คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #53 : Wednsday : ผลัดหนึ่งคืนสาม
REALITY SEASON 7
ตอน : ปริศนาราชวงศ์ปักษาธร
“WEEK 1”
คืนที่ 3
พระอาทิตย์เริ่มลดต่ำลงไปทุกที ท้องฟ้าจากที่เคยสดใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแซมกับสีม่วง เป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยความมืดที่ยังพอมีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากเงาเมฆที่เกาะกลุ่มกันเป็นก้อน สัปดาห์นี้คือสัปดาห์แห่งการเล่นเกมเป็นครั้งแรกของผู้เข้าแข่งขันทั้งแปดคน
เกมของพวกเขานั่นคือเฝ้าผืนธงประจำราชวงศ์เอาไว้ไม่ให้ศัตรูเข้ามาขโมยไปจากฐานกลางสนาม ระหว่างนั้นต้องรอรหัสที่จะปรากฏขึ้นในรุ่งอรุณของวันใหม่ซึ่งตอนนี้มีเพียงตัวเลขฐานเดียวที่ปรากฏขึ้นมา ถ้าภารกิจในแต่ละวันสำเร็จ ตัวเลขฐานที่สองก็จะโผล่จากช่องสีแดง เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จะต้องปักธงลงบนยอดของหลังคาปราสาทเพื่อเป็นการเปิดเกมอย่างสมบูรณ์แบบ
ในคืนนี้เป็นคืนแรกที่พวกเขาจะต้องทำการเฝ้าผืนธงเอาไว้ โดยผู้กล้าในคืนที่หนึ่งนั้น จะเป็นหน้าที่ของสาวน้อยที่ออกตามฆ่าคนเพื่อให้พี่สาวปรากฏตัว ยะหยา R1 .เด็กสาวญี่ปุ่น นักสตอล์กเกอร์ตัวแม่ผู้จัดการเหยื่ออย่างเลือดเย็น อายะ R5. และเด็กหนุ่มนักเรียนทุน ผู้มีอดีตที่เจ็บปวดอย่างแอมป์ R8
พวกเขาคือผู้กล้าชุดแรกที่ได้รับเลือกให้เฝ้าผืนธงสีเหลืองนี้
ส่วนผู้เข้าแข่งขันที่เหลือนั้นทางรายการได้ให้ไปพักผ่อนในส่วนของโดมกลางที่เตรียมไว้ให้ข้างปราสาทปักษาธร เป็นโดมแก้วขนาดกลาง มีเตียงนอนและเครื่องใช้อย่างเพียงพอกับผู้เข้าแข่งขันที่ยังไม่ถึงเวรที่จะต้องออกไปทำภารกิจ หลังจากที่อัคราพาไปยังโดมแล้ว พวกเขาที่เหลือต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นโดยที่ไม่ได้ออกไปไหน เพราะหากถ้าอัคราเห็นว่าออกมาเพล่นพล่านยังสถานที่ที่ไม่ควรล่ะก็ อาจจะโดนลงโทษและหมดสิทธิ์ออกจากเกมการแข่งขันได้
แน่นอนว่าพวกเขานั้นถึงแม้จะนิสัยไม่เหมือนคนทั่วไปที่อยู่ด้านนอก แต่พวกเขาก็เคารพกฎและกติกาอย่างเคร่งครัดเสมอ
“โชคดีนะ ... ไม้แรก” อลิซยิ้มมุมปากก่อนที่ตบบ่าของอายะเบา ๆ อายะมองหน้าของเธอกลับไปอย่างไม่พอใจนัก
ถึงเวลาที่ฉันต้องฆ่าเธอเมื่อไร ... ฉันไม่ปล่อยเธอแน่ ยัยโรคจิต อายะได้แต่คิดก่อนที่จะยิ้มกลับไป แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่แสดงความเป็นมิตรหรอก แต่เป็นรอยยิ้มแห่งความแค้นที่ครุกรุ่นอยู่ในใจ
“จัดการให้เรียบเลยก็ดีนะ ... ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกมาจัดการอีก ฆ่าให้เลิศ เอาให้เลิศๆเชิดๆ เลยนะพวกหล่อน” มาริสซ่าสะบัดผมก่อนที่จะสวมแว่นตากันแดดสีชาอันโปรด เธอไม่ได้มาเพื่อมาแข่งขันอะไรทั้งนั้น ที่มาเพราะแค่มา Bitch ไปวัน ๆ เท่านั้นเอง
“จะพยายามนะจ๊ะแม่สาวนัก Bitch” อายะพูดกลับไปก่อนที่จะเตรียมเช็ดขวานที่อยู่ในมือ ครั้งนี้เธอจับได้ขวานอีกครั้ง แววตาจ้องมองคมขวานอย่างชั่งใจก่อนที่จะเอามาวางไว้บนตักก่อนที่จะเปลี่ยนจะปลายขวานไปมองยังท้องฟ้าที่เริ่มจะมืดมิดลงแล้ว ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เกมของพวกเขาทั้งสามจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เวลา 22.46 น.
คบเพลิงสีแดงสดเริ่มถูกจุดขึ้นรอบ ๆ สนามหญ้า และตามเสาหิน บริเวณรอบนอกของกำแพงปราสาทนั้นเองก็ถูกประดับด้วยคบเพลิงไม้สักเช่นเดียวกัน พวกมันพร้อมใจกันส่องแสงสว่างไสวทำลายความมืดมิดที่อยู่โดยรอบ เด็กหนุ่มสาวทั้งสามคนนั่งอยู่บนโขดหิน ยะหยานั่งพิงเลื่อยไฟฟ้าอย่างเนือย ๆ อายะเองก็ควงขวานไปมาอย่างถนัดมือ ส่วนแอมป์นั่งวางธนูไว้ที่พื้นตั้งแต่แรกที่ได้มาแล้ว เพราะเขาเองไม่เชี่ยวชาญในเรื่องของการใช้อาวุธสักเท่าใดนัก
“พวกเธอมาสมัครเรียลลิตี้ซีซั่นนี้เพราะเหตุผลอะไรกันเหรอ?” เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตรึงเครียดและดูท่าว่าจะไม่มีใครเริ่มปริปากพูดอะไรกันเลย ยะหยาจึงเริ่มทำลายบรรยากาศที่แสนกดดันนั่นซะ
“ผมมาสมัครที่นี่เพราะผมเคยมีปัญหากับเพื่อนรักของผม มันตัดต่อภาพของผมกับเพื่อนอีกคนในทางที่ไม่ดี จากนั้นเมื่ออาจารย์รู้ข่าว เขาได้ปลดเงินทุนของผมและถูกออกจากการเป็นนักเรียนทุนอย่างที่ผมต้องการ ผมจึงบรรดาโทสะจัดการกับเพื่อนชั่วคนนั้นแต่โชคดีของหมอนั่นที่ตำรวจมาเห็นก่อน ผมจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่ง” เขากลืนน้ำลายก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ “จนกระทั่งผมเจอกับเสี่ยคนหนึ่ง เขาเลี้ยงดูผมเป็นอย่างดีและยื่นข้อเสนอให้ผมมาเล่นเกมที่นี่เพื่อแลกกับชีวิตใหม่ของผม ... ผมจึงมาที่นี่” แอมป์เล่าจนจบ เขาหลบหน้าไม่สบตาของทั้งสองสาวเลย เขาจำเรื่องนั้นได้ดี มันเป็นเรื่องที่ติดตรึงในความทรงจำของเขาไปจนวันตาย
“เพื่อนคนนั้นช่างทรยศกับมิตรภาพเสียจริงนะ ....” ยะหยารู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มตรงหน้านี้
“มีเพื่อนทรยศแบบนี้ ฆ่ามันก็ดีแล้ว .... ” อายะกัดฟันก่อนที่จะกำด้ามขวานเอาไว้แน่น เธอเองก็เคยมีประสบการณ์เลวร้ายเกี่ยวกับคำว่า ‘เพื่อน’ เหมือนกัน
“แล้วพี่ยะหยาล่ะครับ เข้ามาที่นี่เพราะอะไร ....” แอมป์พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุดก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวที่รู้สึกตกใจเมื่อถูกถามเช่นนั้น
“คือพี่ ....”
“เงียบก่อน ....” ยังไม่ทันที่ยะหยาได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนัก จู่ ๆ อายะก็บอกให้เธอเงียบลงจนน่าสงสัย
“แต่ว่า ....”
“ฉันบอกให้เงียบก่อนไง!!” อายะพยายามรวบรวมสติและสั่งให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ราวกับถูกมนต์สะกด ยะหยาและแอมป์ได้แต่มองหน้ากันก่อนที่จะเงียบเสียงตามที่อายะพูด
สวบบบบบ!!
“เสียงอะไรน่ะ ...” ยะหยามองซ้ายขวาก่อนที่จะรีบหยิบเลื่อยไฟฟ้าขึ้นมาไว้ในมือ นอกจากแสงไฟจากคบเพลิงไม้สักแล้ว เธอไม่สามารถมองเห็นอะไรนอกจากความมืดมิดนั้นเลย
“เกมเริ่มแล้ว ...” อายะกำด้ามขวานเอาไว้แน่น สีหน้าที่เบื่อหน่ายเริ่มเปลี่ยนเป็นความสนุกสนาน
เธอจะได้เริ่มเปิดฉากฆ่าคนอีกครั้งแล้ว ....
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังมาจากมุมมืดก่อนที่จะมีร่างใหญ่ของใครบางคนวิ่งมาพร้อมกับมีดสั้น หัวที่ยุ่งเหยิงของมันดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกโรคจิต
“กระจอก!” อายะบ่นก่อนที่จะกระทุ้งด้ามขวานใส่หน้าและจามขวานลงกลางศีรษะของผู้ชายคนนั้น เลือดสีเข้มกระเด็นเปรอะเสื้อสีดำของหล่อน เธอกระชากขวานออกมาจากหนังศีรษะที่น่ารังเกียจนั้นก่อนที่จะตะบันคอของเขาให้ขาดกระจุยออกจากบ่า
หัวที่ไร้ร่างกายนั้นลอยไปตามแรงเหวี่ยงของลมก่อนที่จะไปกระแทกกับเสาหินละกลิ้งอยู่ข้าง ๆ เสาต้นนั้น เขาคิดผิดแล้วที่วิ่งเข้ามาโดยที่ไม่ดูอะไรให้ดีดี
ว่าเขาเองเจอคนที่โรคจิตกว่าเขาเยอะ!
“ข้างหลัง!” สิ้นเสียงของอายะ ยะหยาสตาร์ทเลื่อยไฟฟ้าในมือก่อนที่จะหันหลังไปปะทะกับปีศาจอีกตัวที่ลอบมาจากทางด้านหลัง
“รังแกผู้หญิงนี่ไม่ไหวเลยนะ” ยะหยามองหน้าของปีศาจหนุ่มฉกรรจ์ก่อนที่ใบเลื่อยจะเข้าไปเฉือนผิวหนังหน้าท้องของมัน ท้องเริ่มขาดแยกออกจากกัน เสื้อของนักโทษสีน้ำตาลฉีกขาดจากความรุนแรงของใบเลื่อยส่งผลให้ล้ำไส้ของมันลงมากองกับพื้นหญ้าอย่างรวดเร็ว เลือดเริ่มไหลซึมออกจากปากก่อนที่ร่างนั้นจะร่วงลงไปอย่างช้าๆ
“มีอีกคน ...” อายะพูดเบา ๆ ประสาทสัมผัสของเธอช่างดีเยี่ยมกว่ายะหยาและแอมป์ มีเพียงเด็กหนุ่มอายุน้อยคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่กล้าจับอาวุธ เขามองไปรอบๆตัวด้วยความหวาดกลัว
เขาอายุน้อยเกินกว่าที่จะฆ่าคน!
“หลบไป!” อายะผลักแอมป์ก่อนที่จะศรธนูจะพุ่งมาปักอยู่ที่เสาหิน เธอรีบวิ่งไปหยิบธนูก่อนทีจะจับดอกธนูทั้งสามดอกขึ้นมาไว้ในมือ
สวบบบบ!!
สิ้นเสียงการเคลื่อนไหว อายะโก่งคันธนูก่อนที่จะยิงศรออกไปทั้งสามดอกพร้อมกัน เธอหวังว่าจะต้องมีสักดอกที่โดนมันเป็นแน่
ตุบ!
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างร่วงลงไปกับพื้น ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงสายลมที่พัดผ่านคบเพลิงและพวกเขาทั้งสามคนไปอย่างเงียบเชียบ
“นายนี่มันอ่อนแอเกินกว่าจะเล่นเกมต่อจริง ๆ นะ” อายะจ้องมองแอมป์อย่างเอาเรื่อง เธอขว้างธนูลงพื้นก่อนที่จะนั่งลงบนโขดหิน ดูท่าว่าภารกิจของพวกเขาในค่ำคืนนี้จะจบลงแล้ว
“ผมขอโทษ ....” เขาก้มหน้ารับผิด ทั้งทั้งที่เขาเป้นผู้ชายแต่กลับต้องมาโดนผู้หญิงว่าเอาแบบนี้ น่าอายชะมัด
“จำไว้นะแอมป์ ถ้านายไม่ฆ่ามัน ... มันก็จะฆ่านาย มันไม่เลือกหลอกนะ ว่านายเป็นเด็กแล้วมันจะเว้นไว้น่ะ” ยะหยาพูด ในตอนนั้นเองที่เธอเห็นอะไรบางอย่างวิ่งผ่านคบเพลิงไป ด้วยความตกใจจึงทำให้เธอหันไปมองอีกครั้ง หากแต่ว่าไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งนั้น
พี่ยาหยี .. หรือเปล่า ...
“ถ้านายยังแกร่งไม่พอ ... ไม่มีความสามารถในฆ่าพวกปีศาจฆาตกรที่อยู่ตรงหน้าล่ะก็ .... ออกไปจากที่นี่ซะ มันไม่ใช่โรงเรียนอนุบาลที่จะปล่อยให้เด็กไร้คามสามารถมาวิ่งเล่น ... เข้าใจไว้ด้วย ที่นี่นะ อันตรายกว่าที่เธอคิดเอาไว้เยอะ!” อายะพูดได้แค่นั้นก่อนที่จะนั่งอยู่บนโขดหินอีกครั้ง
ฉากการต่อสู้ทุกอย่างนั้นถูกบรรจุอยู่ในดวงตาของเด็กสาวที่อยู่ในโดมแก้ว เธอเฝ้ามองการต่อสู้ที่จบลงอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของเด็กสาวทั้งสอง
“เธอสองคน ... นี่มันเลือดเย็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริง ๆ ด้วย” มิ้วอมยิ้มออกมาอย่างมีเลสนัย เธอประเมินนิสัยของอายะและยะหยาต่ำเกินไป
ทั้งในเรื่องของนิสัยใจคอ และทักษะการต่อสู้มากมายที่เธอได้เห็นจากทั้งสองสาวเมื่อครู่ คงมีอะไรที่น่าค้นหาจากสองสาวนี้อีกเยอะ
ถ้าฉันได้อยู่เวรคู่กับสองคนนี้ คงสนุกดีนะ .... !
ความคิดเห็น