ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Kizumonogatari.. ก่อนเทพนิยายแห่งเหล่าสัตว์ประหลาดจะเริ่มต้น

    ลำดับตอนที่ #2 : โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.05K
      5
      27 ก.ค. 53

    โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 2
    002

    เป็นเพราะว่าผมเข้ากับคนอื่นไม่เก่ง
    ไม่ผิดหรอก ผมตั้งใจบอกแบบนั้นแหละ

    ย้อนกลับไปในวันเสาร์ที่ 25 มีนาคม ก่อนถึงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ ช่วงบ่ายหลังจากจบการปัจฉิมนิเทศ
    ผมใช้เวลาเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในโรงเรียนเอกชนนาโอเอตสึ
    ไม่ใช่ว่าผมกำลังจะไปชมรมใหนหรือไปหาใครหรอกนะ
    แค่เดินไปเรื่อยๆเพราะไม่มีอะไรจะทำ...ก็แค่นั้น

    แล้วผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับวันหยุดที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้สักนิด
    ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นแค่วันหยุดฤดูใบไม้ผลิระยะสั้นๆหรือทำนองนั้น
    อย่างที่พูดไป ต่อให้เป็นวันหยุดฤดูร้อนรึหยุดฤดูหนาว แม้แต่วันหยุดโกลเด้นวีคก็เหอะ

    นักเรียนทั่วๆไปอาจจะมีความสุขกับมัน

    แต่นั่นไม่ใช่ผม...ว่าใงดีล่ะ ผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าหากว่าผมจบปี 3 แล้ววันถัดไปก็เป็นวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ เวลานั้นแหละวันหยุดนั่นถึงจะเป็นวันหยุดในแบบของผม...แจ่มสุดๆ

    ที่สำคัญ...ในวันหยุดฤดูใบไม้ผลินั้นจะไม่มีการบ้านวันหยุดมากวนใจอีกตลอด กาล

    แต่ถึงอย่างนั้น...บางครั้งผมก็ไม่ชอบที่จะไปอยู่ที่บ้าน

    ถ้าจะให้เทียบก็คงประมาณว่า...อืม...พอจบพิธีปัจฉิม เราก็จะได้รับรายงานผลการเรียนของเทอมนี้มาและในนั้นก็จะมีความเห็นที่ไม่ ค่อยดีนักอยู่...
    นั่นล่ะที่ทำให้ผมไม่อยากตรงกลับบ้านแล้วพูดเรื่องนี้...
    แต่ผมก็ไม่มีที่จะไปซะด้วย ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือการเดินทอดน่องไปเรื่อยๆรอบๆโรงเรียน นี่แหละ
    เพราะผมเองก็ไม่รู้จะทำอะไร
    การกระทำของผมถ้าจะพูดไปไม่น่าจะเรียกว่า"ฆ่าเวลา"แต่ควรจะเรียกว่า"ฆ่าเวลา ว่าง"มากกว่า
    สารภาพด้วยความสัตย์จริง ผมมาโรงเรียนทุกวันนี้ด้วยจักรยานและดูเหมือนว่าในวันนี้จักรยานของผมก็ ยินดีที่จะจอดอยู่ในโรงเก็บโดยไม่ยอมกลับบ้านเช่นกัน
    จะเรียกการกระทำของผมตอนนี้ว่าการเดินเล่นของการเดินเล่นก็น่าจะได้มั๊งนะ
    แน่นอน ผมไม่ทำอะไรบ้าๆอย่างการออกกำลังหรอก
    บางทีการฆ่าเวลามันคงดูเป็นเรื่องแย่มากๆในโรงเรียนล่ะนะ แต่ถ้าว่ากันตามความรู้สึกผมในตอนนี้ไม่อยู่ในอารมณ์จะกลับบ้านก็จริง...แต่ ก็ไม่อยากกลับไปนั่งขาแข็งฟังอาจารย์ใหญ่กล่าวปัจฉิมอีกน่ะแหละ
    แต่ก็มีคนมากมายที่ทำตรงข้ามกับผม...พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมนี้
    ผมไม่ใช่คนที่รับผิดชอบต่องานมากนักหรอก
    อืม...ผมไม่คิดหรอกว่ากิจกรรมชมรมในโรงเรียนมันจะน่าสนใจมากนัก...อ้อ...ยก เว้นปีก่อนที่มีนักเรียนตัวใหญ่ยังกะยักษ์เข้ามาในโรงเรียนก่อนจะจับพลัดจับ ผลูไปอยู่ในชมรมบาสเก็ตบอลหญิง...คิดดูเองเถอะว่ามันจะเป็นยังใง...นั่นล่ะ เทอมนั้นแหละที่"การเข้าร่วมกิจกรรม"มันจะมีความหมาย

    ตั้งแต่ผมเดินเรื่อยเปื่อยรอบโรงเรียนมา...มันก็กินเวลามานานโขแล้วล่ะนะ ดูท่าว่ามันคงถึงเวลาที่ผมควรจะไปที่โรงเก็บจักรยานแล้วใสหัวเน่าๆของตัว เองกลับบ้านซักที และที่สำคัญ...ผมหิวแล้ว
    แต่ยิ่งกว่านั้น...ผมเจอคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ตรงนี้นี่สิ...
    เมื่อย่างเข้าสู่วันหยุดฤดูใบไม้ผลิ สำหรับนักเรียนที่จะขึ้นปี 3 อย่างผมมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน...แต่ในตอนนี้ ผมจะจดจำใว้เลยว่า นักเรียนที่โด่งดังที่สุดในชั้นปีเดียวกับผม...... "ฮาเนคาว่า สึบาสะ" กำลังเดินอยู่ข้างหน้าผม!!!!

    ตอนแรกผมก็แปลกใจที่เธอเอามือทั้งคู่นั้นไปใว้แถวๆท้ายทอยแต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าเธอกำลังเปียผมอยู่ เปียที่ถูกถักนั้นยาวขึ้นและค่อยๆกระหมวดผมที่ยาวของเธอเข้าด้วยกัน และแม้ว่าเธอจะขมวดเปียมาโรงเรียนทุกวันแต่ผมของเธอกลับตรงสวยไม่เปลี่ยน
    เธอยังอยู่ในชุดนักเรียน...ไม่แตกต่างจากยามปกติแม้แต่น้อย
    กระโปรงสูง 10 เซนต์เหนือเข่า
    กระโปรงสีดำ
    เสื้อของเธอนั้นถูกสวมทับด้วยเสื้อนอกที่ทางโรงเรียนอนุญาติ
    และเธอยังคงใส่ถุงเท้าสีขาวและรองเท้าของทางโรงเรียนตามกฏระเบียบเป๊ะ
    ดูราวกับว่าเธอเป็นนักเรียนดีเด่นเลยทีเดียว....
    ซึ่งอันที่จริง เธอเป็นอยู่แล้วล่ะนะ
    เธอเป็นราวกับต้นแบบของนักเรียนดีเด่น และเป็นเหมือนหัวหน้าห้องอยู่ลึกๆ
    ผมอยู่คนละห้องกับเธอตอนปี 1 กับ ปี 2 ...
    จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้จักผม แต่กลับกันผมกลับรู้เรื่องราวของเธอขนาดที่ว่าเธอดูเหมือนหัวหน้าห้องขนาด ใหน
    นับตั้งแต่ที่ผมได้ฟังข่าวลือของเธอมา...ต่อให้ฟังแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ เธอก็แทบจะเป็นหัวหน้าห้องที่แท้จริงไปแล้ว
    ผมมั่นใจเลยว่าเธอต้องได้เป็นหัวหน้าห้องตอนปี 3 แน่ๆ
    แถมเกรดของเธอก็จัดว่าไม่ธรรมดา
    ผมคงอธิบายให้ละเอียดไม่ได้เท่าใหร่นักแต่เธอนั้นฉลาดมาก...มากจนเกินปกติ เธอได้คะแนนเต็มทุกการสอบอย่างง่ายๆ ถ้าจะเปรียบเทียบล่ะก็ หากคนฉลาดทั่วไปเข้ารับการสอบ หลังสอบจบลงพวกเขาก็จะหวังให้ชื่อของเขาอยู่ในลำดับที่ 1 อย่างลุ้นระทึก...

    แต่ในกรณีของเธอ...ฮาเนคาว่า สึบาสะ เธออยู่ที่ 1 มาตลอด 2 ปีอย่างไร้ข้อกังขา

    นั่นแหละคือเกรดแบบคร่าวๆของโรงเรียนเอกชนนาโอเอตสึ ส่วนตัวผมน่ะเหรอ... ชื่อของผมน่ะร่วงไปอยู่ในจุดที่คงไม่มีสายตาคู่ใหนมาเหลียวมองด้วยซ้ำ บางทีมันอาจจะหลุดออกไปจากขอบกระดาษประกาศผลเลยก็ได้...
    ไอ้ความต่างนี้มันอะไรกันฟะ
    เฮ้อ...
    เอาล่ะในตอนนี้ผมควรจะเลิกสนใจเธอซะที

    พวกเราสองคนอยู่กันคนละชั้นเรียน...ถึงผมจะรู้เรื่องของเธอมากขนาดใหนแต่ผม ก็ไม่ได้พบกับเธอบ่อยนักหรอก ในตอนนี้ผมก็แค่แปลกใจเล็กน้อยที่เจอคนอย่างเธอยังเดินลอยชายอยู่แบบนี้ทั้ง ที่พิธีจบไปแล้วเท่านั้นแหละ

    เอาน่า...มันก็แค่เรื่องบังเอิญที่นานๆจะเกิดขึ้นซักทีล่ะนะ
    ดูเหมือนว่าเธอกำลังเดินคิดอะไรซักอย่างออกมาจากประตูโรงเรียนล่ะนะ ...อาจจะเป็นเรื่องลึกลับของโรงเรียนก็ได้...แต่ก็นะ...มันไม่ลึกลับเท่าตัว เธอหรอก
    แน่นอนว่าฮาเนคาว่าไม่ทันสังเกตเห็นผมหรอก
    เธอกำลังตั้งสมาธิไปที่ผมเปียทั้งคู่ของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะถ้าเกิดว่าฮาเนคาว่าสังเกตุเห็นผมหรือว่าหน้าเห่ยๆของ ผมเข้าไปอยู่ในระยะทำการของฮาเนคาว่าแล้วล่ะก็ เราสองคนก็คงจะทำแค่ก้มหัวทักทายกันพอเป็นพิธีล่ะนะ....
    ฮะฮะฮะ...
    ผมค่อนข้างจะอึ้งกับความสง่าของฮาเนคาว่าและเกลียดความไร้แก่นสารของตัวเอง ชะมัด(แน่นอน...ผมรู้ตัวดี ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก)
    เด็กผู้หญิงที่จริงจังอย่างเธอ กับคนที่ไม่มีสาระอย่างผม
    คงจะดีกว่าถ้าเราสองคนจะไม่รู้จักกัน
    ผมจะก้าวเดินสวนกับเธอไปแบบนี้แหละ
    แต่ถึงจะพูดแบบนั้น...ผมก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจขนาดจะวิ่งหนีหรอกนะ...
    ผมเดินต่อไปด้วยจังหวะเดิมๆ แกล้งทำประมาณว่ามัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันได้สนใจเธอ และถ้าเราทั้งคู่เดินไปอีกซักคนละ 5 ก้าว พวกเราก็จะสวนกันไปโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น....

    ...แต่ทว่า
    ผมคงไม่มีวันที่จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ไปไม่ได้ตราบวันตาย แน่ๆ...
    โดยไม่มีคำเตือนใดๆ ลมพัดมาอย่างแรงจากข้างหน้าผม
    "อ่า..."
    ว่าใงดีล่ะ
    เป็นครั้งแรกที่ประสาทของผมทำงานเร็วกว่าสมอง
    กระโปรงส่วนหน้าของฮาเนคาว่าที่ยาว 10 เซนต์เหนือเข่าพลิกเปิดขึ้นมาอย่างแช่มช้า
    โดยปกติเด็กสาวทั่วไปมักจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันทีโดยการกดกระโปรงลงไป แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้จะไม่พร้อมสำหรับเธอซักเท่าไหร่
    ...มือทั้งคู่ของเธอยังคงอยู่ที่ท้ายทอยและกำลังถักเปียอยู่ข้างหลัง
    ถ้ามองจากมุมมองของผมแล้ว เธอในตอนนี้ราวกับกำลังโพสท่าของไอดอลบางคนอยู่โดยที่มือของเธอประสานกันใว้ ที่ท้ายทอย
    ...นั่นล่ะคือสถานการณ์ตอนนี้ของเธอกับกระโปรง
    และในตอนนี้ ทุกสิ่งใต้กระโปรงของเธอนั้นสามารถเห็นได้แบบไร้การปิดบัง
    ราวกับฟ้าผ่ากลางกบาลของผม
    มันเป็นกางเกงในที่งดงาม...ผมไม่สามารถที่จะเบือนหน้าหนีไปจากมนต์สะกดนี้ ได้เลย
    มันสะอาดและเป็นสีขาวบริสุทธิ์
    นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดของมัน ที่ดูเชื้อเชิญที่สุดก็คือลายลูกไม้ที่ถูกแสดงออกมา และร่องลึกของแนวตะเข็บ ไม่สิ ยังไม่ใช่
    ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกขั้นหนึ่งแล้วล่ะก็ตอนนี้กางเกงในนั้นกำลังห่อหุ้มสิ่ง หนึ่งอยู่
    ที่สำคัญ ผมจำได้ติดตาว่าสีขาวที่ส่องสว่างนั้นมันไม่ได้ราบเรียบแต่อย่างใด
    บนพื้นหลังของสีขาวปรากฏลายลูกไม้จางๆ และมีสัดส่วนโค้งรับกับขอบที่อยู่ด้านข้างอย่างสมดุล และกึ่งกลางด้านบนของแผ่นผ้าสีขาวนั้นคือริบบิ้นอันเล็กๆ
    ราวกับว่าริบบิ้นชิ้นนั้นจะมีเอกสิทธิพิเศษที่สามารถดึงดูดสายตาของผมไปได้ ก็มิปาน
    นอกจากริบบิ้นนั้นแล้ว กางเกงชั้นในของเธอยังรัดเข้ากับโครงร่างด้านล่างของเธอได้อย่างเหมาะเจาะ ชายเสื้อด้านในนั้นถูกพับขึ้นให้อยู่เหนือกางเกงในของเธออย่างชวนให้คิดลามก นิดๆ
    มันเป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวผมก็ไม่คิดว่าจะบรรยายได้ขนาดนี้
    และอีกอย่าง ผมคิดว่าเนื้อผ้าสีชมพูที่บุอยู่ด้านในลายลูกไม้ของเธอนั้นดูดีรับกับชาย เสื้อของเธอมาก นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมคิด
    แต่ที่ดีที่สุดก็คือตอนที่กระโปรงถูกลมพัดปลิวไปนั้นมันสวยงามมาก
    นอกจากความขาวน่าหลงใหลของเสื้อและกางเกงในของเธอแล้วต้นขาและชายเสื้อสี น้ำเงินของเธอก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่น่าหลงใหล หากจะเปรียบกันในมุมมองของผม ผมว่าการที่มันมาอยู่บนร่างของเธอนั้นชวนให้น่าหลงใหลจริงๆ ทั้งรอยยับ และรอยพับที่ปรากฏบนผิวของเธอนั้นดูราวกับเธอเป็นกำมะหยี่ชิ้นงามก็ไม่ผิด นัก
    ถ้าหากว่าผมไม่เข้าข้างตัวเองมากไป...ในตอนนี้ดูราวกับว่าเธอกำลังโชว์ กางเกงชั้นในของเธอให้ผมเห็นยังใงยังงั้น
    ตราบตั้งแต่ต้นจนจบ...นับตั้งแต่ลมพัดมาจนจากไป...
    เธอ....ฮาเนคาว่า สึบาสะ ไม่ได้ขยับตัวแม้สักนิ้วเดียว...
    มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย...
    ดูราวกับว่าเวลาของเธอนั้นหยุดนิ่งไปนับตั้งแต่ที่เธออยู่ในท่วงท่านั้นและ กระโปรงเธอถูกลมพัดเปิด...
    ผมคิดว่าทั้งหมดมันกินเวลาแค่เพียงไม่กี่วินาที
    แต่ในความรู้สึกของผม มันราวกับว่าใช้เวลาเป็นชั่วโมงนับตั้งแต่กระโปรงของเธอเริ่มพลิก มันเหมือนกับอาการประสาทหลอน เหมือนความรู้สึกของคนใก้ลตายที่จะสามารถระลึกเหตุการณ์ทั้งหมดได้ในพริบ ตา....
    ผมไม่ได้พูดเกินเลยไปหรอกนะ...
    ความรู้สึกของดวงตาที่ไม่ได้กระพริบจนแห้งผากเป็นเครื่องยืนยันได้
    ในที่สุดท่อนล่างของฮาเนคาว่าก็หลุดออกจากความสนใจของผมจนได้...
    เอ่อ...ผมเข้าใจนะ.......ผมเข้าใจดีเลยล่ะ มันเป็นมารยาทสากลที่ผมควรจะเลื่อนสายตาออกจากท่อนล่างของเธอซักที
    แล้วก็รู้ด้วยว่าควรจะทำอะไรต่อไป
    มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะทำแบบนั้น
    ถ้าเกิดว่ามีสาวน้อยซักคนมาเดินขึ้นบันไดอยู่ข้างหน้าผม ผมก็ควรจะมองไปที่เท้าของตัวเองเพื่อไม่ให้สายตามันซุกซน
    แต่ขอโทษที...ผมมันไม่ใช่ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆผมไม่มั่นใจหรอกว่าผมจะก้มหน้าดูแต่เท้าของตัว เองได้

    ...นั่นล่ะคือเหตุผลที่ทำไมภาพกางเกงในของฮาเนคาว่าถึงได้ถูกอินสตอลลงในเร ติน่าของตาผม
    ถ้าหากว่าผมเกิดตายขึ้นมาตอนนี้หรือมีอะไรซักอย่างพุ่งมาทะลุเบ้าตาของผม ผมก็คงจะไม่ลืมสีขาวบริสุทธิ์ของกางเกงในฮาเนคาว่าแน่ๆ
    นั่นคือการเปรียบเทียบอานุภาพคร่าวๆของกางเกงในของเธอล่ะนะ
    ใช่แล้ว....กางเกงในของนักเรียนดีเด่นตลอดกาล
    "...................................................."
    อา....
    แล้วนี่ผมบรรยายสรรพคุณกางเกงในของนักเรียนดีเด่นมานานขนาดใหนแล้วล่ะเนี่ย
    ตามที่ตั้งใจใว้แต่ต้น ผมเดินเข้าไปหาฮาเนคาว่าหลังจากที่กระโปรงของเธอพลิกลงมาเป็นปกติแล้ว
    มันใช้เวลาไม่นานเลย
    และ...ตอนนี้เธอ... ฮาเนคาว่า
    เธอผู้นี้กำลังมองมาที่ผมโดยที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรซักอย่างอยู่...
    หรือเธอกำลังดูถูกผมอยู่กันนะ
    "....เอ่อ..."
    เวรล่ะ
    สภาพแบบนี้ไม่ว่าจะดูยังใงก็ไม่น่าจะอธิบายกับเธอได้ดีแน่ๆ
    ทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ในเวลานี้ด้วยฟะ
    "ผม... ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นล่ะนะ..."
    ...โอ้....เป็นการตอแหลอย่างเห็นได้ชัด...ชนิดที่ขนาดควายยังรู้
    แต่ทว่าดูเหมือนฮาเนคาว่าจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของผม เธอยังคงจ้องมองมาที่ผมอยู่
    ตอนนี้เธอเปียผมเสร็จแล้วจากนั้นเธอจึงค่อยๆลดมือลงมาตบกระโปรงของเธอเบาๆ
    ถึงมันจะช้าไปแล้วก็เถอะ
    ตอนนั้นเองที่เธอแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะมองมาที่ผมอีกครั้ง...แล้วริม ฝีปากนั้นก็เผยอก่อนจะเปล่งเสียง
    "อ่า...โน...แหะๆ"
    รึอะไรทำนองนั้น....
    มันเป็นการแก้เขินของเธอเรอะ?
    ...รึว่าผมควรจะหัวเราะด้วยล่ะเนี่ย
    แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย เป็นเหมือนต้นแบบของนักเรียนดีเด่นจากก้นบึ้ง...ว่าใงดีล่ะ
    "เอ่อ...คือผมควรพูดยังใงดีล่ะ...คือว่า"
    ตึก ตึก ตึก ...ฉึบ....
    ทันที่ที่จังหวะการเดินนั้นจบลง ฮาเนคาว่าก็เข้ามาใกล้ผมด้วยสองขาของเธอ...
    จากระยะห่าง 10 ก้าวของเรา 2 เหลือเพียง 3 ก้าวของผมและเธอ....
    เป็นระยะห่างที่ใกล้มาก...
    "ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง กระโปรงตัวนี้ก็มีความปลอดภัยในระดับที่ต่ำเมื่อต้องการที่จะโพรเทคท์ข้อมูล ที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ ฉันคิดว่าบางครั้งไฟร์วอลล์ก็จำเป็นมากสำหรับกรณีนี้ เธอคิดว่ายังใงคะ?"
    "อ่า...ผม...ไม่รู้สิ"
    ...เดี๋ยวสิ...ถ้ามองในมุมมองของเธอที่พูดมาตอนนี้....ผมคือไวรัสงั้นเรอะ
    ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ.....แต่แถวนี้ไม่มีนักเรียนคนอื่นแม้แต่คนเดียว
    มีแค่ผมกับฮาเนคาว่า
    นั่นหมายความว่าผมเป็นคนเดียวที่เห็นกางเกงในของเธอ
    มันทำให้ผมรู้สึกปลื้มอยู่นิดๆเหมือนกันแฮะ.....ไม่สิ...ไม่ใช่ละ
    "ตอนนี้ฉันกำลังทดลองทำอะไรบางอย่างตามทฤษฏีของเมอร์ฟี่ เกี่ยวกับการที่ว่า "หากมือทั้ง 2 ของคุณไม่ว่างหรือกำลังอยู่ด้านหลังโอกาสที่กระโปรงจะถูกเปิดโชว์จะมากขึ้น จากด้านหน้าของคุณ...ตัวอย่างแบบย่อคือ หากคุณมัวแต่พะวงด้านหลัง ด้านหน้าของคุณก็จะกลายเป็นจุดบอด..."
    ฮาเนคาว่าพูดยิ้มๆ...ให้ตายเถอะ...
    "อา....ก็คงเป็นแบบนั้นล่ะนะ"
    ผมน่ะ...ไม่รู้หรอกนะ
    ...เอ่อ...หรือนี่จะเป็นวิธีแก้เขินของเธอ...
    ดูเหมือนฮาเนคาว่าจะไม่ได้คิดอะไรใว้เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้...แต่ถึงยัง งั้นก็เถอะ ผมกลับไม่รู้สึกว่าฮาเนคาว่าอยากจะต่อว่าผมเท่าใหร่นัก...บางทีถ้าเธอพูด อะไรมาซักคำที่ไม่ใช่ประโยคข้างต้นนี่ล่ะก็ผมอาจจะรู้สึกดีกว่าก็ได้...
    แต่จะว่าไป...ทำไมผมถึงรู้สึกผิดมากมายกับอุบัติเหตุที่ดูยังใงก็ไม่ใช่ความ ผิดผมล่ะเนี่ย...

    เอ่อ...ยิ่งไปกว่านั้นรอยยิ้มของเธอในตอนนี้...
    ผมว่าผมไม่ควรปล่อยการสนทนาในตอนนี้ให้มากขึ้นจะดีกว่า
    "เอ่อ...ว่าใงดีล่ะ...เอางี้...ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น....ไม่สิ ผมโกหกน่ะ...ก็เห็นนิดหน่อยนะ แต่ไม่ต้องห่วงผมไม่เห็นด้านในมากนักหรอก สบายใจได้"...
    ...แน่นอนว่าที่พูดไปตอแหลทั้งเพ...
    แต่ผมจะรู้สึกว่ามันเป็นอาชญากรรมเลยทีเดียวถ้าผมมอง...
    "เอ...อา...อืม"
    ฮาเนคาว่าใช้นิ้งเรียวบางของเธอจรดไปที่ศีรษะ...
    "ฉันคิดว่าการพูดแบบนี้คงเป็นเรื่องปกติที่จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกดีขึ้นสินะ คะ..."
    "อ่า..เอ่อ...ผมรู้ว่าบางประโยคที่ผมพูดไปเธออาจจะไม่เชื่อแต่ผมไม่ได้ ตั้งใจจะหลอกเธอหรอกนะ"
    "ฉันรู้ค่ะ...รู้ว่าคุณไม่ได้ต้องการแบบนั้น"
    "อา...ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี...รวมถึงเรื่องที่โกหกเธอ ด้วย..."
    นี่คือคำพูดของผู้ชายที่เอาแต่โกหกมาจนถึงเมื่อกี๊นี้...
    "แต่ไม่รู้ทำไม...จู่ๆฉันก็มีความรู้สึกว่ารายละเอียดช่วงที่กระโปรงของฉัน เปิดมันจะกินไปเกือบ 4 หน้ากระดาษเชียวนะ"...
    ไม่ใช่ละฮาเนคาว่า...จริงๆต้องบอกว่า 2 หน้ากระดาษกับอีกครึ่งนึงต่างหาก...
    "ไม่หรอกมั๊ง...เอ่อ...นั่นมัน นั่นมัน..ว่าใงดี ผมว่ามันคงเป็นแค่การพรรณาโวหารมากกว่านะ"...
    ...ผมไม่ได้โกหกหรอกนะฮาเนคาว่า...แต่นี่มันเรื่องละเอียดอ่อน...
    "เอ่อ...งั้น...ผมไปก่อนนะ..."
    โดยการยกมือขึ้นเหนือหัวพอประมาณเป็นการบอกฮาเนคาว่าประมาณว่าไปก่อนนะแล้ว ค่อยเจอกันใหม่แบบแนวพระเอกอนิเมทั่วไป...ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านี่คงจะจบ บทสนทนานี้ได้ล่ะนะ...
    จากนั้นก็หันหลังเตรียมโกยอ้าว...
    ...อ่าเระ...เดี๋ยวสิ...
    ...ถ้าผมชิ่งไปตอนนี้ฮาเนคาว่าอาจจะกลับไปบ้านของเธอจากนั้นก็ส่งเมลไปบอก เพื่อนๆของเธอว่าผมเห็น กกน. ของเธอ...ไม่หรอกน่า...ผมไม่คิดว่านักเรียนดีเด่นจะทำเรื่องแบบนี้ หรอก..................
    แต่คิดอีกที...เธออาจจะคิดว่านี่เป็นการหยามศักดิ์ศรีนักเรียนดีเด่นของเธอ ก็ได้...แต่คิดอีกที...เธอคงไม่ทำอย่างที่ว่ามาหรอก....มั๊งนะ...
    และต่อให้อยากทำ...ก็ใช่ว่าฮาเนคาว่าจะรู้ชื่อของผม....
    ผมค่อนข้างมั่นใจล่ะนะว่าแม้แต่คนที่อยู่ห้องเดียวกันก็รู้จักชื่อของผมน้อย มาก...ดังนั้นถึงเธอจะส่งเมลไปก็คงไม่มีผลอะไรมากหรอก...

    เมื่อความคิดเข้าที่...ผมก็รู้สึกตัวว่าผมเดินเร็วไป...เพราะงั้นผมจึงค่อยๆ ก้าวให้ช้าลง... และจากนั้น...
    "กรุณารอสักครู่สิคะ..."
    เสียงนั้นก้องกังวานมาจากทางด้านหลังผม...
    มันเป็นเสียงของฮาเนคาว่า...
    Shift หาย...เธอตามผมมาเรอะ!!!!!
    "ฉันพยายามจะบอกให้เธอหยุดรอหน่อย แต่เธอกลับเดินเร็วมากเลยนะ"
    ".....เธอไม่ได้จะกลับบ้านเรอะ?"
    "หืม?...ไม่นี่คะ ฉันยังไม่คิดที่จะกลับตอนนี้ ว่าแต่เธอนั่นแหละ...ทำไมถึงเดินไปทางโรงเรียนล่ะ?...'อารารากิคุง'..."
    "...................................................................................."
    เธอรู้ชื่อผม....
    เฮ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    ผมมั่นใจอย่างแน่นอนว่าไม่มีป้ายชื่อหรือเคยบอกชื่อเธอไปแน่ๆ....เต่เธอรู้ งั้นเรอะ?
    "ก็อย่างที่เห็น...ผมกำลังจะไปเอาจักรยานน่ะ"
    "อืม....เธอมาโรงเรียนด้วยจักรยานสินะ..."
    "อา...ก็นะ ทางจากโรงเรียนถึงบ้านผมมันก็ใกลใช่ย่อยนี่นา...เธอก็-------------"
    เดี๋ยวสิ...ไอ้เรื่องนี้มันไม่ใช่ประเด็นละ...
    ".......ทำไมเธอถึงรู้ชื่อผมล่ะ?"
    "เอ๋?...ไม่แปลกตรงใหนนี่...ก็พวกเราอยู่โรงเรียนเดียวกันนี่คะ ใช่มั๊ย?"
    ฮาเนคาว่าพูดออกมาหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ...
    โรงเรียนเดียวกันงั้นเรอะ....เธอพูดอย่างกับว่าทั้งโรงเรียนมีห้องเรียนห้อง เดียวเลยนะนั่น...
    "เอ่อ....เธอคงจะไม่รู้จักฉันหรอกนะอารารากิคุง แต่ว่าชื่ออารารากิคุงน่ะเป็นที่รู้จักมากๆเลยล่ะ"
    "หา!!!"
    เธอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ฮาเนคาว่า สึบาสะ...
    ไม่ใช่ชื่อของเธอหรอกเรอะที่เป็นที่รู้จักน่ะ...
    แล้วอีกอย่าง...คนอย่างผมมันก็ไม่ต่างจากก้อนกรวดริมทางในโรงเรียนเอกชนนาโอ เอ็ตสึด้วยซ้ำ....ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าจะมีเพื่อนร่วมชั้นซักกี่คนที่รู้ ชื่อเต็มๆของผมและวิธีเขียนของมัน....
    "หืม?...มีอะไรแปลกรึคะ อารารากิคุง"
    "................................................................"
    "...ถ้าเราเขียนคำว่า อา ( 阿 ) มาจาก ( 可 ) ที่มาจาก คา( 可能 ) ที่แปลว่าความเป็นไปได้ รา ( 良 ) สองตัวจาก ( 良い子 ) ที่แปลว่าเด็กดี แล้วก็กิ ( 木 ) จาก ( 樹木 )ที่แปลว่าพณาไพร ก็จะได้คำว่าอารารากิ ( 阿良々木 ) แล้วล่ะ ส่วนชื่อต้นของเธอก็คือโคโยมิ ( 暦 ) จาก ( 年月の暦 ) ที่แปลว่าปฏิทินประจำปีใช้ใหมล่ะ ดังนั้น ชื่อทั้งหมดก็จะเป็น อารารากิ โคโยมิ ( 阿良々木 暦 ) ใช่มั๊ยล่ะคะอารารากิ โคโยมิคุง"
    "................................................................"
    เธอรู้ชื่อเต็มของผมหนำซ้ำยังรู้ว่ามาจากคันจิตัวใหนอีกตะหาก....
    ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่มั๊ยเนี่ย....
    ตอนนี้เธอก็รู้ทั้งหน้าทั้งชื่อของผมแล้ว...ถ้าเกิดว่าเธอมีเดธโน๊ตอยู่ใน มือล่ะก็ผมคงกลายเป็นศพนอนกองที่ใหนซักที่อย่างไม่ต้องสงสัย
    ...ยังใงซะ...ผมก็ยังไม่ตายหรอก ถ้าเธอยังอยุ่ที่นี่ล่ะก็นะ...
    "เธอคือ....ฮาเนคาว่า...."
    ผมตอบกลับไปอย่างคนไม่ยอมแพ้...แกมเป็นการล้างแค้นเธอกลายๆในการที่ไม่ยอม ให้เธอได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียว
    "ฮาเนคาว่า สึบาสะ"
    "ว้าว!!!"
    จู่ๆฮาเนคาว่าก็มองมาที่ผมด้วยแววตาเป็นประกาย
    "สุดยอด เธอรู้ชื่อของฉันด้วยเหรอเนี่ย!!!"
    "หนึ่งเดียวที่สามารถพิชิตคะแนนเต็มในการสอบปลายภาคทั้งพลศึกษาและทัศนศิลป์ ยังจะมีใครอื่นนอกจากเธออีกล่ะ...ฮาเนคาว่า สึบาสะ..."
    "เอ๋...เดี๋ยวสิ...ทำไมเธอถึงรู้ขนาดนั้นได้ล่ะ..."
    ฮาเนคาว่าแสดงสีหน้าแปลกใจหนักยิ่งขึ้น
    ....แล้วผมก็ไม่รู้สึกว่าเธอแกล้งทำแต่อย่างใดด้วย....
    "เอ่อ....หรือว่าเธอ...เป็นสโต๊คเกอร์ที่ตามสะกดรอยฉันอยู่กันล่ะอารารากิ คุง....ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็...มันทำให้ฉันกลัวมากๆเลยนะ"
    "....มันใช่ซะที่ใหนเล่า...."
    ...อย่างในกรณีของเธอน่ะ มันเป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าเธอ"ดัง"ขนาดใหนต่างหาก
    บางทีเธออาจจะคิดว่าเธอเองเป็นพวกธรรมดาก็ได้...
    เพราะในมุมมองของผม ผมก็มองว่าเธอเป็นเพียงสาวน้อยทั่วไป...ที่อาจจะจริงจังกับชีวิตไปหน่อยเท่า นั้นเอง....
    เหนือสิ่งอื่นใด....ผมคงจะรู้สึกแย่มากๆถ้าเกิดว่าต้องมาหักหาญน้ำใจเธอแบบ นี้ เพราะงั้นผมยินดีที่จะเอาตัวเข้าแลกโดยไม่เสียใจ....
    ...แน่นอน....ไอ้ที่พูดๆไปข้างบนน่ะไม่มีความหมายลึกซึ้งอย่างที่ว่าหรอก...
    ในที่สุดผมก็เลือกคำตอบที่ธรรมดาๆออกไป...
    "ผมใด้ยินมาจากเพื่อนที่เป็นมนุษย์ต่างดาวน่ะ..."
    "เอ๋....เธอมีเพื่อนด้วยเหรออารารากิคุง?"
    "ปกติเขาต้องถามก่อนไม่ใช่เรอะว่าทำไมเป็นเอเลี่ยนน่ะ!!!"
    ...การพบกันครั้งแรกก็กลายเป็นการตบมุกละเรอะ....
    เอาเหอะ อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักล่ะนะ...."อาเระ เอ..."
    จากการสังเกตของผม...ดูเหมือนฮาเนคาว่าเองก็ท่าทางจะอายเหมือนกัน
    "นี่...อารารากิคุง ดูหมือนเธอจะเป็นคนประเภทลอยชายนะ"
    "ผู้ชายส่วนใหญ่น่ะ มักจะเป็นแบบนี้เสมอๆเหรอ?"
    ผมคิดว่าผมรู้จักตัวผมดีพอ...
    มันไม่เหมือนกับที่เธอคิดหรอก...ไม่เหมือนเลย
    "อา...อย่างที่เธอว่ามาล่ะ...ผมไม่มีเพื่อนหรอก...เธอน่ะเป็นที่รู้จักจากคน มากมายคงไม่มีวันรู้ความรู้สึกของคนที่ไม่มีเพื่อนสินะ"
    "เดี๋ยวสิคะ"
    ดูเหมือนคำพูดนี้จะทำให้ฮาเนคาว่าไม่พอใจเล็กน้อย...
    ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่หัวเราะแบบเจื่อนๆหลังจากที่ต้องโชว์ใต้กระโปรงให้คน อื่นดูอย่างเธอจะมีอาการแบบนี้ได้....
    "ฉันไม่ขอบมุกตลกแบบนี้เลยนะอารารากิคุง กรุณาอย่าใช้มันกับฉันอีกนะคะ"
    ".....โอ๊ส"
    ผมก้มหัวเป็นเชิงขอโทษเล้กน้อย...หวังว่าการทำแบบนี้คงให้ผลลัพท์ที่ดีขึ้น ล่ะนะ...
    เฮ้อ...ให้มันได้งี้สิ...
    ในตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ตรงไฟแดงตรงข้ามกับประตูโรงเรียน....และฮาเนคาว่าก็ อยู่กับผมที่นี่...
    ................................................
    แล้วเธอตามผมมาทำไมล่ะเนี่ย?
    หรือเธอจะลืมอะไรบางอย่างใว้ที่โรงเรียน?
    "เน่ๆ อารารากิคุง"
    โดยไม่คิดไม่ฝัน....
    จู่ๆฮาเนคาว่าก็พูดเรื่องที่แหกคอกที่สุดใส่ผม...
    "เธอเชื่อเรื่องแวมไพร์รึเปล่า....อารารากิคุง"
    ".............................................................."
    ...มุกเรอะ?...
    ตอนนี้ในหัวผมคิดแต่ว่า...เธอต้องการพูดถึงอะไรกันแน่....
    แล้วผมก็ได้คำตอบในเวลาไม่นาน...
    ใช่แล้ว...เธอคงรู้สึกอายมากมายที่ผมเป็นคนเพียงคนเดียวที่ได้เห็นกางเกงใน ของเธอแบบนี้...
    ...ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน...
    ผมไม่ใช่คนที่มีชื่อในหมู่นักเรียนหรอก...แต่พอดีแค่บังเอิญว่าฮาเนคาว่า รู้จักผม แถมยังรู้ด้วยว่าผมไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์เท่าใหร่...(นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ผมไม่มีเพื่อน)
    เธออาจจะรู้ข่าวลือที่ไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับผม....
    ในกรณีนี้การที่มีอุบัติเหตุให้เธอถูกผมเห็นกางเกงในจึงเป็นเรื่องที่นัก เรียนดีเด่นอย่างเธอรับไม่ได้อย่างแรง....
    ...ไม่สิ...เรียกว่าความผิดพลาดจะเหมาะกว่าอุบัติเหตุสินะ...
    นี่คือต้นเหตุที่ทำให้เธอตามติดผมมาเรื่อยๆ
    ถ้าให้เดา...แผนของเธอคงเป็นการอินสตอลความทรงจำในการพูดคุยเรื่องอื่นๆใน หลายๆหัวข้อลงในกบาลผมเพื่อที่จะลบเรื่องกางเกงในของเธอออกไปสินะ...
    หึๆๆๆ
    คิดง่ายเกินไปแล้ว...คุณนักเรียนดีเด่น....
    ความทรงจำของผมเกี่ยวกับกางเกงในของเธอจะไม่มีวันถูกลบต่อให้เธอยกหัวข้อการ พูดคุยแปลกๆอย่างแวมไพร์มาก็เถอะ...
    "แล้ว...แวมไพร์ทำไมงั้นเหรอ"
    ได้เลย...ฮาเนคาว่า...ตราบเท่าที่เธอต้องการ เชิญเปลี่ยนหัวข้อให้สบายใจเถอะ...ผมไม่คิดจะหลบหรือหนีแน่ๆ ถ้าทำแบบนี้แล้วมันทำให้เธอมั่นใจว่าเธอจะทำให้ผมลืมเรื่องกางเกงในของเธอ ได้ล่ะก็นะ...
    "อืม...พอดีเมื่อเร็วๆนี้ฉันเคยได้ยินข่าวลือว่ามีแวมไพร์อยู่ในเมืองนี้ ....ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเธอจะไม่ออกไปใหนตอนกลางคืนล่ะนะ"
    "มันดูคลุมเครือนะ....อีกอย่าง...พวกข่าวลือก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือด้วยสิ"
    ผมตอบฮาเนคาว่าออกไปตรงๆตามความรู้สึก
    "แล้ว...แวมไพร์มาทำอะไรในเมืองนี้ล่ะ"
    "ไม่รู้สิคะ"
    "แล้วแวมไพร์จะดูดเลือดของปีศาจต่างประเทศได้มั๊ยเนี่ย"
    "ฉันคิดว่าเธอเข้าใจความหมายของส่งที่เรียกว่าปีศาจผิดไปนะคะ"
    "แต่ว่าถ้าคิดจริงๆล่ะก็...แวมไพร์มันคงไม่เป็นปัญหาหรอกนะถ้าเราไปใหนมาใหน ทีเป็นกลุ่มซัก 10 คนเนี่ย"
    "อา...นั่นสินะ..."
    ฮาเนคาว่าหัวเราะออกมาเบาๆ....
    เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วเบิกบานใจ....แต่กลับมีความรู้สึกขัดแย้ง
    .......ภาพลักษ์ของเธอนั้นต่างจากที่ผมจินตนาการใว้
    บางครั้งโปร่งใสแต่ทึบตันชวนอึดอัดในบางคราว....
    ตั้งแต่ที่เธอได้รับเลือกให้เป็นนักเรียนดีเด่นและตัวแทนชั้น...ผมก็วางภาพ ลักษ์เธอใว้ว่าค่อนข้างถือตัว....
    แต่จริงๆแล้ว...เธอกลับเป็นมิตรอย่างไม่น่าเชื่อ...
    "แต่มีคนเห็นหลายคนมากเลยนะ"
    "เอาเข้าจริงๆพวกพยานก็สามารถใช้เงินซื้อได้หรือเป็นพวกงมงายในเรื่องนี้ อยู่แล้วนี่"
    "อืม...ซื้อได้ด้วยเงินงั้นเหรอ"
    ฮาเนคาว่าพูดเหมือนผู้หญิงทั่วๆไปเป็นด้วยเรอะ
    "แต่ไม่แค่นักเรียนโรงเรียนเรานะ...คนเดินถนนทั่วไปเองก็พูดถึงเรื่องนี้ เหมือนกัน...ถึงจะมีแค่ผู้หญิงที่เป็นคนปล่อยข่าวลือก็เถอะ"
    "...ข่าวลือมีได้แค่ในหมู่ผู้หญิงเหรอ...เหมือนจะเคยได้ยินคำนี้ที่ใหนมา ก่อนชอบกลนะ"
    แวมไพร์งั้นรึ...?
    แต่ยังใงข่าวลือก็คือข่าวลือ...อยากติดตามแค่ใหนก็จบลงแค่ข่าวลือ
    "พวกคนที่ได้เจอส่วนใหญ่บอกว่าเธอเป็นผู้หญิงผมทองที่สวยมาก.....ดวงตาของ เธอราวกับจะสะกดทุกคนให้ไม่สามารถขยับไปใหนได้"
    "พวกรายละเอียดอย่างอื่นก็อย่างเช่น...เธอจะบอกได้ทันทีเลยว่าเธอเป็นแวมไพ ร์ ไม่ก็จะสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ปกติ...อา..แล้วก็อีกอย่างผม ของเธอน่ะ...ตรงปลายผมจะเชิดขึ้น"
    ...ไอ้ปลายผมมันเกี่ยวกะแวมไพร์ตรงใหนล่ะนั่น...
    อีกอย่างเขตที่พวกเราอยู่จัดเป็นเขตชนบทด้วยซ้ำ
    ว่าให้ถูกก็แถบปลายๆของชานเมือง
    แค่คนที่มีผมสีน้ำตาลยังหาดูยากเลย....
    "แต่ว่านะ..."
    ฮาเนคาว่าพูดต่อ...
    "อีกอย่างที่ได้ยินมาเมื่อนานมาแล้ว....ผมสีทองนั้นจะเปล่งประกายจนแม้แต่ เสาไฟที่ส่องทางยังไม่อาจสู้จนต้องกระพริบแสง"
    ด้วยน้ำเสียงเงียบงัน...ราวกับไม่ใช่ฮาเนคาว่า
    "งั้นเหรอ"
    ...แวมไพร์...
    ถ้าเกิดว่าคุณเคยได้ยินอีกตำนานหนึ่งของแวมไพร์ในด้านมืด...เบื้องลึกของ เบื้องหลัง พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่แตกต่าง...
    พวกเขาไม่มีเงา
    พวกเขาอ่อนแอเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์
    แต่พวกเขามีราตรีเป็นของตน
    แต่ในบางทีอาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้...เพราะไฟถนนก็ใช่ว่าจะใว้ใจได้ ทุกดวง ...บางทีอาจจะมีใครซักคนเดินอยู่แล้วไฟกระพริบขึ้นมาก็เป็นได้
    ก็เหมือนเรื่องตลกราคาถูกนั่นแหละ
    "อืม...ก็คงงั้นล่ะ"
    อย่างที่พูดไปข้างต้น...ผมไม่อยากทำให้ฮาเนคาว่าเสียความรู้สึก แล้วนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมเข้าใจเธอด้วย
    ...ก็ขอให้มันเป็นการพูดคุยและรับฟังที่ดีก็แล้วกัน...
    "ใช่แล้วล่ะ...แล้วอีกอย่างถึงมันจะดูเป็นข่าวลือที่งี่เง่าไปหน่อยแต่ก็ ต้องขอบคุณที่ทำให้ไม่ค่อยมีผู้หญิงออกมาข้างนอกตอนกลางคืน ทำให้ฉันซื้อของได้ง่ายขึ้นเยอะเลย"
    "อ่า...แค่นั้นเองเรอะ"
    ไม่สิ...ฮาเนคาว่าเธอพึ่งเตือนไม่ให้ผมเพ่นพ่านตอนกลางคืนไม่ใช่เรอะ...แต่ เธอดันทำซะเองเนี่ยนะ...
    "ก็แค่นั้นแหละค่ะ"
    ฮาเนคาว่ายิ้มน้อยๆก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเบาลงกว่าเดิม
    "แต่ถ้าแวมไพร์มีอยู่จริง...ฉันก็อยากจะเจอพวกเขา"
    "....ทำไมล่ะ?"
    เดี๋ยวสิ...
    หรือว่าผมจะคิดอะไรงี่เง่าไปคนเดียวกันล่ะเนี่ย
    ในตอนแรกผมคิดว่าเธอคงอยากจะใช้หัวข้อการพูดคุยชวนสติแตกมาลบโฟลเดอร์กางเกง ในของฮาเนคาว่าซามะในหัวของผมอยู่หรอก...
    แต่ดูจากการพูดคุยในตอนนี้....ฮาเนคาว่าจริงจังกับมันมาก....
    อีกอย่าง...ถ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีๆ...มันแปลกตั้งแต่ที่เธอบอกข่าว ลือลับๆระหว่างผู้หญิงให้ผมที่เป็นผู้ชายฟังแล้ว
    "...เธอจะตายถ้าเธอถูกแวมไพร์ดูดเลือดนะ...รู้รึเปล่า"
    "อา...ผมน่ะไม่อยากตายหรอกนะ ดังนั้นต่อให้เจอพวกแวมไพร์ได้ ผมก็ไม่ขอเจอหรอก...แต่มาคิดดูอีกทีมันก็คงดีล่ะนะถ้าเกิดว่า...อืม...อยุ่ ดีๆมีพลังเหนือมนุษย์เนี่ย"
    "เหนือมนุษย์...เหมือนเทพเจ้างั้นเหรอ?"
    "...ผมไม่ได้บอกสักคำว่าอยากเป็นเทพเจ้านะ..."
    ฮาเนคาว่าปล่อยให้ความเงียบเข้ามาโอบคลุมคำพูดของเราสองคน...และในที่สุด...
    "เอาเถอะ...อย่างน้อยตราบเท่าที่มันยังไม่เกิดขึ้นก็จะไม่มีใครรู้..."
    เธอพูดแบบนั้น...
    และในตอนนั้นเอง...ไฟจรารก็กลายเป็นสีเขียว...
    แต่ทั้งผมและฮาเนคาว่าก็ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย....
    ราวกับมีบางอย่างยึดเราทั้งคู่ใว้ที่ตรงนี้....
    ผมคงไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ฮาเนคาว่าพูดมาทั้งหมดเป็นแค่เรื่องงี่เง่า ที่จะมาปั่นหัวผมหรือว่าเป็นเจตนาที่แท้จริงของเธอกันแน่...
    ราวกับว่าพวกเรากำลังพยายามทำความเข้าใจกันอยู่...
    "อ๊ะ...ขอโทษทีนะคะ"
    เธอละล่ำละลักขอโทษผมที่ในตอนนี้กำลังคิดเรื่องที่เธอพูดมาอย่างเก้ๆกังๆ
    "เอ่อ...อารารากิคุง...ดูเหมือนเธอจะจริงจังกับการพูดคุยนะแล้วก็...ต้องขอ โทษด้วยที่ฉันพูดอะไรแปลกๆออกไป"
    "อ่า....ไม่หรอก...ไม่เป็นไร...ผมไม่ถือ"
    "มันแปลกมากเลยนะ...ทั้งๆที่เธอก็ออกจะคุยด้วยง่ายขนาดนี้ทำไมเธอถึงไม่มี เพื่อนล่ะ....หรือว่าเธอไม่อยากมีเพื่อน?"
    เธอถามผมมาด้วยคำถามที่ตรงราวกับจะปักอกผมให้ตายเลยทีเดียว...
    ผมไม่คิดว่าเธอจะมีเจตนาร้าย...
    แต่ทว่าตอนนั้นในหัวผมกลับว่างเปล่า...แม้มีเหตุผลแต่กลับไม่สามารถบรรยาย ได้...แม้ยังลังเล...แต่กลับตอบสนอง...
    นั่นคือเหตุผล...ที่ในช่วงเวลานั้นผมตอบเธอกลับไปด้วยถ้อยคำง่ายๆว่า...
    "เพราะว่าผมไม่เหมาะที่จะมีเพื่อน"
    ".........เอ๋?"
    ในตอนนี้สีหน้าของฮาเนคาว่านั้น...ว่างเปล่าจนบรรยายไม่ได้เลย...
    "ฉัน...ขอโทษนะคะ...ฉันไม่คิดว่า...."
    "เอ่อ...ก็อย่างที่เห็น..มันมักจะเป็นแบบนี้ล่ะนะ"
    โอ้....ไอ้ควายเอ๊ย....
    พูดไปแบบนี้ก็หาทางจบบทสนทนาดีๆไม่ได้น่ะสิ
    "เอ่อ...ว่าใงดี...แบบว่า...ถ้าผมมีเพื่อนล่ะก็ ผมก็ต้องเป็นห่วงพวกเขา....แล้วก็ถ้าเกิดว่าเพื่อนเราเจ็บไม่สิๆ...เอาแค่ ว่าถ้าเกิดว่าเพื่อนเราเศร้า...ผมก็จะรู้สึกเศร้าตามด้วย....เอ่อ...ยก เรื่องนี้ใว้ก่อน....การมีเพื่อนมันก็เหมือนกับการสร้างจุดอ่อนขึ้นมา ...เอ่อ...จุดอ่อนของมนุษย์น่ะนะ"
    ".......แต่ถ้าเพื่อนๆของเรามีความสุข...เธอก็จะมีความสุขไปด้วยนี่ไปด้วย นี่...ถ้าเกิดว่าพวกเขาเฮฮา....เธอก็น่าจะยินดีด้วยไม่ใช่รึใง...ถ้าหากว่า การมีเพื่อนแล้วมันเหมือนกับมีจุดอ่อนแต่ในจุดอ่อนนั้นก็ยังมีจุดดีอยู่ไม่ ใช่รึใงล่ะคะ?"
    "เอ่อ...."
    ผมเอามือทาบใว้ที่หน้าเป็นเชิงใช้ความคิด...
    "ผมจะอิจฉาเพื่อนๆ...หากว่าเขาสนุกสนาน....ผมจะริษยาพวกเขาถ้าพวกเขามีความ สุข...."
    "..........มนุษย์เราน่ะ...เป็นแบบนั้น"
    "ผมน่ะ...ไม่ใช่คนดีขนาดนั้น...ผมคงจะอิจฉาเพื่อนๆ...หากว่าเขาสนุก สนาน....และผมก็จะริษยาพวกเขาถ้าพวกเขามีความสุข...."
    "..........มนุษย์เราน่ะ...เห็นแก่ตัวนะ..."
    ฮาเนคาว่าพูดออกมาตรงจุดเลยทีเดียว...
    เพราะงั้น...ปล่อยให้ผมเป็นแบบนั้นเถอะ...
    "แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...การผูกมิตรนั้นไม่มีคำว่าสูญเปล่าหรอก จริงใหมล่ะ?....ต่อให้มันอาจจะดูไม่มีประโยชน์สำหรับเธอที่ไม่มี เพื่อน...แต่อย่างน้อยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรในโลกใบนี้นี่... การมองโลกในแง่ลบมันไม่ได้ทำให้อะไรงดงามขึ้นมาหรอกนะ...เธอคิดว่ายังใงล่ะ คะ อารารากิคุง"
    "อย่าพูดอะไรที่มันฟังเข้าใจยากๆหรือชวนงงแบบนั้นสิ"
    ผมตอกกลับไปเบาๆ....ทำไมเธอถึงพูดเรื่องเครียดๆแบบนี้เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ กันนะ...
    ฮาเนคาว่า...เปลี่ยนประเด็นทีเถอะ...
    ผมคิดว่าเราใช้เวลากับประเด็นนี้มามากเกินไปแล้วล่ะนะ...อีกอย่าง....
    ผมควรจะรีบๆแก้ไอ้ประเด็นความเข้าผิดนี้ก่อนที่จะไม่ได้แก้ตัวดีกว่า....
    "...ว่าใงดีล่ะ...ผมอยากเป็นผัก..."
    "...ผัก...รึคะ"
    "เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องพูด...รึเคลื่อนใหว..."
    "หืม?"
    ในตอนนี้...ฮาเนคาว่าเอียงคอเล็กน้อย...
    "ตามปกติเธอน่าจะบอกว่าอยากเป็นอะไรที่คนอื่นๆไม่ใส่ใจอบ่างก้อนกรวดหรือ ท่อนเหล็กมากกว่านะ"
    ...ผมรู้สึกแปลกใจมากที่จู่ๆฮาเนคาว่าก็พูดออกมาแบบนั้น....
    ถึงแม้ตัวผมจะบอกว่าอยากจะเป็นผักก็เถอะ...แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใคร มาแนะนำให้ผมเป็นอะไรอย่างอื่น....
    อืม.....
    เข้าใจล่ะ.....สิ่งที่ไม่มีคุณค่าพอจะให้สนใจงั้นเหรอ...
    แต่ว่านะ....อย่างน้อยๆ พืชผักมันก็ยังมีชีวิต....
    "ฉันวางแผนว่าจะไปห้องสมุดนะคะ"
    "เหอ?"
    "ฉันรู้สึกขอบคุณอารารากิคุงจริงๆ...เพราะได้คุยกับเธอแท้ๆเลยล่ะ"
    "..............................................................................."
    เอ่อ....ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่รึครับฮาเนคาว่าซามะ.....
    จริงๆแล้วผมกะใว้ว่าเธอน่าจะพูดว่าถึงเวลากลับบ้านแล้วสิรึขอตัวก่อนอะไร เทือกนั้น....
    แต่ก็เอาเถอะ....ท่าทางเธอคงจะไม่ได้วางแผนใว้ว่าจะทำอะไรดีแบบผมไม่ก็มี เวลาว่างมากพอดู....แต่เธอกลับต้องการไปที่ห้องสมุดแทนการเดินฆ่าเวลาแบบผม สินะ....
    ....ฮะ ฮะ ฮะ ....นี่สินะตัวตนที่แท้จริงของกำแพงแห่งความแตกต่างระหว่างนักเรียนดี เด่นอย่างเธอกับผม
    "พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์...ห้องสมุดจะไม่เปิดทำการ...ดังนั้นฉันก็ควรจะไปใน วันนี้ตอนที่ยังพอมีเวลา"
    "ก็...นะ"
    "อยากจะไปด้วยกันใหมคะ....อารารากิคุง?"
    "เห...?"
    ผมยิ้มมุมปากเล็กน้อย....
    ห้องสมุดเรอะ.....
    ผมไมรู้จักสถานที่แบบนั้นในเมืองนี้หรอกนะฮาเนคาว่า
    "เธอคิดจะไปทำอะไรที่นั่นงั้นเหรอ?"
    "อืม...ก็ต้องศึกษาหาความรู้ต่างๆแน่นอนสิคะ"
    "...อ่า....เชิญตามสบายเถอะครับ...."
    ในตอนนี้....ผมก็เหมือนกับทำอะไรสักอย่างพลาดไปแล้ว
    "ผมน่ะเป็นพวกที่ยังใงก็รับไม่ได้เท่าใหร่กับการที่จะต้องเรียนด้วยตัวเอง ที่บ้านไม่ก็ต้องทำพวกการบ้านปิดเทอมหรอกนะ "
    "แต่ปีหน้าพวกเราต้องสอบเอ็นท์แล้วไม่ใช่เหรอคะ"
    "จะเป็นการสอบรึอะไรก็ช่างเถอะ...ผลมันก็น่าสยองพอๆกันนั่นแหละ....อีกอ ย่าง...ถึงจะช้ากว่าคนอื่นหน่อย แต่ผมคิดว่าผมจะตั้งใจตอนปี 3 เทอม 2 เอาล่ะนะ..."
    "........อืม"
    ฮาเนคาว่าครางออกมาเบาๆ....ดูเหมือนเธอจะเกิดอาการเบื่อขึ้นมานิดหน่อยกับคำ ตอบของผม
    ราวอยากให้ผมไปห้องสมุดกับเธอชอบกล....
    แต่ฮาเนคาว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากกว่านั้น
    แต่ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง.....
    สำหรับคนที่หาเอกลักษณ์หรือสาระไม่ได้นั้น.....เธอจะทำความเข้าใจได้รึ เปล่า....
    ไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเขียวกลายไปเป็นสีแดงแล้วก็สลับไปมาหลายรอบแล้ว...
    ในตอนนี้มันเป็นสีเขียว....
    ครั้งต่อไปที่มันกลายเป็นสีเขียวอีกครั้งผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาที่ดีใน การแยกย้ายกันไป....
    ฮาเนคาว่าก็คงคิดแบบเดียวกันกับผม
    คนอย่างเธอไม่น่าจะใช่คนที่อ่านสภาพความรู้สึกไม่ออกหรอก
    "อารารากิคุงคะ....มีโทรศัพท์มือถือรึเปล่า?"
    "อา...มือถือเหรอ....มีสิ"
    "ขอฉันยืมสักครู่ได้ใหมคะ?"
    เธอพูดแบบนั้น...แล้วก็แบมือออกมาข้างหน้าผม....
    ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดจะทำอะไร...แต่ผมก็ทำตามที่เธอขอมา...
    หยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าแล้วส่งให้ฮาเนคาว่า...
    "ว้าว...รุ่นใหม่ด้วยนี่คะ"
    "ก็นะ....แต่พวกอุปกรณ์กับฟังค์ชั่นมันก็เพิ่มเข้ามาเยอะมาด้วย....แถมมัน ยังมากจนเกินความต้องการของผมเลย...แค่ผมไม่ได้เปลี่ยนโทรศัพท์มา 2 ปีไม่คิดเลยว่ามันจะยัดลูกเล่นมาขนาดนี้..."
    "แต่ระบบพวกนี้ก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของความเป็น"เมืองใหญ่"นะคะ...หากเธอ ไม่สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับเรื่องพวกนี้ได้การที่เธอจะใช้ชีวิตทุกวันให้ มีความสุขในเมืองนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้น่ะสิคะ"
    "ก็ช่วยไม่ได้นะ...ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆผมคงจะหนีไปซ่อนในภูเขาซักพัก ...รอให้ความเจริญมันผ่านไปก่อนแล้วผมค่อยกลับมาอีกทีละกัน"
    "ขอโทษนะคะ...เธอคิดจะอยู่บนภูเขาซักกี่ปีกันล่ะนั่น..."
    ฮาเนคาว่าถามผมด้วยน้ำเสียงที่ให้อารมณ์ประมาณว่า...เธอคิดว่าเธอเป็นอมตะ งั้นเรอะ....ราวๆนั้น
    ในระหว่างที่ฮาเนคาว่าพูดนั้น...เธอก็กดมือถือของผมไปด้วย....
    ผมเองค่อนข้างแปลกใจนิดๆที่นักเรียนดีเด่นอย่างเธอจะสามารถรัวนิ้วลงบนมือ ถือของผมได้ค้วยความเร็วขนาดนั้น....มันเกินคาดกว่าที่นักเรียนหญิงคนอื่น เคยทำซะอีก....
    ที่จริงผมก็กังวลนิดหน่อยเกี่ยวกับข้อมุลของผมในมือถือเครื่องนั้น....แต่คน อย่างฮาเนคาว่าน่าจะมีจรรยาบรรณพอที่จะไม่ยุ่งกับส่วนนั้น
    ในความคิดของผมคือเธออาจจะสงสัยว่าผมถ่ายรูปกางเกงในของเธอตอนที่กระโปรงเธอ เปิดรึเปล่า...
    ...ดังนั้นเธอเลยต้องการเช็คมือถือของผมอย่างละเอียด...
    โทษทีนะฮาเนคาว่า...ผมอิมพรินท์มันเข้าสู่เซเลบรัมส่วนกลางไปเรียบร้อยแล้ว ล่ะ
    ยังใงซะเธอเองก็เป็นผู้หญิง...การที่เธอจะวิตกแบบนั้นก้ไม่ใช่เรื่องแปลก อะไรนัก
    "นี่จ้ะ...ขอบใจมาก"
    ฮาเนคาว่าส่งมือถือคืนมาให้ผมด้วยรอยยิ้ม
    "ฉันไม่มีรูปน่ะ...แต่คงไม่เป็นไรใช่ใหมคะ"
    จู่ๆฮาเนคาว่าก็พูดขึ้น....
    "เห...?"
    ผมเรียบเรียงคำพูดอีกรอบ....
    "รูป?"
    เฮ้ย....
    เมื่อกี๊นี้เธอแค่จะหาอะไรเท่านั้นไม่ใช่เรอะ?
    แล้วตอนนี้เธอทำอะไรกันแน่ล่ะเนี่ย?
    และในระหว่างที่ผมกำลังสงสัยในเรื่องที่เธอทำลงไปเธอก็ชี้นิ้วมาที่มือถือใน มือ....ซึ่งผมยังไม่ได้เก็บมันลงกระเป๋า....
    "ฉันใส่เบอร์ของฉันกับเมลลงในนั้นแล้วนะคะ"
    "หา?"
    "แย่หน่อยนะคะ...เธอมีเพื่อนซะแล้วล่ะ"
    และในตอนนั้น....
    ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป...ฮาเนคาว่าเดินผ่านด้านข้างตัวผมก้าวลงสู่ ถนน.....ไฟจราจรในตอนนี้กลายเป็นสีเขียวอีกครั้งโดยที่ผมไม่รู้ตัว
    ....ผมวางแผนว่าจะแยกกับฮาเนคาว่าใว้ก็จริง....แต่ดูเหมือนจะช้ากว่าฮาเนคา ว่า
    เธอคิดจะไปห้องสมุดจริงๆงั้นเหรอ...ไม่สิ...เธอตั้งใจจะไปห้องสมุดหลังจาก ที่ได้คุยกับผมแล้วนี่...นั่นก็หมายความว่าเธอกำหนดมันได้ตั้งแต่เริ่มการ สนทนางั้นเรอะ....
    ....ฮาเนคาว่าโบกมือให้ผมจากอีกฝั่งเป็นเชิงบอกว่า"แล้วเจอกัน"...ทำนองนั้น ...
    ผมโบกมือตอบช้าๆ....
    เมื่อเห็นว่าผมโบกมือตอบเธอแล้ว(ด้วยท่วงท่าและหน้าตาเหมือนปลาตาย)...ฮาเน คาว่าก็เริ่มก้าวเท้าไปด้านขวาของประตูโรงเรียน
    เธอเดินด้วยท่วงท่าที่ราวกับดีใจกับอะไรสักอย่าง...จนเมื่อเธอเดินลับไปจาก มุมกำแพง...ผมก็ไม่เห็นเธออีกต่อไป....
    เพื่อความมั่นใจ...ผมก้มหน้าดูมือถือของผมในตอนนี้....
    เป็นอย่างที่เธอพูด...
    "ฮาเนคาว่า สึบาสะ" ถูกใส่ใว้ในรายชื่อโทรศัพท์ของผม
    เบอร์โทรศัพท์ของเธอ....แล้วก็อี-เมล
    ผมไม่เคยใช้ระบบ "ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์" แม้แต่ครั้งเดียว ผมใช้วิธีจำหมายเลขทุกหมายเลขที่ควรรู้เอาเท่านั้น...
    ตามที่พูดไป...ความจำผมไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยผมก็จำเบอร์ของที่บ้านแล้วก็ของผู้ปกครองได้...และเท่าที่ ได้....จนถึงบัดนี้ผมยังไม่เคยโทรไปหาใครซักครั้งเดียว
    นั่นเป็นเพราะ...ผมไม่มีเพื่อน
    ทั้งที่เป็นแบบนั้น...แล้วทำไม
    ทำไม "ฮาเนคาว่า สึบาสะ" ถึงกลายเป็นชื่อแรกที่อยู่ในรายชื่อมือถือของผมกันล่ะเนี่ย....
    "..อะไรของเธอกันนะ.............................?"
    การกระทำของเธอ....มันอยู่นอกเหนือความเข้าใจของผม
    เพื่อน?
    เธอบอกว่าผมเป็นเพื่อนสินะ?...
    ผมสามารถที่จะเรียกเธอแบบนั้นได้จริงๆงั้นเหรอ?....
    ...ถ้าเป็นปกติ...ถ้าปกติผมได้คุยกับผู้หญิงอายุราวๆเดียวกับฮาเนคาว่า คนที่สามารถพูดกับผู้ชายที่รู้จักอย่างมากก็แค่ชื่อแล้วเธอก็ให้เบอร์ติดต่อ มาง่ายๆ....ในตอนนั้นผมคงชวนเธอไปออกเดทแล้ว....
    แต่ในตอนนี้ผมไม่เข้าใจ....
    และที่สำคัญ...ยิ่งกว่าการที่ไม่เข้าใจ...ผมไม่สามารถทำความเข้าใจได้กับอีก เรื่องหนึ่ง...
    ฮาเนคาว่า สึบาสะ....
    สุดยอดนักเรียนดีเด่น....สุดยอดแห่งนักเรียนเกียรตินิยม
    ตัวตนของเธอมันห่างใกลกับผมมาก....
    "....เธอนี่สุดยอดจริงๆเลย....ฮาเนคาว่า"
    ที่สุดแห่งนักเรียนดีเด่นตลอดกาล
    ฮาเนคาว่า สึบาสะ
    ผมได้รู้จักกับเธอหลังจากจบพิธีปัจฉิมที่แสนจะน่าเบื่อ...แต่ยังใงก็ตาม... นับจากนี้ต่อไป...ผมไม่คิดว่าวันหยุดฤดูใบไม้ผลิจะเป็นเหมือนเดิมอีก แล้ว....
    แม้จะเป็นแค่ความรู้สึกบ้าบอ...
    แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น....


    เรื่องเล่าอันโหดร้าย...
    โคโยมิแวมไพร์ 002 END
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×