ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสนาคริสต์ ,, (- Catholic -)

    ลำดับตอนที่ #13 : • จากผู้ที่ได้ไปสัมผัส นครวาติกัน •

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 662
      0
      14 พ.ย. 49

    "นครวาติกัน" เป็นที่ประทับของสันตะปาปามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1377 โดยวาติกันมีฐานะเป็นรัฐอิสระในปี ค.ศ.1929 ภายใต้สนธิสัญญา Lateran Treaty ที่ลงนามโดย Mussolini และ Pius XI วาติกันมีพื้นที่ 0.44 ตารางกิโลเมตร มีพลเมือง 365 คน แต่มีลูกจ้างมาทำงานให้เกือบสองพันคน คำว่า "วาติกัน" เป็นชื่อของเนินเขาบนฝั่งขวาของแม่น้ำไทเบอร์ จักรพรรดิเนโรได้สร้างสนามกีฬาบนเนินเขาลูกนี้และนำเสาโอบีลิสก์จากอียิปต์มาตั้งประดับไว้ และเคยใช้เป็นทุ่งสังหารชาวคริสต์เป็นจำนวนมาก จนมาถึงจักรพรรดิ Constantine ที่ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติของโรมัน จึงได้เริ่มมีการสร้างโบสถ์ไว้ที่นี่ และพบหลุมฝังศพของนักบุญ Saint Peter อยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์และจตุรัสเมื่อมองทางอากาศจะมีรูปร่างเหมือนรูกุญแจขนาดใหญ่


    จากกรุงโรมเดินสะพานข้ามแม่น้ำเข้าสู่ถนน via della conciliazione ก็จะมองเห็นวิหาร St. Peter แต่ไกลเลย (ซ้ายมือมีร้านไอสครีมอร่อยด้วยครับ)


    แค่ข้ามถนนก็เข้าสู่รัสอิสระแห่งนี้ได้แล้ว จตุรัสนี้เรียกว่า Piazza San Pietro มีแท่งเสา Obelisk สูง 25 เมตรตั้งอยู่ตรงกลางจตุรัส มีน้ำพุซ้าย-ขวาสองแห่ง


    ตัวอาคารส่วนที่เรียกว่า Colonnade เป็นปีกครึ่งวงกลมทั้งสองข้าง เปรียบเสมือนแขนที่โอบอุ้มมนุษยชาติทั้งมวลให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ข้างบนจะมีรูปปั้นประดับโดยรอบนับจำนวนได้ 140 อัน


    เมื่อจะเดินเข้าไปชมในวิหาร ทุกคนจะต้องโดนตรวจเหมือนตอนขึ้นเครื่องบินเลย นักท่องเที่ยวที่ใส่กางเกงขาสั้นและกระโปรงสั้นเขาจะไม่อนุญาตให้เข้านะครับ โดย St. Peter's Basilica หรือที่เราคุ้นเคยเรียกว่าโบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์นั้น (ตามรากศัพท์น่าจะแปลว่าวิหารมากกว่าโบสถ์นะ) ก่อนทางเข้าเมื่อเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นระเบียงหน้าวิหารที่สันตะปาปาจะออกมาโบกมือทักทายและอวยพรแก่ฝูงชนในจตุรัสในพิธีสำคัญๆ





    ก่อนเข้าสู่วิหารจะมองเห็นประตู Holy door ที่จะเปิดทุกๆ 25 ปีเท่านั้น ในปีนั้นจะถือว่าเป็นปีศักดิ์สิทธิ์ สันตะปาปาจะมาทำพิธีเปิดโดยเคาะด้วยค้อนเบาๆจำนวนสามครั้ง แล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในวิหาร ประตูนี้จะเปิดไว้ตลอดทั้งปีนั้นเท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะปิดอีก 25 ปี


    โดมของวิหารออกแบบโดย Michelangelo โดยเขาเริ่มงานตอนอายุเกือบ 70 ปี (บางตำราบอก 72 ปี) เมื่อเสียชีวิตลงปฏิมากรรุ่นหลังก็ดำเนินการต่อเรื่อยมาตามแบบที่เขาวางเอาไว้


    ภาพต่างๆที่ประดับอยู่ภายในวิหาร และอย่าลืมเดินเข้าไปชมด้านล่าง(ใต้ถุน)ของวิหาร ซึ่งเขาจะใช้เป็นที่ฝังศพของสันตะปาปาองค์ก่อนๆจำนวนมาก รวมทั้งองค์สันตะปาปาจอห์นปอลที่สองที่เพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วด้วย ส่วนภาพขวาสุดเป็นรูปปั้นบรอนซ์ของ Saint Peter

    ในแต่ละปีก็จะมีผู้ที่มาแสวงบุญมาจุมพิตและลูบที่เท้าองค์รูปปั้น Saint Peter นี้จำนวนมาก จนทำให้เท้าของรูปปั้นสึกกร่อนไปจนเห็นได้ชัด ที่สำคัญกว่าจะได้ถ่ายรูปนี้มาต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะนักท่องเที่ยวต่างรอคิวลูบเท้ารูปปั้นนี้กันเป็นแถวเลย


    รูปปั้น Pieta ของ Michelangelo ซึ่งเป็นผลงานตอนเขาอายุยังน้อยมาก





    ด้านหลังของโบสถ์จะเป็น "Vatican Museum" ต้องไปต่อแถวคอยแต่เช้าเพราะนักท่องเที่ยวมากจริงๆ เขาเปิดให้ชม 8.45 น. แต่เราต้องไปเข้าคิวรอตอนเจ็ดโมงกว่าแน่ะ เช้าวันที่เราไปนั้นมีฝนตกลงมาเบาๆก็จะมีคนเดินขายร่มให้นักท่องเที่ยวราคา 4-5 ยูโร เป็นรายได้ที่ไม่เลวเหมือนกัน ผมว่าถ้าเขาฉลาดควรจะเปิดกิจการให้เช่าเสื่อหรือเก้าอี้ระหว่างรอคิว โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนที่นักท่องเที่ยวอาจต้องมารอคิวตั้งแต่หกโมงเช้า ค่าเข้าชมภายในมิวเซียมราคา 12 ยูโร ก็ดูค่อนข้างแพงสำหรับคนไทย แต่เข้าไปชมแล้วคุ้มค่ามากๆ ก็ขนาดทางเดินเข้าไปในแต่ละห้องก็จะประดับประดาอย่างวิจิตรตระการตา โดยเขาอนุญาตให้ถ่ายรูปข้างในได้แต่ห้ามใช้แฟรช ทำให้บางภาพไม่ชัดเจนนักหากแสงในห้องจัดแสดงไม่เพียงพอ

    ในหนังสือเขาบอกว่าต้องไม่พลาดที่จะดูจุดสำคัญๆ เช่น Raphael Stanze โดยภาพด้านขวาชื่อ 'The School of Athens' ถ้าไม่เตรียมตัวอ่านไปก่อนก็ไม่รู้หรอกว่าภาพไหนสำคัญๆบ้าง ก็สังเกตเอาจากจุดที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปมุงจดๆจ้องๆเยอะๆก็ได้

    บรรยากาศห้องสมุดวาติกัน ซึ่งบรรยากาศน่าจะเหมาะกับการนอนชมห้องมากกว่าอ่านหนังสือเสียอีก

    ห้อง Chepel Christine มีภาพที่มีชื่อเสียงของ Michelangrlo คือ The Last Judgement, The original Sin, และ The Creation of Adam

    นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นและภาพของคนอื่นๆอีกจำนวนมาก สามารถเดินชมอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเลย



    ทางออกของ museum จะต้องเดินลงบันไดวน 'Helicoidal staircase' วัตถุประสงค์ของการสร้างแบบนี้ เพราะเดิมออกแบบเพื่อให้ม้าสามารถเดินขึ้น-ลงได้สะดวก นักท่องเที่ยวทุกคนต่างก็ต้องหยุดถ่ายรูปกับบันไดนี้เป็นการสั่งลา





    ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะส่งไปรษณียบัตรให้ตนเองเพื่อจะได้เก็บเป็นที่ระลึก โดยภายใน museum จะมี post office คอยบริการเสร็จสรรพ


    ---------------------------------------------------------------------------

    Credit ::
    http://www.geocities.com/nong2011/twentythree.html
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×