ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisTao] Square One

    ลำดับตอนที่ #2 : 1 - Eject

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 188
      2
      2 พ.ค. 58

    หมายเหตุ : เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่มีอยู่จริง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม    









     

    [1]

    - Eject -

     

     

     

    "ได้ยินข่าวไหม อี้ฝาน"

     

    ใครคนหนึ่งถามขึ้น ในตอนที่กำลังเตรียมตัวอยู่ในห้อง ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันมองตามเสียงจึงเห็นว่าคนถามเป็นนักแสดงตัวประกอบในบทเล็กๆ ที่วันนี้ต้องเข้าฉากด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ หันกลับมาจดจ่ออยู่กับการผูกไทด์ของตัวเอง ปล่อยให้อีกคนพล่ามต่อไปฝ่ายเดียว

     

    "ฮวางจื่อเทาคนดังคนนั้น ต้องพักงานยาวเพราะขาเจ็บ"

     

    "อ้อ" เขาตอบออกไปแค่นั้น อีกฝ่ายจึงถามอีก

     

    "นายไม่รู้อะไรบ้างเหรอ?"

     

    "ทำไมถึงคิดว่าฉันจะรู้?" อี้ฝานถามกลับอีกหนสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ยังคงวุ่นวายอยู่กับไทด์ ดังนั้นคนถามจึงอึกอักไป กล่าวออกมาเสียงเบาลง

     

    "...ก็...เห็นว่าเคยสนิทกัน"

     

    อีกคนยังคงเงียบ ขยับเนคไทด์จนเข้าที่ สีหน้ายังไร้การเปลี่ยนแปลงใด รวมถึงไม่ตอบรับอันใดในประโยคนั้นด้วย นั่นเป็น... การปฏิเสธ...โดยไม่ใช้คำพูด

     

     

     

    หรือที่จริง... เป็นการยอมรับอย่างไร้คำโต้แย้ง?

     

     

     

    เย็นวันนั้น... หรือการอัพเดทภาพบนอินสตาแกรม พร้อมกับคำว่า จะอยู่เคียงข้างเสมอ นั่นเป็นเพียงจุดบรรจบของความบังเอิญร้อยพันประการ ไม่ใช่ข้อความที่ส่งถึงใครอย่างเจาะจง

     

    อู๋อี้ฝานนิ่งมองรูปที่ตนอัพเดทไปเมื่อชั่วโมงก่อน มองนิ่งนาน...มากและมาก ก่อนจะออกจากแอพพลิเคชั่นของอินสตาแกรม เปลี่ยนเป็นเปิดเว่ยป๋อดูข่าวคร่าวๆ เกี่ยวกับงานแสดงของตน

     

    จุดประสงค์ของเขาเป็นแบบนั้นตั้งแต่ต้น

     

    ดังนั้นยามที่ได้เห็นว่าใครบางคนอัพเดทสเตตัสด้วยคำห้าคำ

     

     

     

    对不起,谢谢

    (ขอโทษ, ขอบคุณครับ)

     

     

     

    ...มันก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

     

    ชายหนุ่มหลับตา ถอนหายใจ เรียวนิ้วยาวยังคงแตะค้างอยู่บนห้าคำนั้น ก่อนที่จะกลั้นใจเลื่อนผ่านมันไป

     

    แต่แม้ผ่านไป ทว่าเขาก็ยังทราบดีว่าข้างใน ... ล่วงลึกในใจ...

     

    บางสิ่งข้างใน... ได้ถูกกระทบกระแทกรุนแรง

     

     

     

    หลายวันหลังจากนั้น พอดีบรรจบครบรอบวันสำคัญ..เป็นวันที่เคยขอให้เว้นตารางไว้ให้ว่างอย่างจงใจ ดังนั้นเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง สองเท้าก็หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าบ้านใหญ่โตหลังหนึ่งในยามเช้าตรู่

     

    ...อยู่ในเมืองเขตทางเหนือ

     

    เมืองติดทะเล

     

    ชิงเต่า

     

    พร้อมกับกล่องของขวัญงดงามน่ารักในมือ

     

    เสียงคลื่นและลมทะเลขับกล่อมรอบกายพร้อมกัน

     

    "สวัสดีครับ ผมมาพบเขา" ไม่ทราบต้องใช้ความพยายามมากมายเท่าไหร่ เขาจึงสามารถเอ่ยคำคำนี้ออกไป กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดา

     

    ใบหน้าของอีกฝ่ายไร้อารมณ์ แม้ไม่อาจบอกได้ว่าหัวหน้าตระกูลนั้นมีรูปเป็นทรัพย์อย่างภรรยาและลูกชาย ทว่าในกิริยาแฝงความสง่าเข้มแข็ง ยามดวงตาคมทรงภูมิอย่างคนที่ก้าวผ่านกาลเวลา...พานพบประสบการณ์มากมายมองนิ่งมา ชั่วขณะนั้น อี้ฝานรู้สึกขึ้นมาว่าเขายังเด็กมากเหลือเกิน

     

    มือของชายหนุ่มเริ่มสั่นน้อยๆ

     

    “...ผมไม่คิดว่าลูกชายจะอยากพบคุณ”

     

    คำปฏิเสธกลายๆ นั้นไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เขาทราบว่าคนใกล้ชิดรอบกายของฮวางจื่อเทาล้วนเป็นเช่นนี้ ใส่ใจ...ที่จะปกป้องเจ้าตัวเอาไว้ ประคองถนอมด้วยสองมือ ปฏิบัติด้วยราวกับว่าเด็กหนุ่ม...ว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบสองที่ทั้งแข็งแรงสูงใหญ่คนนั้นเป็นเครื่องแก้วบอบบางล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

     

    อี้ฝานไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจ...ถึงได้เจ็บปวด

     

    ที่ตนไม่อาจได้เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นอีกต่อไป

     

    “แค่ครู่เดียวก็ได้ ได้โปรดเถอะครับ...ผมอยากพบเขามากจริงๆ”

     

    เขาอ้อนวอนอีกครั้ง

     

    “ตั้งแต่ตอนนั้น...ผมยังไม่เคยได้คุยกับเขาดีๆ...”

     

    “ผมก็ไม่เห็นว่าการคุยกันดีๆ ระหว่างคุณจะเสี่ยวเทาจะเป็นเรื่องจำเป็นนี่ครับ”

     

    คุณฮวางยังคงปฏิเสธทันควัน สีหน้าเฉยชาราวกับหล่อสลักขึ้นจากน้ำแข็ง

     

    สำหรับคนอื่นยามยืนอยู่ต่อหน้า อู๋อี้ฝาน นักแสดงมีชื่อของวงการ ชายหนุ่มผู้เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จมากมาย หลายคนอาจจะนึกชื่นชมนับถือ อาจจะหลงใหลคลั่งไคล้ ทว่ากับเขาแล้ว...เขาที่ทราบดีว่าบันไดที่อีกฝ่ายใช้ก้าวข้ามไปยังจุดนั้นคืออะไร ชายหนุ่มอายุเยาว์ตรงหน้าก็เป็นเพียงคนที่จะทำให้ให้ลูกชายเสียใจ

     

    ดังนั้น... หากเลือกได้ ก็ไม่อยากให้ได้พบกัน

     

    “พ่อ...เก็บดอกไม้ถึงไหนกันครับ แม่บอกว่าอาหารเช้าเสร็จแล--”

     

    ...แต่บางครั้งโชคชะตาก็มักเล่นตลกกับผู้คน

     

    อี้ฝานเลื่อนสายตาที่จดจ้องสานสบกับผู้อาวุโสออก มองเลยผ่านร่างสูงสันทัดของอีกฝ่ายไป และภาพที่เขาได้เห็นตรงนั้น ...หัวใจก็กระตุกวูบ และยิ่งทวีความเจ็บปวดมากยิ่งไปกว่าเดิมทุกครั้งที่บีบตัว

     

    ฮวางจื่อเทานั่งอยู่บนรถเข็น

     

    ดวงหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีอ่อนยังคงเป็นอย่างที่จำได้ ทั้งเรียวคิ้วดวงตา สันจมูกตั้งตรงดื้อรั้น และริมฝีปากหยักงาม ไม่มีสักอย่างที่เปลี่ยนไป... จากเมื่อตอนที่พวกเขายังเคยคบกัน

     

     สีหน้าของอีกฝ่ายจะเหมือนถูกผนึกค้าง แววประกายในตาปรากฏระลอกคลื่นสั่นไหว ปลายนิ้วเรียวที่จับอยู่บนล้อหมุนของวีลแชร์เกร็งแน่น...กิริยาราวกับสัตว์บาดเจ็บที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรง

     

    “เสี่ยวเทา เข้าบ้าน!

     

    ผู้เป็นบิดาร้องบอก ฉุดรั้งให้เจ้าของชื่อคืนสติกลับมาได้

     

    ทว่าสายเกินไป

     

    ร่างสูงของนักแสดงหนุ่มก้าวผ่านตัวของคนอายุมากกว่าที่ขวางอยู่ไป รุกล้ำเข้ามา...ในเขตปลอดภัย ที่ฮวางจื่อเทาได้ใช้เป็นเกราะกำบังตัว

     

    !!

     

    “อู๋อี้ฝาน!

     

    เสียงตะคอกกราดเกรี้ยวของหัวหน้าตระกูลฮวางเหมือนอยู่ห่างออกไปแสนไกล กระทั่งการเลื่อนไหลของเวลาก็คล้ายจะเชื่องช้าลง

     

    “จื่อเทา”

     

    เสียงอย่างนั้น...เขาจำได้

     

    ได้ยินมาไม่ทราบกี่ร้อยพัน...กี่หมื่นครั้ง...

     

    เมื่อก่อนชอบนัก ทว่าหลังจากคราวนั้น... ตั้งแต่เหตุการณ์อันไม่น่าจดจำคราวนั้น ก็ไม่อยากได้ยินซ้ำอีก

     

    มือเรียวแตะลงกับวงล้อ บังคับให้ขยับถอย ทราบดีว่าเชื่องช้า ทว่าก็ยังอยากดิ้นรนแม้มีความหวังเพียงน้อยนิดว่าจะพ้นไป เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับคนคนนี้ สักนิดก็ไม่

     

    เมื่อก่อนตอนที่เข้มแข็งกว่านี้เขายังรับไม่ไหว แต่ในเวลานี้ ที่เขาเปราะบางที่สุด อ่อนแอที่สุด อัปลักษณ์ที่สุด

     

    ฮวางจื่อเทายิ่งไม่มีหน้าจะพบจริงๆ

     

    “จื่อเทา”

     

    น่าเสียดายที่อี้ฝานไม่ปล่อยให้เขาหลุดมือไปอย่างนั้น เรียวขายาวของชายหนุ่มก้าวเร็วรี่ อ้อมไปปิดกั้นกีดขวางอีกฝ่ายเอาไว้

     

    “ไปให้พ้น!

     

    คำขับไล่กันอย่างนั้นทำให้คนอายุมากกว่าหน้าชา เจ็บที่ใจ ทว่าไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้ได้

     

    “จื่อเทา”

     

    อี้ฝานเรียกอีกครั้ง ตราคำนั้นลงในโสตประสาทคนฟัง เหมือนทราบดีว่ามันมีอิทธิพลเหลือเกิน

     

    จื่อเทารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องทราบ เพราะนำเสียงแข็งกร้าวที่เขาใช้ ได้เปลี่ยนเป็นสั่นเครือพร่าไหวอย่างชัดเจนจนน่าเจ็บใจ

     

    “...ไปซะ ผมไม่อยากพบหน้าคุณ”

     

    “พี่อยากคุยกับนาย”

     

    คนอายุน้อยกว่าครางต่ำในลำคอ ในใจบังเกิดรสชาติยากบรรยาย ครึ่งหนึ่งคือความโกรธเคืองไม่ชอบใจ อีกครึ่งเป็นขยะแขยงเหลือประมาณ สรรพนามสนิทสนมชิดเชื้อเช่นนั้นคืออะไร อู๋อี้ฝานมีสิทธิ์อะไรจึงได้ใช้... ทว่าเสี้ยวเศษหนึ่ง หนึ่งส่วนร้อย หรืออาจน้อยกว่านั้น... กลับมีความโหยหาอันน่าชิงชังเจือปน

     

    “ผมไม่อนุญาตให้คุณเข้ามาในบ้านอย่างนี้ ออกไป! ไม่อย่างนั้นผมจะแจ้งตำรวจ!

     

    เสียงตวาดของบิดาทำให้จื่อเทาต้องพรูลมหายใจ เขาไม่ได้อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงข่มความสับสนหวั่นไหว พยายามสงบใจ ...อย่างยากลำบากท่ามกลางสายตารอคอยคาดหวังของอดีตคนรัก

     

    ครู่ถัดมาจึงค่อยเค้นคำพูดออกมาได้ น้ำสียงลังเล ไม่ใคร่แน่ใจ...และไม่เหมือนว่าเป็นเสียงของตัวเอง

     

                “...แค่...คุยใช่ไหม?”

     

                อี้ฝานพยักหน้ายืนยันเร็วรี่

     

                “เสี่ยวเทา!

     

                ตรงข้ามกับเสียงของบิดาที่ไม่มีความพึงใจ

     

                ทว่าฮวางจื่อเทาสูดลมหายใจลึกยาวอีกครั้ง ผ่อนออก... สูดรับกลิ่นลมทะเลที่โอบล้อมรอบกาย ที่ทำให้เขารู้สึกเข้มแข็งกว่าที่เป็น เพื่อที่จะได้พร้อม...สำหรับการเผชิญหน้าที่แม้ไม่ปรารถนาทว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้

     

                “...ก็ได้ ผมจะคุย”

     

     

     

                จื่อเทากึ่งขอร้องอ้อนวอน กึ่งปลอบบิดาที่โกรธเกรี้ยวให้เข้าไปคอยด้านในบ้าน บอกไว้ว่าน่าจะใช้เวลาไม่นาน และในที่สุดหลังจากเกลี้ยกล่อมกันอยู่ครู่ใหญ่ พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกันตามลำพัง

     

                ครั้งสุดท้ายที่ได้ทำแบบนี้...นานเท่าไหร่แล้วนะ

     

                รู้สึกว่า.... น่าจะ...สักปีกว่าได้

     

                หนุ่มน้อยเริ่มเหม่ออยู่ในความเงียบระหว่างกัน ขณะรอคอยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรกับตน

     

                อี้ฝานเองก็มองรูปหน้างดงามหล่อเหลาจากทางด้านข้างนั้น ฮวางจื่อเทาเป็นคนสูง...แม้นั่งอยู่ก็ยังสูงมาก เรียวแขนท่อนขาเพรียวยาว ยังคงงามเหมือนรูปปูนปั้นอันวิจิตรบรรจง เมื่อนั่งอยู่อย่างนี้...บนรถเข็นที่ทำขึ้นจากโลหะมันวาว....กลับยิ่งดูน่าทะนุถนอมโอบประคอง           

     

                ชายหนุ่มก้มลงมองกล่องของขวัญงดงามน่ารักในมืออันสั่นเทาของตน

     

                พริบตานั้น ความหวาดหวั่นทุกอย่างก็ถาโถมเข้ามา

     

                “พี่ขอโทษ...”

     

                “เรื่องอะไรกันครับ?”

     

                ถ้อยคำสุภาพ... ทั้งเย็นชาทั้งเหินห่างทำให้อี้ฟานถอนหายใจ ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้างรถเข็น เพื่อให้สายตาประสานอยู่ในระดับเดียวกัน ทำให้คนที่นั่งอยู่สะดุ้งน้อยๆ เอนกายผงะหนีอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

     

                “...ขอโทษที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่ดูแล”

     

                ฮวางจื่อเทาส่งเสียงไร้ความหมายในคอ เสียงนั้นคล้ายกับเสียงคำรามของสัตว์ แต่ก็คล้ายไม่ใช่

     

                ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้ม...จอมปลอมอย่างยิ่ง บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำไป”

     

                ทั้งที่ทราบดีในใจ...ทั้งที่แท้จริงแล้ว... เสี้ยวส่วนหนึ่งของเหตุปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการโหมงานหนักจนละเลยการดูแลตัวเองอย่างนี้ของตัว หรือไม่ใช่เพราะต้องการจะเลือนลืมความทรงจำเกี่ยวกับใคร...

     

                “...”

     

                อี้ฝานนิ่งไปอีกครู่... เปิดกล่องของขวัญออกต่อหน้าคนที่จะให้...

     

                สิ่งที่นอนนิ่งอยู่ข้างใน คือกำไลทองคำขาวของคาร์เทียร์ ที่เมื่อปีที่แล้วใครบางคนยังเคยบอกว่าอยากจะได้เป็นของขวัญ

     

                ชายหนุ่มสานสบสายตา

     

                “ตอนที่รู้ข่าว...พี่ก็เพิ่งเข้าใจ ว่าตัวเองไม่อยากจะให้นายอยู่ห่างสายตา”

     

                “พี่ไม่อยากจะรู้เรื่องผ่านปากคนอื่น ไม่อยากต้องคอยกังวลเช็คข่าวว่าวันนี้นายจะบาดเจ็บอะไรอีกไหม จะร้องไห้อะไรอีกรึเปล่า...ฮวางจื่อเทา นายทำให้คนเป็นห่วงมากเกินไป”

     

                เพราะอาการบาดเจ็บแรงร้าย เขาจึงค่อยทราบว่าที่แท้ชีวิตคน มันสั้น เร็ว และเปราะบางถึงเพียงนี้ เขาไม่อาจวางใจ...ไม่อาจคอยแต่เป็นห่วงจากที่ไกล...เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองให้หยุดกระวนกระวายหลังจากทราบข่าวไม่สู้ดี

     

                ดังนั้นจึงมาในวันนี้ มาเพื่อถาม...และร้องขอสิทธิ์ที่จะสามารถปกป้องประคองถนอมได้

     

                “...เรา...จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?”

     

                จื่อเทามองกำไลวงนั้นนิ่งนาน ตัววงวิจิตรงดงาม ฝังอัญมณีมีราคา ดูเรียบง่าย ทว่าสูงค่า

     

                “...ไม่ช้าไปหรือครับ?”

     

                ไม่ว่าจะตัวกำไล... ที่เขาชืดชาไม่อยากได้มาเนิ่นนาน หรือคำพูดนี้ที่มาขอถามกันให้ได้ยิน

     

                “วางใจเถอะ จากนี้ผมคงจะพักยาว ไม่รู้ว่าจะหายเมื่อไหร่ คงไม่ต้องให้ใครมาค่อยเป็นห่วงอีกแล้ว”

               

                “และถ้าพี่ยังจำได้...คนที่ทำให้มันจบลงก็ไม่ใช่ผม” สรรพนามที่เรียกหา...กลับคืนสู่รูปแบบอย่างเดิมที่เคยคุ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และดูเหมือนคนพูดจะไม่รู้ตัว

     

                “พี่อี้ฝาน พี่ยังจำได้ไหม ว่าในวันนั้นที่ถูกถามพี่ตอบออกไปว่ายังไง”

     

                วันนั้นในเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว คำปฏิเสธต่อหน้านักข่าวยามถูกถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน

     

                ไม่มีเรื่องแบบนั้นระหว่างพวกเราหรอกครับ คือผมก็เข้าใจนะ...แต่บางครั้ง มันก็ทำให้อึดอัดอยู่บ้าง ทั้งผมทั้งน้อง เราไม่รู้ว่าจะวางตัวกันยังไง...คือบางทีพอเห็นภาพที่พวกแฟนคลับตัดต่อ...วาด...เอ่อ...แบบว่ามันก็มีบางส่วนที่รุนแรงใช่ไหมครับ บางทีถ้าเผลอไปเห็นมันก็ทำให้เรามองหน้ากันไม่ติดได้

     

              แล้วก็ยังมีพวกข่าวลือ รูปภาพส่วนตัว... เข้าใจนะครับว่าพวกเราเป็นคนของคุณ แต่ถ้าทำได้...ผมก็อยากให้ทุกคนเคารพในตัวตนของพวกเราด้วย

     

                อู๋อี้ฝานตอบอะไรออกไปบ้างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ เพื่อทำตามหน้าที่ เจ้าตัวอาจจะจำไม่ได้...แต่รู้ไหม ฮวางจื่อเทายังจำได้ทุกคำ

     

                คำแต่ละคำที่เน้นย้ำ บอกว่าสถานะระหว่างกันมันเป็นของปลอม

     

                “กลับไปเป็นเหมือนเดิม...”

     

                หนุ่มน้อยทวนคำขึ้นมาอีกครั้ง วี่แววสั่นไหวในน้ำคำจางหายไม่เหลือธุลี

     

                “กลับไปปกปิดหลบซ่อน ให้ผมมีสถานะเป็นอะไรก็ไม่รู้ของคุณอีกเหมือนเดิม?”

     

                “กลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ถ้าจะให้จัดลำดับความสำคัญ ก็จะไม่ใช่ที่หนึ่งอยู่เหมือนเดิม?”

     

                ฮวางจื่อเทาถึงกับหัวเราะ...เหมือนขัน ทั้งที่ไร้อารมณ์อย่างนั้นแม้สักเสี้ยว

     

                “เป็นของที่คุณจะวางทิ้งไว้เมื่อจำเป็น แล้วค่อยกลับมาดูแลในตอนที่นึกขึ้นได้มีเวลา ...แบบนั้นน่ะเหรอครับ?”

     

                เสียงหัวเราะยังคงคลออยู่ ถ้อยคำที่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา ไม่มีการโทษว่าในน้ำเสียง ทว่าถ้าแม้น้องไม่พูดออกมา อี้ฝานก็รับรู้ได้

     

                ก็คำนั้นที่ฉายฉานอยู่ข้างใน ...ภายในลูกแก้วคมสวยงดงามปานดาว

     

     

              คนทรยศ

     

     

     












    ---
    to be continue.
    ---



     

    #นับหนึ่งKT

     






    สุขสันต์วันเกิดฮวางจื่อเทา
    ยี่สิบสองแล้ว... เป็นเด็กดีของพวกเราต่อไปนะ
    อีกสิบ ยี่สิบ อีกหนึ่งร้อยปี เราก็ยังจะดูนายเติบโตอย่างงามสง่าเข้มแข็งต่อไป
    รัก

    พูดถึงของขวัญวันเกิดปีนี้บ้าง
    ที่จริงตั้งใจจะให้ได้ระบายจนสาแกใจกันไปข้าง
    ...สุดท้ายก็ยังออกมาเศร้าหน่อยๆ อยู่ดี /เกาแก้ม
    เอาน่ะ...สัญญาว่าตอนหน้าจะไม่เศร้าเท่านี้แล้วครับ
    /จริงๆ นะ /ไขว้นิ้ว


    มาก้าวเดินไป เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ด้วยกันนะ 

    #BesideZitao #StillKT

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×