ยุคสมัยนี้หากใครเอ่ยถึงวรรณคดีขึ้นมาทุกคนต้องร้องยี้ !!! เหมือนวรรณคดีเป็นของน่ารังเกียจอย่างไส้เดือนกิ้งกือยังไงยังงั้น เพราะ Concept ของคนส่วนใหญ่เมื่อเอ่ยถึงวรรณคดี คือ ภาษาเก่า โบราณ ไม่มีอะไรหวือหวา กลอนทั้งเล่ม เข้าใจยาก อ่านไม่รู้เรื่อง จืดชืด น่าเบื่อหน่าย และอีกหลายข้อหาฉกาจฉกรรจ์
ผู้เขียนเองก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ไม่ค่อยรักใคร่วรรณคดีเท่าใดนัก แต่ทว่าวันหนึ่งเมื่อผู้เขียนไม่มีอะไรจะทำ ผู้เขียนจึงได้หยิบวรรณคดีฝุ่นเกาะในตู้หนังสือขึ้นมาอ่าน ไม่น่าเชื่อว่าวรรณคดีมอซอเหล่านั้นสามารถทำให้คนเส้นลึกอย่างผู้เขียนหัวเราะร่วนได้มากกว่าขายหัวเราะมหาสนุก
ทฤษฎีของความตลกขบขันนั้น มีอีตาฝรั่งคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ความตลกขบขันเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ หรือผิดความคาดหมาย” แต่มีคนแย้งหลายคนอยู่เหมือนกันว่าไอ้การผิดความคาดหมายนี้อาจจะทำให้เกิดอารมณ์อื่น ๆ ได้อีก เช่น โกรธ เศร้า เสียใจ ฯลฯ ผู้เขียนได้ฟังแล้วยังไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งผู้เขียนได้มาอ่านวรรณคดีไทยหลายเรื่อง มุขตลกของแต่ละเรื่องล้วนอาศัยการ “ผิดความคาดหมาย” เสียแทบทั้งนั้น
วรรณคดีไทยหลายเรื่องดึงเอาฤๅษีหรือกษัตริย์มาล้อเลียน ไม่ว่าละครจากในรั้วในวังอย่างรามเกียรติ์ หรือละครนอกที่ชาวบ้านเล่น แม้กระทั่งละครนอกพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ พระองค์ก็ดึงกษัตริย์มาเป็นตัวตลกของเรื่องได้อย่างเหมาะเจาะ
เหตุที่เป็นดังนี้เพราะคนไทยย่อมมีแนวคิดว่าฤๅษีชีไพรเอย พระมหากษัตริย์เอย ย่อมเป็นบุคคลอันควรเทิดทูน เมื่อทำอะไรเปิ่น ๆ ผิดประหลาดไปจากแนวคิดดังกล่าว จึงทำให้เราขบขันเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี
ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ ระหว่างรามเกียรติ์ของไทยกับแขก ฤๅษีข้างแขกล้วนแต่มีตบะเดชะกล้าแข็ง ส่วนข้างไทยน่ะหรือ ออกจะโง่ ๆ เฟอะ ๆ เป็นตัวตลกบนเวที หนุมานก็เช่นเดียวกันข้างแขกนั้นหนุมานน่านับถือเหลือเกิน ถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ไม่ยอมให้สตรีใดมาย่ำยี ส่วน  หนุมานลิงขาวชาวไทย ไม่ค่อยรักนวลสงวนตัว ใครจะย่ำยีข่มเหงก็ไม่ปัดป้องแต่ประการใด ใจง่ายเหลือเกิน จนเป็นที่มาของ “เจ้าชู้ลิง” เหตุดังนี้เพราะวรรณคดีและละครไทยมีหน้าที่สร้างความเพลิดเพลินแก่ราษฎรทั้งหลาย
เราลองมาดูตัวอย่างกันสักเล็กน้อยดีกว่าว่าวรรณคดีไทยสร้างความบันเทิงใจได้อย่างไร ขอเอาเรื่องพระอภัยมณี ตอนชีเปลือยเข้าเมืองการะเกดก็แล้วกัน กลอนนั้นมีอยู่ว่า
“ส่วนตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เหมือนเดรฉาน                                    หน้ามันด้านดื้อได้ไม่บัดสี
ดูสาวสาวชาวบุรินจนสิ้นดี            มาถึงที่ในวังนั่งยองยอง
สะกดจิตบิดกายไม่หายเหือด            ดูดังเลือดขึ้นหน้าเกศาสยอง
อำมาตย์พามาริมพระโรงทอง            เสียงแซ่ซ้องเสนาออกมารับ
บ้างว่าม้าน่ากลัวหัวเหมือนนาค            บ้างจุปากว่าไม้เท้ายาวจำหนับ
บ้างบอกความตามสั่งนั่งคำนับ            ตรัสให้รับคุณเข้าไปในพระโรง”
ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจ ผู้เขียนขออรรถาธิบายสักเล็กน้อย ขอให้ผู้อ่านทุกคนนึกภาพคนเปลือยกาย ก็หมายถึงแก้ผ้านั่นแหละ เป็นผู้ชายเสียด้วย ผู้ชายคนนั้นนั่งยองยอง อารมณ์แสดงความ “หน้ามืด” (หรือหน้าภาชนะก็ไม่ทราบ ฮา
) อย่างเต็มเหนี่ยว นัยน์ตาแดงก่ำ พอนั่งปุ๊บก็เอา “ไม้เท้าวิเศษ” ยันพื้นทันที (โอ้โห
ยาวถึงดินเลยแฮะ) เหล่าเสนาอำมาตย์พอเห็นแล้วฮือฮากันใหญ่ บ้างก็ว่า “เฮ้ย.. ยังกะม้าแน่ะว่ะ” บ้างก็ว่า “โอ้โหเฮ้ย .. หัวยังกะพญานาคแน่ะ” บ้างก็ว่า “เจ้าประคุณเอ๊ย
ไม้เท้าผู้ทรงศีลยาวเป็นบ้าเลยเว้ยเฮ้ย
”
คงไม่ต้องให้อธิบายกันมากมาย ผู้อ่านคงเดาได้แล้วว่า “ไม้เท้า” ของชีเปลือยคืออะไร ก็ไม้เท้าของสุดสาครที่ฤๅษีให้ไป ชาวเมืองยังไม่ฮือฮาขนาดนี้เลย
อย่างว่านั่นแหละ ไม้เท้าของเด็กเล็กอย่างสุดสาคร กับไม้เท้าของชีเปลือยผู้วิเศษ ตบะเดชะย่อมไม่กล้าแข็งทัดเทียมกัน (ฮา
)
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น