!! ++ ประวัติสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ++ !! - นิยาย !! ++ ประวัติสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ++ !! : Dek-D.com - Writer
×

    !! ++ ประวัติสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ++ !!

    โดย ManU FC

    ~! ManU 4ever !~

    ผู้เข้าชมรวม

    3,888

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    49

    ผู้เข้าชมรวม


    3.88K

    ความคิดเห็น


    13

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน :  20 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  7 ส.ค. 50 / 20:15 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเริ่มก่อตั้งในปี 1878 แต่อยู่ภายใต้ชื่อนิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ (Lancashire and Yorkshire Railway)

    โดยไม่คาดคิดเลยว่าทีมของตนจะกลายเป็นทีมที่มีชื่อเสียงในระดับชาติและระดับโลก พนักงานโรงรถไฟนิวตัน ฮีธจัดตั้งทีมขึ้นเพื่อลงแข่งฟุตบอลกับทีมจากแผนกอื่นๆของแอลวายอาร์หรือทีมจากบริษัทเดินรถไฟต่างๆ

    จริงๆแล้วเมื่อฟุตบอลลีกเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1888 นิวตัน ฮีธไม่คิดว่าทีมของตนดีพอที่จะเข้าเป็นสมาชิกในยุคบุกเบิกร่วมกับทีมอย่างแบล๊คเบิร์น โรเวอร์สและเปรสตัน นอร์ธเอนด์ พวกเขารอจนกระทั่งถึงปี 1892 จึงสมัครเข้าร่วมแข่งขัน

    ปัญหาด้านการเงินรุมเร้าทีมนิวตัน ฮีธอย่างต่อเนื่อง และเมื่อย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ก็ดูเหมือนว่าสโมสรคงต้องถูกยุบไป แต่พวกเขาก็กลับอยู่รอดต่อไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากจอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ เจ้าของโรงเบียร์ในท้องถิ่น ซึ่งตามเรื่องที่บอกต่อกันมาก็คือเขาได้รับรู้ปัญหาในสโมสรโดยบังเอิญหลังจากนำสุนัขที่หลงทางไปคืนให้เจ้าของซึ่งก็คือแฮร์รี่ สตัฟฟอร์ด กัปตันทีมนิวตัน ฮีธ

    เดวี่ส์จึงตัดสินใจที่จะลงทุนกับสโมสร แลกกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการบริหารงาน และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนชื่อสโมสร หลังจากตัวเลือกหลายตัวรวมถึงแมนเชสเตอร์ เซ็นทรัลและแมนเชสเตอร์ เซลติกตกไป ชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมของปี 1902

    บุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อสโมสรคนต่อมาก็คือเออร์เนสต์ แมงนอลล์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสโมสรในเดือนกันยายนปี 1903 แต่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเขาก็คือผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรนั่นเอง ทีมของเขา ซึ่งมีสองผู้เล่นใหม่อย่างแฮร์รี่ โมเกอร์ ผู้รักษาประตู และชาร์ลี ซาการ์ นักเตะกองหน้า รวมอยู่ด้วย จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ในดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1903/04 และ 1904/05

    ในฤดูกาลถัดมาคือซีซั่น 1905/06 ถือเป็นปีที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งปีในยุคเริ่มต้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แผงหลังของทีมที่ประกอบด้วยนักเตะอย่างดิ๊ค ดั๊คเวิร์ธ,อเล็กซ์ เบลล์และชาร์ลี โรเบิร์ตส์ มีส่วนสำคัญในการพาทีมเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศเอฟเอคัพ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือช่วยให้ทีมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ดิวิชั่น 2 ทำให้แมนฯยูฯได้กลับขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้ง หลังจากตกชั้นมานาน 12 ปี

    เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จ แมงนอลล์คว้าตัวบิลลี่ เมอเรดิธมาจากทีมคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมอเรดิธ เจ้าของฉายาพ่อมดแห่งเวลส์ พัวพันกับข้อหาล้มบอลที่ต้นสังกัดเก่า และถูกสโมสรขึ้นบัญชีขายทอดตลอดร่วมกับนักเตะอีก 17 คน แมงนอลล์ไม่รอช้าและสามารถล่าลายเซ็นเมอเรดิธมาได้ก่อนที่การเสนอราคาจะเริ่มต้นขึ้น

    การมาถึงของปีกรายนี้ก่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนขึ้นในสโมสร เขาจ่ายบอลให้แซนดี้ เทิร์นบูลล์ทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในฤดูกาล 1907/08 ซึ่งทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรก และในฐานะแชมป์ลีก แมนฯยูฯก็ได้ลงเตะในเกมแชริตี้ชิลด์เป็นครั้งแรกในปี 1908 และคว้าแชมป์มาครองได้ตามคาด โดยชนะควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส แชมป์เอฟเอคัพไปถึง 4-0 โดยจิมมี่ เทิร์นบูลล์ ซึ่งนามสกุลเหมือนกับแซนดี้โดยบังเอิญ ทำแฮตทริกได้ในนัดนี้

    ถ้วยรางวัลใบที่สามที่เข้ามาสู่ตู้โชว์ของสโมสรคือถ้วยแชมป์เอฟเอคัพในปี 1909 แมนฯยูฯชนะบริสตอล ซิตี้ 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศด้วยประตูชัยของแซนดี้ เทิร์นบูลล์

    ดังนั้นหน้าแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรจึงจบลงอย่างสวยหรู พร้อมทั้งมีสัญญาณว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ รวมถึงการย้ายไปยังสนามแห่งใหม่ด้วย

    คำว่าโอลด์ แทรฟฟอร์ดเริ่มออกมาให้ได้ยินกันเป็นครั้งแรกในระหว่างฤดูกาล 1909/10

    พื้นที่ซึ่งใช้ในการสร้างสนามนั้นซื้อโดยบริษัทแมนเชสเตอร์ บริวเวอรี่ (จอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์) และให้สโมสรเช่าต่ออีกที เดวี่ส์เองเป็นคนจ่ายเงินค่าก่อสร้าง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1908 ภายใต้การควบคุมของอาร์ชิบัลด์ ลีทช์ สถาปนิกชื่อดัง เมื่อย่างเข้าปี 1910 สโมสรก็ขนย้ายข้าวของจากสนามเดิมที่แบงค์สตรีทเข้ามาปักหลักที่นี่แทน

    เกมแรกของแมนฯยูฯที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1910 เจ้าบ้านสนามแห่งใหม่พ่ายต่อลิเวอร์พูล ทีมเยือน 3-4 แต่ถือว่าเป็นความความสำเร็จของสนามแห่งใหม่ที่สามารถรองรับคนดูได้ถึง 80,000 คนในเกมดังกล่าว และสองวันก่อนหน้านั้น อัฒจันทร์ไม้เดิมที่แบงค์สตรีทก็เพิ่งพังลงเพราะถูกพายุพัดทำลาย บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลสนับสนุนเพิ่มเติมว่า ทำไมแมนฯยูฯจึงจำเป็นต้องมีสนามแห่งใหม่

    จริงๆแล้วแมนฯยูฯก็มาได้ครองแชมป์ลีกสมัยที่สองในประวัติศาสตร์ ในการลงเล่นแบบเต็มฤดูกาลที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเป็นปีแรกคือในซีซั่น 1910/11 สโมสรคว้าแชมป์ไปครองได้ในการเตะในบ้านนัดสุดท้ายของฤดูกาล หลังจากถล่มซันเดอร์แลนด์ 5-1 โดยฮาโรลด์ ฮัลส์ยิงคนเดียวสองประตู

    ฮัลส์ไม่ใช่ฮีโร่จอมถล่มประตูเพียงคนเดียวในการคว้าแชมป์สมัยที่สองนี้ ฮีโร่ของทีมอีกคนได้แก่ะเอน็อค "น็อคเกอร์" เวสต์ กองหน้าจอมลีลาซึ่งทำได้ 19 ประตูในฤดูกาลดังกล่าว แมนฯยูฯยังได้ครองแชมป์แชริตี้ชิลด์ด้วย หลังพิชิตสวินดอน ทาวน์ 8-4 โดยฮัลส์ทำดับเบิ้ลแฮตทริกในเกมนี้

    แม้ว่าจะประสบความสำเร็จมากมายอย่างที่กล่าว แต่แมนฯยูฯก็ไม่สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้ในฤดูกาล 1911/12 โดยแชมป์เก่าจบฤดูกาลได้อย่างน่าผิดหวังด้วยอันดับ 13 เออร์เนสต์ แมงนอลล์ ผู้จัดการสโมสร ทนรับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ประดังเข้าใส่ไม่ไหว และตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับทีมคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้แทน

    การหาคนมาทำหน้าที่แทนแมงนอลล์ที่จากไป ไปสิ้นสุดอยู่ที่เจเจ เบนท์ลี่ย์ ประธานของฟุตบอลลีก ภายใต้การบริหารของเขา แมนฯยูฯคว้าอันดับ 4 ของลีกได้หลังจบฤดูกาล 1912/13

    ฤดูกาล 1913/14 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อชาร์ลี โรเบิร์ตส์และอเล็กซ์ เบลล์ถูกขายให้โอลด์แฮมและแบล็คเบิร์น แมนฯยูฯจบฤดูกาลด้วยอันดับ 14 โดยเวสต์คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดไปครองเป็นปีที่สามติดต่อกัน

    ฤดูกาล 1914/15 เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารขึ้น โดยในเดือนธันวาคม 1914 มีการแบ่งแยกหน้าที่ของผู้จัดการสโมสรและผู้จัดการทีมออกจากกันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เบนท์ลี่ย์กลายเป็นผู้จัดการสโมสรอย่างเต็มตัว และจอห์น ร็อบสันก็ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ดูแลทีมและจัดตัวผู้เล่นลงสนาม

    ทีมของร็อบสันแทบไม่เหลือเค้าลางของทีมที่เคยโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในทศวรรษก่อนเลย โดยมีเพียงจอร์จ สเตซี่,บิลลี่ เมอเรดิธ,แซนดี้ เทิร์นบูลล์และจอร์จ วอลล์เท่านั้น ที่เป็นนักเตะที่หลงเหลือมาจากทีมชุดคว้าแชมป์เอฟเอคัพเมื่อปี 1909 จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทีมจะต้องดิ้นรนหนีการตกชั้น และทำได้สำเร็จด้วยผลต่างของคะแนนเพียงแต้มเดียวเท่านั้น และยิ่งเหมือนการซ้ำเติมความผิดหวังของทีมขึ้นไปอีก เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ภายใต้การคุมทีมของแมงนอลล์จบฤดูกาลด้วยอันดับ 5 หรือ 13 อันดับเหนือแมนฯยูฯ

    ก่อนที่แมนฯยูฯจะมีโอกาสได้ฟื้นฟูทีมขึ้นมาใหม่ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ทำให้ผู้คนไม่มีกระจิตกระใจนึกถึงเกมฟุตบอลอีก ฟุตบอลลีกถูกยกเลิกการแข่งขัน สโมสรทุกแห่งทำได้แค่ลงเตะในเกมระดับภูมิภาคเท่านั้น

    แมนฯยูฯลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ของแลงคาเชียร์ ปริ๊นซิพัล แอนด์ ซับซิไดอารี่อยู่ 4 ฤดูกาล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือสองนักเตะของทีมถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาล้มบอล เอน็อค เวสต์ถูกลงโทษห้ามแข่งตลอดชีวิตเช่นเดียวกับแซนดี้ เทิร์นบูลล์ ซึ่งหันไปเข้าร่วมกับกองทัพในการทำสงครามแทน

    น่าเศร้าที่เทิร์นบูลล์เสียชีวิตระหว่างการไปรบที่ฝรั่งเศสในเดือนพฤษภาคม 1917 ทำให้แมนฯยูฯไม่เหลือดาวเตะของทีมจากยุคต้นศตวรรษใหม่เลยแม้แต่คนเดียว ในการกลับไปลงแข่งในลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1919/20




    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น