ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ NaruSasu ] ลำนำบุปผา...พฤกษาผลิบาน

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท : เปิดม่านตำนานบทใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.5K
      75
      13 เม.ย. 62


    ปฐมบท
    เปิดม่านตำนานบทใหม่
    + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +  + + + +


    โคโนฮะงาคุเระ 

    ฤดูหนาว ยี่สิบสี่ กุมภาพันธ์ ศักราชนินชูที่หนึ่งพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสอง


         กรุ๊งกริ๊ง . . . 

         กรุ๊งกริ๊ง . . . กรุ๊งกริ๊ง . . .


         ลมหนาวพัดเฉื่อย กระดิ่งลมใต้ระเบียงไม้กระเพื่อมสั่น ส่งเสียงใสกังวานออกมาเป็นระยะ


         “ฟู่ววว . . .”   ริมฝีปากอิ่มพ่นไอหนาวออกมาหนักหน่วง ใบหน้าขาวซีดใต้ฮู้ดสีทึบทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้านิ่ง พายุหิมะยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบ แผ่นฟ้าสีควันบุหรี่ทำให้ยามสนธยาดูเปล่าเปลี่ยวและอึมครึมกว่าทุกวัน 

     

         เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด


         ‘อย่าไปนะ!!!’ 

         

         “หึ. . .”  เนตรสีนิลกระจ่างหลุบลง หวนนึกถึงความทรงจำครั้งอดีต 


         วันนั้น . . . เมื่อหกปีก่อน ใต้แผ่นฟ้าสีควันขุ่น เด็กหนุ่มตัดสินใจหนีออกจากหมู่บ้านตามคำชวนของปีศาจงู วันที่ซาสึเกะในวัยสิบสี่กลายเป็นนินจาหลบหนีที่ใคร ๆ ต่างต้องการตัว เขาไม่เคยลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เคยลืมว่าวันนั้นท้องฟ้าแผดเสียงคำรามดังกว่าที่เคยได้ยิน เเต่ถ้าจะมีเสียงใดที่ดังกว่าก็คงจะเป็นเสียงสะอื้นปนแหบพร่าของใครบางคนที่ยืนขวางทางเขาอยู่

         

         อุซึมากิ นารูโตะ . . .


         ‘อย่าไปเลยนะ ซาสึเกะ’     

         ดวงตาสีฟ้าที่เคยทอประกายสดใสอยู่เสมอ บัดนี้กลับฉายแววบิดเบี้ยวเจ็บปวดบนใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตา


         การจากลามักเจ็บปวดเสมอ ซาสึเกะรู้ในข้อนี้ดี เด็กหนุ่มกำมือแน่น ความอาลัยอาวรณ์ในคนตรงหน้ามีมากพอๆกับไฟแค้นที่สุมในอก แต่เขาอยากแข็งแกร่งขึ้น เขาอยากมีพลังมากกว่านี้ ไม่ว่าจะวิธีไหน ถ้ามันทำให้เข้าใกล้อิทาจิแม้เพียงนิด ถ้าเพื่อล้างแค้นให้กับตระกูลอุจิวะแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็หยุดเขาไม่ได้หรอก ต่อให้จะเป็นคนที่ขวางทางเขาอยู่ตอนนี้ก็ตาม!


         ‘ขอโทษ ขอโทษจริงๆ’  

         เด็กหนุ่มพร่ำขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองร่างสูงในชุดสะดุดตาถูกพันปักษาเสียบทะลุกลางอก เฉียดก้อนเนื้อด้านซ้ายไปอย่างหวุดหวิด นารูโตะเกือบตายจากการปะทะครั้งนั้น และแล้วความสัมพันธ์ซึ่งระหองระแหงมาเนิ่นนานก็ถึงคราวสิ้นสุด


         กาลเวลาผันผ่าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี นารูโตะก็ยังคงเป็นนารูโตะ ร่างสูงไม่ละความพยายามในการไล่ตามเขา มันน่าขำตรงที่เขาเองกลับทำทุกวิถีทางเพื่อหนีห่างจากหมอนั่นให้ไกลที่สุด หลายครั้งที่เผชิญหน้ากันด้วยความบังเอิญ เพียงได้สบกับเนตรสีฟ้าดั่งทะเลลึกคู่นั้น เขาเกือบทลายกำแพงที่สร้างเองกับมือเพียงให้ได้กลับไปยืนเคียงข้างคนร่างสูงอีกครั้ง ฟังดูงี่เง่าเป็นบ้า แต่ใช่ อุจิวะ ซาสึเกะ มันก็คนพรรค์นั้นนั่นล่ะ 


         หลังสงครามสายเลือดจบลงด้วยความตายของอุจิวะ อิทาจิ ความจริงอันน่าเศร้าเบื้องหลังการฆาตรกรรมหมู่ซึ่งถูกเปิดเผยโดยชายสวมหน้ากากชื่อ โทบิ จุดความเกลียดชังที่มีต่อหมู่บ้านใบไม้ให้เพิ่มเป็นเท่าทวี ซาสึเกะตัดสินใจเข้าร่วมแสงอุษา พร้อมๆกันกับที่สงครามโลกนินจาครั้งที่สี่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์ 


         แต่แล้วอดีตอันน่าตกใจที่ได้ฟังจากปากของเหล่าโฮคาเงะรุ่นก่อนซึ่งถูกคาถาสัมภเวสีคืนชีพ ทำให้ซาสึเกะยอมกลับใจมาช่วยพันธมิตรนินจาต่อสู้สงคราม เขาร่วมมือกับนารูโตะปราบโอสึสึกิ คางุยะ จนสำเร็จ ชัยชนะตกเป็นของเหล่าพันธมิตรนินจา และเรื่องราวมันควรจะจบบลงอย่างมีความสุข ทว่า . . .


         โชคชะตาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ 


         อาชูร่า อินดรา . . . อุจิวะ เซนจู ชะตากรรมเเสนเศร้าในอดีตที่ถูกลิขิต ข้ามผ่านวันเดือนปีอันแสนยาวนาน ในที่สุดก็ถูกตัดสิน ณ หุบผาสิ้นสุด ! 


         ฟึ่บ ! ฟิ่บ ! เคร้ง ! 

         นารูโตะ !!!!

         ‘ซาสึเกะ !!!!

         ตูม !!!!!


         หลังสงครามผ่านพ้น ซาสึเกะตัดสินใจออกเดินทางรอบโลก อันที่จริงเรียกว่าเป็นการสืบราชการลับนอกแคว้นน่าจะถูก แน่นอนว่ามีหลายคนที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะนารูโตะที่ยืนกรานเสียงแข็งแถมยังจะไปก้มหัวขอร้องให้รุ่นห้าแต่งตั้งเขาเป็นโจนินแทน  แต่คนอย่างเขาเมื่อตัดสินใจอะไรแล้ว ไม่มีทางกลับลำอย่างเด็ดขาด อีกอย่างคือเขายังไม่วางใจสถานการณ์ภายนอกซักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าโลกนินจาจะค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ห้าแคว้นใหญ่และเเคว้นเล็กๆอีกหลายแคว้นหันมาจับมือกัน สันติสุขกำลังเบ่งบานไปทั่ว แต่ก็ยังมีเเคว้นและกลุ่มคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ปรารถนาการหลั่งเลือด รอคอยวันที่จะสร้างความแตกแยกขึ้นอีกครา 


         ตราบที่มนุษยชาติยังคงอยู่ . . . สงครามจะไม่มีวันสูญสิ้น 


         ไม่มีวัน . . .


         หลังปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปสักพัก ร่างใต้เสื้อคลุมหนาจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปด้านใน ตัวบ้านอุจิวะที่ถึงแม้จะร้างคนอาศัย แต่กลับสะอาดสะอ้านราวกับได้รับการดูแลไม่ขาด ถ้าให้เดาล่ะก็ . . .

         

         “ซากุระงั้นเหรอ ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ” ซาสึเกะถอนหายใจยาวยามนึกถึง  ‘ฮารุโนะ ซากุระ’ เด็กสาวผมสีชมพูหน้าตาน่ารัก ซากุระเคยชอบเขาสมัยเรียนอะคาเดมี่ แต่นิสัยจุ้นจ้านมากความของเธอค่อนข้างทำให้เขาเอนไปในทางรำคาญเสียมากกว่า ซ้ำร้าย . . . ยัยจอมจุ้นที่ว่านี่เคยเกือบตายด้วยน้ำมือเขาแล้วหากนารูโตะไปช่วยไว้ไม่ทัน ทุกวันนี้เขายังรู้สึกผิดไม่หายแม้จะขอโทษขอโพยกันไปนานแล้วก็ตาม 


         “เลิกชอบฉันไปหรือยังนะ”  ซาสึเกะเอ่ยคำถามออกไป ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวคงมาให้คำตอบไม่ได้ก็ตามที  “ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะดี”


         ไม่ใช่ว่าไม่แคร์ ไม่ใช่ว่าอยากผลักไส ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย กลับกันเลยต่างหาก . . .


         ความรู้สึกเวลาแอบชอบใครสักคนเนี่ย เขารู้ดีกว่าใครเสียอีก . . . 


         ‘แต่สำหรับเขา มันคงเป็นได้แค่รักข้างเดียวเท่านั้นแหละ    ซาสึเกะคิด ระบายยิ้มเศร้าสร้อย





         หลังพายุหิมะสงบ ซาสึเกะมุ่งตรงไปยังที่ทำการโฮคาเงะ จุดประสงค์หลักที่เขายอมกลับมาแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก

        
         จดหมาย . . .

         คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อสามวันก่อนระหว่างทำภารกิจลับในอาเมะงาคุเระ อุจิวะหนุ่มได้รับจดหมายเรียกตัวกลับจากโคโนฮะ ในนั้นเขียนเพียงว่า ‘มีเรื่องด่วนสำคัญอยากให้ช่วย . . . ลงชื่อ สึนาเดะ ฮิเมะ’ สร้างความแปลกใจให้เขาไม่น้อย ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านมานี่เป็นครั้งแรกที่มีคำสั่งเรียกตัวกลับ มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดต้องยืมมือเขาเลยเชียวหรือ? ครั้นสงสัยไปก็ไม่ได้อะไร เลยละภารกิจในมือชั่วคราวแล้วบึ่งกลับโคโนฮะทันที
     

         “ขอให้สำคัญจริงเถอะ ไม่งั้นละก็น่าดู” 

         โฮคาเงะก็โฮคาเงะเถอะ! 

     

         เนื่องจากเป็นเวลาเลิกงานเลยทำให้ที่ทำการโฮคาเงะแทบร้างคน ถือว่าทางสะดวกทีเดียวสำหรับคนเกลียดความวุ่นวายอย่างเขา ซาสึเกะไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แล้วก็ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้เรื่องที่เขากลับมาด้วย    


         ตึก . . . ตึก . . .


         ร่างเพรียวเดินไปเรื่อยตามระเบียงสลัวๆ มุ่งหน้าสู่ห้องทำงานที่อยู่สุดทางเดิน บรรยากาศในโถงเงียบสงัดและวังเวง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อนเป็นจังหวะเนิบช้า 


         ตึก . . . ตึก . . .  


         ความเงียบคือสิ่งที่เขาปรารถนา . . . แต่ตอนนี้ความเงียบกำลังทำให้เขาหงุดหงิด 


         ซาสึเกะพ่นลมหายใจ อดนึกถึงต้นตอเเห่งความหงุดหงิดนี้ไม่ได้  ใช่แล้ว ใช่แล้ว. . .


         คนที่น่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของเขาดีที่สุด แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ! 


         “ไปไหนของเขานะ. . .” เห็นว่าได้เป็นโจนินแล้ว งานจะยุ่งก็คงไม่แปลก “ช่างเถอะ ใครสนกัน” 


         ไม่ได้อยากจะเจอซักนิด . . .

     

         “หาใครอยู่เหรอ. . .”

         

         ฟุ่บบบ

         !!!”  

         วงแขนหนาอ้อมโอบจากด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว อารามตกใจสะดุ้งพรวด ซาสึเกะหมุนตัวกลับยกศอกกระแทกโดนปลายคางอีกฝ่ายอย่างจังจนหน้าหงาย 


         พลั่กก!! 


         “อั่กก เจ็บนะ!!” ผู้ถูกกระทำร้องเสียงหลงพลางเซถอยหลังไปสองสามก้าว น้ำเสียงทุ้มลึกที่ฟังดูคุ้นเคยมากๆ ทำให้ซาสึเกะหรี่ตาจ้องผู้รุกรานอย่างพินิจ ก่อนเนตรสีรัตติกาลจะเบิกกว้างอย่างไม่คาดคิด 


         “นาย . . .” 


         “ย่ะ-โย่ว ซาสึเกะ นี่ฉันเอง”  เพราะส่วนสูงที่ต่างกันพอสมควรทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาอีกฝ่ายชัดๆ ใบหน้าคมเข้มเหยเกเพราะความเจ็บ ทว่าในแววตาสีน้ำทะเลดูขี้เล่นกลับเปล่งประกายหยอกเย้ายินดี 


         แย่ละ . . . ละสายตาออกมาไม่ได้เลย 

         

         “นารูโตะ” ซาสึเกะกัดริมฝีปาก ความรู้สึกบางอย่างเเผ่ซ่านไปทั่วร่าง ก้อนเนื้อตรงอกซ้ายเต้นถี่เร็วกว่าปกติ  เขาภาวนาให้มันกลับมาสงบโดยเร็วก่อนอีกฝ่ายจะจับสังเกตได้ 

         

         “ดีใจนะที่รู้ว่านายยังจำฉันได้”  เจ้าของแซฟไฟร์สีครามฉีกยิ้มกว้าง ยกมือเก้าแก้มยิกๆอย่างที่ชอบทำเป็นประจำเวลาเขินหรือดีใจมากๆ  

         นาย. . .มาทำอะไรที่นี่”  ไม่มีการมีงานต้องทำหรือไงนะ เจ้าบ้านี่ แถมยังโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงอีก  


         “ก็. . .” อุซึมากิ นารูโตะลากเสียงยาว ก่อนจะโน้มใบหน้ากรุ้มกริ่มลงมาใกล้ ทำท่าสูดจมูกฟุดฟิด ซาสึเกะสะดุ้ง ผงะถอยโดยอัตโนมัติ  ฉันตามกลิ่นนายมาไง”  


         “เจ้าบ้านี่ เป็นหมาเหรอไง”  ซาสึเกะว่า ชักอยากจะยกฝ่ามือพิฆาตปาดเปรี้ยงลงไปบนใบหน้าทะเล้นๆนั่นให้หายอวดดีซักที ชอบทำอะไรที่หวาดเสียวกับหัวใจเขาอยู่เรื่อย มันน่านัก 


         “ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่ะล้อเล่น ฉันโดนป้าสึนาเดะเรียกตัวมาน่ะ”  นารูโตะตอบตามความจริง ไม่ว่าเปล่ามือหนาชูซองจดหมายสีขาวประทับตราใบไม้สีเขียวตัวเบ้งบนมุมซอง ปากก็บ่นไปตามประสา “นี่ไงตัวต้นเหตุ เพราะมันทำให้ฉันต้องถ่อข้ามคืนจากสึนะเพื่อกลับมาที่นี่ เหนื่อยชะมัดยาด


         “. . .” 


         อย่าบอกนะ ว่านายก็ด้วย” 


         “อืม” ซาสึเกะพยักหน้า ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่” แค่เรียกเขามาก็ว่าไม่ปกติแล้ว นี่มีเจ้าบ้านารูโตะเข้ามาเอี่ยวอีกยิ่งทำให้เรื่องนี้ดูไม่ชอบมาพากลเข้าไปใหญ่ 


         ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าพักหลังๆป้าสึนาเดะแกดูเครียดๆ พวกคาเงะก็มีประชุมลับกันบ่อยขึ้นด้วย อีกอย่างนะ. . .” ท้ายประโยค โจนินหนุ่มป้ายแดงเบาเสียงลงเล็กน้อย “ฉันได้ข่าวมาว่า พวกหน่วยลับเริ่มมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง  นายไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ


         “หน่วยลับ. . .พวกนั้นน่ะเหรอ?” เออ แปลกจริงๆนั่นแหละ

         

         ไม่แน่ว่า ที่โฮคาเงะเรียกเขากับนารูโตะมาอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ได้. . .คิดว่านะ


         “คิดว่าคนที่ให้คำตอบทั้งหมดนี้ได้ก็คงมีแต่คนในห้องนั้นนั่นล่ะนะ มาเถอะซาสึเกะ” พูดจบ ร่างสูงเป็นฝ่ายเดินนำไป โดยมีร่างบางก้าวตามมาเงียบๆ ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างนั้นอีก 


         “โอ๊ะ จริงสิ!” จู่ๆคนด้านหน้าก็หยุดเดิน ก่อนจะหันกลับมาอย่างรวดเร็ว จนซาสึเกะที่เดินใจลอยตามหลังมาเบรกแทบไม่ทัน ให้ตายเถอะโทบิ! อีกไม่ถึงคืบหน้าเขาก็จะชนกับแผงอกล่ำบึ้กนั่นอยู่แล้ว อันตราย อันตรายเกินไปแล้ว!


         “มะ มีอะไร?” ซาสึเกะเอ่ยตะกุกตะกัก ยามโดนร่างสูงจ้องไม่วางตา เสียงทุ้มเปล่งประโยคต่อมาที่ทำให้ซาสึเกะแทบไปไม่เป็น 


         “ขอต้อนรับกลับบ้านนะ ซาสึเกะ :)” 


         “ . . . ”   ให้ตาย ขอให้เป็นเขาที่หูฝาดไปทีเถอะ 

         ประโยคเมื่อกี้ดูดีเป็นบ้า ไหนจะรอยยิ้มละมุนชวนฝันนั่นอีก. . .


         โจนินหนุ่มหมุนตัวกลับไปเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ตัวเลยว่าได้โยนระเบิดลูกใหญ่ใส่ใครบางคนไป 


         “นายนี่มัน. . .” ร่างเล็กรำพึงออกมาเบาๆ เบามากพอที่คนตรงหน้าจะไม่ทันได้ยิน 


         ซาสึเกะมองแผ่นหลังกว้างที่ขยับตามจังหวะการก้าวเดินของเจ้าของ มันทั้งดูแข็งแกร่งและสง่างาม 

         

         ดวงเนตรรัตติกาลหม่นแสงลง ยามตระหนักถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง . . .


         ทั้งที่ได้ใกล้ชิด เเต่ก็ดูจะเอื้อมมือไปไม่ถึง


         ทั้งคำพูดมากมายที่อัดแน่น แต่กลับเปล่งได้เพียงความเงียบและความเฉยชาออกมา


         อยากเดินเข้าไปหา แล้วดึงเข้ามากอด แต่ที่ทำได้. . .คือยืนอยู่ตรงนี้ เฝ้ามองแผ่นหลังนั้นจากที่ไกลๆ


         พอแล้ว. . .ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ 



         “เป็นอะไรรึเปล่า. . .ซาสึเกะ?”  เสียงไถ่ถามจากร่างสูงที่เห็นว่าเขาเอาเห็นยืนนิ่งไม่ยอมเดินตามมา 


         “เปล่า ไม่มีอะไร” อุจิวะหนุ่มปัดความคิดบั่นทอนออกจากหัว ก่อนจะออกเดินต่อไปเคียงคู่กับร่างสูง มุ่งหน้าสู่ห้องทำงานโฮคาเงะด้วยกัน 

    .

    .

    .


    บททักทายประสาเพื่อนเก่าจบลงไปแล้ว เหลือเพียงสองแววตามุ่นมั่นของสองวีรบุรุษสงคราม


    สองกุญแจไขสู่ตำนานบทใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน 


    ขี้เถ้าของอดีตจะถูกชะล้าง อนาคตจะถูกเขียนขึ้นใหม่


    บทสรุปน่ะหรือ?


    มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ล่วงรู้! 


    + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + 


     

     

     

                                  


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

        

     

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×