คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
ภายในห้องประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง การสัมมนาทางวิชาการของนิสิตกลุ่มหนึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางสายตาของกลุ่มผู้ชมทั้งที่เป็นคนในและคนนอกสถานศึกษา เนื่องจากการงานสัมมนาครั้งนี้ ได้เปิดให้คนนอกเข้าชมได้อย่างเป็นสาธารณะ และด้วยความช่วยเหลือของเครื่องขยายเสียงจึงทำให้เสียงของบรรดานิสิตผู้นำเสนอรายงานมีอำนาจเหนือเสียงพูดคุยซุบซิบของเหล่าผู้ชมที่เป็นคนนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากกล่าวเปิดรายการ และเกริ่นนำเรียบร้อยนักศึกษาหนุ่มคนแรกก็กล่าวบรรยายว่า
“ Global warming หรือภาวะโลกร้อน หมายถึงการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและมหาสมุทรเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก คอยกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้กลับออกไปนอกชั้นบรรยากาศได้ตามปกติ ”
หลังจากนิสิตหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าทีมกล่าวจบ นักศึกษาหนุ่มอีกคนซึ่งทำหน้าที่ควบคุมเครื่องฉายภาพก็ยกไมโครโฟนขึ้นสานต่อทันที
“ เราจะขอเรียกก๊าซต่างๆที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกว่าก๊าซเรือนกระจกนะครับ ก๊าซเหล่านี้ก็ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงการเผาป่า เผานา เผาหญ้า เผาถ่าน ล้วนทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งสิ้น และนอกจากคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว การทำลายป่าไม้ยังทำให้เกิดก๊าซมีเทนอีกด้วย ซึ่งก๊าซตัวนี้สามารถกักความร้อนได้ดีมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์เสียอีก และก๊าซสำคัญอีกตัวก็คือก๊าซซีเอฟซี ซึ่งเป็นก๊าซที่ประกอบด้วยสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน สารดังกล่าวมีอยู่ในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และสเปรย์ต่างๆ ซึ่งความน่ากลัวของสารตัวนี้ก็คือ มันจะเจาะทำลายชั้นโอโซนทำให้เกิดรูโหว่ในชั้นบรรยากาศ อันส่งผลให้รังสีอุลตราไวโอเลตถูกส่งมายังโลกมากขึ้น ทำให้โลกร้อนขึ้นและเป็นอันตรายแก่สิ่งมีชีวิตต่างๆบนผืนโลก ” นักศึกษาหนุ่มบรรยายไปพร้อมๆกับที่เครื่องพาวเวอร์พอยได้ฉายภาพตัวการ์ตูนที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนก๊าซเรือนกระจก ภาพการ์ตูนอธิบายปฏิกิริยาเรือนกระจก และภาพการ์ตูนอธิบายสิ่งต่างๆที่ตนได้พูดไปเรื่อยๆเป็นฉากๆอย่างต่อเนื่อง จากนั้นนิสิตหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มก็รับช่วงกล่าวต่อไปว่า
“ สรุปได้ง่ายๆว่าต้นเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ก็คือมนุษย์เราเอง เพราะกิจกรรมในการดำเนินชีวิตหลายอย่างของมนุษย์ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ” ทว่านิสิตหนุ่มยังไม่ทันจะได้กล่าวต่อไป ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนนอกที่เข้ามาฟังการบรรยาย และมีอคติคิดต่อต้านสิ่งที่เหล่านิสิตนำเสนอมาแต่แรกด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระก็ยกมือขึ้นและถามว่า
“ ขอโทษทีเถอะ ไหนๆก็อุตส่าห์ทนนิ่งฟังมานานแล้วนะ เลยอยากจะถามว่า โลกร้อนแล้วมันหนักอะไรใคร ”
ฝ่ายนิสิตหัวหน้ากลุ่ม แม้จะรับรู้ถึงความไม่เป็นมิตรและความไม่ปรารถนาดีได้จากน้ำเสียงของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังคงพยายามรักษาอารมณ์และให้คำตอบอีกฝ่ายอย่างใจเย็นตามจรรยาและมารยาทของปัญญาชนว่า
“ เอาง่ายๆเลยนะครับ ผลกระทบข้อแรกจากการที่โลกร้อนขึ้นก็คือ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นทำให้พื้นที่ชายฝั่งลดลง อย่างที่จังหวัดสมุทรปราการของเรากำลังประสบอยู่ ซึ่งหากเราไม่ช่วยกันต่อไปไทยเราอาจจะเหลือเพียง 75 จังหวัด เพราะสมุทรปราการจมหายลงไปในทะเล... ” นักศึกษาหนุ่มยังไม่ทันพูดจบ ชายคนเดิมก็เอ่ยแทรกขึ้นทำนองทะลุกลางปล้องอย่างขาดความเกรงใจว่า
“ เอ้า ก็แล้วทำไมไม่สร้างเขื่อนกั้นล่ะ แล้วกะแค่น้ำทะเลมันรุกคืบเข้ามา ก็ถมมันกลับไปแบบที่สิงคโปร์เขาทำสิ ”
“ ขอโทษค่ะ แต่คงต้องขอชี้แจงว่า วิธีการที่คุณเสนอมาเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุค่ะ ถ้ายังไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ต่อให้รัฐบาลของเรามีงบประมาณมากแค่ไหน ก็สร้างเขื่อนหรือถมทะเลไม่ทันระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหรอกค่ะ อีกอย่างการถมทะเลจะต้องระเบิดภูเขา ซึ่งการระเบิดภูเขามีผลโดยตรงให้โลกร้อนขึ้นอีกทางหนึ่งด้วยค่ะ ” นักศึกษาสาวคนเดียวในกลุ่มตอบกลับแทนเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ซึ่งเริ่มคุกรุ่น หากเพื่อนหนุ่มคนเดิมก็ช่วยแก้ไขสถานการณ์ด้วยการอธิบายข้อมูลเสริมทันที เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่ายมาที่ตนว่า
“ ซึ่งผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นนอกจากการรุกคืบของน้ำทะเลก็คือ ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป อันส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง... ” แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดต่อไป ชายร่างอ้วนอีกผู้หนึ่งก็โพล่งสวนกลับมาว่า
“ โถ่เอ๊ย ก็แค่ฤดูเปลี่ยนแปลง ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ดีซะอีกเมืองไทยจะได้มีหิมะกะเค้าบ้าง แล้วก็นะผลผลิตทางการเกษตรลดลงก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย กินเนื้อเอาก็ได้ ”
พูดจบแค่นั้นชายร่างอ้วนก็หันหลังกลับและเดินดุ่ยออกไปจากห้องประชุมอย่างขาดความเกรงใจ ซึ่งพอมีคนนำ คนอื่นๆที่รู้สึกอย่างเดียวกันก็เริ่มตาม และก็ตามๆกันไปจนเกือบหมด สุดท้ายนิสิตทั้ง 3 คนก็ยืนบรรยายเก้อ เพราะในห้องประชุมเหลือแค่เพียงเหล่าอาจารย์และเพื่อนร่วมสถาบันกับบุคคลจากภายนอกเพียงไม่ถึงสิบคนเท่านั้นที่ยังคงนั่งให้กำลังใจพวกตนจนจบการสัมมนา
...........................
“ เหนื่อยหน่อยนะ อภิปรายเรื่องแบบนี้ ” อาจารย์ที่ปรึกษาเอ่ยปลอบประโลมหลังจบการสัมมนา พลางตบไหล่นิสิตหัวหน้ากลุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของอย่างเห็นใจ
“ เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่หรอกค่ะอาจารย์ เหนื่อยใจมากกว่า...!!! ที่คนพวกนั้นนอกจากจะไม่เข้าใจแล้ว ยังไม่ยอมเข้าใจอีกด้วย
!!! ” นิสิตสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยตอบแทนอย่างเหลือทน พลางช่วยเพื่อนหนุ่มทั้งสองคนเก็บเครื่องมือต่อไป
“ คนไทยส่วนใหญ่ยังเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวน่ะ บ้างก็คิดว่ากว่ามันจะเกิดตัวเองก็ตายไปแล้ว บ้างก็คิดว่าสุดท้ายก็มีคนอื่นมาช่วยแก้ไขให้จนได้ ”
“ ก็เพราะมัวแต่คิดแบบนี้น่ะสิครับ ชาติถึงได้ถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อยๆแบบนี้...!!! ” คราวนี้นิสิตหนุ่มผู้บรรยายประกอบภาพการ์ตูนเอ่ยขึ้นบ้างอย่างระบายอารมณ์ ก่อนที่เสียงอันไม่คุ้นเคยของอิสตรีผู้หนึ่งจะดังแว่วมาจากทางหน้าประตูว่า
“ นั่นสินะ...ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงเอาแต่คิดถึงแต่ตัวเอง หรือคิดแต่ว่าทำยังไงเงินเก็บของตนจะมากขึ้นแบบนี้ อนาคตของชาติคงลำบากมากแน่ๆ... ”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องประชุมในทันที ทุกสายตาของทั้งเหล่าอาจารย์และนิสิตต่างจับจ้องมาที่ร่างแห่งเจ้าของเสียงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ขณะที่สตรีร่างสูงสง่า ผู้มีผิวขาวนวลเนียนรับกับเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลออกแดงดุจเส้นผมนางเงือก อันบ่งบอกถึงความเป็นลูกครึ่ง ค่อยเดินเข้ามาหากลุ่มนิสิตและอาจารย์ด้วยกิริยาสุขุมและสำรวม ชุดกาวน์สีขาวที่ใส่บอกใบ้ให้เดาได้เลาๆว่าหากอาชีพของสตรีผู้นี้ไม่ใช่หมอ ก็คงเป็นนักวิจัยของสถาบันใดสถาบันหนึ่งเป็นแน่แท้
“ ขอโทษที่เข้ามารบกวนโดยพลการนะคะ แต่ดิฉันต้องการพบกับพวกคุณในแบบไปรเวตอย่างนี้มากกว่า ” หญิงสาวเอ่ยกับกลุ่มนิสิตและอาจารย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นมิตรทันทีที่เข้าถึงตัว ก่อนจะกล่าวแนะนำตัว
“ ดิฉันชื่อมิลินท์ เป็นนักวิจัยของกรมทรัพยากร มาชมงานสัมมนาของพวกคุณด้วยความสนใจ และรู้สึกเสียใจอย่างมากกับกระแสตอบรับที่พวกคุณได้รับในวันนี้ จึงได้เข้ามาพบพวกคุณในตอนนี้ เพื่ออยากจะบอกให้พวกคุณรู้ว่า แม้คนส่วนใหญ่จะไม่เห็นคุณค่าของงานที่พวกคุณทำ แต่สำหรับดิฉัน มันคือความหวังที่ทำให้ดิฉันได้ทราบว่า ยังมีเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่งที่รับรู้และเป็นห่วงอนาคตของโลกจากผลสะท้อนของ Global warming ดิฉันจึงมีความรู้สึกยินดีมากที่ได้รู้จักกับพวกคุณ และจะยินดีมากขึ้นหากพวกคุณจะพยายามต่อไป... ”
คำกล่าวของมิลินท์ทำให้บรรดานิสิตรวมถึงอาจารย์ที่ปรึกษาถึงกับพูดไม่ออก หากไม่ใช่เพราะตกตะลึงกับการออกเสียงอักขระภาษาไทยที่หญิงสาวสามารถออกได้ดีและถูกต้องกว่าคนไทยบางคนเสียอีก แต่เป็นเพราะตื้นตันใจที่ยังมีคนๆหนึ่งที่เห็นคุณค่าของงานสัมมนาที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป ซึ่งมิลินท์เองก็เข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย หญิงสาวแย้มยิ้มให้ ก่อนจะยื่นนามบัตรของตนส่งให้นิสิตหัวหน้ากลุ่ม และกล่าวต่อไปว่า
“ นี่เป็นนามบัตรของดิฉัน หากคุณต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ สามารถติดต่อได้เสมอ... ”
“ ขอบคุณครับ... ” เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณพร้อมกับรับนามบัตรนั้นไปดูใกล้ๆ ซึ่งตัวอักษรที่จารึกอยู่บนแผ่นกระดาษสีขาวนั้นก็คือคำว่า “ มิลินท์ . เอส . จีน ” อันเป็นชื่อและสกุลของหญิงสาว พร้อมสถานที่ทำงานและเบอร์โทรศัพท์ ก่อนที่เจ้าของนามบัตรจะเอ่ยขึ้นว่า
“ ดิฉันคงต้องไปแล้ว เพราะมีงานสำคัญรออยู่ แต่ดิฉันยืนยันว่าจะเป็นกำลังใจให้พวกคุณเสมอ ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ยกมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษา และโบกมือให้เหล่านิสิตอย่างเป็นมิตร และเดินจากไปด้วยท่วงท่าอันสุขุมและสำรวมอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงบ่งบอกถึงยามเย็น ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านชำในเขตชุมชนเมืองหลวงแห่งหนึ่ง จึงตัดสินใจปิดร้านและเข้าไปพักผ่อนในห้องรับแขกเพื่อดูโทรทัศน์ตามกิจวัตรประจำวัน
ปุ่มเปิดโทรทัศน์ถูกกดลงบนรีโมต เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ภาพและเสียงก็ปรากฏขึ้นจากจอโทรทัศน์ เป็นภาพนักวิชาการวัยชราใส่แว่นหนาเตอะศีรษะเต็มไปด้วยผมสีดอกเลากำลังบรรยายเสียงเครียดว่า
“ ภาวะโลกร้อนจะทำให้สัตว์น้ำอพยพไปตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล เช่นสัตว์น้ำลึกมาอยู่ที่ตื้น สัตว์น้ำตื้นกลับไปอยู่ที่ลึก นอกจากนั้น
” วิทยากรชราผู้นั้นยังไม่ทันได้เอ่ยคำต่อไปออกมา ปุ่มเปลี่ยนช่องก็ถูกกด ภาพและเสียงจากโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นละครตามกระแสประโลมโลกซึ่งชาวไทยส่วนใหญ่ในขณะนั้นกำลังนิยมกันแทน
“ พ่อจ๋า ปลาน้ำลึกจะมาอยู่น้ำตื้นจริงๆเหรอจ๊ะ ” เด็กหญิงวัยปฐมร่างอ้วนกลมน่ารักที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่ในห้องรับแขกตั้งแต่ต้น เอ่ยถามผู้เป็นบิดาด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะตอบว่า
“ ถ้าจริงก็ดีสิ พ่อจะได้พาหนูไปดูปลาใต้ทะเลลึกตามแนวปะการังได้ไงล่ะ ” พูดจบฝ่ายพ่อก็หัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ส่วนเด็กน้อยเมื่อเห็นพ่อหัวเราะก็หัวเราะตามอย่างไร้เดียงสา
ขณะเดียวกัน ณ ชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันออก ภายใต้ท้องน้ำลึกยามเย็นซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจมองหยั่งลงไปได้ถึง เงาดำทะมึนของสัตว์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวผ่านจากสายน้ำที่เค็มเขียวของท้องทะเลไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนักมันก็ลุเข้ามาจนถึงปากแม่น้ำ อันเป็นเขตบรรจบกันระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็ม ซึ่งโดยปกติแล้วสัตว์น้ำเค็มที่ไม่ได้อาศัยอยู่ตามเขตน้ำกร่อยปากแม่น้ำโดยสัญชาติจะไม่ล่วงผ่านเข้าไปในเขตน้ำจืด และถึงผ่านเข้าไปก็ไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก ส่วนสัตว์น้ำจืดเอง หากมิใช่สัตว์ที่เติบโตและอาศัยอยู่ในเขตน้ำกร่อยปากแม่น้ำโดยธรรมชาติ ก็จะไม่ลุผ่านเข้าไปในเขตทะเลเลย แต่เจ้าของร่างอันใหญ่โตเทียบเท่ารถเก๋งขนาดย่อมนั้นกลับว่ายเข้าไปในเขตน้ำกร่อยดังกล่าว และเดินทางรุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง...
ความคิดเห็น