ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #36 : บทที่ 13 ตะกอนแห่งความสงสัย - "ข้างในว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย" [4]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 901
      1
      1 เม.ย. 54

                หลังจากแวะไปปรึกษาปัญหากับลุงจอห์นแล้ว ชายหนุ่มก็ไปเยี่ยมเจ้าหญิงเป็นลำดับถัดไป

                ถึงภารกิจการตามหาสมบัติราชวงศ์ที่หายไปจะเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตาม แต่อภิสิทธิ์ในการเดินเข้าออกที่ต่างๆ ในพระราชวังของเขาก็ยังคงอยู่ พวกทหารเริ่มคุ้นเคยกับการปรากฏตัวของเขาแล้ว วิลเลียมคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แม้จะหละหลวมไปบ้าง แต่ในอนาคตอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาก็ได้

                จากการตะล่อมถาม เจ้าหญิงคนงามเหมือนจะนำเรื่องต่างๆ มาเชื่อมโยงและจับจุดได้ถูกต้องโดยบังเอิญเอง ไม่มีใครช่วยเหลือหรือคอยชักจูงนาง หรือถ้ามีจริง ลูเครเซียก็คงไม่ได้เอะใจ ประเด็นที่นางสงสัยก็ต่างไปจากเรื่องที่คนทั่วไปน่าจะสงสัย ญาติผู้น้องของเขาแค่อยากรู้ว่า น้ำยาที่ปรุงขึ้นมาทำงานอย่างไร แม่มดดำนั้นเก่งกาจแค่ไหน และการเดินทางของเขาเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง

                วิลเลียมบรรยายเหตุการณ์ที่ไปประสบมาให้ฟังจนเจ้าหญิงพอใจเป็นการแลกเปลี่ยน

                “พี่วิลเลียมยังมีน้ำยาที่แม่มดปรุงขึ้นเหลืออยู่ขวดหนึ่งใช่ไหม” ลูเครเซียถาม

                “ใช่” เขารับ เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วเหมือนกัน “ยังเหลืออยู่ขวดหนึ่ง”

                น้ำยานั่นคงไม่ได้ใช้อะไรแล้ว จะยกให้ลูเครเซียลองเข้าไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตตามที่ต้องการก็คงไม่เป็นไร แต่ก่อนจะได้เสนอดังนั้น เจ้าหญิงก็ตรัสขึ้นก่อนว่า

                “ข้าอยากรู้ว่า แม่มดดำอวยพรอะไรให้ข้า ถ้าข้าให้ของที่เป็นของข้ากับท่านไป จะใช้ได้ไหม”

                ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวในตอนนั้นเองว่าน้ำยาที่เขาลำบากหาสารพัดสิ่งของมาเป็นส่วนผสมกลับขาดของของคนสำคัญคนหนึ่งไป วิลเลียมและแคสซานดราไม่ได้นึกถึงตัวเจ้าหญิงผู้เป็นคนหลักในงานเลย รายการบุคคลที่ทำขึ้นก็เทียบจากสมุดเซ็นชื่อมาร่วมงานเป็นหลัก ครั้นไล่ไปถึงคนที่น่าจะมีส่วนร่วมอยู่ในงาน แต่ไม่ได้ลงชื่อก็ได้มาแต่ คนที่ทำงานเบื้องหลัง หรือไม่ก็เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ต้องพอมีอายุอยู่บ้างทั้งนั้น

                “จริงสิ ข้าลืมนึกถึงเจ้าไปเลย”

                “ข้าก็ว่าพี่วิลเลียมคงลืม” ลูเครเซียบอก “เลยไม่ได้ยินคำอวยพรของข้าเลย อยากรู้จริงเชียวว่าเป็นพรอะไรกัน”

                เห็นท่าทางของเจ้าหญิงผมทองตรงหน้าที่ดูจะสนใจเรื่องนี้มากแล้ว วิลเลียมก็ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะให้นางลองเข้าไปดูความทรงจำดีหรือไม่ บางทีสิ่งที่เอริกากระซิบบอกอาจจะไม่ใช่คำอวยพร แต่เป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่น่าฟัง และไม่น่ารับรู้นักก็เป็นได้

                ทว่านัยน์ตาสีฟ้าใสของลูเครเซียก็ยังคงส่องประกายวาดหวังระยิบระยับจนอยากที่จะปฏิเสธได้

                “เอาไว้ข้าจะลองไปถามเพื่อนข้าดูก่อนแล้วกัน ว่าถ้าจะเพิ่มส่วนวัตถุดิบใหม่ลงไปอย่างหนึ่ง ต้องปรุงยาอะไรใหม่บ้างไหม” ชายหนุ่มเลือกตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน

                “อื้ม อย่างนั้นก็ได้” เจ้าหญิงเห็นคล้อย “อย่างไรพี่วิลเลียมก็เอาของของข้าไปลองดูก่อนละกัน เผื่อถ้ามีโอกาสจะได้ปรุงยาเตรียมไว้เลย ว่าแต่เอาเป็นของอะไรดีล่ะ...”

                วิลเลียมเม้มปากครุ่นคิด... ลองให้เป็นอย่างนี้แล้ว คงยากที่จะบอกปัด รับของมาก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปดูว่าเหตุการณ์ดีร้ายอย่างไร จากนั้นค่อยว่ากันอีกที

                “ข้าน้อยขอพระองค์ทรงประทานพระเกศาสีทองอร่ามสุดงดงามหาใดเปรียบของพระองค์มาเส้นหนึ่งก็พอแล้วพะย่ะค่ะ” กล่าวพลางคุกเข่าลง แสดงท่าทางอ่อนน้อมเกินจำเป็น

                ลูเครเซียคลี่ยิ้มกว้าง แล้วเล่นสวมบทบาทตอบกลับบ้าง เจ้าหญิงเอานิ้วม้วนผมตัวเองเส้นหนึ่ง ก่อนปลิดผมเส้นนั้นออกจากศีรษะตนอย่างเบามือ นำไปมอบให้ญาติผู้พี่ด้วยทีท่าเหมือนกำลังประทานของสำคัญ

                “ผมของข้าเส้นนี้มีอำนาจสลายม่านพลังบังตาสถิตอยู่ ถือเป็นของมีค่ามาก ท่านจงใช้มันให้คุ้มล่ะ ท่านอัศวิน”

                ทั้งสองพากันหัวเราะ ก่อนจะเปลี่ยนมาสนทนาเรื่องโซที่เพิ่งค้นพบของเจ้าหญิงต่ออีกเล็กน้อย คงมีคนอธิบายให้ลูเครเซียเข้าใจแล้วว่า พลังความสามารถพิเศษของนางมีความสำคัญอย่างไร รวมถึงเรื่องที่มาที่ไปของพันธะแห่งดาเรนไลน์ด้วย

                ผู้ที่ผนึกพลังเวทแสงไว้ในล็อกเก็ตนั้นก็คือ โอลิเวีย พระปฐมราชินีแห่งดาเรเนีย คู่ชีวิตของปฐมกษัตริย์ ดาเรน

                พระราชินีโอลิเวียมีโซเกี่ยวพันกับธาตุแสงที่แข็งแกร่งมาก เวทแสงที่นางผนึกไว้ในล็อกเก็ตแท้จริงแล้วมีหน้าที่ปกป้องโอรสธิดา คอยคุ้มครองยามมีภัย และให้ความอบอุ่นยามเปลี่ยวเหงาด้วยการสร้างสรรค์มายาภาพของคนที่รักยิ่งให้ปรากฏขึ้นมา

                ดังนั้นนอกจากโซด้านติดต่อสัมพันธ์กับสัตว์อสูรแล้ว โซที่เกี่ยวเนื่องกับแสงจึงนับว่าเป็นหลักฐานยืนยันความเป็นสายเลือดดาเรนไลน์ดีที่เช่นกัน แต่เรื่องนี้คนยิ่งรู้กันน้อยนัก เนื่องด้วยโซแห่งแสงใช่จะเป็นโซที่แข็งแกร่ง ถึงจะพอใช้ป้องกันตัวได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปให้คนนอกรู้ โดยมากแล้วถึงมักจะรู้กันแต่ในครอบครัวเท่านั้น วิลเลียมเองก็เพิ่งรู้ว่าพระราชาลูเธอร์ล่องหนได้เมื่อวันก่อน

                ข้อมูลเหล่านี้ ลูเครเซียไม่ได้เล่าให้เขาฟังทั้งหมด เจ้าหญิงเพียงบอกว่า โซสลายมายาลวงตาของนางถือเป็นหนึ่งในโซหลักของตระกูลเช่นกัน แล้วก็บอกว่า พวกผู้ใหญ่พากันพูดกันว่าโซนี้ถ้าพัฒนาขึ้นแล้วจะดีอย่างไร ต่อไปอาจจะไม่มีใครสร้างภาพขึ้นมาข่มขวัญ ปิดบัง หรือหลอกลวงนางได้

                แต่ก็ยังจับผิดการโกหกธรรมดาไม่ได้อยู่ดี... วิลเลียมคิดเสริม แต่ก็ไม่ได้กล่าวออกไป

                เขาได้ข้อมูลส่วนที่เกี่ยวกับพระราชินีโอลิเวียมาจากคนเฝ้าห้องเก็บเอกสาร จึงเอาเรื่องมาเชื่อมโยงกันเองว่า เหตุใดโซเกี่ยวกับแสงจึงจัดว่าเป็นโซสายหลักของดาเรนไลน์เช่นกัน

                ทว่ายังมีจุดที่เขาสงสัยอยู่อีกอย่างหนึ่ง เรื่องความสามารถในการคุ้มครองปกป้องของเวทแสงที่ว่านั้น เป็นอย่างไรกันแน่ เขาเห็นแต่มีการพิสูจน์มายาปลอบประโลมใจเท่านั้น

                “แล้วเรื่องของเวทแสงคุ้มครองนี่เป็นอย่างไรหรือ” ชายหนุ่มถามญาติผู้น้อง “เจ้าเคยได้ยินอะไรมาบ้างไหม”

                “เสด็จพ่อบอกแต่เพียงว่า ถ้าหากมีภัยมาถึงจริง เวทแสงที่ผนึกอยู่ในล็อกเก็ตจะช่วยป้องกันให้” ลูเครเซียเล่า “แต่ว่าก็ไม่ได้ทดสอบหรอกนะ เสด็จพ่อว่า ถ้าเป็นสายเลือดแห่งดาเรนจริง อย่างไรก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่แล้ว”

                “เช่นนี้นี่เอง” ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องความเชื่อที่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัด วิลเลียมจึงไม่ติดใจจะถามต่อ

                พวกเขาจบการสนทนาในวันนั้น เมื่อเมเดียเข้ามาเตือนให้เจ้าหญิงเตรียมตัวไปเข้าชั้นเรียน

                ชายหนุ่มเอ่ยลากับญาติผู้น้อง แล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมใหม่บ่อยๆ

                เขามองเจ้าหญิงคนงามจากไป พลางคิดว่า ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี สงสัยคงต้องมองลูเครเซียใหม่เสียแล้ว นางเองก็มีความรู้มากขึ้น ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะรับมือง่ายๆ อีกต่อไป ถึงนิสัยบางอย่างจะยังไม่เปลี่ยนก็ตาม

     

                ถ้าหากวันนั้น มีคนไปเยือนที่ร้านอาลีค้าสรรพยุทโธปกรณ์ได้ถูกเวลาก็คงจะได้เห็นภาพประหลาดๆ ที่ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนคุยกับนกแก้วอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

                โชคดีที่เจ้าของร้านกันลูกค้าออกไปได้ทัน จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในบางครั้ง ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะต้องประมูลขายนกแก้ววิเศษไปอีกที แต่ก็ต้องลำบากให้นายท่านช่วยเหลือด้วย หากคิดอีกทีการหลอกลวงผู้คนก็ไม่ใช่การค้าที่ยั่งยืน หากำไรโดยสุจริตย่อมดีกว่า อาลีคำนวณผลได้ผลเสียเสร็จสรรพแล้วก็ตั้งหน้าตั้งหาฟังเจ้าหนุ่มนามวิลเลียมสนทนากับนายท่านแคสซานดราต่อไป

                “ถ้ามีเรื่องยากปรึกษาเจ้าหน่อย แคส”

                “มีอะไรก็รีบๆ ว่ามา ตอนนี้ข้ากำลังยุ่ง” เจ้านกแก้วตอบด้วยเสียงกังวานใสแต่ก็ติดแววรำคาญ

                “ถ้าอยากรู้ว่า ถ้าข้าเพิ่มส่วนผสมลงไปในน้ำยาที่เจ้าปรุงให้ เพื่อที่จะกลับไปฟังคำที่เอริกากล่าวกับเจ้าหญิง จะเป็นไปได้ไหม พอดีข้าได้ของของเจ้าหญิงมาเพิ่ม”

                แคสซานดราเงียบไปสักพัก คงกำลังพิจารณาเรื่องราว สำหรับแม่มดดำผู้เฉลียวฉลาดเป็นเลิศแล้ว เพียงฟังเขาพูดเท่านี้ก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ นางทราบแล้วว่า น้ำยาที่ปรุงขึ้นนั้นขาดของของเจ้าหญิงไป

                “...ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรล่ะกระมัง” เสียงที่ตอบมาฟังไม่แน่ใจนัก “ข้าไม่เคยลอง แต่เจ้าลองดูก็คงไม่เสียหาย อย่างมากก็แค่ติดอยู่ในห้วงความทรงจำ เดี๋ยวข้าย้ายบ้านเสร็จแล้วตามไปช่วยเจ้าทีหลังก็ได้”

                วิลเลียมทำหน้าเหลอหลา การติดอยู่ในห้วงความทรงจำต้องรอคนมาช่วยนี่ ไม่ถือเป็นปัญหาใหญ่หรอกหรือ ยังดีที่การติดต่อครั้งนี้ได้ยินแค่เสียง ไม่เห็นหน้าค่าตา อีกฝ่ายจึงไม่น่าจะรู้ว่า เขากำลังแสดงอาการอย่างไร

                “เจ้ากำลังย้ายบ้าน?” ชายหนุ่มทวนถาม

                “ใช่ ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า จะย้ายมาอยู่ในลูซแวร์ดู ต่อไปเจ้าจะได้เดินทางมาคุยกับข้าได้สะดวก ไม่ต้องแวะไปวุ่นวายที่ร้านของอาลีอีก เป็นการไล่ลูกค้าเสียเปล่าๆ”

                อาลีที่อยู่ตรงนั้นพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยเต็มที่ เวลาที่วิลเลียมมาที่ร้าน เขาต้องพยายามกันลูกค้าออกไป แต่ถึงจะแสดงกิริยาเช่นนั้น นายท่านของเขาก็ไม่รับรู้อยู่ดี

                “เอาไว้พอข้าย้ายจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วจะชวนเจ้ามาเยี่ยมบ้านใหม่ของข้าละกัน” แคสซานดราบอกต่อผ่านปากนกแก้ว “ทีจริงก็ยังไม่ได้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะของข้าเลย”

                “อ้อ ได้สิ” วิลเลียมตอบรับไป “ถ้าเจ้าจัดงานเลี้ยง ข้าต้องไปร่วมอยู่แล้ว”

                ไม่รู้ทำไมพอได้มาคุยกับแคสซานดราจริงๆ เขาก็รู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิม ความสงสัยที่เคยมีไม่โผล่มารบกวนแม้แต่น้อย

                “ถ้าไม่มีอะไร ข้าก็ไปจัดการย้ายบ้านต่อแล้วล่ะนะ” เสียงจากอีกฝั่งกล่าวต่อ

                “ไม่มีอะไรแล้ว ตอนนี้ข้าว่างๆ จะลองไปผสมยาดูเองละกัน ถ้าเจ้าหาตัวข้าไม่เจอ ก็อย่าลืมตามไปช่วยข้าออกมาด้วยนะ”

                นกแก้วหัวเราะเสียงดังประหนึ่งกำลังฟังคนพูดตลกอยู่ ก่อนกล่าวว่า

                “เจ้าไม่คิดบ้างหรืออย่างไรว่า ต้องให้ผู้หญิงไปช่วยนี่มันน่าขายหน้า”

                วิลเลียมยิ้มแหย ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาอาจจะคิด แต่ถ้าเป็นแคสซานดราแล้ว... เรื่องที่ต้องให้นางช่วยดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไป

                “ข้าไม่ใช่คนถือเรื่องพวกนั้นหรอกน่า” เขาตอบไปอีกอย่าง

                “เจ้าที่มันไร้ยางอายจริงๆ เลย” นางพูดกลั้วหัวเราะ “เดี๋ยวข้าเปลี่ยนใจไม่ไปช่วยเสียเลยนี่”

                “เอาเถอะ ข้าไม่รบกวนเวลาเจ้าแล้ว” วิลเลียมตัดบทแทน “ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยว่า ข้าจะรอดกลับมาได้หรือไม่ ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ”

                “ตกลง ข้าจะรอดูละกัน ไปทำงานต่อละ” ว่าจบนกแก้วก็กลับมายืนตาปรือเอื่อยเฉื่อยไม่กระต้นรือร้นเช่นเดิม เป็นการบอกลาที่รวบรัดไม่มีหัวมีหางเท่าใด

                ใจหญิงสาวนั้นก็หยั่งยาก คิดจะทำอะไรก็ทำ จะมาก็มา จะไปก็ไป ยิ่งกับคนเป็นแม่มดดำผู้ลึกลับด้วยแล้ว ยิ่งคาดเดาไม่ถูก

                อย่างไรก็ตาม ตอนนี้วิลเลียมอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ออกมาพบปะผู้คนและทำอะไรต่างๆ ย่อมดีกว่าหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง เรื่องที่เขาจะสืบก็ค่อยๆ ทำไปละกัน เริ่มต้นจากการย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในงานเลี้ยงอีกครั้งก็ไม่เลว

                ชายหนุ่มกำลังจะเดินออกร้านอาวุธไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่อาลีก็เรียกเขาไว้ก่อน

                “จริงสิขอรับท่านวิลเลียม” พ่อค้าถูมือประจบประแจง คลี่ยิ้มกว้างจนไม่น่าไว้ใจ

                “มีอะไร” เขาถาม อาลีคิดจะชวนเขาซื้ออะไรอีกอย่างนั้นหรือ

                “ค่ากระเป๋าหนังมังกรที่ค้างอยู่ล่ะขอรับ”

                “อ้อ เรื่องนั้นเอง” ตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สินแล้ว แต่กลับลืมไปว่ายังค้างชำระค่าสินค้าอยู่ ทว่าพอเห็นกิริยาของอาลีแล้วก็อดหยอกไม่ได้ว่า “ครั้งนี้ข้าพกเงินติดตัวมาไม่พอ เอาไว้แวะมาครั้งหน้าข้าจะมาจ่ายให้แล้วกันนะ”

                สิ้นวาจาก็เดินออกจากร้านต่อไปพร้อมใบหน้ายิ้มระรื่นยิ่งกว่าเก่า โดยไม่สนใจหันกลับมามองพ่อค้าที่หน้าซีดลงเลย

                ถ้าหากนายท่านแคสซานดราย้ายมาอยู่ในลูซแวร์แล้ว บางทีวิลเลียมอาจจะไม่มีเหตุให้ต้องแวะมาที่ร้านของเขาอีกแล้วก็ได้

                วิลเลียมก็หวังเช่นกันว่า จะยืดเวลาชำระหนี้นี้ออกไปนานๆ ...เพื่อความสะใจ

    ---

    S.O.

    April 1, 2011

    มีข่าวร้ายและเรื่องเครียดๆ ที่สำคัญจะมาแจ้งให้ทราบล่ะค่ะ

    ที่จริง เขียน Special Ones ภาคพันธะแห่งดาเรนไลน์นี้จบไปนานพอสมควร แล้วก็ลองเสนอสำนักพิมพ์ดูแล้ว...ด้วยความมุ่งหวังเต็มเปี่ยมว่า คงผ่านน่า เราอุตส่าห์พยายามเขียนตั้งขนาดนี้แล้ว และมีหลายๆ คนชอบ มีคนติดตาม อีกอย่างก็มีงานเก่าที่เคยผ่านได้นี่นา

    แต่ผลออกมาก็กลายเป็นว่า ไม่ผ่านการพิจารณา สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะเนื้อเรื่องยังไม่แปลกแหวกแนวพอ ไม่ตรงตามตลาด แล้วก็เรื่องค่อนข้างยาวและเรื่อยๆ ไป

    พอรู้อย่างนี้แล้วก็ทำให้หมดกำลังใจในการเขียนและลงนิยายให้อ่านไปมากทีเดียว รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที เพราะนอกจากเขียนนิยายแล้ว ภารกิจในชีวิตจริงอื่นๆ ที่ยังต้องทำก็ยังคงมี ไม่ค่อยอยากกลับไปแก้งานเท่าไหร่ด้วย แม้จะรู้จุดที่บกพร่องอยู่ตามก็ แต่ก็เหมือนขี้เกียจและไม่รู้จะแก้อย่างไรดีจึงจะเหมาะสม

    ถึงอะไรๆ จะยังไม่แน่นอน แต่ตอนนี้ก็อยากขอพักบ้าง...

    ดังนั้น สำหรับเนื้อเรื่องภาคนี้ก็คงจะทยอยลงให้จบเพื่อผู้อ่านที่ติดตามอยู่ทั้งหลาย แต่ภาคต่อไปนั้นคงต้องรอกันยาวๆ หน่อยล่ะค่ะ

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×