ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 : เรื่องเล่าของ 'รอยยิ้ม'

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 822
      3
      25 ต.ค. 55

     
     
     


              คุณเคยเห็นท้องฟ้าที่มืดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไหม? ในขณะที่คุณกำลังวิ่งเล่นภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ท้องฟ้าขาวสะอาด มีกลุ่มเมฆลอยละล่อง ทุ่งดอกไม้ละลานตา อากาศก็บริสุทธิ์สดชื่น แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงเพียงครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ก้อนเมฆที่คุณเคยคิดว่าสวย ก็เกาะกลุ่มกันเป็นสีดำ แล้วพากันปล่อยห่าฝนลงมา ปล่อยสายฟ้าลงมา หากไม่ระวัง คุณก็อาจถูกสายฟ้าฟาดจนไหม้เป็นตอตะโก ผมเรียกปรากฏการนี้ว่า “เมฆทรยศ”  ลองคิดดูสิ เจ้าเมฆน้อย ตะกี้ยังขาวใส สวยเหมือนปุยนุ่น แล้วในวินาทีต่อมามันก็พร้อมจะปลิดชีพเราด้วยกระแสไฟฟ้านับแสนโวลต์ ช่างไม่ยุติธรรมเสียนี่กระไร

     

              ชีวิตของผมก็คงจะเหมือนโดนเมฆทรยศตลอด มันไม่ยอมปล่อยให้ผมมีความสุขได้นานหรอก เหมือนตอนที่ผมกำลังเพลิดเพลินในบรรยากาศของโรงเรียนใหม่ บางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวก็วิ่งเข้าหาผมทันที

     

    - - - - - - - - - - - - -

     

              สามสาวทิ้งให้ผมนั่งสงสัยอยู่นานแสนนาน ยังที่ทันที่พวกเธอจะพูดอะไรต่อ ครูก็เดินเข้ามาสอน หญิงสาวจึงทิ้งท้ายไว้เพียงคำว่า “ความลับของ รอยยิ้ม’ 

     

              ตลอดคาบ ผมนั่งเรียนอย่างกระสับกระส่ายเพราะคำๆนี้คอยกวนใจ  อะไรคือความลับของรอยยิ้ม? ใช่รอยยิ้มเดียวกับที่เขียนบนผนังห้องชั้นที่ยี่สิบหรือเปล่า คงจะมีแต่พวกเธอเท่านั้นที่รู้

     

              เมื่อหมดคาบแรก ผมก็ไม่ได้เจอกับสามสาวนางพญาอีก เราแยกกันไปเรียนคนละวิชา ซึ่งนั่นทำให้ผมเกือบจะลืมเรื่องนี้ไป  ระหว่างเรียนวิชา วิเคราะห์วรรณคดี ผมก็เริ่มตระหนักว่า การเรียนการสอนที่นี่ง่ายกว่าที่โรงเรียนเก่าอยู่มากโข แต่กระนั้น ทุกคนกลับดูเป็นการเป็นงานมากกว่า ครูที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่อ่านตำราให้นักเรียนฟังอย่างเดียวเหมือนที่โรงเรียนผมเก่าทำ พวกเขาเจาะจงรายละเอียดทุกๆอย่าง และบ่อยครั้งที่จะเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น ซึ่งแม้แต่พวกเด็กกลุ่มขี้ยาเอง ก็ยังตั้งใจเรียนเมื่ออยู่ในเวลา

     

              ในฐานะนักเรียนใหม่ ครูเองก็ค่อนข้างจะเพ่งเล็งผมและถามตอบกับผมบ่อย ซึ่งผมเองก็ทำได้ดีเลยทีเดียว ที่นี่ไม่มีใครหัวเราะกับความคิดเห็นของคนอื่น ถึงมีพวกเขาก็ไม่ได้หัวเราะเยาะแบบดูถูก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมโรงเรียนแห่งนี้ถูกจัดอยู่ในอันดับสูงๆทางด้านวิชาการ

     

              ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งถึงคาบพละศึกษา ซึ่งเป็นคาบที่ผมเกลียดที่สุดในสารบบแห่งการเรียนรู้ พวกเขาแจกเสื้อพละประจำโรงเรียนที่มีเครื่องหมายเป็นรูปหมาป่าสีดำ ผมคาดว่ามันคงจะเป็นสัญลักษณ์ประจำโรงเรียน ครูพละที่นี่จะปล่อยให้เราเล่นกีฬาอะไรก็ตามอย่างอิสระ โดยเขามีหน้าที่ควบคุมดูแลเฉยๆ ซึ่งก็เหมือนกับที่อื่นนั่นเหละ แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ ที่นี่ดันมี คริสเตียน’ ญาติคนใหม่ของผม ผู้ซึ่งจริงจังกับการเล่นบาสมาก ครั้งแรกที่ผมรู้ตัวว่าเขาเป็นตัวอันตรายสุดๆหากเขาได้จับลูก ก็คือตอนที่เขาส่งลูกไปให้เพื่อนคนหนึ่ง และทันทีที่ถูกลูกเตะตัว เขาก็กระเด็นไถลครูดไปกับพื้นออกนอกสนามไปอย่างน่ากลัว ผมยืนอึ้งสักพักกว่าจะรู้ตัวว่าเจ้าลูกบาสน้อยๆนั่นเด้งมาที่มือผมพอดิบพอดี และคริส หมาป่าจอมกระหายก็พุ่งเข้ามาหมายแย่งลูกด้วยความเร็วแบบเทพเจ้า

     

              ข้อดีอย่างนึง ของการเกือบถูกฆ่ามาหลายครั้ง คือมันทำให้ผมมีสัญชาติญาณที่เร็วกว่าแต่ก่อน ในเมื่อคริสจ้องจะเอาลูกบาส สมองผมก็แค่สั่งการให้โยนลูกไปที่ไหนก็ได้ เขาจะได้ตามลูกไป แต่เผอิญว่าที่ไหนก็ได้ของผมนั้น ดันเป็นห่วงบาส ซึ่งอยู่ไกลจากผมมากซะด้วย พอลูกลงห่วงปั๊ป ทีมผมก็เฮกันใหญ่ ส่วนทีมของคริสก็อึ้ง ผมก็อึ้ง ทุกคนก็อึ้ง ตอนนั้นเหละที่คริสเดินเข้ามาแล้วตบหลังตบใหล่ชมผมใหญ่ จากนั้นเขาก็บอกว่า..

     

              “ฉันไม่เคยแย่งลูกจากใครพลาดเลย พระเจ้า! เราเป็นญาติกันจริงๆ ยินดีด้วย นายได้สิทธิเข้าทีมของเรา โดยไม่ต้องคัดตัว”  ผมเริ่มจะคิดแล้วว่า ต้องพระเจ้าแห่งความซวยแน่ๆ ที่เป็นคนพัดเอาลูกบาสนั่นลงห่วง ไม่นะ อยากจะร้องไห้จริงๆ 

     

    หลังจบคาบพละ ผมก็อาบน้ำเปลี่ยนชุด ถึงเวลาพักเที่ยง

     

              ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละน้อยตั้งแต่เช้า สีเทาเข้ามาแทนที่ จนเวลาผ่านไปทั่วทั้งฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ เสียงครืนดังก้องไปทั่วจนผมแทบรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ลมหนาวพัดพาเข้ามาเพื่อเตือนว่าเป็นสัญญาณของหน้าฝนสุดท้ายก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นฤดูหนาว ในขณะที่นักเรียนหลายคนเฮฮากรูกันเข้าไปในโรงอาหาร  ผมกลับยืนมองบรรยากาศที่ชวนขนลุกจากข้างหน้าต่าง ปัญหานึงที่คุณพบหากต้องย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ก็คือ คุณจะนั่งกับใครเมื่อถึงเวลาพักเที่ยง? ถ้าพูดถึงที่โรงเรียนเก่าละก็ ไม่มีที่นั่งสำหรับเด็กเอ๋ออย่างผมหรอก ผมจำเป็นต้องไปนั่งบนดาดฟ้ากินคนเดียวทุกที แต่ก็นั่นเหละ เผอิญว่าตึกแห่งนี้มีแต่หลังคา ไม่มีดาดฟ้า และเผอิญปัญหาของผมไม่ใช่ “ไม่มีใครนั่งด้วย” แต่เป็น “จะนั่งกับใคร” ต่างหาก

     

              เพราะทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในโรงอาหาร หลายโต๊ะพร้อมใจเขยิบที่เหมือนกับรอให้ผมไปนั่ง โดยเฉพาะพวกกลุ่มของญาติผม อันได้แก่ กลุ่มนักกีฬาของคริสเตียน ที่มีพวกล่ำๆตัวใหญ่ๆคล้ายหมีป่ากำลังกินอาหารอย่างเฮฮาและลุกขึ้นโบกมือให้ผม แล้วก็กลุ่มเด็กเก่งอย่างเนธานที่มีสมาชิกประมาณห้าคน นี่ขนาดมากินข้าว บนโต๊ะยังเต็มไปด้วยหนังสือปึกใหญ่วางราวกับเป็นอาวุธข้างกาย ทุกคนในกลุ่มจ้องหน้าผมอย่างกดดัน ส่วนอีกกลุ่ม คือพวกกลุ่มนักแสดงหน้าตาดี ทุกคนยิ้มพิมพ์ใจแต่พร้อมเพรียงกันจนดูหน้ากลัว

     

              ผมมองสามกลุ่มนี้สลับไปมาอย่างหนักใจ ผมไม่อยากเข้าไปอยู่กลุ่มใครทั้งนั้น ที่นี่ไม่มีกลุ่มเด็กธรรมดาเลยรึไง หรือไม่ ถ้าจะให้ดีก็มีกลุ่มคนรักหนังสยองขวัญท่าจะเจ๋งไม่น้อย

     

              “แมตเพื่อนมานั่งกับเราสิ” คริสตะโกนโหวกเหวก อีกสองกลุ่มก็ไม่ยอมแพ้เริ่มเชิญชวนผมบ้าง “มานั่งกับพวกเราดีกว่าน่า!  อเล็กแซนเดอร์กับเพื่อนๆที่ดูจะทำท่าแอคติ้งโอเวอร์เสียเหลือเกินตะโกน “มาตรงนี้สิ เรากำลังถกเถียงกันเรื่องระบบขนส่งมวลชนโดยรวมของเมืองเเบล็กวู๊ดอยู่เลย” เนธานกับเพื่อนผู้ใฝ่เรียนยิ้ม แล้วทั้งสามก็หันหน้าไปแผ่รังสีอำมหิตให้อีกฝ่าย ดูท่าการปีนขึ้นกินบนหลังคาคงจะไม่ใช่ความคิดที่เลวนัก

     

              “มานี่! เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง  ไม่พูดพร่ำทำเพลง สามสาวนางพญาก็คว้าแขนแน่นแล้วลากตัวผมไปยังโต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่างซึ่งเป็นจุดที่เห็นวิวข้างนอกได้ดีที่สุด โต๊ะตัวนี้สะอาดเป็นพิเศษและมีเก้าอี้เพียงสี่ตัว แถมบนโต๊ะยังมีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ตรงกลางเสียด้วย ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นที่สำหรับแขกพิเศษซะอีก

     

              พอสามกลุ่มที่เหลือเห็นดังนั้น ก็ส่งเสียงเสียดายเป็นการใหญ่ ผมนั่งลงและตั้งถาดอาหารด้วยความงุนงง สามสาวพกอาหารมาเอง ซึ่งพอเอามาดูก็เห็นว่าเป็นสลัดผักล้วนๆ

     

              “อาหารโรงเรียนน่ะแคลลอรีสูง ผลการวิจัยที่ฉันทำเองบอกว่า หากเธอกินแบบนี้ติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์ พุงเธอจะยื่นออกมาครั้งหนึ่งเซนติเมตรต่อมื้อ” สาวคนหนึ่งในกลุ่มกล่าว ผมเพิ่งจะได้เห็นเธอพูดเป็นครั้งแรก 

     

              “ฉันขอแนะนำตัวก่อนนะ” สาวคนที่ผมพูดด้วยในห้องตอนนั้นเอ่ยปาก “ฉันชื่อ เมแกน ส่วนคนที่พูดเรื่องอาหารเมื้อกี้นี่ชื่อ โซอี้ แล้วแม่นางเอกคนนี้ชื่อ เชย์” พอกล่าวจบ อีกสองคนก็เซย์ไฮสั้นๆ แมแกนเป็นคนที่แต่งตัวดีที่สุด เธอมีผมบลอนด์ ท่าทางมั่นใจ พูดจาชัดเจนและตรงไปตรงมา ส่วนคนที่ชื่อโซอี้ ผมมีผมดำขลับยาวสลวย ผมคิดว่าแม้เธอจะแต่งตัวใช่ย่อย แต่สไตล์ของเธอเป็นแบบเรียบร้อย คล้ายสาววัยทำงาน แล้วก็เชย์ เธอดูสะดุดตาเพราะผมเธอเป็นสีแดงเข้ม แต่งตัวแนวแมนๆหน่อย แต่ดูก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นของมียี่ห้อ

     

    “ฉันอยากจะสานต่อเรื่องที่เราพูดค้างกันเอาไว้” เมแกนกล่าว คราวนี้เธอดูระวังตัวและลดเสียงลง

     

    “ความลับรอยยิ้มอะไรนั่นใช่ไหม? มันคืออะไร?”

     

              “ชี่!” เมแกนทำเสียงเพื่อเตือนให้ผมเบาลงหน่อย “เรื่องนี้สำคัญมากนะ มันเป็นความลับ ฉันไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน เข้าใจไหม?”  ผมพยักหน้า แล้วเร่งให้เธอพูดถึงสาระสำคัญเร็วๆ เมแกนจึงพูดต่อ “โรงเรียนแห่งนี้มีเรื่องเล่ามากมาย” เมแกนเว้นช่วง “ หนึ่งในนั้นคือ ความลับของ รอยยิ้ม”  
              ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเมแกนพูดคำว่ารอยยิ้ม ท้องฟ้าก็ส่งเสียงครืนนนเข้าจังหวะ เสริมให้ผมขนลุกด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้  
       

     

              “เรื่องย้อนไปสิบเจ็ดปีก่อน… เป็นสมัยที่ครูใหญ่คนก่อนเพิ่งจะย้ายออกไป ช่วงนั้น เป็นช่วงที่เมืองเเบล็กวู๊ดยังคงเป็นเมืองเล็กๆ ทุกอย่างสงบสุข เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดของสมัยนั้นคือแกะในฟาร์มแถวชานเมืองถูกหมาป่าลากไปกิน….  ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจู่ๆเด็กหญิงจะหายไปพร้อมกันห้าคน…  ทั้งห้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่สิ่งที่เหมือนๆกันคือพวกเธอเรียนอยู่ที่นี่ ชาวเมืองแตกตื่นกันมาก พวกเขาคิดว่าหมาป่าลากเด็กทั้งห้าไปกิน บ้างก็ว่าเป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ในป่าแบล็กวู๊ด… พวกเขาจัดทีมตามหาเด็กๆทั่วทั้งเมือง ทุกๆบ้านถูกรื้อค้น ท่อระบายน้ำถูกสำรวจ จนแล้วจนรอดก็หาใครไม่พบ จับมือใครดมก็ไม่ได้”

     

              “สมัยนั้นวิทยาการยังเข้าไม่ถึงเมืองนี้ ทั้งที่ความจริง พวกเรื่องพิสูจน์ลายนิ้วมือ การหาหลักฐานจากคราบเลือดก็มีมานานแล้ว” โซอี้กล่าว

     

              “เดี๋ยวสิยะ อย่าเพิ่งขัด ให้ฉันเล่าก่อน” เมแกนทำตาค้อนใส่ แล้วตักสลัดเข้าปากคำนึง “ตอนนั้นน้าฉันเล่าให้ฟังว่าเด็กทุกคนถูกห้ามไม่ให้ไปไหน เช้าไปโรงเรียน เย็นก็ต้องกลับมาถูกขังในบ้าน มีเวรยามเฝ้าทุกจุดของเมือง แต่ก็นะ เด็กๆเองก็แอบหาทางหนีเที่ยวกันจนได้”

     

    “สมัยก่อนเขาเที่ยวกันที่ไหนเหรอ?” ผมถาม

     

              “มีร้านเหล้าอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมถนนฟรีทซ์ ร้านนั้นดังมากเลยนะ ถึงตอนนี้ก็มีการพัฒนาเป็นผับขนาดใหญ่ ไว้พวกเราว่างๆจะพาไป” เชย์ที่อยู่เงียบๆมานานตอบบ้าง เธอดูท่าทางกระตือรือร้นทีเดียวเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

     

    “จะให้ฉันเล่าต่อไหม?” เมแกนเริ่มวีน เราสามคนจึงนั่งหลังตรงเงียบ แล้วพากันพยักหน้าให้

     

              “โอเค” พอเห็นว่าทุกคนตั้งใจฟังแล้ว เมแกนจึงเล่าต่อ “ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ชาวเมืองเริ่มหมดหวัง พ่อแม่ของเด็กทั้งห้าเศร้าเสียใจอย่างมาก จนกระทั้งมีชาวเมืองคนนึงเสนอความคิดว่าให้เข้าไปหาในป่าแบล็กวู๊ดดู  คนอื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดนั่น เพราะแบล็กวู๊ดเป็นป่าที่มืดและทึบมากแม้จะเป็นในตอนกลางวัน อีกทั้งลักษณะพิเศษของลำต้นที่เปลือกไม้เป็นสีดำเหมือนถ่าน คนจึงไม่นิยมเข้าไปที่ป่านั้นเท่าไหร่ เพราะคนที่เข้าไปส่วนใหญ่จะหลงทางและอดตายอยู่ในป่า”   ผมฟังเสร็จก็เห็นด้วย นึกย้อนไปตอนที่เฮนรี่กับผมขับรถผ่านป่านั่น ขนาดถนนก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปราดคอนกรีตให้เป็นถนนใหญ่เลย


              “แม้จะได้รับการคัดค้าน แต่พ่อแม่ของเด็กพวกนั้นกลับไม่สน กลางดึกคืนนึงพวกเขาตัดสินใจจุดคบเพลิงแล้วเข้าไปตามหาเด็กๆในป่า บรรยากาศตอนกลางคืนนั้นน่าสะพรึงกลัว  พวกเขามองไม่เห็นทาง บ้างก็ว่ารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในความว่างเปล่า เพราะต้นไม้ที่เป็นสีดำอยู่แล้ว แม้จะมีแสงไฟ มันก็ง่ายต่อการหลงอยู่ดี นานเข้าเหล่าพ่อแม่ก็หมดกำลังใจ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังหลงทาง ทุกคู่เริ่มกระจายไปทั่วป่าเพื่อหาทางออก จนกระทั้งพ่อแม่คู่นึงที่ได้ยินเสียงแปลกๆจากจุดไหนสักแห่ง

     

    “มันคือเสียงอะไร?” ผมถาม

     

              “เสียงร้อง..เชย์ว่า “เสียงร้องโหยหวนของเด็ก!” โซอี้เสริม  เมแกนพยักหน้าแล้วเล่าต่อ “ทั้งคู่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากที่ไหนสักแห่ง เสียงนั่นดูทรมานและเจ็บปวด สักพักหนึ่งพ่อแม่คู่นั้นก็มั่นใจว่าเสียงมาจากใต้เท้าของพวกเขาเอง…. ทั้งคู้สึกกลัว แต่ฝ่ายคนแม่บอกให้ลองขุดดู ทั้งคู่ใช้เวลาขุดนานมาก นานจนคบเพลิงใกล้จะดับ แล้วพวกเขาก็เจอ… โลงไม้ขนาดเท่าตัวคน และเสียงร้องก็ดังมาจากข้างในนั้น พอเปิดโลงขึ้นมา พวกเขาก็เจอลูกสาวของตัวเองเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าเปรอะรอยเลือดที่แห้งกรัง กรีดร้องอย่างเสียสติ นิ้วมือเหวอะหวะจนกระดูกโผล่เพราะพยายามขูดเปิดฝาโลง”

     

              “แล้วเด็กคนนั้นว่ายังไงบ้าง?” ผมฟังเรื่องราวอย่างตื่นเต้น ลมเย็นพัดพาละอองฝนเข้ามาทางหน้าต่าง มือสองข้างกอดอกแน่น มองสามสาวที่กำลังทำหน้าเครียด


              “กว่าจะออกมาจากป่านั่นได้ก็เล่นเอาพ่อแม่ลูกเกือบตาย ชาวเมืองคนนึงมาพบพวกเขาสลบอยู่แถวขอบชายป่า พอพามาพักฟื้นถึงได้รู้ว่าพ่อแม่คู่อื่นไม่เคยได้ออกมาอีกเลย พวกเขาหลงอยู่ในนั้น และอดตาย… หลังการพักฟื้น ทุกคนก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เด็กคนนั้นกลับพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง พ่อแม่พวกเขาใช้เวลาในการพยายามซักเรื่องราวทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่นานทีเดียว

     

    “รอยยิ้ม” เด็กคนนั้นตอบแล้วหัวเราะอย่างเหม่อลอย

     

    “รอยยิ้ม… มัน  ….. มันจับตัวพวกเราไป… ฮิๆ”

              แล้วเด็กสาวก็เปลี่ยนท่าทางเป็นหวาดกลัว สีหน้าของเธอยังคงตื่นตระหนก น้ำตาไหลพราก “มันตัดแขนขาพวกเขา มันควักลูกตาพวกเขาออกมา แล้วใช้เลื่อยหั่นไปมา
    …  หนึ่งชิ้น… สองชิ้น…. สามชิ้น….” พอพูดถึงตรงนี้ เด็กสาวคนนั้นก็เริ่มกรีดร้อง

             “รอยยิ้ม
    !  รอยยิ้มมันจะฆ่าหนูมันเอาหนูไปฝัง เพราะหนูไม่เชื่อฟังใครก็ตามที่เชื่อฟัง มันจะให้รางวัลโดยฆ่าให้ตายก่อน!” แล้วเธอก็เริ่มทำร้ายตัวเอง จิกเล็บลงบนผิวจนเลือดไหล “มันหั่นพวกเขาทั้งเป็นแล้วหัวเราะ… มันบังคับให้พวกเรานับแล้วหัวเราะตาม!.... 
    หนึ่งชิ้น… สองชิ้น…. สามชิ้น  ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

     

             “และนั่นก็คือสิ่งเดียวที่เด็กคนนั้นพูด ซ้ำไป ซ้ำมา หลังจากนั้น เธอถูกส่งตัวไปอยู่โรงพยาบาลบ้า ส่วนพ่อแม่ของเธอเสียใจมาก ตรอมใจตายไปทั้งคู่ ในที่สุดก็เหลือเพียงแต่ปริศนาของ รอยยิ้ม” พอเมแกนพูดจบ ผมก็รู้สึกหวิวๆจากข้างหลัง

     

              “ยังมีต่อนะ… “ คราวนี้เชย์ สาวผมแดงเป็นฝ่ายเล่าบ้าง “หลังจากนั้น ปีต่อมาก็มีเด็กหายไปเหมือนเดิม ทุกคนที่หายไปก็เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เหมือนกัน แต่คราวนี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปหาในป่า เพราะกลัวกลับออกมาไม่ได้อีก เรื่องราวจึงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีจะมีเด็กหายไป แต่จำนวนจะค่อยๆลดลง จนสิบปีหลัง เหลือเพียงปีละคน” เชย์เว้นช่วงเพื่อดูดน้ำจากแก้ว “ถึงปัจจุบัน ก็ยังมีเด็กหาย ตำรวจเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกนั้นก็มีเรื่องเล่าเสริมว่า เด็กส่วนใหญ่ที่หายไปจะเป็นเด็กผู้หญิง ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะเป็นพวกที่หน้าสวยๆ ตัวเล็กๆ แล้วก็คนที่หายไปมักจะเป็นคนที่กลับบ้านช้ากว่าคนอื่นๆ”

     

              โซอี้เสริมต่อ “จากนั้นก็มีเรื่องเล่าว่า ความจริงแล้ว คนที่หายไปนั้น หายไปเพราะดันไปรู้ ความลับของรอยยิ้ม เข้า... แต่จริงๆแล้ว ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่รุ่นพี่เล่าเสริมมาเฉยๆ ไว้สำหรับตอนรับน้องมากกว่า”

     

    “แล้ว.... มันคือความลับอะไรล่ะ?”

     

              “ถ้าเรารู้ คงตาย ไม่ก็หายตัวไปแล้ว ล่ะ” เมแกนว่า  อืม… มันก็จริงนะ  “แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้หรอก” เมแกนตักสลัดชิ้นสุดท้ายเข้าปาก “ที่เล่ามาน่ะ เป็นแค่ปูเรื่องเฉยๆ แต่สาระสำคัญจริงๆ คือเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ต่างหาก… “ ยังไม่ทันที่เมแกนจะพูดต่อ เธอก็ชะงักไป สายตาของเธอมองผ่านข้ามหลังผม พวกเราที่เหลือจึงหันตาม สายตาเจอะเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง ถือถาดอาหาร เดินช้าๆ แล้วนั่งลงบนโต๊ะที่ว่างอยู่เพียงคนเดียว

     

              “นั่นมัน วิเวียร นี่นา….” เมแกนหันมาอธิบายกับผม “เธอจำแปดคนที่ตายในข่าวได้ไหม? ทุกคนที่ตายน่ะ เป็นพวกกลุ่มเด็กปาร์ตี้ พวกนี้น่ะนะ จัดปาร์ตี้กันทุกคืน สลับกันไปจัดในบ้านของแต่ละคนในกลุ่ม จนกระทั่งสองคืนก่อน…   ทุกคนในกลุ่มนั้นก็ถูกฆ่าตายหมด ยกเว้นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้ไปปาร์ตี้” เมแกนหันไปที่วิเวียรอีกครั้ง “ก็คือเธอคนนั้นนั่นเหละ”

     

              “น่าสงสารนะ” เชย์พูด “เพื่อนของเธอเสียชีวิตหมด วันนี้ก็เลยต้องมานั่งคนเดียว ทั้งๆที่แต่ก่อน กลุ่มของเธอเป็นกลุ่มที่เฮฮาที่สุดในโรงอาหารแท้ๆ”

     

    “ฉันว่าเราควรชวนเธอมานั่งด้วย” โซอี้เสนอ “ก็เอาสิ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย 


    “เดี๋ยวฉันชวนเอง..” เมแกนก็ลุกขึ้นทันที  

     

              เมแกนเดินตรงไปยังโต๊ะใหญ่ที่มีเพียงวิเวียรนั่งอยู่คนเดียว เธอท่าทางเศร้าสร้อย ใบหน้าก้มต่ำ และตักอาหารที่ตัวเองเตรียมมาอย่างเชื่องช้า ผมแอบสงสารเธอขึ้นมาเล็กน้อย  

    บางที...สามสาวนี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ย

     

              “วิเวียร” เมแกนทัก  “จะรังเกียจไหม ถ้าฉันจะชวนเธอให้ไปนั่งด้วย?” พร้อมกับชี้มายังโต๊ะของพวกเรา….   ทันใดนั้นฟ้าก็ผ่าดังโครมผมสะดุ้งเล็กน้อย ฝนห่าใหญ่พัดเข้ามาทางหน้าต่างตามลม เชย์เอามือปัดป้องหน้าไม่ให้เปียก ส่วนโซอี้รีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างทันที ฟ้ามืดลง มืดลงเรื่อยๆจนผมเกือบคิดว่าเป็นตอนกลางคืน บรรยากาศหนาว แม้เม็ดฝนก็เย็นราวกับว่าจะจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

     

              วิเวียรเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องมองเมแกน เมแกนยิ้มตอบ แต่ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวจ้องหน้าเมแกนอยู่อย่างนั้นจนเธอแปลกใจ ผมสังเกตว่าวิเวียรนั่งตัวตรงแข็งผิดปกติ โซอี้ถามพวกเราว่ารู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า เชย์พยักหน้าแล้วบอกว่าหน้าเธอดูซีดพิกล ไม่สิ.. ซีดจนหน้ากลัวเลยต่างหาก เราสามคนจึดตัดสินใจลุกขึ้นไปดู

     

    “วิเวียร?” เมแกนยื่นมือเข้าไปสะกิดร่างเล็กน้อย





    พรวด!

     

              จู่ๆวิเวียรก็พุ่งพรวดลุกขึ้นยืนพร้อมกับสำลักอะไรบางอย่างออกมา เมแกนถอยหลัง พวกเรารีบวิ่งไปหาเร็วยิ่งขึ้น คนในโรงอาหารเริ่มเงียบแล้วมองมาเป็นตาเดียว ผมสังเกตว่าของเหลวที่เธอสำลักของมา มีเศษอาหารและอะไรบางอย่างสีแดงๆปนด้วยเล็กน้อย…  ทันใดนั้นเองที่หญิงสาวเริ่มกระตุกไปมา จากที่ยืนอยู่ก็ล้มลง แล้วเลือดสดๆก็พุ่งออกมาจากปาก จมูก และตา ใบหน้าซีดเผือด มือสองข้างใช้เล็บข่วนคอของตัวเองราวกับมีอะไรติดอยู่ เลือดถูกสำลักออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนพื้นนองไปด้วยโลหิตแดงเข้ม ฟ้าฝ่าลงมาประกอบทำให้คนทั้งโรงอาหารเริ่มแตกตื่น บ้างก็ปิดตา บ้างก็ถอยออกจากโต๊ะตัวเอง บ้างก็รีบวิ่งเข้ามาดู เมแกนและผมเป็นกลุ่มแรกๆที่ไปถึง พวกเราก้มไปจับร่างของเธอ 

     

              ริมฝีปากของวิเวียรแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงซีด ตาเหลือกและเบิกโพลงจนเกือบถลน เสียงกรีดร้องของคนรอบข้างดังก้อง ร่างที่ชักกระตุกดิ้นไปดิ้นมาก่อนจะสำลักออกมาอีก คราวนี้สิ่งที่ออกมาไม่ใช่อาหาร แต่กลับเป็นเศษของอวัยวะบางอย่างที่เป็นก้อนแดงๆเล็กๆ เธอสำลักครั้งแล้วครั้งเล่าจนสิ่งที่ออกมาไม่ใช่เลือด… 

    แต่เป็นอวัยวะของเธอเอง

     

    เมแกนถอยหลังออกเพราะเลือดเกือบกระเด็นใส่ เชย์รีบช่วยคว้ามือให้เมแกนยันตัวลุกขึ้นมา

     

              “อาหารที่เธอกิน… “ โซอี้กล่าว เธอเเละผมรีบเดินอ้อมโต๊ะเพื่อไปดูสิ่งที่เธอกิน มันคือสปาเก็ตตี้ธรรมดาที่ราดซอสสีแดงเข้ม โซอี้เอื้อมมือไปใช้ช้อนเขี่ยๆดูในกล่อง จนกระทั่งพบสิ่งแปลกปลอม ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูให้แน่ชัดว่ามันเป็นอะไร ชิ้นส่วนบางอย่าง อันเล็กๆ กลมๆ สีเหลือง มีรูปหน้าการ์ตูน  มันคือเข็มกลัด… เข็มกลัดอันขนาดพอดีมือ ที่มีรูปของรอยยิ้มแปะอยู่ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นช่างดูเย้ยหยันเหลือเกิน เมื่อโซอี้หยิบมันขึ้นมาก็พบว่ามีเศษกระดาษแปะอยู่ข้างหลัง

     

    ขออนุญาตเก็บเศษที่ยังหลงเหลือนะ  – รอยยิ้ม

     

    เมแกนและเชย์ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วย เราทั้งสี่คนมองหน้ากัน 


    “รอยยิ้ม” โซอี้กล่าวลอยๆ 


               “ทุกคนถอยออกไปก่อนนะครับ ผมโทรเรียกตำรวจแล้ว ส่วนเนธานไปตามคุณครูให้แล้ว” เสียงของคริสเตียนดังมาจากที่ไหนสักแห่งในหมู่นักเรียนที่เข้ามามุงดู  ร่างของหญิงสาวที่แน่นิ่งไปแล้วยังคงเบิกตาโพลง ปากอ้ากว้าง ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปคนเดียวหรือเปล่า แต่ร่างที่บัดนี้กลายเป็นเพียงก้อนเนื้อไร้ชีวิต ดูราวกับว่า… 



    เธอกำลังยิ้ม

     

               “เจอกันที่หน้าห้องน้ำหญิง ชั้นหนึ่ง ตอนเลิกเรียน” เมแกนสะกิดผม จากนั้นสามสาวก็ถูกฝูงนักเรียนที่วิ่งเข้ามามุงกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว นี่มันเรื่องอะไรกัน….

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

              หลังจากนั้นทั้งตำรวจและพยาบาลก็เข้ามา ความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นไปทั่ว ครูใหญ่ต้องประกาศให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกลับไปเรียนตามปกติ  แต่ทว่า คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องนี้เป็นทุกคนที่อยู่ในโรงอาหาร… ซึ่งทุกคนในโรงเรียนนั้น ก็อยู่ในโรงอาหารทุกคน ดังนั้นพวกเราบางคนรวมถึงผมจึงถูกคัดเข้าไปให้ปากคำ สามสาวนางพญาเองก็ด้วย ในฐานะที่พวกเราเป็นกลุ่มแรกๆที่เห็นเหตุการณ์ 

     

              อีกครั้งที่ผมได้เจอคุณตำรวจหมีพูห์ เขาถามคำถามแบบเดิมแป๊ะ แถมถามน้อยกว่าครั้งที่แล้วอีก พักเดียวผมก็ถูกปล่อยตัวไป ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่าดูเขาจะไม่ให้ความสำคัญกับคดีเท่าไหร่นัก ผมเสริมเรื่องที่เจอเข็มกลัดอันนั้นในกล่องอาหาร แต่เขาก็ยังเฉยอยู่ดี พูดแต่เพียงว่า “เดี๋ยวเราจะตรวจสอบเรื่องนั้นเอง..”

     

              หลังจากนั้นผมก็ได้แต่รอเวลา จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน ผมจึงตรงไปยังห้องน้ำของนักเรียนซึ่งอยู่ชั้นหนึ่ง เมแกนและเพื่อนๆรออยู่ที่หน้าห้องน้ำหญิงนานแล้ว

     

              “เข้ามาสิ” เมแกนกล่าว จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง   เฮ้ย…. เดี๋ยวสิ ผมเป็นผู้ชายนะ ขืนเข้าไปมีหวังโดนผู้หญิงหาว่าเป็นโรคจิตแหง…    พอเมแกนเห็นผมไม่ยอมตามเข้าไป จึงโผล่หน้าออกมา “เข้ามาเถอะหน้าในนี้ไม่มีใครหรอก เราตรวจดูแล้ว

     

    ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง หันซ้ายขวา แล้วตัดสินใจย่องเข้าไปในห้องน้ำหญิงอย่างรวดเร็ว  

     

    “ทำไมต้องให้ฉันเข้ามาในห้องน้ำหญิงด้วยเนี่ย? ฉันเป็นผู้ชายนะ!

     

     “โทษที พอดีที่นี่เป็นที่ประชุมประจำกลุ่มของพวกเราน่ะ คนอื่นๆในโรงเรียนก็รู้กันทั้งนั้น ก็เลยไม่มีใครเข้ามาไง” เชย์ตอบ

     

              “เอาล่ะ เธอเองก็เห็นใช่ไหม? สิ่งที่เกิดขึ้นกับวิเวียร” โซอี้ดูเครียดพอๆกับคนอื่น “ทั้งเข็มกลัด แล้วก็สิ่งที่เขียนในกระดาษอันนั้น

     

             “รอยยิ้ม… หมายความว่ายังไงกันแน่ “รอยยิ้ม” นี่ใช่อันเดียวกับเรื่องที่พวกเธอเล่าให้ฉันฟังหรือเปล่า?” ผมกอดอกมองทั้งสามคน

     

     “งั้นถึงเวลาที่ฉันจะเล่าเรื่องที่ยังเล่าไม่จบต่อแล้วล่ะ” เมแกนเอาหลังพิงผนัง “มันอาจอธิบายบางเรื่องได้” 

     

              ผมพยักหน้า พร้อมที่จะฟังเรื่องราวทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆเสียแล้ว กลิ่นเลือดเมื่อตอนเที่ยงยังคงติดจมูกผมอยู่ รู้สึกราวกับร่างนั้นกำลังสำลักของเหลวสีแดงเหนียวๆออกมาต่อหน้าต่อตา

     

              “ก่อนหน้านี้… กลุ่มนางพญาของเรา เคยมีกันสี่คน  ฉัน โซอี้ เชย์ และ… เอ็มมิลี่” พอพูดชื่อนี้ ทั้งสามก็ดูเศร้าสร้อย บรรยากาศกดดันก่อตัวขึ้นภายในห้องน้ำเล็กๆ “เอ็มมิลี่เป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มของพวกเรา.. เธอสวยที่สุด.. เก่งที่สุด.. และทุกคนก็ชอบเธอที่สุด..   เธอเป็นเหมือนคนที่ก่อตั้งกลุ่ม คนที่ทำให้พวกเราพบกัน และเป็นเพื่อนกัน ..  เราเคยเป็นสี่สาวนางพญา… ไปไหนก็ไปด้วยกัน เลือกซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอางด้วยกัน แชร์เรื่องสนุกๆระหว่างกัน…  จนกระทั่ง เมื่อหนึ่งเดือนก่อน”

     

    ปัง!

     

    เสียงอะไรบางอย่างกระทบกับประตูห้องส้วมที่อยู่ริมสุด เราทั้งสี่หันไปดูพร้อมกัน แต่ประตูปิดอยู่ เชย์ก้มลงไปมองลอดผ่านช่องใต้ประตู แต่ไม่เห็นใคร ไม่มีเท้าของใครเลยในทั้งสี่ห้อง เมแกนไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ เธอจึงเล่าต่อ

     

              “หนึ่งเดือนก่อน ช่วงนั้นเอ็มมิลี่หัวเสียมาก ที่กลุ่มอื่นๆในโรงเรียนเริ่มจะคานอำนาจของกลุ่มเรา… อันที่จริงเราก็ไม่ได้สนเรื่องอำนาจอะไรนั่นมากนักหรอก แต่เอ็มมิลี่สน.. เธอหมกมุ่นเลยล่ะ เธอว่าจะต้องหาทางควบคุมทุกอย่างให้ได้” เมแกนเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องผมนิ่งๆ ราวกับจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากๆ “จนเช้าวันนึง เอ็มมิลี่ส่งข้อความมาหาพวกเราทั้งสามคน บอกว่า เธอรู้ความลับของ “รอยยิ้ม” เข้าเสียแล้ว  ตอนแรกพวกเราก็ไม่เชื่อ แต่เอ็มมิลี่บอกอีกว่า เรื่องนี้จะทำให้กลุ่มของพวกเรากลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง…  เราไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร จนกระทั้งวันศุกร์ เอ็มมิลี่ประกาศว่าจะจัดปาร์ตี้ขึ้นที่ห้องแห่งหนึ่ง….

     

    “ห้องที่ว่าก็คือห้องเดียวกับห้องที่เกิดเหตุฆาตกรรมแปดศพนั่นเหละ” เชย์เสริม

     

             “เอ็มมิลี่แอบบอกพวกเราว่า เธอจะจัดปาร์ตี้ขึ้นเพื่อเปิดเผยความลับของ “รอยยิ้ม” และหลังจากนี้ไป ก็จะไม่มีกลุ่มไหนมาสู้กลุ่มของพวกเราได้อีก”



    “หมายความว่ายังไง?” ผมถาม “แล้วเกิดอะไรขึ้นในปาร์ตี้?”


              “พวกเราก็ไม่รู้..” เมแกนตอบ “แปลกมากที่เอ็มมิลี่ไม่ยอมเชิญพวกเราเข้างาน คนที่เธอเชิญ มีเพียงเด็กบางกลุ่มเท่านั้น  เท่าที่ฉันจำได้ มีประมาณสาม-สี่กลุ่มที่ถูกเชิญ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ดังๆ กลุ่มที่เอ็มมิลี่บอกเราว่าคอยคานอำนาจกลุ่มเราอยู่”


    “รู้สึกจะมี” โซอี้ทำท่านึก
    ”เด็กกลุ่มปาร์ตี้ เด็กกลุ่มเรียนเก่ง เด็กกลุ่มนักกีฬา และเด็กกลุ่มการละคร….”   



    เดี๋ยวนะ…. นั่นมันกลุ่มที่ตาย แล้วก็กลุ่มของญาติๆผมหมดเลยไม่ใช่หรือไง?



     “จากนั้น…. ปาร์ตี้ก็ถูกจัดขึ้น ทุกกลุ่มไปร่วมงานปาร์ตี้ที่ตึกนั่น และในคืนนั้นเหละ… ที่เอ็มมิลี่หายตัวไป” พอเมแกนพูดจบ บรรยากาศก็ตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ผมเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก เรื่องราวอันซับซ้อนวิ่งวนอยู่ในหัวผมเต็มไปหมด


              “ไม่มีใครรู้ว่าเอ็มหายไปไหน…  นั่นล่ะคือสิ่งที่เราสงสัย” เมแกนมีน้ำเสียงแข็งกร้าวปนสงสัย “ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอแน่   ในคืนนั้น ในคืนที่เอ็มมิลี่เปิดโปงความลับของ'รอยยิ้ม'กับคนในงาน แล้วจู่ๆเธอก็หายตัวไป..      ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ไม่มีใครตามหาเธอ พ่อแม่ของเธอเป็นใคร โรงเรียนยังบอกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พวกเราตามหาเอ็มตลอดหนึ่งเดือนเต็มๆ จนเรามั่นใจว่าการหายตัวไปของเอ็ม ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับความลับของ”รอยยิ้ม”แน่ๆ”

     

    “งั้นคนที่ไปปาร์ตี้คราวนั้นล่ะ พวกเขาว่ายังไงบ้าง?”

     

              “นั่นเหละคือปัญหา  พวกเราทั้งสามพยายามเค้นคำตอบจากทุกคนที่อยู่ในงานคืนนั้น… ทุกคนแล้วจริงๆ… แต่ทุกคนกลับตอบว่าไม่รู้ พวกเขาพูดเหมือนกันว่า เอ็มมิลี่หายตัวไประหว่างงาน” โซอี้กล่าว “แต่พอพวกเราถามถึงเรื่อง ความลับของรอยยิ้ม พวกนั้นกลับหน้าซีด แล้วไม่ยอมพูดอะไรเลย ไม่ว่าเราจะขู่ยังไงก็ไม่มีใครบอก  มันต้องมีอะไรแน่ๆ รวมทั้งเรื่องเด็กกลุ่มปาร์ตี้ที่ถูกฆ่าด้วย ต้องมีอะไรเกี่ยวกับความลับของ'รอยยิ้ม'แน่ๆ”


     
            “แมต
    … เพราะแบบนี้เหละ เราถึงจำเป็นต้องให้เธอช่วย” เมแกนเดินเข้ามาจับแขนผมแล้วบีบแน่น สายตาของเธอดูเคร่งเครียด ทุกคนอยากรู้อะไรบางอย่าง และตอนนี้พวกเขาก็กำลังมองมาทางผมอย่างคาดหวัง



    “เพราะเธอคือ 'ฟิตซ์' พวกนั้นก็อยากให้เธอเข้ากลุ่ม...”



    “เดี๋ยวๆๆ... หมายความว่ายังไง? พวกเธออยากให้ฉันทำอะไรกันแน่?...



              “ฉันอยากให้เธอเข้าไปตีสนิทกับพวกนั้น…. " เมแกนตอบ จากน้ำเสียงของเธอ บอกได้เลยว่าเธอกำลังจริงจัง "ฉันอยากให้เธอเข้าไปสืบความลับของ รอยยิ้ม เธอคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้….! 

     

    ปัง!

     

              เสียงประตูห้องส้วมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พวกเราแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มีอะไรหรือใครบางอย่างอยู่ในนั้นแน่ พวกเราทั้งสี่ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ห้องส้วมที่อยู่ริมสุดด้วยความสงสัย 

     

     “เชย์” เมแกนกล่าวด้วยเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ตอนเข้ามา เธอได้เช็คดูห้องส้วมแต่ละห้องแล้วรึยัง?”  เชย์ฟังจบก็ส่ายหน้า ผมก้มตัวลงไปดูข้างล่าง มองผ่านช่องใต้ประตู บางทีอาจจะเห็นเท้าของคนที่อยู่ในห้อง.. แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับไม่ใช่เท้า

     






    แต่เป็นใครบางคนในห้องส้วมที่ก้มหน้าลงมาดูเช่นกัน


    ใครบางคนที่มีใบหน้าอันแปลกประหลาด


    ใครบางคนที่บนใบหน้ามี

     


     


    รอยยิ้ม







    ติดตามตอนต่อไป........

     



    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×