่งเป็นทั้งสหายศึกและผู้ช่วยคุ้มกันสิ่งสำคัญนั้นให้ไปถึงยังจุดหมายอย่างปลอดภัยวิ่งกระหืดกระหอบตามมาแทบไม่ทัน


    "มีอะไรรึ จันทรรัตน์" สตรีผู้สวมใส่สร้อยทับทิมหันมาถามเพื่อนสาวที่รั้งท้าย เมื่อเห็นว่านางหันกลับไปมองข้างหลังบ่อยจนผิดสังเกต  หญิงสาวที่ปักปิ่นมุกดาได้ยินคำถามก็ตอบกลับไป   แต่ยังไม่หยุดระแวงหลัง


    "เปล่าข้าคงคิดไปเองมากกว่า" นางหันหลังกลับมา สีหน้าเหมือนมีอะไรค้างคาใจ


    "คงจะเป็นพวกกวางป่านั่นแหละ"


    "งั้นหรือ   แต่สีหน้าเจ้าดูกังวลใจนะ" เพื่อนของนางถามอย่างเป็นห่วง


    "ไม่หรอกน่า….รีบเดินต่อเถอะ เดี๋ยวจะไปถึงที่หมายล่าช้า  ...ทูตถือสาร...ของเราดูกระวนกระวายมากทีเดียว"


    จันทรรัตน์พูดแล้วรุนหลังเพื่อนให้รีบเดินไปข้างหน้า และแอบเหลียวหลังกลับไปดูอีกรอบหนึ่ง ...เห็นเพียงความว่างเปล่า
    ………

    เวลาผ่านพ้นไปหลายทิวาราตรีแล้ว  แต่จุดหมายปลายทางยังคงไม่ปรากฏ   ผู้ถือสารทั้งห้าเดินทางกันอย่างแทบไม่ยุดพัก  แต่ดูเหมือนว่ายิ่งรีบเท่าไรเวลาก็ยงคงเร็วกว่า  ผลหมากรากไม้ตามทางที่พอจะหาได้กลับยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ  สิ่งที่หาได้ง่ายและมีมากมีแต่น้ำและเศษไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงเท่านั้นทำให้พวกเขาเดินทางกันอย่างยากลำบาก  ในที่สุดคณะทูตจึงต้องหยุดทัพลงกลางทาง

     

    เฮ้อเอาอย่างไรกันดีล่ะทีนี้?  เสบียงที่ตุนมาระหว่างทางก็หมดแล้ว  มองไปทางไหนก็เจอแต่กิ่งไม้กับใบไม้แห้งเจ้าของกำไลทองถามขึ้นเป็นคนแรก

     

    ทุกคนนั่งนิ่งใช้ความคิดอย่างหนัก  ใบหน้าแต่ละคนจับจ้องอยู่ที่กองเพลิงราวกับมันสามารถคำตอบได้  ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวสงบนิ่ง  เว้นแต่เพียงเปลวเพลิงที่สบัดพลิ้วไหวไปตามแรงห่งสายลมหนาว

     

    เอาอย่างนี้แล้วกัน” อมรสิงห์สรุป  เราจะเดินทางกันต่อ  ถึงเราจะไม่มีอาหาร  แต่เราก็มีน้ำเพียงพอที่จะประทังชีวีตไปได้  ไหนๆก็มาไกลจนถึงขนาดนี้แล้ว  สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ทั้งสี่นางพยักหน้าเชิงเห็นด้วย

     

    คืนนี้เราพักที่นี่กันก่อนดีกว่า  เดี๋ยวข้าจะออกหาฟืน  ปิ่นสุวรรณ กับรัตนมณีรออยู่ที่นี่  กับ จันทรรัตน์ ไปหาเสบียงมาเพิ่ม  ถ้าเกิดอะไรขึ้นรีบส่งสัญญาณทันที

     

    เมื่อสั่งเสร็จทั้งสามจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่   อีกสองคนที่เหลือนั่งรออยู่ที่เดิม

     

    ปิ่นสุวรรณ  เจ้าว่าจันทรรัตน์ดูแปลกๆไปไหม

     

    เจ้าของสร้อยทับทิมถามนาง   อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ

     

    แปลกยังไง?  ข้าว่านางก็ดูปกติดี

     

    ระหว่างพวกเราเดินทางมานี้  ดูท่าทางนางกังวลใจชอบกล  พอข้าถามก็ไม่ยอมบอกอะไร

     

    รัตนมณีไม่สบายใจกับท่าทีของเพื่อนอีกคน   และเพื่อนของผู้นี้ดูมิค่อยใส่ใจผู้อื่นบ้างเลย       

     

    นางเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอก  เดี๋ยวนางก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเองแหละ

     

    ตูมมมม!   โครม ๆๆๆๆๆ

     

     

    รัตนมณี กับ ปิ่นสุวรรณ หันไปมองพร้อมกัน  เห็นต้นไม้บางส่วนที่อยู่ไม่ไกลออกไปถูกพลังบางอย่างกระแทกใส่จนโค่นล้มลงระเนระนาด 

     

    นั่นมัน... ทิศที่ กรรณาภรณ์  กับ จันทรรัตน์ ไปหาเสบียงนี่ รัตนมณีอุทาน  ทันใดนั้นปิ่นสุวรรณที่ดูเหมือน...ใจหิน...มากที่สุดกลับผุดลุกขึ้นและรีบวิ่งยังที่เกิดเหตุก่อนที่เพื่อนของนางจะทันคิด  กลับเป็นรัตนมณีที่ดึงนางไว้

     

     “เดี๋ยวก่อน!”

     

    นางหันกลับมามองด้วยความไม่พอใจ   ตวาดใส่หน้าว่า

     

    อะไรของเจ้ากันนะ   เมื่อกี้นี้เจ้าห่วงพวกนางมากมิใช่เรอะ   แต่ทีนี้กลับยื้อข้าไว้ไม่ให้ไปช่วย   จักเอายังไงแน่

     

    รัตนมณีขึ้นเสียงกลับไปว่า

     

    พวกเรานัดหมายกันไว้ที่นี่  ถ้าเกิด อมรสิงห์ กลับมาแล้วไม่เจอพวกเรา   เขาจะยิ่งกังวล   แล้วถ้าหลงทางกันเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่

     

    ปิ่นสุวรรณคิดตามแล้วเห็นจริง  

     

    เออ...จริงของเจ้า    แล้วจะทำอย่างไรกันดีละทีนี้?” 

     

    ……..

     

    ทางด้าน กรรณาภรณ์กับจันทรรัตน์  ทางด้านกรรณาภรณ์กับจันทรรัตน์ที่กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่   กรรณาภรณ์ใช้อาวุธที่ตนมีต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ยอมถอย  

     

     

    ศรไฟกัลป์

     

    ธนูดอกนึ่งถูกยิงและพุ่งสู่เป้าหมายที่ร่างอสูรหนุ่มผู้หนึ่ง  ยิ่งธนูพุ่งเร็วมากเท่าไรพลังทำลายล้างก็ดูเหมือนจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น    แต่.....อสูรหนุ่มกลับอาศัยวิชาของเขาสลายพลังมรณะนั้นไว้ได้    และตั้งท่าเตรียมตัวจู่โจมต่อ  ส่วนศรไฟกัลป์เมื่อถูกสลายพลังไปแล้วก็ลอยกลับมาหาเจ้าของ

     

    แย่ละสิ  ศรไฟกัลป์ของเราทำอะไรมันไม่ได้เลย

     

    ใจเย็นไว้ก่อน กรรณาภรณ์  ข้าสร้างเกราะเวทย์เอาไว้แล้ว  เจ้าตั้งสติให้ดีและอย่าก้าวออกมานอกเกราะเด็ดขาด จันทรรัตน์ร้องบอกเพื่อน

     

    ไม่ทันขาดคำ  อสูรหนุ่มก็เบนเข็มหันมาเล่นงานนางแทน  เขาร่ายคาถาเพียงสั้นๆ  บังเกิดเป็นลูกไฟหลายสิบลูกรายล้อมอยู่รอบตัวและพุ่งเข้าใส่นางทีละลูก  แม้ว่าเกราะเวทย์จะแข็งแกร่งก็ยังสะเทือนไม่น้อย  ลูกทุกลูกที่ถูกซัดมา  เมื่อกระทบกับเกราะเวทย์ก็มลายหายไป  แต่ผู้สร้างเกราะกลับรู้สึกได้ถึงพลังที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขาของนางก้าวถอยออกมาก้าวหนึ่งยันพื้นดินไว้เพื่อต้านพลังที่โถมเข้าใส่

     

    ร้ายกาจจริงๆ  จู่โจมถี่ยิบอย่างนี้คงหาโอกาสโต้กลับได้ยาก  ลำพังเกราะเวทย์ของข้ากับศรไฟกัลป์ของกรรณาภรณ์คงต้านมันไม่ได้นานแน่

     

    นางวิเคราะห์สถานการณ์    ด้วยความวิตกกังวลเป็นเหตุให้จิตใจหวั่นไหว   พลังของเกราะเวทย์จึงอ่อนลงด้วย  ประกอบกับความเป็นห่วงเพื่อนจึงไม่ทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาของคู่ต่อสู้

     

    จันทรรัตน์   ระวัง! กรรณาภรณ์ร้องเตือน

     

    ผู้ถูกเรียกได้สติ  แต่ช้าไป....นางเพิ่งหันไปเห็นลูกไฟขนาดมหึมาลูกหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหานางอย่างรวดเร็ว  จะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว  ก่อนที่จักทันคิดอะไรต่อไป  มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา  สองมือลึกลับคว้าอุ้มตัวนางไว้และตะบึงออกไปราวกับสายลม!!!

     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×