ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสนาคริสต์ ,, (- Catholic -)

    ลำดับตอนที่ #3 : • กางเขน •

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.01K
      2
      29 พ.ย. 49




    กางเขน ( The Cross )

    กางเขนซึ่งพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อความรอดของเรานั้น
    ยังคงเป็นเครื่องหมายของการถวายบูชาพระองค์เองอย่างสิ้นเชิงอยู่

     

        ในการรวมเอาแกนตั้งและแกนนอนซึ่งบรรจุสัญลักษณ์ทั้งครบของจุดสำคัญเป็นหลักนั้น กางเขนได้เข้ามามีบทบาทในทุกวัฒนธรรมและทุกศาสนา จุดรวมของสองแกนนี้ถือว่าเป็นจุดนัดพบ จุดรวมและ จุดสังเคราะห์ ในอีกแง่หนึ่งกางเขนเตือนสติถึงการทรมาน การรับทุกข์และการเผชิญหน้ากัน

            กางเขนของพระคริสต์รัมเอาสัญลักษณ์ทั้งสองนี้ไว้ด้วยกัน  เนื่องจากในด้านหนึ่งเป็นพระแท่นของการบูชาถวายซึ่งจะต้องทำให้มนุษยชาติคืนดีกันและนำตัวเข้าไปใกล้พระเจ้ายิ่งขึ้น    แต่ในอีกด้านหนึ่งมันเป็นเครื่องมือประหารพระเยซูจนสิ้นพระชนม์ ไม่ต้องสงสัยว่ากางเขนเป็นสัญลักษณ์ของคริสตศาสนา  บัดนี้เราต้องพยายามทำความเข้าใจกับความหมายที่แท้จริงของกางเขน
                  

         พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ด้วยพันธกิจแห่งการไถ่กู้และไปที่ใด "ทรงกระทำแต่ความดี" (ก จ.10:38) แต่ผู้นำฝ่ายศาสนาของประเทศชาติของพระองค์อิจฉาพระองค์  เพราะทรงประท้วงการที่พวกเขามีความคิดแคบๆพลังของการเทศนาและขนาดของขบวนการของพระองค์ได้ทำให้พวกเขาต้องวางแผนกำจัดพระองค์ ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับชัยชนะในช่วงปัสกา ปอนซีอัส ปีลาต  ข้าหลวงโรมันแห่งแคว้นยูเดียจำยอมเพราะแรงกดดันของชาวยิวให้ตัดสินประหารพระองค์ด้วยข้อหาหนัก เพราะพระองค์ทรงยืนยันถึงการเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่สำหรับคริสตชนการสิ้นพระชนม์ขอ งพระเยซูมิได้เป็นจุดจบ พระคริสต์ทรงกลับคืนชีพและทรงประทับเบื้องพระหัตถ์ขวาของพระบิดา พระเยซูทรงทนกับการปฏิเสธของประชากรของพระองค์ เช่นเดียวกันกับโมเสสและเยเรมีย์ "ด้วยการแบกเอาความผิดของพวกเขาไว้" (อสย.53:11) ทรงทำให้คำพยากรณ์ของประกาศกอิสยาห์สำเร็จไปและด้วยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพ "แม้ถูกทารุณและไม่ได้รับการยอ มรับ แต่ก็มิได้ปริปากพูดเหมือนกับแกะที่ถูกนำไปโรงฆ่า" (อสย.53:7) ใช่ว่าพระคริสต์จะไม่ทรงทราบถึงจุดหมายปลายทางของพระองค์ซึ่งอธิบายไว้อย่างชัดเจนในตอนต้นๆ ของพระวรสาร ซึ่งยอห์น บัปติสแนะนำพระคริสต์ว่าทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า(๑) ทรงดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางของพระองค์ด้วยเต็มพระทัย โดยการประกาศล่วงหน้าให้บรรดาศิษย์ของพระองค์ได้ทราบอย่างน้อยสามครั้งถึงการทรมานและมรณกรรมที่กำลังจะมาถึงพระองค์(๒) 

    การรับทุกข์ "ปัสกา"  อันนี้ด้วยการถูกประหารและความตาย  ที่จริงแล้วเป็นการนบนอบต่อความจำเป็นที่เป็นธรรมล้ำลึกแห่งแผนการการไถ่บาปของพระเจ้า   ตามที่พระเยซูทรงอธิบายแก่ศิษย์ ที่เดินทางไปเมืองเอมมาอุสหลังจากการกลับคืนชีพของพระองค์ว่า "พระคริสต์จำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้ เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ?" (ลก.24:26)  ความอดสูที่พระคริสต์ต้องรับและการตรึงกางเขนสำหรับนักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารแล้วเป็นการแต่งตั้งกษัตริย์ ปิลาตทูลถา มพระองค์ว่าทรงเป็นกษัตริย์หรือไม่ และพวกทหารเยาะเย้ยพระองค์ด้วยการเรียกพระองค์ว่าทรงเป็น  "กษัตริย์ของชาวยิว"(๓) ตามบัญชาของปีลาต(๔) และได้กลายเป็นเครื่องหมายแทนในเวลาต่อมา      บนกางเขนมีป้ายเขียนด้วยสี่คำคือ I.N.R.I. (Iesus Nazarenus Rex Iudeorum) "เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว"

    วิธีการเดียวที่จะเข้าใจการที่พระเยซูทรงเต็มพระทัยถวายองค์เป็นยัญบูชาก็ด้วยการมองว่า  เป็นการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดของความรักที่ทรงมีต่อเราและต่อพระบิดาของพระองค์(๕) รักจนถึงขนาดที่ว่าพระบุตรของพระเจ้ายอมมอบพระองค์เองอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อแผนการซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้เพื่อไถ่บาป   นี่เป็นเหตุผลที่ตรัสก่อนทรงรับทุกข์ทรมานในการสนทนาครั้งสุดท้ายกับอัครสาวกของพระองค์ว่า   "เราจะไม่พูดกับท่านนานต่อไปอีก เพราะเจ้ าโลกนี้กำลังมา มันไม่มีอำนาจอันใดเหนือเรา แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดาและรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น" (ยน.14: 30-31)

    กางเขนแห่งพระสิริรุ่งโรจน์จึงเป็นการเปิดเผยอันสูงสุดของความรักที่สมบูรณ์แบบที่สุด  พระเยซูทรงอธิบายความสำคัญนี้ในการเลี้ยงครั้งสุดท้ายเมื่อทรงตั้งศีลมหาสนิท(๖) เราเห็นภาพการตรึงกางเขนโยงไปถึงพระตรีเอกภาพในภาพพิธีล้างของพระคริสต์อันได้แก่รูปนก พิราบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าบินอยู่เหนือพระผู้ถูกตรึงพระบุตรของพระเจ้าสิ้นพระชนม์ในฐานะมนุษย์บนกางเขน    "ทรงมอบวิญญาณของพระองค์ (ยน.19: 30) ซึ่งหมายความว่าทรงมอบพระจิตเจ้าแก่เรา

    น้ำและพระโลหิตที่ไหลออกจากพระสีข้างที่ถูกแทงได้ให้กำเนิดพระศาสนจักร ซึ่งก็มีความคล้ายคลึงกันกับการถือกำเนิดของเอวาซึ่งพระเจ้าทรงสร้างจากกระดูกซี่โครงของอาดัม(๗)  บรรดาปิตาจารย์ยังได้พูดอีกว่ากางเขนเป็นเตียงสมรสซึ่งพระศาสนจักรเป็นเ จ้าสาวของพระเจ้าได้ตั้งครรภ์โดยพระคริสต์ทรงเป็นเจ้าบ่าว(๘)

    ดังนั้นกางเขนจึงเป็นศูนย์กลางของโลกคริสตชน ภาษิตของคณะการ์ทูเซียนจึงมีว่า "กางเขนตั้งมั่นบนโลกที่หมุนใบนี้" นี่จึงเป็นเหตุให้จักรวาลของเรานี้เต็มไปด้วยกางเขน วัดส่วนใหญ่จะถูกสร้างในรูปกางเขนจั่วและที่นั่งของนักขับร้องทำห น้าที่เป็นแกนตั้ง ตัววัด (ที่มีสองปีก)เป็นแกนนอน การที่ที่นั่งของ  นักขับร้องมักจะเฉียงออกจากศูนย์กลางไปนิดหนึ่ง  ก็ได้รับการตีความว่าพระเศียรของพระคริสต์ที่ถูกตรึงเอนไปข้างหนึ่งเมื่อ "ทรงมอบวิญญาณของพระองค์"   ภายในวัดกางเขนสิบสองอันของการอภิเษก(วัด)เป็นสัญลักษณ์ของ "อัครสาวกทั้งสิบสององค์ของลูกแกะของพระเจ้า"(วว.21:14) คริสตชนมักแขวนกางเขน บน คอและกางเขนที่หน้าอกเป็นเครื่องหมายพิเศษของนายชุมพา หลุมฝังศพของคริสตชนนับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วมักมีกางเขนตั้งอยู่ 

    เครื่องหมายกางเขนที่เราใช้ในการอวยพรเกี่ยวข้องกับธรรมล้ำลึกของพระตรีเอกภาพ เข้ากับธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่บาป เพราะว่าในขณะที่ทำเครื่องหมายกางเขนอยู่นั้นเราก็ออกพระนามของพระบุคคลทั้งสาม "เดชะพระนามพระบิดา (ที่หน้าผาก) พระบุตร (ที่หน้าอก) และพระจิต (ที่บ่าซ้ายไปบ่าขวา  หรือถ้าเป็นพวกออร์ธอดอกซ์ สลับข้างกัน) อาแมน" การก้าวหน้าที่เป็นสัญลักษณ์นี้สรุปชีวิตไว้อย่างครบถ้วนซึ่งได้รับแรงบันดาลจากความรักซึ่งพาไปจนถึงที่สุดซึ่งเกินเลยไปถึงการทรมานและความตายของเราจนนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดรกับพระคริสต์

    -------------------------------------------------------------------------------

    Credit :: www.catholic.co.th

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×