ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฉลามกระทิง มฤตยู 2 น้ำ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 475
      3
      17 มิ.ย. 52


    บทนำ

     

                    ภายในห้องประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  การสัมมนาทางวิชาการของนิสิตกลุ่มหนึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น  ท่ามกลางสายตาของกลุ่มผู้ชมทั้งที่เป็นคนในและคนนอกสถานศึกษา เนื่องจากการงานสัมมนาครั้งนี้ ได้เปิดให้คนนอกเข้าชมได้อย่างเป็นสาธารณะ  และด้วยความช่วยเหลือของเครื่องขยายเสียงจึงทำให้เสียงของบรรดานิสิตผู้นำเสนอรายงานมีอำนาจเหนือเสียงพูดคุยซุบซิบของเหล่าผู้ชมที่เป็นคนนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ  หลังจากกล่าวเปิดรายการ  และเกริ่นนำเรียบร้อยนักศึกษาหนุ่มคนแรกก็กล่าวบรรยายว่า

                    Global warming หรือภาวะโลกร้อน  หมายถึงการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและมหาสมุทรเพิ่มขึ้น  โดยมีสาเหตุมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก คอยกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้กลับออกไปนอกชั้นบรรยากาศได้ตามปกติ

                    หลังจากนิสิตหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าทีมกล่าวจบ นักศึกษาหนุ่มอีกคนซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเครื่องฉายภาพก็ยกไมโครโฟนขึ้นสานต่อทันที

    เราจะขอเรียกก๊าซต่างๆที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกว่าก๊าซเรือนกระจกนะครับ  ก๊าซเหล่านี้ก็ได้แก่  คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า  รวมถึงการเผาป่า เผานา เผาหญ้า เผาถ่าน ล้วนทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งสิ้น  และนอกจากคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว   การทำลายป่าไม้ยังทำให้เกิดก๊าซมีเทนอีกด้วย  ซึ่งก๊าซตัวนี้สามารถกักความร้อนได้ดีมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์เสียอีก  และก๊าซสำคัญอีกตัวก็คือก๊าซซีเอฟซี  ซึ่งเป็นก๊าซที่ประกอบด้วยสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน  สารดังกล่าวมีอยู่ในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และสเปรย์ต่างๆ ซึ่งความน่ากลัวของสารตัวนี้ก็คือ  มันจะเจาะทำลายชั้นโอโซนทำให้เกิดรูโหว่ในชั้นบรรยากาศ  อันส่งผลให้รังสีอุลตราไวโอเลตถูกส่งมายังโลกมากขึ้น  ทำให้โลกร้อนขึ้นและเป็นอันตรายแก่สิ่งมีชีวิตต่างๆบนผืนโลก นักศึกษาหนุ่มบรรยายไปพร้อมๆกับที่เครื่องพาวเวอร์พอยได้ฉายภาพตัวการ์ตูนที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนก๊าซเรือนกระจก ภาพการ์ตูนอธิบายปฏิกิริยาเรือนกระจก และภาพการ์ตูนอธิบายสิ่งต่างๆที่ตนได้พูดไปเรื่อยๆเป็นฉากๆอย่างต่อเนื่อง  จากนั้นนิสิตหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มก็รับช่วงกล่าวต่อไปว่า

                    สรุปได้ง่ายๆว่าต้นเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน  ก็คือมนุษย์เราเอง  เพราะกิจกรรมในการดำเนินชีวิตหลายอย่างของมนุษย์ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน    ทว่านิสิตหนุ่มยังไม่ทันจะได้กล่าวต่อไป  ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนนอกที่เข้ามาฟังการบรรยาย และมีอคติคิดต่อต้านสิ่งที่เหล่านิสิตนำเสนอมาแต่แรกด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระก็ยกมือขึ้นและถามว่า

                    ขอโทษทีเถอะ ไหนๆก็อุตส่าห์ทนนิ่งฟังมานานแล้วนะ เลยอยากจะถามว่า โลกร้อนแล้วมันหนักอะไรใคร

                    ฝ่ายนิสิตหัวหน้ากลุ่ม แม้จะรับรู้ถึงความไม่เป็นมิตรและความไม่ปรารถนาดีได้จากน้ำเสียงของอีกฝ่าย  แต่เขาก็ยังคงพยายามรักษาอารมณ์และให้คำตอบอีกฝ่ายอย่างใจเย็นตามจรรยาและมารยาทของปัญญาชนว่า

                    เอาง่ายๆเลยนะครับ ผลกระทบข้อแรกจากการที่โลกร้อนขึ้นก็คือ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นทำให้พื้นที่ชายฝั่งลดลง  อย่างที่จังหวัดสมุทรปราการของเรากำลังประสบอยู่  ซึ่งหากเราไม่ช่วยกันต่อไปไทยเราอาจจะเหลือเพียง 75 จังหวัด เพราะสมุทรปราการจมหายลงไปในทะเล... นักศึกษาหนุ่มยังไม่ทันพูดจบ ชายคนเดิมก็เอ่ยแทรกขึ้นทำนองทะลุกลางปล้องอย่างขาดความเกรงใจว่า

                    เอ้า ก็แล้วทำไมไม่สร้างเขื่อนกั้นล่ะ  แล้วกะแค่น้ำทะเลมันรุกคืบเข้ามา ก็ถมมันกลับไปแบบที่สิงคโปร์เขาทำสิ

                    ขอโทษค่ะ แต่คงต้องขอชี้แจงว่า  วิธีการที่คุณเสนอมาเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุค่ะ  ถ้ายังไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ  ต่อให้รัฐบาลของเรามีงบประมาณมากแค่ไหน ก็สร้างเขื่อนหรือถมทะเลไม่ทันระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหรอกค่ะ อีกอย่างการถมทะเลจะต้องระเบิดภูเขา  ซึ่งการระเบิดภูเขามีผลโดยตรงให้โลกร้อนขึ้นอีกทางหนึ่งด้วยค่ะ  นักศึกษาสาวคนเดียวในกลุ่มตอบกลับแทนเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ซึ่งเริ่มคุกรุ่น  หากเพื่อนหนุ่มคนเดิมก็ช่วยแก้ไขสถานการณ์ด้วยการอธิบายข้อมูลเสริมทันที เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่ายมาที่ตนว่า

                    ซึ่งผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นนอกจากการรุกคืบของน้ำทะเลก็คือ ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป  อันส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง... แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดต่อไป  ชายร่างอ้วนอีกผู้หนึ่งก็โพล่งสวนกลับมาว่า

                    โถ่เอ๊ย ก็แค่ฤดูเปลี่ยนแปลง  ไม่เห็นจะเป็นไรเลย  ดีซะอีกเมืองไทยจะได้มีหิมะกะเค้าบ้าง  แล้วก็นะผลผลิตทางการเกษตรลดลงก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย  กินเนื้อเอาก็ได้

                    พูดจบแค่นั้นชายร่างอ้วนก็หันหลังกลับและเดินดุ่ยออกไปจากห้องประชุมอย่างขาดความเกรงใจ  ซึ่งพอมีคนนำ คนอื่นๆที่รู้สึกอย่างเดียวกันก็เริ่มตาม  และก็ตามๆกันไปจนเกือบหมด  สุดท้ายนิสิตทั้ง 3 คนก็ยืนบรรยายเก้อ  เพราะในห้องประชุมเหลือแค่เพียงเหล่าอาจารย์และเพื่อนร่วมสถาบันกับบุคคลจากภายนอกเพียงไม่ถึงสิบคนเท่านั้นที่ยังคงนั่งให้กำลังใจพวกตนจนจบการสัมมนา

    ...........................

                    เหนื่อยหน่อยนะ อภิปรายเรื่องแบบนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาเอ่ยปลอบประโลมหลังจบการสัมมนา พลางตบไหล่นิสิตหัวหน้ากลุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของอย่างเห็นใจ

                    เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่หรอกค่ะอาจารย์  เหนื่อยใจมากกว่า...!!!  ที่คนพวกนั้นนอกจากจะไม่เข้าใจแล้ว  ยังไม่ยอมเข้าใจอีกด้วย…!!! นิสิตสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยตอบแทนอย่างเหลือทน พลางช่วยเพื่อนหนุ่มทั้งสองคนเก็บเครื่องมือต่อไป

                    คนไทยส่วนใหญ่ยังเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวน่ะ  บ้างก็คิดว่ากว่ามันจะเกิดตัวเองก็ตายไปแล้ว  บ้างก็คิดว่าสุดท้ายก็มีคนอื่นมาช่วยแก้ไขให้จนได้ 

                    ก็เพราะมัวแต่คิดแบบนี้น่ะสิครับ ชาติถึงได้ถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อยๆแบบนี้...!!! คราวนี้นิสิตหนุ่มผู้บรรยายประกอบภาพการ์ตูนเอ่ยขึ้นบ้างอย่างระบายอารมณ์  ก่อนที่เสียงอันไม่คุ้นเคยของอิสตรีผู้หนึ่งจะดังแว่วมาจากทางหน้าประตูว่า 

                    นั่นสินะ...ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงเอาแต่คิดถึงแต่ตัวเอง หรือคิดแต่ว่าทำยังไงเงินเก็บของตนจะมากขึ้นแบบนี้  อนาคตของชาติคงลำบากมากแน่ๆ...

                    ความเงียบเข้าปกคลุมห้องประชุมในทันที  ทุกสายตาของทั้งเหล่าอาจารย์และนิสิตต่างจับจ้องมาที่ร่างแห่งเจ้าของเสียงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย  ขณะที่สตรีร่างสูงสง่า ผู้มีผิวขาวนวลเนียนรับกับเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลออกแดงดุจเส้นผมนางเงือก อันบ่งบอกถึงความเป็นลูกครึ่ง ค่อยเดินเข้ามาหากลุ่มนิสิตและอาจารย์ด้วยกิริยาสุขุมและสำรวม  ชุดกาวน์สีขาวที่ใส่บอกใบ้ให้เดาได้เลาๆว่าหากอาชีพของสตรีผู้นี้ไม่ใช่หมอ ก็คงเป็นนักวิจัยของสถาบันใดสถาบันหนึ่งเป็นแน่แท้

                    ขอโทษที่เข้ามารบกวนโดยพลการนะคะ  แต่ดิฉันต้องการพบกับพวกคุณในแบบไปรเวตอย่างนี้มากกว่า หญิงสาวเอ่ยกับกลุ่มนิสิตและอาจารย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นมิตรทันทีที่เข้าถึงตัว ก่อนจะกล่าวแนะนำตัว

                    ดิฉันชื่อมิลินท์ เป็นนักวิจัยของกรมทรัพยากร  มาชมงานสัมมนาของพวกคุณด้วยความสนใจ  และรู้สึกเสียใจอย่างมากกับกระแสตอบรับที่พวกคุณได้รับในวันนี้  จึงได้เข้ามาพบพวกคุณในตอนนี้  เพื่ออยากจะบอกให้พวกคุณรู้ว่า  แม้คนส่วนใหญ่จะไม่เห็นคุณค่าของงานที่พวกคุณทำ แต่สำหรับดิฉัน  มันคือความหวังที่ทำให้ดิฉันได้ทราบว่า  ยังมีเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่งที่รับรู้และเป็นห่วงอนาคตของโลกจากผลสะท้อนของ Global warming ดิฉันจึงมีความรู้สึกยินดีมากที่ได้รู้จักกับพวกคุณ  และจะยินดีมากขึ้นหากพวกคุณจะพยายามต่อไป...

                    คำกล่าวของมิลินท์ทำให้บรรดานิสิตรวมถึงอาจารย์ที่ปรึกษาถึงกับพูดไม่ออก  หากไม่ใช่เพราะตกตะลึงกับการออกเสียงอักขระภาษาไทยที่หญิงสาวสามารถออกได้ดีและถูกต้องกว่าคนไทยบางคนเสียอีก  แต่เป็นเพราะตื้นตันใจที่ยังมีคนๆหนึ่งที่เห็นคุณค่าของงานสัมมนาที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป  ซึ่งมิลินท์เองก็เข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย  หญิงสาวแย้มยิ้มให้  ก่อนจะยื่นนามบัตรของตนส่งให้นิสิตหัวหน้ากลุ่ม  และกล่าวต่อไปว่า

                    นี่เป็นนามบัตรของดิฉัน  หากคุณต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ สามารถติดต่อได้เสมอ...

                    ขอบคุณครับ... เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณพร้อมกับรับนามบัตรนั้นไปดูใกล้ๆ ซึ่งตัวอักษรที่จารึกอยู่บนแผ่นกระดาษสีขาวนั้นก็คือคำว่า มิลินท์ . เอส . จีน   อันเป็นชื่อและสกุลของหญิงสาว พร้อมสถานที่ทำงานและเบอร์โทรศัพท์  ก่อนที่เจ้าของนามบัตรจะเอ่ยขึ้นว่า

                    ดิฉันคงต้องไปแล้ว  เพราะมีงานสำคัญรออยู่  แต่ดิฉันยืนยันว่าจะเป็นกำลังใจให้พวกคุณเสมอ   ว่าแล้วหญิงสาวก็ยกมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษา และโบกมือให้เหล่านิสิตอย่างเป็นมิตร และเดินจากไปด้วยท่วงท่าอันสุขุมและสำรวมอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

    ……………………

                    ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงบ่งบอกถึงยามเย็น ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านชำในเขตชุมชนเมืองหลวงแห่งหนึ่ง จึงตัดสินใจปิดร้านและเข้าไปพักผ่อนในห้องรับแขกเพื่อดูโทรทัศน์ตามกิจวัตรประจำวัน 

                    ปุ่มเปิดโทรทัศน์ถูกกดลงบนรีโมต  เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ภาพและเสียงก็ปรากฏขึ้นจากจอโทรทัศน์  เป็นภาพนักวิชาการวัยชราใส่แว่นหนาเตอะศีรษะเต็มไปด้วยผมสีดอกเลากำลังบรรยายเสียงเครียดว่า 

                    ภาวะโลกร้อนจะทำให้สัตว์น้ำอพยพไปตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล  เช่นสัตว์น้ำลึกมาอยู่ที่ตื้น  สัตว์น้ำตื้นกลับไปอยู่ที่ลึก  นอกจากนั้น วิทยากรชราผู้นั้นยังไม่ทันได้เอ่ยคำต่อไปออกมา  ปุ่มเปลี่ยนช่องก็ถูกกด  ภาพและเสียงจากโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นละครตามกระแสประโลมโลกซึ่งชาวไทยส่วนใหญ่ในขณะนั้นกำลังนิยมกันแทน

                    พ่อจ๋า  ปลาน้ำลึกจะมาอยู่น้ำตื้นจริงๆเหรอจ๊ะ เด็กหญิงวัยปฐมร่างอ้วนกลมน่ารักที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่ในห้องรับแขกตั้งแต่ต้น เอ่ยถามผู้เป็นบิดาด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะตอบว่า

                    ถ้าจริงก็ดีสิ พ่อจะได้พาหนูไปดูปลาใต้ทะเลลึกตามแนวปะการังได้ไงล่ะ พูดจบฝ่ายพ่อก็หัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ  ส่วนเด็กน้อยเมื่อเห็นพ่อหัวเราะก็หัวเราะตามอย่างไร้เดียงสา

    …………………

    ขณะเดียวกัน ณ ชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันออก  ภายใต้ท้องน้ำลึกยามเย็นซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจมองหยั่งลงไปได้ถึง เงาดำทะมึนของสัตว์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวผ่านจากสายน้ำที่เค็มเขียวของท้องทะเลไปอย่างรวดเร็ว  และไม่นานนักมันก็ลุเข้ามาจนถึงปากแม่น้ำ อันเป็นเขตบรรจบกันระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็ม  ซึ่งโดยปกติแล้วสัตว์น้ำเค็มที่ไม่ได้อาศัยอยู่ตามเขตน้ำกร่อยปากแม่น้ำโดยสัญชาติจะไม่ล่วงผ่านเข้าไปในเขตน้ำจืด  และถึงผ่านเข้าไปก็ไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก  ส่วนสัตว์น้ำจืดเอง  หากมิใช่สัตว์ที่เติบโตและอาศัยอยู่ในเขตน้ำกร่อยปากแม่น้ำโดยธรรมชาติ  ก็จะไม่ลุผ่านเข้าไปในเขตทะเลเลย  แต่เจ้าของร่างอันใหญ่โตเทียบเท่ารถเก๋งขนาดย่อมนั้นกลับว่ายเข้าไปในเขตน้ำกร่อยดังกล่าว  และเดินทางรุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×