ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คืนปรารถนา

    ลำดับตอนที่ #1 : คืนปรารถนา บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.17K
      14
      20 ก.พ. 52

    คืนปรารถนา บทที่ 1
     
    เข็มยาวของนาฬิกาขยับมาบรรจบที่เลขสิบสอง มันบอกเวลาสองทุ่มตรงซึ่งเลยเวลาเลิกงานมาครบสองชั่วโมงพอดีแล้ว หากมิลินท์ยังไม่ได้กลับบ้านเหมือนเพื่อนพนักงานคนอื่นทั้งที่มันเป็นวันศุกร์ซึ่งหลายๆ คนมักจะออกไปฉลองวันทำงานสุดท้ายของสัปดาห์ เนื่องจากเธอเพิ่งจะเคลียร์งานที่ค้างไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์เสร็จ และตอนนี้เธอกำลังพักสมองด้วยการเล่นอินเตอร์เน็ตสักนิดก่อนจะกลับหอพัก เพราะที่นั่นไม่มีทั้งคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตให้เธอใช้งานนั่นเอง
     
    เธอท่องเว็บไซด์มาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เธอกำลังจดจ้องอยู่กับเว็บไซด์ดาราและแฟชั่นที่เธอมักจะเข้าไปอ่านเป็นประจำ เธอเกือบจะมองผ่านข่าวซุบซิบในหน้าเว็บเพจที่เธอเพิ่งคลิกเข้าไป ถ้าเธอไม่สะดุดหัวข้อข่าวตัวโตที่เขียนว่า
     
    ‘ตะลึง! อชิระ ไฮโซหนุ่มลูกนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นลูกนอกสมรสของม่ายสาวร้อยล้าน’
     
    พระเจ้า เรื่องในวันนั้นใช่ไหม มันแพร่ออกไปได้ยังไง และแพร่ออกไปเร็วขนาดนี้ได้ยังไง นี่เพิ่งจะผ่านมาสองวันเองไม่ใช่หรือ
     
    เพียงแค่อ่านหัวข้อข่าว มิลินท์ก็สรุปเนื้อหาได้ในทันที เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องอะไร เพราะเธออยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเธอสอดรู้สอดเห็นเรื่องเจ้านายหรอกนะ แต่ ‘บังเอิญ’ ว่าเธอโผล่หน้าเข้าไปผิดจังหวะนิดหน่อย เธอจึงได้รับรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงทั้งหมดของชายที่เธอแอบชอบ...ชายที่เธอไม่อาจเอื้อมถึง...เจ้านายของเธอ
     
    เอ่อ แต่เมื่อมาคิดดูดีๆ เธอก็อาจจะสอดรู้สอดเห็นนิดหน่อย...ก็นะ ตอนที่เธอได้ยินพวกเขา...อชิระ เจ้านายของเธอ กับสรียา ม่ายสาวในข่าว...พูดเกี่ยวกับฐานะที่แท้จริงของอชิระและสมบัติส่วนตัวที่สรียาคาดหวังจะมอบให้แก่บุตรชายนอกสมรส มันชวนให้หูของเธอกระดิกด้วยความอยากรู้ไม่ใช่น้อย เธอจึงเผลอยืนฟังอยู่นาน และเธอก็มารู้สึกตัว ถูกจับได้เอาตอนที่บานประตูห้องทำงานที่เธอเอียงหูฟังกระเท่เร่ถูกกระชากเปิด พร้อมๆ กับร่างสูงตระหง่านของอชิระที่ผลุนผลันออกมา
     
    โอ เธอจำวินาทีนั้นได้แม่นยำเลยทีเดียวเชียวล่ะ สายตาโกรธเกรี้ยวของเขาพุ่งกราดมาทางเธอ สายตาที่บ่งบอกว่าถ้าเธอพูดอะไรที่เธอได้ยินออกไป เธอจะต้องตายแน่...ตายอย่างทรมานซะด้วย
     
    เพียงแค่เขามอง เธอก็กลัวเขาหัวหด แต่เธอก็รักเขาด้วยเช่นกัน ไม่สิ...อาจจะเรียกว่ารักไม่ได้ น่าจะเรียกว่าหลง...หรือชอบมากกว่ามั้ง เพราะเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความรักที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เธอก็เคยประสบพบเจอแต่ปั๊บปี้เลิฟ ไม่เคยเจอรักที่เธอใฝ่หาสักที...รักร้อนแรง รักที่ขาดไม่ได้ รักแบบโรมานซ์หวานซึ้ง รักแบบที่เธออ่านเจอในนิยาย
     
    โดยไม่พูดอะไร อชิระก็ตวัดสายตากลับและเดินจากไปโดยไม่สนใจทั้งเธอ หรือสรียา...แม่ของเขา...ที่วิ่งตามเขาไปเลย ในตอนนั้นเธอคิดว่าเขาช่างดูเย็นชาน่ากลัว
     
    นับจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว เป็นสองวันที่เธอจมอยู่ในความตึงเครียด...ซึ่งส่วนใหญ่แพร่กระจายราวกับเชื้อโรคออกมาจากตัวเจ้านายของเธอนั่นเอง
     
    แม้เธอจะไม่ได้พบปะเขาตัวเป็นๆ เลยในระหว่างสองวันนี้ เนื่องจากเขาสั่งงานเธอผ่านทางโทรศัพท์ แต่กระแสเสียงของเขาที่ดังผ่านกระบอกสื่อสารก็เต็มไปด้วยความเครียดขึงคล้ายปมที่ขมวดแน่น ในสาย เขาสั่งแต่งานที่จำเป็นจริงๆ และเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วย ซึ่งมันทำให้เธอเป็นกังวล เธอรู้สึกราวว่าเธอกำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นทะเลราบเรียบสงบสุขก่อนพายุร้ายจะเข้าครอบครองและทำให้ท้องทะเลปั่นป่วน
     
    ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเลื่อนลงต่ำลงมา เธออ่านเนื้อความคร่าวๆ จับใจความได้ว่า ความลับยิ่งใหญ่ของแม่ม่ายหมาดๆ ตระกูลปักษาสวรรค์ถูกเปิดเผย ปรากฎว่าสรียาซุกซ่อนลูกนอกสมรสเอาไว้ และมันก็ยิ่งทำให้ผู้คนตื่นตะลึงเมื่อพบว่าเธอมีลูกคนนี้ระหว่างที่เธอยังแต่งงานอยู่กินกับสามีที่เพิ่งเสียชีวิตไป และข่าวก็ยิ่งทวีความรุนแรงใหญ่โตเมื่อพบว่าลูกนอกสมรสที่ว่าคืออชิระ หนึ่งในทายาทของเจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
     
    ไม่ผิดเพี้ยนเลย ไม่ผิดไปจากที่เธอบังเอิญได้ยินสักนิด
     
    แล้วนี่คุณต้นรู้เรื่องหรือยัง และถ้ารู้แล้ว เขาจะทำหน้ายังไง เธอนึกถึงเจ้าของเรื่องขึ้นมาโดยพลัน และจากปฏิกิริยาของเขาในวันนั้น เธอเชื่อว่าถ้าเขารู้ เขาจะต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
     
    แล้วมิลินท์ก็ต้องสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นยืนฉับพลันเมื่อประตูห้องทำงานของเธอ ซึ่งเป็นห้อง...โต๊ะ...ที่อยู่ก่อนห้องทำงานของอชิระเปิดผางออก
     
    เจ้าของห้องมาแล้ว!
     
    อชิระยืนจังก้าอยู่หน้าประตู เขาแต่งตัวลำลองด้วยเสื้อยืดแขนสั้นสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีด ต่างไปจากตอนทำงานที่เธอมักเห็นเป็นประจำ หากสีหน้าของเขาไม่ได้ลำลองสบายๆ เหมือนเสื้อผ้าที่เขาสวมเลย สีหน้าของเขาดูมืดหม่นครุ่นคิดและทะมึนทึมน่ากลัว
     
    โอ คุณต้นไม่ใช่ ‘ไม่พอใจมาก’ แต่ไม่พอใจมากของมากเลยเชียวล่ะ เธอยืนตะลึงมองเขาสะบัดประตูปิดและเดินดุ่มมาทางเธอ สีหน้าของเขาโกรธกรุ่นราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิด
     
    ทำไมเขาจึงมาที่นี่เอาป่านนี้ มิลินท์สงสัย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยแวะมาที่ทำงานเอาค่ำๆ มืดๆ แบบนี้นะ แต่เขาไม่เคยมาพร้อมด้วยอาการของคนโมโหโทโสเช่นนี้ต่างหาก
     
    พระเจ้า เขารู้แล้วใช่ไหม ข่าวซุบซิบที่เพิ่งจะผ่านสายตาวาบเข้ามาในความคิด
     
    เขาต้องรู้ ‘มัน’ แล้วแน่ๆ เธอไม่เคยเห็นเขาโกรธมากขนาดนี้มาก่อน จะว่าไป เธอไม่เคยเห็นเขาโกรธเลยต่างหาก เธอทำงานกับอชิระมาได้เกือบปี และเธอก็เรียนรู้ว่าเจ้านายของเธอเป็นคนเงียบขรึมจริงจัง แต่ไม่ใช่ดุร้ายเกรี้ยวกราดเช่นนี้
     
    อชิระยิ้มแสยะที่มุมปาก เขาไม่คาดหวังเต็มร้อยว่าจะได้เจอมิลินท์ในที่ทำงาน แต่เขาก็ลองเสี่ยงมา เขาต้องการเผชิญหน้ากับเธอ เขาต้องการคำตอบจากเธอ และเห็นได้ชัดว่าเขาเสี่ยงทายถูก
     
    “มิลินท์ ตามฉันเข้ามาในห้อง!” เขาสบตาเธอแวบเดียวขณะสั่งเสียงแข็งเกือบจะเป็นเสียงตะคอก ก่อนจะเดินผ่านเธอเข้าไปในห้องทำงานของเขา ซึ่งเป็นห้องทำงานที่ใหญ่กว่าห้องของเธอเกือบเท่าตัว
     
    เธอได้ยินเสียงเขาตบแผงไฟดังปังน้อยๆ ดวงไฟในห้องมืดของเขาสว่างโร่ เธอเหลียวหลังไปมอง และไม่เห็นอะไรนอกจากม่านมูลี่สีขาวผ่านบานกระจกใส
     
    “มิลินท์! เข้ามาได้แล้ว” คราวนี้เขาตะโกนเสียงดังอย่างไร้ความอดทน
     
    “ค่ะ ค่ะ” หญิงสาวผวาไปข้างหน้าทันที มือสั่นระริกของเธอบิดลูกบิดและดึงประตูให้เปิดออก เธอเดินเข้าไปข้างในด้วยแข้งขาที่ไม่มั่นคง เธอไม่รู้ว่าเขาจะเรียกเธอเข้าไปคุยเรื่องอะไร แต่เธอสังหรณ์ใจไม่ดีเลย
     
    อชิระไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานหรือที่โซฟาชุดเล็กมุมห้อง ทว่าเขากำลังยืนอยู่กลางห้อง เขาดูเหมือนคนที่โกรธคนทั้งโลก เธอไม่ชอบที่เขาเป็นแบบนี้เลย เขาไม่ถามเสียด้วยซ้ำว่าทำไมเธอยังไม่กลับบ้าน
     
    มันเป็นที่รู้กันว่าเธอมักจะอยู่เคลียร์งานในเย็นวันศุกร์เพื่อไม่ให้งานที่ทำมาทั้งอาทิตย์คั่งค้าง บางครั้งอชิระก็มีแวะเวียนเข้ามาที่ทำงานยามเย็น ถ้าเขาเห็นเธอกำลังทำงานงกๆ เขาก็มักจะไล่ให้เธอกลับบ้านไปพักผ่อนแล้วค่อยมาเคลียร์งานต่อในวันจันทร์ จะว่าไป ถ้าไม่นับความเงียบขรึมแกร่งกร้าวอันเป็นบุคลิกที่ทำให้เขาเป็นคนเข้าถึงยากแล้ว เขาก็เป็นเจ้านายที่นิสัยดีไม่ใช่น้อย
     
    “เธอเอาเรื่องของฉันไปเผยแพร่ทำไม” คำถามพุ่งเข้าหาเธอประดุจศรธนู มันทิ่มทะลุกลางอกของเธอพอดิบพอดี
     
    “ระ...เรื่องอะไรคะ มิลินท์...มิลินท์ไม่ทราบ...ไม่เข้าใจ” ดวงตาของเขาแผดเผาเธอไม่ต่างจากคำถาม มันทำให้เธอกลัวจนพูดตะกุกตะกัก เหงื่อแตกซิก ไม่ต่างจากหัวขโมยที่ถูกสอบสวน
     
    “เธอยังกล้ามาถามฉันอีกเรอะว่าเรื่องอะไร!” สีหน้าไร้เดียงสาและน้ำเสียงซึ่งดูซื่อบริสุทธิ์ของแม่เลขาฯ ตัวน้อยที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทำให้เขาโมโห ถ้าไม่นับวีระ พ่อของเขา วันวิสา แม่...ไม่สิ แม่เลี้ยงของเขา วชิระ พี่ชายต่างแม่ของเขา และสรียา ที่รู้เรื่องนี้ ก็มีเธออีกคนที่รู้ เธอซึ่ง ‘บังเอิญ’ ได้ยินการสนทนาระหว่างเขากับสรียาในวันนั้น
     
    เขาไม่คิดว่าคนในครอบครัวของเขา หรือคนนอกครอบครัวอย่างสรียา จะเอาเรื่องฉาวโฉ่ขนาดนี้ไปป่าวประกาศให้โลกรู้ เพราะไม่อย่างนั้นมันก็คงจะไม่ถูกเก็บไว้เป็นความลับนานเกือบสามสิบปีหรอก ดังนั้นจึงเหลือแต่มิลินท์คนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนทำ เขาจำได้ดีว่าวันนั้นเธอดูกระตือรือร้นสนใจขนาดไหน เธอถึงกับเอาหูแนบประตูฟังการสนทนาอย่างตั้งใจ และเธอก็ฟังเพลินจนไม่รู้ว่าเขากำลังเปิดประตูบานที่เธอกำลังแนบหูอยู่ เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นั่นนานขนาดไหน แต่ถ้าดูจากข่าวซุบซิบที่อ่านผ่านๆ เขารู้ว่าเธออยู่ที่นั่นเกือบตั้งแต่ต้น มันทำให้เขาโมโหแทบคลั่ง เลขาฯ ที่เขาไว้ใจ คนที่ควรเป็นคนเก็บความลับให้เขา กลับเอาความลับของเขา...ผู้เป็นเจ้านายไปเผยแพร่
     
    “เรื่องอะไรของฉันล่ะที่ตอนนี้มันหราไปทั่วเว็บไซด์และหนังสือพิมพ์” วันนี้มีคนส่งข่าวจากเว็บไซด์ซุบซิบดาราและคอลัมน์ซุบซิบจากหน้าหนังสือพิมพ์มาให้เขา มันเป็นข่าวเกี่ยวกับเขาและสรียา ซึ่งโผล่ผุดเป็นดอกเห็ดภายในสองวันหลังจากที่เธอมาขอพบเขา...ฮึ เธอกล้ามาขอพบเขาทั้งที่เธอไม่เคยปรากฎตัว ไม่เคยแสดงตัวว่าเป็นแม่ที่แท้จริงของเขา แต่กลับปล่อยให้เขาเข้าใจว่าตัวเองเป็นลูกของวันวิสามาโดยตลอด เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ดวงตาธรรมดันโผล่ขึ้นมาพอดีอย่างงั้นรึไง
     
    “ระ...เรื่องเมื่อวันก่อน” มิลินท์เผลอก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ เธอรู้สึกกลัวอชิระ ทั้งที่เขายังคงปักหลังอยู่ที่เดิมและไม่มีวี่แววว่าจะกระทำการคุกคามเธอแต่อย่างใด ยกเว้นการคุกคามด้วยสายตาและคำพูด
     
    “ใช่ เธอเป็นคนเดียวที่รู้ความลับของฉัน” ชายหนุ่มบดฟันกรอดๆ ความอดทนท้วมท้นปลายยอดของปรอทวัดอุณหภูมิอารมณ์
     
    “ตะ...แต่มิลินท์...ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง” มิลินท์ปฏิเสธ น้ำเสียงของเธอขาดความหนักแน่นเมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้จนแทบอยู่ชิดตัวเธอ
     
    “แล้วมันจะกลายเป็นข่าวไปได้ยังไง พรายกระซิบงั้นรึ พรายกระซิบที่ชื่อมิลินท์หรือเปล่า” อชิระไม่คิดจะให้ใครมารับรู้ความลับของเขา...ความลับที่เขาเพิ่งรู้ มันทำให้เขากลายเป็นไอ้ขี้แพ้ ไอ้นอกคอก ไอ้ลูกชู้ มันกระชากเขาลงมาจากบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่
     
    เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมครอบครัวของเขาถึงได้เย็นชาและทำราวว่าเขาเป็นคนนอก แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไม เขาเป็นความผิดพลาดของพ่อ เขาเป็นหลักฐานตอกย้ำให้แม่...แม่เลี้ยง...ให้ตาย เขายังไม่ชินกับคำว่าแม่เลี้ยง เพราะเขาคิดว่าวันวิสาเป็นแม่ของเขามาโดยตลอด...รู้ว่าพ่อนอกใจ เขาเป็นหนามยอกอกของพี่ชาย เพราะเขาเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในสมบัติที่ควรจะเป็นของวชิระคนเดียว แต่วชิระโชคดีที่ไม่ได้ถูกเขาแย่งความรักจากพ่อแม่ไปด้วย แต่เขายอมแลกสมบัติกับความรักจากพ่อแม่ แต่มันคงจะไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะยิ่งข่าวนี้รั่วออกไป เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมาหัวเน่าที่ทุกคนรังเกียจ
     
    พ่อซึ่งปรกติก็เหินห่างกับเขาอยู่แล้วยิ่งเดินห่างจากไปไกล แม่เลี้ยงของเขาเย็นชาใส่เขายิ่งกว่าเดิม พี่ชายต่างแม่ของเขาหัวเราะเยาะเขาทั้งแววตาและคำพูด รินลดา ผู้หญิงที่เขากำลังคบหาบินปร๋อไปจากเขาทันทีที่รู้ข่าว ส่วนคนอื่นที่ทราบข่าวก็เห็นเขาเป็นตัวตลก ตัวประหลาด นินทากาเลเทสีใส่ไข่เขาจนเป็นที่สนุกปาก
     
    “แต่มิลินท์ไม่ได้ทำจริงๆ นะคะ” หญิงสาวครางเสียงอ่อน ทำไมเขาจะต้องมาโทษเธอด้วย เธอไม่ได้ทำจริงๆ นะ ถึงแม้เธอจะเผลอแอบฟังเรื่องของเขาก็เถอะ แต่เขาก็น่าจะรู้นักนิสัยของเธอ เธอเป็นเลขาฯ ที่เขาไว้ใจ เขารู้จักเธอมากว่าหนึ่งปีแล้ว เขาน่าจะรู้ว่าเธอไม่มีทางที่จะหักหลังเขาหรือทำแบบนี้กับเขาได้...ไม่ใช่กับเขา ไม่ใช่กับเจ้านาย ไม่ใช่กับคนที่เธอแอบชอบ
     
    “อย่ามาโกหกฉันนะ มิลินท์” มือของเขาตะปบลงบนไหล่ของเธอ เขาเขย่าตัวเธอจนหัวเธอโยกคลอนไปหมด “สารภาพมาเสียดีๆ ฉันผิดหวังกับเธอเหลือเกิน เธอทำแบบนี้ได้ยังไง” น้ำเสียงในตอนท้ายของเขาอ่อนลง ราวกับว่าเขารู้สึกเสียใจในสิ่งที่เขาเข้าใจว่าเธอทำลงไปจริงๆ
     
    “คุณต้น ปล่อยเถอะค่ะ มิลินท์เจ็บ” มิลินท์ขอร้องพลางพยายามบิดตัวหนีจากเขา แต่เขาแรงเยอะกว่ามาก เธอจึงยังคงอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเขา
     
    “ปากสวยๆ แบบนี้ ทำไมช่างโกหกได้อย่างไม่ละอายใจเอาเสียเลย” อชิระบีบแขนเธอแรงขึ้น ความโกรธเกรี้ยวเปรียบประดุจได้กับควันที่โปรยทับม่านตาของเขา เขามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความโกรธแค้นที่มีต่อเลขาฯ สาว
     
    “คุณต้น มิลินท์ไม่ได้ทำจริงๆ แล้วจะให้มิลินท์ยอมรับได้ยังไง” เมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ มิลินท์ก็เริ่มใช้ไม้แข็ง เธอยืนยันหนักแน่น เธอดิ้นรนและใช้สองมือดันหน้าอกเขาอย่างแรง ถึงเขาจะเป็นเจ้านาย ถึงเขาจะเป็นคนที่เธอชอบ แต่มาใช้กำลังกันแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
     
    “คุณต้น อย่ามาโทษกันแบบนี้สิ ไม่แฟร์เลย ปล่อยมิลินท์เดี๋ยวนี้นะ” เธอผลักไสแรงขึ้น จังหวะที่เผลอทำให้เขาเซไปนิด เธอหนีจากเขาได้สำเร็จ และวิ่งไปที่โต๊ะ คว้ากระเป๋าสะพายที่วางไว้ใกล้คอมพิวเตอร์ขึ้นมา เธอไม่สนใจจะปิดคอมพิวเตอร์สักนิด ไม่มีเวลาแล้ว เธอควรจะไปจากที่นี่โดยไวเพราะอชิระไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าใจเหตุผลใดๆ เธอสะพายกระเป๋าและหันกลับไป ก่อนจะปะทะกับเจ้านายที่ตามติดเธอมา
     
    “คุณต้น กรุณาฟังกันบ้าง มิลินท์บอกว่าไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำสิ ขอโทษนะคะ ขอทางด้วย มิลินท์จะกลับบ้านแล้ว” เธอประกาศและเดินหน้า ทว่าก็ถูกเขากระชากตัวกลับมาหา กระเป๋าที่ถือไว้หลวมๆ ร่วงหล่นลงพื้นดังตุ้บ
     
    “คุณต้น! ปล่อยนะ มิลินท์จะกลับบ้านแล้ว ไว้ให้คุณต้นอารมณ์เย็นว่านี้ มีเหตุผลกว่านี้ แล้วเราค่อยมาคุยกัน” ความควบคุมตัวเองที่เลือนรางของอชิระทำให้เธอขัดขืนดิ้นรนและรัวกำปั้นทุบเขาเป็นพัลวัน แต่เขากลับรัดเธอแน่นขึ้นๆ จนเธอแทบหายใจไม่ออก เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีน้ำตาลของเธอมีน้ำตาคลอ มันแฝงด้วยความเจ็บปวดและไม่เข้าใจ
     
    “เธอต้องการอะไร แกล้งให้ฉันขายขี้หน้างั้นรึ” ดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตาของเธอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสงสารสักนิด หากมันเป็นเชื้อไฟที่ดีสำหรับกองเพลิงแห่งความพิโรธ “หรืออยากจะให้รินลดาทิ้งฉัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงจะสมใจเธอแล้ว” เขาโน้มหน้าลงมาจนลมหายใจร้อนผ่าวของเขาระอยู่ที่ปลายจมูกของเธอ
     
    มิลินท์กะพริบตา น้ำตาไหลลงมาข้างแก้ม เธอมองเขาอย่างงุนงง เขา...เขาถูกคุณรินทิ้งอย่างงั้นหรือ
     
    “ว่ายังไง มิลินท์” อชิระตะคอกจนเธอสะดุ้ง
     
    เปล่า เธอไม่ได้สะใจเลย เธอไม่คิดจะสะใจทั้งเรื่องที่เขาถูกรินลดาทิ้ง หรือเรื่องที่เขาเป็นลูกชู้ แต่เธอช็อกและเสียใจแทนเขา เธอรู้ว่าคนอย่างเขาจะขายหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เธอไม่ได้เป็นคนทำ เธอไม่เคยต้องการทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของสังคม
     
    “มิลินท์ไม่ได้ต้องการอะไร” สะใจงั้นรึ...เขาพูดมาได้ยังไง เธอไม่กล้าจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบสาวไฮโซผู้อยู่ในสังคมระดับเดียวกับเขาอย่างรินลดาได้อยู่แล้ว เธอจึงได้แต่มองเขาอยู่ห่างๆ ราวว่าเขาเป็นรูปเคารพที่ควรค่าแก่การบูชา มากกว่าชายที่มีเลือดเนื้อจริงๆ ที่กำลังยืนแนบชิดติดกายเธอ ณ ขณะนี้ “และก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
     
    “เธอต้องการฉัน ฉันเห็นมันในดวงตาเธอ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอคิดอะไรกับฉัน มิลินท์” อชิระรู้ว่าเลขาฯ ของเขาคิดยังไงกับเขา ดวงตาของเธอไม่ค่อยจะปกปิดความลับสักเท่าไหร่ มันทำให้เขารู้ได้ไม่ยากว่าเธอปลื้มเขา ความจริงเขาควรจะรำคาญใจที่เลขาฯ ผู้ใกล้ชิดทำตัวเป็นเด็กสาววัยรุ่นแอบชอบรุ่นพี่หนุ่ม หากน่าแปลกใจที่เขากลับไม่ว่ากระไร แถมบางครั้งยังมีเอ็นดูเธออีกด้วย...แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเอ็นดูผิดคน...เขาเอ็นดูงูเห่าไม่รู้จักบุญคุณคน
     
    หญิงสาวช็อก ดวงตากลมสีน้ำตาลใสเบิกกว้าง เรื่องหนึ่งถูกเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างรวดเร็ว “คุณต้นรู้” เธอไม่คิดว่าเขาจะรู้ เธอไม่เคยคิด เพราะไม่งั้นเธอคงจะขัดเขิน ไม่กล้ามองหน้าเขาแน่ๆ
     
    “ใช่ ฉันรู้”
     
    “ตะ...แต่มัน...ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
     
    “เกี่ยวสิ มันเกี่ยวไปแล้ว” ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหมดแล้ว
     
    “คุณต้น มิลินท์ไม่ได้ทำจริงๆ นะคะ ได้โปรดเชื่อเถอะ”
     
    “ฉันไม่เชื่อ หลักฐานทุกอย่างมันชี้มาที่เธอ” เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่านอกจากมิลินท์แล้วจะมีใครอื่นได้ พ่อของเขาไม่คิดจะเอาเรื่องอัปยศแบบนี้ไปเปิดเผยอยู่แล้ว ใครจะอยากได้ชื่อว่าเป็นชายชู้ของคนอื่น ไม่ต่างจากวันวิสาที่คงจะไม่อยากให้คนนอกเห็นว่าเธอเป็นภรรยาที่ไม่เอาไหน สามีต้องออกไปหาความสุขข้างนอก ส่วนสรียา ถ้าเธออยากจะเปิดเผย เธอคงจะทำมาตั้งนานแล้ว ไม่มารอให้เป็นข่าวฉาวเอาป่านนี้หรอก และวชิระ แม้จะไม่ได้ชอบพออะไรกับเขานัก แต่วชิระก็รักหน้าตาและชื่อเสียงเหมือนเขา ไม่มีทางที่วชิระจะเป็นคนปล่อยข่าวอื้อฉาวที่จะลากให้ตัวเองลงน้ำเน่าไปด้วยหรอก ดังนั้นก็เหลือเพียงแค่มิลินท์ คนนอกซึ่ง ‘บังเอิญ’ แอบฟังบทสนทนาของเขากับสรียาเท่านั้น
     
    “มันไม่ใช่หลักฐาน มันเป็นแค่ข้อกล่าวหาลอยๆ” เธอโต้กลับ ชักจะโมโหความเชื่อผิดๆ อันแสนจะดื้อด้านของเขา ทำไมเขาต้องคิดว่าเธอเป็นคนทำ ทั้งที่ไม่ได้มีแต่เธอที่รู้ความลับนี้
     
    “อ้อ เพราะรู้ว่าไม่มีหลักฐาน ก็เลยไม่กลัวอะไร” อชิระถามเยาะๆ “สนุกนักใช่ไหมที่เล่นกับความอับอายของคนอื่น” ใบหน้าของเขาขยับเข้ามาใกล้อีก คราวนี้มันชิดแนบกับใบหน้าของเธอจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ ลมหายใจร้อนๆ ของเขารินรดเธอ เธอทั้งตื่นตระหนกและวาบหวาม เธอพยายามยันหน้าอกของเขา ไม่ให้เขาขยับเข้ามาใกล้กว่านี้ แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากการดันหินผา ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอไม่มีวันเคลื่อนจะมันได้สำเร็จ
     
    “งั้นฉันจะช่วยเพิ่มความสำเร็จให้กับเธออีกอย่างก็แล้วกัน” น้ำเสียงของเขาเหื้ยมเกรียม
     
    “คุณต้น...” มิลินท์ไม่ได้โต้แย้งจนจบ เพราะริมฝีปากของอชิระปิดเสียงของเธอเสียก่อน
     
    จูบของเขาดุดันราวกับจะลงโทษ ริมฝีปากกระด้างของเขาบดขยี้ปากเธอ มิลินท์ดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของเขาอย่างตระหนกตกใจ ยิ่งเธอดิ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจุมพิตเธอรุนแรงเท่านั้น เขาขโมยลมหายใจของเธอ เขาจูบจนเธอหายใจไม่ออก ร่างของเธออ่อนระทวย แข้งขาไร้เรี่ยวแรง และเธอก็คงจะล้มลงไปแล้วถ้าไม่มีสองมือของอชิระประคองเอาไว้
     
    เธอไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลย และเธอก็ยิ่งไม่ต้องการเมื่อจูบกร้าวร้าวของเขากลายเป็นจูบที่อ่อนหวาน...จูบที่ทำให้เธอเผลอไผลและต่อต้านไม่ได้ เขาแทรกลิ้นเข้ามาข้างใน เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเธอ เธอไม่เคยถูกจูบมาก่อน เธอไม่รู้เลยว่าจูบจะเป็นแบบนี้ มันทั้งอ่อนหวาน ร้อนเร่า และทำให้เธอหลอมละลายเหมือนก้อนแป้งเละๆ
     
    ท่าทีขัดขืนแต่แรกของเธอเลือนหายไปอย่างช้าๆ มือของเธอที่วางอยู่บนหน้าอกของเขาค่อยๆ ขยับเลื่อนขึ้นไปคล้องรอบคอเขา และลูบไล้ผมนุ่มสีเข้มของเขาอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เธอกระหายใจตัวเขา และเธอก็จูบตอบเขาอย่างลืมตัว...ลืมหัวใจ   
     
    เธอแทบไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเขาคลายอ้อมแขนของเขาจากการกักกัน เหลือแต่เพียงกอดเธออย่างอ่อนโยนเท่านั้น เขาหยุดจูบและก้มมองเธอ เธอเห็นเปลวไฟในดวงตาของเขา ทว่ามันไม่ได้เป็นเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นเปลวไฟที่เต็มไปด้วยพิศวาสราคะ
     
    ชายหนุ่มสบตาเธอก่อนจะดึงเธอเข้าไปจูบอีก เขาลิ้มละเลียดริมฝีปากของเธอ มันหวานล้ำและฉ่ำชื้นราวกับผลไม้จากสรวงสวรรค์ มือใหญ่โตของเขาเสาะหาเนื้อนวลภายใต้อาภรณ์ที่ปกปิด เธอครางเสียงพร่า ความร้อนแล่นพล่านจากจุดที่เขาสัมผัสเรื่อยลงไปยังศูนย์กลางของร่างกายเธอ ประกายแห่งความปรารถนาลุกโพลง ความรู้สึกของเธอดำดิ่ง เขากำลังพาเธอจมลึกลงไปในทะเลเพลิงวาบหวาม แต่เธอไม่แคร์ เธอไม่แคร์ว่าก่อนหน้าเขาโกรธแค้นอะไรเธอ เธอรู้แต่ว่าเธอพอใจกับการปรนเปรออย่างลึกซึ้งของเขา แล้วมิลินท์ก็ตระหนักได้ในวินาทีนั้นว่าเธอไม่ได้เพียงแค่หลงชอบเขา แต่เธอหลงรักเขา
     
    หลงรัก
     
    คำๆ นี้กระแทกชนเธอโครมเบ้อเร่อ เธอรู้ว่าเธอควรจะผละจากเขาทั้งที่ยังสามารถทำได้ แต่เธอก็ไม่ทำ เธอปล่อยให้เขาดันเธอไปที่โซฟามุมห้องและผลักร่างเธอลงไปนอน เธอนอนหงายจมหายลงไปในฟูกเบาะพร้อมกับร่างใหญ่โตของเขา
     
    กระดุมเสื้อของเธอปลิดปลิวไปพร้อมๆ กับสามัญสำนึกของเธอ เสื้อของเธอหายวับไปเร็วพอๆ กับเสื้อชั้นใน และเมื่อเธอเปิดเปลือยต่อสายตาของเขา เขาก็กระซิบเสียงแหบห้าว
     
    “คุณสวยมาก”
     
    คำชมทำให้มิลินท์หน้าแดงก่ำจนถึงลำคอและไรผม เธอไม่กล้ามองตาเขาเนื่องจากขัดเขิน หากเขากลับเชยคางเธอขึ้น ไม่ยอมให้เธอหลบตาเขา
     
    “มองผม” เขาสั่ง
     
    เธอเหลือบตามองเขา และเห็นเขาหน้าแดงเช่นเดียวกับเธอ หากเขาไม่ได้หน้าแดงเพราะเขินอาย...ใช่ เธอแน่ใจ เขาหน้าแดงอันเนื่องมาจากดำฤษณาที่พลุ่งพล่าน เธอสั่นสะท้านและทำตัวไม่ถูก เธอไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนลึกซึ้งถึงขนาดนี้มาก่อน เขาเป็นคนแรกที่ได้เห็นเธอในสภาพนี้...และอาจจะมากกว่านี้
     
    อชิระชื่นชมร่างกายของเธอด้วยมือของเขา บูชามันด้วยปากของเขา และเทิดทูนมันจนเธอสั่นระริกไปด้วยความปรารถนาอันลี้ลับ เธอพร้อมจะปล่อยใจไปกับเขาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อนาคตไม่สำคัญเท่าปัจจุบันที่เธอจับต้องได้ เธอยอมให้ตัวเองได้ลอยละล่องในฝัน...ฝันที่ได้รักผู้ชายที่เธอเอื้อมไม่ถึง
     
    “คุณต้น คุณต้น” เธอร้องเรียกชื่อเขาลั่น และกอดรัดเขาแน่นราวกับว่าจะไม่มีวันนี้
     
    “ใจเย็นๆ มิลินท์ ใจเย็นๆ” เขากระซิบคำปลอมประโลมเธอ และป้อมจุมพิตแผ่วๆ ไปทั่วใบหน้าของเธอ
     
    คุณพระ เขาบอกให้เธอใจเย็นงั้นรึ เธอจะใจเย็นได้ยังไง เขาทำให้เธอร้อนจนคลั่งไปหมดแล้ว มิลินท์ซึ่งไม่เคยลิ้มรสความปรารถนารุนแรงเช่นนี้มาก่อนถึงกับก่นในใจ เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมคนบางคนจึงเปรียบหญิงชายเหมือนน้ำมันกับไฟ ที่เจอกันเมื่อไรก็ทำให้เกิดไฟร้อนแรงเจิดจ้า เพราะตอนนี้เธอเองก็กำลังลุกเป็นไฟเช่นกัน
     
    ฉับพลัน เขาก็ปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน และลุกขึ้นยืน “รอเดี๋ยวนะ มิลินท์”
     
    “คุณต้น” เธอครางประท้วงเสียงอ่อนพร่าอย่างไม่เข้าใจ เขาจะไปไหน เขาจะจากไปหลังจากที่ทำให้เธอจมลงไปในทะเลพิศวาสอย่างงั้นหรือ เขาจะไม่ช่วยเธอ เขาจะปล่อยให้เธอจมลึกแบบนี้น่ะหรือ
     
    “ไม่ต้องห่วง มิลินท์” อชิระยิ้มกริ่มเจ้าชู้ให้เธอจนเธอสะท้านอาย “ผมยังไม่ทิ้งคุณไปตอนนี้แน่” เขาถอดเสื้อผ้าออก ก่อนจะวิ่งไปรื้อหาถุงยางซึ่งซุกซ่อนอยู่ในลิ้นชักเก็บของใช้ส่วนตัวที่โต๊ะทำงาน มันเป็นของจำเป็นที่เขาจำได้ว่ามีติดตัวไว้ ข้าวของข้างในกระจุยกระจายตามความต้องการแรงกล้าในการหา เขากวาดเอาของบางส่วนลงมากองกับพื้นเนื่องจากยังหาถุงยางไม่เจอ เขาเกือบจะหงุดหงิดถ้าในอีกห้าวินาทีเขายังหาอุปกรณ์คุมกำเนิดไม่เจอ เขาพบมันในส่วนที่ลึกที่สุดของลิ้นชัก มือสั่นๆ ของเขาฉีกซองอะลูมิเนียมและป้องกันตัวเองด้วยความรวดเร็วเป็นประวัติการณ์
     
    เขากลับมาแล้วและมิลินท์ยังคงนอนเหมือนคนหมดแรง เสื้อเชิ้ตของเธอตกอยู่ข้างตัว สายเสื้อชั้นในข้างหนึ่งคล้องอยู่ที่แขน กระโปรงของเธอถูกถลกสูง ส่วนกางเกงในก็ตกอยู่ใกล้ๆ กับเสื้อของเธอ เธอดูเสเพล...พระเจ้า เขาคงจะบ้าไปแล้วที่บอกว่าสาวเงียบๆ ขี้อายอย่างเลขาฯ ของเขาเป็นผู้หญิงเสเพล...หญิงเสเพลขี้อายที่ทำให้เขาเร่าร้อนด้วยความต้องการและขาดความยับยั้งชั่งใจใดๆ
     
    ดวงตาสีน้ำตาลของเธอหรี่ปรือมองเขา ก่อนจะเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างกายของเขาที่เปลือยเปล่าหมดจด เธอกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกหวั่นไหวและอ่อนแอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หากก่อนที่เธอจะได้คิดอย่างมีสติ ลุกหนีไปจากเหตุการณ์ตรงหน้า ร่างหนาหนักของเขาก็ทาบลงมา
     
    “ไม่ต้องกลัวนะ มิลินท์ ผมจะไม่ทำร้ายคุณ” เขากระซิบปลอบและลูบแขนของเธอเบาๆ ดวงตาของเขาหวานเชื่อมจนเธอใจอ่อนยวบราวกับเยลลี่เละๆ  
     
    “ค่ะ” มิลินท์ตอบรับด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ สมองของเธอเลื่อนลอย ความคิดต่อต้านที่เริ่มก่อตัวพังภินท์ไปอย่างง่ายดายเพียงเพราะเขายิ้มให้เธอ เขายิงทะลุหัวใจเธอและสมองของเธอ ปัดเป่าทุกอย่างที่ถูกที่ควรออกไปจนหมดสิ้น
     
    อชิระโน้มหน้าลงจุมพิตอ้อยอิ่งด้วยความอ่อนหวานนุ่มนวล กระชากลมหายใจของเธอไปอีกครา
     
    “คุณสวยเหลือเกิน” เขาปัดผมของเธอออกไปด้านข้าง เปิดเผยใบหน้าชื้นเหงื่อของเธอ แก้มของเธอแดงก่ำ ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความปรารถนา เขาจุมพิตเปลือกตาของเธอ ก่อนจะจบลงที่ริมฝีปากบวมช้ำอันเนื่องมาจากจูบของเขา และเขาก็เริ่มรุกล้ำเข้ามาอย่างลึกซึ้ง ทำให้เธอเป็นของเขาทั้งกายและใจ
     
    “มิลินท์...มิลินท์” เขาครางกระซิบชื่อเธอ ซึ่งเธอเห็นว่าเขาเรียกเธออย่างอ่อนหวานมาก...มากจนเธออยากจะร้องไห้ด้วยความยินดี
     
    “โอ คุณต้นคะ มิลินท์รักคุณค่ะ” เธอเรียกชื่อเขาและบอกรักเขาอย่างไม่อาย เธอรู้สึกเท่าเทียมกับเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตอนนี้เธอกับเขาไม่ได้เป็นลูกน้องและเจ้านาย แต่ว่าเป็น...คู่รัก
     
    หัวใจของอชิระกระตุก เขารู้ว่าเธอแอบรักเขา แต่เมื่อได้ยินเธอกล่าวออกมาเป็นคำพูดแล้ว เขาก็รู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาลืมไปเลยว่าเธอทำร้ายเขาอย่างไร เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง หากจำได้แค่เธอ...เธอที่มีเขาอยู่ในกาย เขาสบตาเธอก่อนจะมอบจุมพิตเร่าร้อนให้ และเธอก็จูบเขาตอบอย่างกระตือรือร้น แล้วเขาก็นำพาเธอไปในโลกที่เธอไม่เคยได้รู้จัก ทั้งเธอและเขาถึงจุดหมายปลายทางพร้อมกันด้วยความปิติปลื้มเปรม
     
    พายุพิศวาสพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่มันเริ่มต้นขึ้น มิลินท์มองอชิระที่เงยหน้าชุ่มเหงื่อขึ้น เขาไม่สบตาเธอ เขาไม่พูดอะไร หากเขากลับผละจากเธออย่างเย็นชา เขายังคงเงียบกริบและเริ่มแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว มิลินท์มองเขาเหมือนว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจและผิดหวัง ริมฝีปากเจ่อบวมเม้มแน่น ความหนาวเยือกเข้าเกาะกุมหัวใจเธอประดุจโคลนสีดำที่น่ารังเกียจ
     
    พระเจ้า นี่เธอทำอะไรลงไป เธอเพิ่งจะนอนกับเจ้านาย และเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาไม่ได้ปลาบปลื้มเธอ...หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว มันช่างต่างกับตอนที่เขาเล้าโลมหลอกล่อเธอราวกลางวันและกลางคืน
     
    มิลินท์ผุดลุกมานั่งและหยิบเสื้อผ้าที่ตกเกลื่อนพื้นอย่างเก้งก้าง ความอับอายเข้ามาผสมโรงกับความตื่นตระหนก เธอรีบดึงกางเกงในที่อยู่บนพื้นขึ้นมาสวม และสายตาเจ้ากรรมก็ดันสังเกตเห็นคราบเลือดที่เปรอะอยู่ที่ต้นขาด้านใน สีสันบนใบหน้าเหือดหายเพราะความจริงที่ตอกย้ำ เธอกัดริมฝีปากที่ชอกช้ำเพราะจุมพิตของเขาพลางมองเลยไปยังพื้นพรมเบื้องหน้า ไม่กล้าเหลือบมองหลักฐานความขาดการยับยั้งชั่งใจของตัวเอง เธอติดตะขอชุดชั้นในด้วยความรีบร้อนก่อนจะหยิบเสื้อบนพื้นขึ้นมาใส่ด้วยความรังเกียจ
     
    โอ เธอเกลียดตัวเองเหลือเกิน เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มือสั่นๆ ของเธอติดกระดุมแทบไม่ถูก เธออยากตายด้วยความขายหน้าเมื่อจำได้ว่าเธอบอกว่าเธอรักเขาไปด้วย
     
    อชิระไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเธอ เขาเพียงแค่หลอกใช้เธอ
     
    ...งั้นฉันจะช่วยเพิ่มความสำเร็จให้กับเธออีกอย่างก็แล้วกัน...
     
    คำพูดของเขาที่เธอเหวี่ยงทิ้งไปเมื่อยามพิศวาสครอบงำหวนกลับมาหาเธอไม่ต่างจากบูมเมอแรง และตอนนี้บูมเมอแรงที่ว่าก็ตวัดฉับบั่นประหารคอของเธอไปแล้ว...มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
     
    กระบอกตาของเธอร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อท้นขึ้นมาจนเธอต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่มันไป เธอไม่อยากร้องไห้ให้เขาเห็น เธอไม่อยากให้เขามาสมเพชหรือหัวเราะเยาะความโง่เง่าของเธอ
     
    อชิระแต่งตัวเสร็จแล้ว แต่มิลินท์กำลังสวมกระโปรง แล้วมือที่แตะตะขอกระโปรงก็ต้องชะงักค้างเมื่อปากของเขาสาดเทคำพูดเชือดเฉือนหัวใจเธอ
     
    “ขอบใจนะ”
     
    พระเจ้า เขาว่าอะไรนะ ‘ขอบใจนะ’ งั้นเรอะ มิลินท์ช็อก ประสาทรับรู้เชื่องช้าไปมาก และกว่าเธอจะรู้ตัวว่าเขา ‘ขอบใจ’ เธอสำหรับอะไร เขาก็จากไปพร้อมกับประตูที่ปิดปัง
     
    ...ไม่ต้องกลัวนะ มิลินท์ ผมจะไม่ทำร้ายคุณ...
     
    คำพูดอ่อนหวานของเขาลอยละล่องอยู่ในความคิดสับสนของเธอ
     
    คุณต้นโกหก
     
    เธออยากจะกรีดร้อง ทว่าเธอก็ไม่ได้ทำ เธอได้แต่นิ่งอึ้งเสียใจ  
     
    เขาทำร้ายเธอไปแล้ว ทำร้ายเธอทั้งที่บอกว่าจะไม่ทำ
     
    ...ขอบใจนะ...
     
    เขาทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง เขาพูดแบบนี้กับเธอได้ยังไง
     
    หัวใจของเธอบีบรัดจนเธอรู้สึกว่างโหวงไปหมด เธอกอดตัวเองแน่นและปลอบตัวเองด้วยการโยกตัวเบาๆ แล้วน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ร่วงพรู
     
    จบคืนปรารถนา บทที่ 1
    ::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×