ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 บุรุษผู้ที่หลายคนไม่อาจลืมเลือน - "วิลเลียมไหน"

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.18K
      11
      19 ต.ค. 53

    บทที่ 1 บุรุษผู้ที่หลายคนไม่อาจลืมเลือน

    “วิลเลียมไหน”

     

                ชายหนุ่มในชุดนักเดินทางซอมซ่อก้าวขายาวๆ ไปตามถนนแห่งเมืองลูซแวร์ เขามองสำรวจสิ่งต่างๆ ที่ดูแปลกตาไปจากภาพในความทรงจำครั้งก่อนบ้างเป็นระยะๆ หากก็มิได้เสียเวลาหยุดแวะพักแต่อย่างไร เท้ายังคงขยับเปลี่ยนเส้นทางตามคำสั่งจากกึ่งสติกึ่งจิตใต้สำนึกด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี แม้จะผ่านมานานปีแต่เส้นทางกลับบ้านก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจ

                หนุ่มนักเดินทางผ่านฝูงชนจอแจของย่านการค้า หักเลี้ยวตรงหัวโค้งสวนกับคนในชุดเครื่องแบบข้าราชการสองสามคนที่กำลังเร่งรีบไปลงชื่อทำงานให้ทันกะเช้า จนกระทั่งมาหยุดที่หน้าอาคารสถานแห่งหนึ่ง สูงขึ้นไปเหนือประตู ป้ายชื่อที่แขวนอยู่บนด้ามโลหะที่ยื่นออกมาเขียนบอกไว้ว่า ‘Margaret’s Bar’ (บาร์ของมาร์กาเรต)

                ร้านขายอาหารและเครื่องดื่มแห่งนี้ขึ้นชื่อลือชาที่สุดในเมือง เป็นร้านที่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนลูซแวร์ต้องแวะมาดื่มกิน นั่งฟังเพลง และชมการแสดงสักครั้งให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่ามาเสียเที่ยวเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหนุ่มโสดไร้พันธะทั้งหลายแล้ว...

                แต่สำหรับหนุ่มโสดผู้นี้ แม้จะทราบถึงชื่อเสียงเรียงนามของร้านเป็นอย่างดี เขาก็มิได้มาหยุดยืนอยู่หน้าบาร์ของมาร์กาเรตในยามเช้าก่อนเวลาเปิดทำการด้วยสาเหตุเดียวกับเหล่านักท่องเที่ยวที่อยากมาลองดีถูกไม้กวาดไล่ตีกลับไปก่อนหรอก

                เขาผลักประตูเปิดเข้าไป...

                ประตูไม่ได้ลงกลอนไว้อย่างที่คิด ด้านในของร้านค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสลัวๆ ลอดผ่านชั้นม่านหน้าต่างที่ปิดกำบังไว้ได้เล็กน้อยเท่านั้น กลิ่นเหล้าอ่อนๆ ลอยมาปะทะจมูกผสมกับกลิ่นเครื่องหอมเจือจาง โต๊ะและเก้าอี้นั่งทั้งหลายจัดวางไว้เป็นระเบียบร้อย นอกจากเขาแล้ว ในร้านมีเพียงหญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมสวมผ้ากันเปื้อนที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการเช็ดเคาน์เตอร์ให้ขึ้นเงาอีกคนเท่านั้น

                เมื่อได้ยินก่อนประตูถูกผลักเปิด และเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นสองสามครั้ง บ่งบอกถึงการมีคนถือวิสาสะรุกล้ำเข้ามาในสถานที่ของนาง คงเป็นแขกที่หลงเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ เพราะเสียงฝีเท้าที่เงียบไปแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลังเลจะทำอย่างไรต่อไปดี หญิงวัยกลางคนคิดเช่นนั้นจึงกล่าวโดยไม่คิดจะละความสนใจจากงานตรงหน้าขึ้นว่า

                “ตอนนี้ร้านยังไม่เปิดให้บริการ ต้องรอถึงยามบ่ายจึงจะเปิดรับแขก หากอยากรับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่ม หรือชมการแสดงพักผ่อนหย่อนใจ ขอเชิญท่านกลับมาใหม่ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นไป” น้ำเสียงสุภาพแต่ก็แสดงอำนาจบังคับอย่างชัดถ้อยชัดคำ

                “ป้ามาร์กาเรต นี่ข้าเอง...” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น แล้วทิ้งจังหวะไป

                คำเรียกอย่างสนิทสนมนั้นกระตุ้นให้มาร์กาเรตเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม นางก็วางมือจากงาน ซ้อนมือทั้งสองไว้ใต้ชายผ้ากันเปื้อน แล้วก้าวเดินฉับๆ ออกจากหลังเคาน์เตอร์ มายืนประจันหน้ากับเขาทันที

                ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยหลงดีใจที่อีกฝ่ายยังจำเขาได้จึงรี่เข้ามาทัก

                “ข้าก็ว่าสายตาข้าไม่ได้ไม่ดี ความจำก็ไม่ได้เสื่อม และก็ไม่ได้แก่เท่าใด แต่ทำไมข้ารู้สึกเหมือนจะไม่รู้จักเจ้าล่ะนี่”

                รอยยิ้มยินดีของชายหนุ่มกลายเป็นรอยยิ้มเก้อไปโดยพลัน เขาเอานิ้วชี้หน้าตัวเอง ก่อนกล่าวเน้นๆ ว่า

                “ป้ามาร์กาเรต นี่ข้าเอง วิลเลียมไง”

                “วิลเลียมไหน” อีกฝ่ายถามกลับทันควัน

                “วิลเลียมลูกมาเรีย คนเย็บผ้าที่พักอยู่ในซอยใกล้ๆ ที่นี่น่ะ วิลเลียมที่มาช่วยงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านป้าเมื่อก่อนไง”

                “อ้อ วิลเลียมนั้นเอง...” หลังจากฟังคำอธิบายความเป็นมาของชายหนุ่ม นัยน์ตาสีน้ำตาลของมาร์กาเรตปรากฏแววระลึกได้ในที่สุด

                “ใช่แล้ว” วิลเลียมพยักหน้าถี่ๆ เสริม หากโดยไม่ทันตั้งตัวใบหน้าของเขาก็ถูกมือของฝ่ายอีกดึงให้มาอยู่ต่ำลง สายตาจ้องเขม็งมาในระดับเดียวกัน

                “เจ้าก็คือ วิลเลียม เจ้าเด็กแสบที่ทำจานข้าแตกไปหลายใบ แถมอยู่ดีๆ ก็ลาออกจากงาน แล้วหนีออกจากลูซแวร์ไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำเลยใช่ไหม!

                หญิงวัยกลางคนคาดคั้นเสียงดุ แล้วกล่าวต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับไม่ว่าจะโดยการพูดจาหรือพยักหน้าสักองศา

                “ดูซินี่ โตป่านนี้แล้วรึ สูงใหญ่เชียว แล้วนี่ผมเผ้าไปทำอะไรมาล่ะนี่ เคราก็ขึ้นเขียวแล้วไม่รู้จักโกนซะบ้าง อายุยังน้อยยังไม่ต้องไว้เคราหรอก ทำเป็นแก่แดดแก่ลมไปได้...”

                หลังจากปล่อยให้ป้ามาร์กาเรตพินิจอวัยวะต่างๆ บนหน้าตนอย่างใกล้ชิดได้พักหนึ่ง วิลเลียมก็รู้ตัวล่ะว่าควรหาโอกาสตัดเรื่องเข้าจุดประสงค์หลัก ก่อนที่จะโดนท่านป้าเทศนาสั่งสอนยาวกว่านี้ และก็ควรเอาศีรษะตนกลับมาว่างบนบ่าให้ถูกตำแหน่งได้แล้ว อยู่ในท่านี้ทำเอาปวดคอไม่น้อยทีเดียว

                ชายหนุ่มค่อยๆ แกะมือของหญิงวัยกลางคนออกอย่างสุภาพ

                “แต่ตายังสีสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ เหมือนตาของท่าน...” มาร์กาเรตว่าต่อ

                “ท่านป้า” เขาแทรกขึ้นในจังหวะนั้นเอง “ข้าเข้าใจดีว่าท่านเป็นห่วง แต่ที่ข้ากลับมาที่ลูซแวร์ก็เพราะมีสิ่งที่อยากทำ”

                “จะกลับมาเป็นเด็กเสิร์ฟร้านป้าอีกอย่างนั้นรึ” มาร์กาเรตพูดยิ้มๆ ติดตลก หากทราบดีถึงความจริงจังในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมา

                “ไม่ใช่หรอก” วิลเลียมเผยยิ้มอ่อนโยน “ข้าแค่อยากขอยืมใช้ห้องน้ำของที่นี่ เพื่อจะแปลงโฉมตัวเองให้ดูเป็นผู้เป็นคนอย่างที่ท่านป้าต้องการสักหน่อย จะให้กลับไปใช้ห้องน้ำที่บ้านเก่าที่ไม่มีใครอยู่มานานปีก็กระไรอยู่ เผอิญข้ามีธุระที่จะต้องไปทำต่อด้วย ดังนั้นขอข้ายืมใช้ห้องน้ำป้าหน่อยนะขอรับ”

                เมื่อพูดจาปากหวานและยกเหตุผลมาอ้างถึงขนาดนี้ มาร์กาเรตที่โดยพื้นฐานเป็นคนใจดีอยู่แล้วมีหรือจะไม่อนุญาต

                “เอาสิ ตามสบายเลย จะใช้สบู่ น้ำยา หรือยืมมีดโกนของตาลุงไปใช้ก็ใช้ได้ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกละกัน จะเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ด้วยไหม”

                เจ้าของร้านแนะนำพลางดุนหลังหนุ่มวัยคราวลูกให้เคลื่อนไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปด้านหลัง ดูจากสภาพสมบุกสมบันและขนาดกระเป๋าเดินทางของชายหนุ่มแล้วคาดว่าคงมีอุปกรณ์ยังชีพขั้นพื้นฐานอยู่พร้อมครัน แต่เมื่อกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนทั้งทีก็ควรจะได้ใช้ของดีๆ ทำตัวให้สบายเหมือนอยู่บ้านไม่ใช่หรือ

                แม้วิลเลียมจะไม่ได้เป็นหลานแท้ๆ ของนาง แต่นางเคยสนิทกับแม่ของเขา อีกทั้งยังมีลูกสาวโทนอยู่ในวัยเดียวกัน เมื่อก่อนทั้งสองครอบครัวก็ให้ความช่วยเหลือพึ่งพากันบ่อยๆ วิลเลียมจึงไม่ถือเป็นคนอื่นไกลสำหรับนาง ...คงจะมีแต่อีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่ชอบทำเป็นเกรงใจ ถือดีไม่เข้าเรื่องอยู่เสมอ

                “ผ้าเช็ดตัวข้ามีอยู่แล้ว ถ้าจะมีขาดสิ่งใดไปก็...” ชายหนุ่มครุ่นคิด “...อยากให้ท่านป้าช่วยหาชุดดีๆ พอดูได้ให้สักหน่อย ท่านลุงโจนาธานพอจะมีชุดใส่ออกงานที่ขนาดพอดีตัวข้าเหลืออยู่บ้างไหมขอรับ”

                “ชุดใส่ออกงานที่เจ้าพอจะใส่ได้อย่างนั้นรึ ตาแก่คงจะมีแต่ชุดแต่งงานที่เก็บไว้กระมัง”

                มาร์กาเร็ตตอบแล้วก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับห้องอาบน้ำดู ระหว่างที่กำลังค้นดูชุดเก่าๆ ไป ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงพูดขึ้นว่า

                “ว่าแต่จะเอาชุดแบบนั้นไปทำอะไร อย่าบอกนะว่า...”

                “ถ้าเป็นชุดสำคัญขนาดนั้น ข้าคงไม่ขอรบกวนท่านลุง” วิลเลียมที่กำลังรอท่านป้าค้นชุดให้อยู่ตัดบทขึ้น “อย่างไรข้าก็พอมีชุดสะอาดเหลืออยู่ก้นกระเป๋าบ้าง เดี๋ยวพอข้าอาบน้ำเสร็จแล้วจะมาทักทายท่านลุงแล้วกัน ตอนนี้คงกำลังยุ่งอยู่กับการหมักเหล้าอยู่ที่โรงกลั่นสินะขอรับ”

                “ตานั่นวันๆ ก็มีแต่อยู่กับเหล้านั่นแหละ ไม่เคยสนใจช่วยงานที่ร้านบ้างเลย” นางบ่นอย่างมีโมโหเล็กน้อย

                เนื่องจากมาร์กาเร็ตเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันและเมื่อคิดอะไรแล้วก็จะพูดออกมาทันที พอถูกวิลเลียมหันเหหัวเรื่องหน่อย ก็ลืมเรื่องที่คิดจะกล่าวก่อนหน้านี้ไปแล้ว กว่าจะตระหนักรื้อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็มักจะเป็นตอนที่ทำงานบ้านเพลินๆ

                “แต่รสเหล้าของท่านลุงก็เป็นที่ติดใจของชาวเมืองกัน และทำให้ร้านป้ามีแขกมาเยือนล้นหลามไม่ขาดสายนี่”

                “ก็นั่นแหละ ถึงได้ทำให้ข้ายิ่งเหนื่อยอย่างไร ถ้าไม่ต้องไปผสมเหล้าให้อร่อยนัก หรือกลั่นเตรียมไว้น้อยๆ หน่อย จะได้ต้อนรับลูกค้าน้อยลง ข้าจะได้มีเวลา...”

                วิลเลียมฟังถึงตอนนั้นก็ปล่อยให้ท่านป้าค้นชุดไปบ่นไปคนเดียว ตัวเองชิ่งไปอาบน้ำก่อนแล้ว ทราบดีท่านป้าก็บ่นไปตามประสาคนกำลังย่างเข้าวัยชราเช่นนั้นเอง โดยเนื้อแท้แล้วมิได้คิดอะไรมากมายหรอก ท่านลุงกับท่านป้าก็คงรักใคร่กันแบบที่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสาสามีภรรยาทั่วไป ในเมื่อกิจการค้าขายก็รุ่งเรืองดี ชาวเมืองทุกคนชมชอบ มีคนรู้จักมาหลาย ผู้ใดกันจะไม่นิยมฐานะเช่นนี้กันเล่า

     

                “ท่านแม่ ทำอะไรอยู่หรือคะ” หญิงสาวร่างบางเอียงคอถามเมื่อเห็นผู้เป็นมารดากำลังสาระวนทำอะไรสักอย่างอยู่ที่ตู้เสื้อผ้า

                “อ้าว โรซาลินด์ ลงมาแล้วหรือ” มาร์กาเรตชะงักงานที่ทำแล้วหันไปเอ่ยกับบุตรี

                โรซาลินด์เป็นธิดาโทนของโจนาธานกับมาร์กาเรต อายุเพิ่งจะย่างเข้าสิบหกปีบริบูรณ์เมื่อไม่นานนี้ นางเป็นหญิงสาวที่มีความงามเป็นเลิศ ด้วยผมยาวตรงสีทองเปล่งปลั่งดังแพรพรรณชั้นดีที่ไว้ยาวถึงสะโพกด้านหลังทิ้งปลายโค้งโบกสะพัดนิดๆ ส่วนผมด้านหน้านั้นตัดสั้นเหนือคิ้วที่โก่งดั่งคันศรเล็กน้อย ดวงตากลมโตสีเขียวมรกตแฝงเสน่ห์ลึกลับชวนค้นหา นัยน์ตาคู่นี้เหมือนจะซุกซ่อนความนัยและคำถามเอาไว้ตลอดเวลา

                โรซาลินด์นี่เองคือสาเหตุที่ทำให้ชายโสดผู้มาเยือนลูซแวร์จำเป็นต้องมาเยือนบาร์ของมาร์กาเรตสักครั้ง

                ครั้งพอได้ยินเสียงน้ำและเห็นไอขาวลอยออกมาจากในห้องน้ำของครอบครัว ประกอบเสื้อผ้าที่ท่านแม่ของนางกำลังรื้อค้นออกมาแล้ว หญิงสาวก็ถามขึ้นว่า

                “มีใครมาเยี่ยมหรือคะท่านแม่”

                “ใช่แล้วจ้ะ มีสหายเก่ามาเยี่ยมพอดี”

                “ใครหรือคะ” นัยน์ตาสีมรกตเคลือบไว้ด้วยความสงสัยและตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น ราวกับนางกำลังเล่นเกมทายคำตอบอยู่ในใจว่า สหายเก่าที่ท่านแม่พูดถึงนั้นเป็นใครกัน

                ในบางครั้งผู้มองดวงตาคู่นี้ของนางจะรู้สึกว่าหญิงสาวนั้นยังไร้เดียงสาจึงมีสายตาเปี่ยมคำถามเช่นนี้ หากในบางขณะแววตาคู่สวยก็เหมือนจะล่วงรู้ความคิดของผู้ที่นางนับจ้องอยู่ได้ ถือเป็นดวงตาของสาวงามประจำเมืองที่ชวนให้ผู้คนสับสนงงงวยยิ่งนัก แต่สำหรับมาร์กาเรตผู้เป็นมารดาแล้ว นางรักและเอ็นดูโรซาลินด์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าบุตรสาวจะเติบโตขึ้นมาเพียงไรแล้วก็ตาม นางก็ยังถือเป็นเด็กหญิงน้อยๆ ที่ทำอะไรก็เห็นว่าน่ารักไร้จริตเสแสร้งอยู่เสมอ

                พอโรซาลินด์ถามมาเช่นนี้ มาร์กาเรตจึงตอบยิ้มๆ ว่า

                “เจ้าก็รอพบหน้าเขาเองละกัน” แล้วก็กลับไปรื้อกองเสื้อผ้าอีกรอบ

                “โธ่ ท่านแม่ก็...” โรซาลินด์ทำท่าเง้างอนเล็กน้อยแต่แล้วก็เปลี่ยนมาออดอ้อนว่า “บอกหน่อยนะ บอกหน่อยเถอะ”

                แม้จะแสดงอากัปออกไปเช่นนั้น หากแต่ในใจนางก็รวบรวมข้อมูลเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คนที่ท่านแม่พูดถึงน่าจะเป็นคนที่นางรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน ไม่เช่นนั้นท่านแม่คงไม่บอกให้รอพบหรอก อีกอย่าง... เขา เป็นผู้ชายที่ท่านแม่วางใจให้เข้ามาถึงส่วนในของร้านเสียด้วยสิ

                หรือว่าจะเป็น...

                จังหวะนั้นเองประตูห้องน้ำก็เปิดออกมาพร้อมเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งพอดี โรซาลินด์จึงไม่จำเป็นต้องคาดเดาอีกต่อไป นางเปลี่ยนไปประเมินมองร่างที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำทันที

                ชายผู้นั้นไว้ผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นพอประมาณ แม้จะเปียกน้ำก็ยังเห็นลักษณะเส้นผมได้ว่าออกจะหยักศก ดวงตาสีน้ำเงินดูคมเข้ม หากแต่แววตาของคนผู้นั้นกลับสะท้อนความอ่อนน้อมอยู่ภายใน คิ้วเข้มที่ชี้ขึ้นสูงหักตกตอนช่วงท้ายเล็กน้อยเป็นมุมกำลังดี ชายหนุ่มสูงได้มาตรฐาน โครงหน้าคมสันไม่มีสิ่งใดติดขัด นอกจากผิวที่สีออกจะกร้านแดดผิดจากชาวเมืองทั่วไป และชุดสวมใส่ที่แม้จะดูสะอาดดี แต่ก็แลธรรมดาไป กับผ้าขนหนูที่ยังวางพาดอยู่บนคอแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ บนตัวของชายผู้นี้ก็ผ่านเกณฑ์ประเมินคนหน้าตาดีของโรซาลินด์ ซึ่งก็แน่นอนว่า เกณฑ์ของคนสวยระดับนางย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน

                แต่ทั้งๆ ที่เขาก็รูปงามใช้ได้ ไฉนนางถึงนึกไม่ออกเล่าว่าชายผู้ที่ท่านแม่บอกว่าเป็นสหายเก่านี้เป็นใคร

                โรซาลินด์นั้นมีความจำดีในด้านรูปลักษณ์ ทั้งยังสามารถประเมินและเก็บรายละเอียดของผู้ที่เธอเคยมองเห็นผ่านตาได้ไวเป็นเลิศ เวลาที่นางใช้พิจารณาลักษณะทุกด้านที่มองเห็นได้ของชายหนุ่มก็เป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น ถ้านางเคยพบเห็นคนผู้นี้มาก่อนจริง ต้องไม่มีทางลืมเลือนอย่างแน่นอน

                “อ้าว สวัสดี โรส” ชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายเอ่ยทักเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังสำรวจมองตน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เขายิ้มกว้างให้

                โรสอย่างนั้นหรือ...

                ไม่ได้ยินคนเรียกหานางด้วยชื่อเล่นนี้มานานเท่าใดแล้วนะ... คงเป็นตั้งแต่ตอนที่นางได้รับการยกย่องเป็นสาวงามประจำเมือง... เป็น กุหลาบ แห่งลูซแวร์... ตั้งแต่นั้นท่านพ่อท่านแม่ก็พยายามกันไม่ให้ชายใดเข้ามาสนิทสนมกับเธอเกินไป นาม โรสก็ไม่มีใครยึดถือว่าเป็นชื่อเล่นของนาง แต่เป็นการเรียกตามสมญา กุหลาบต่างหาก...

                แล้วยังรอยยิ้มสบายๆ แบบนี้ ดวงตาสีน้ำเงินและผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่เหมือนจะเคยเห็นอยู่เนื่องๆ นี้อีก...

                คนผู้นี้ต้องเป็น...

                “...วิลเลียม!” หญิงสาวทักตอบด้วยตาลุกแวว ตื่นเต้นยินดีที่ตนจดจำสหายเก่าออกในที่สุด

                “ใช่แล้ว ข้าเอง” วิลเลียมดีใจที่อีกฝ่ายยังจำตนได้

                “เจ้าเปลี่ยนไปเยอะเลย ถึงจะพอมีเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง แต่ใบหน้าค่าตาก็ดูมีเหลี่ยมมีคมขึ้นเยอะเชียว ทำเอาข้าเห็นตอนแรกเกือบจะจำไม่ได้แน่ะ ถือว่าเจ้าในตอนนี้หล่อเหลาเอาการทีเดียวนะ” นางเจรจาเจื้อยแจ้ว

                “เจ้านี่ก็กล่าวเกินไป” ชายหนุ่มสายศีรษะปลงๆ “ขืนสาวๆ ในเมืองได้ยินว่าเจ้าเอ่ยชมข้าอย่างนี้ จะมิพากันมาชมดูหน้าข้าว่าหล่อเหลาจริงอย่างที่เจ้าพูดหรือเปล่าหรอกหรือ ยังมีเหล่าบุรุษที่หมายปองเจ้าจะมาเล่นงานข้าในโทษฐานที่ถูกเจ้าชมอีก ในใต้หล้านี้จะมีใครงามเป็นเอกดังเช่นโรซาลินด์แห่งลูซแวร์ได้เล่า”

                แม้จะคล้ายเอ่ยถ่อมตนไม่ยอมรับคำชมในอีกแรก แต่เอาเนื้อความกลับมิได้ปฏิเสธว่าตนนั้นหล่อเหลาแม้แต่น้อย ทั้งยังเยินยอผู้กล่าวก่อนเสียขนาดนั้น โรซาลินด์รับฟังแล้วก็เอามือป้องปาก หัวเราะคิกคักเสียงดังกังวานใสด้วยความชอบใจ วิลเลียมผู้นี้ยังมีฝีปากที่สร้างความประทับใจให้ผู้ฟังได้ไม่เปลี่ยนจริงๆ

                วิลเลียมอาจดูต่างไปจากวิลเลียมที่โรซาลินด์จดจำได้ แต่โรซาลินด์กลับไม่ต่างจากที่วิลเลียมคาดการณ์ไว้สักนิด

                ระหว่างที่เดินทางหาประสบการณ์ไปทั่วดาเรเนีย ชายหนุ่มจะได้ยินคำเล่าลือถึงหญิงงามประจำเมืองต่างๆ เสมอ แต่ไม่มีใครถูกพูดถึงมากกว่าโรซาลินด์ กุหลาบแห่งลูซแวร์ ไม่มีใครงามเทียบเท่านาง และถึงแม้คำเยินยอจากชายผู้หลงใหลในภาพลักษณ์ของนางจะฟังดูเกินจริง เนื่องจากเน้นเปรียบเทียบนางประหนึ่งเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นฟ้ามากเกินไป จนผู้ที่ไม่เคยพบเห็นตัวจริงพากันตั้งอคติ แต่ในความเป็นจริง หากชาวดาเรเนียนจะจินตนาการวาดภาพเทพธิดาผู้งดงามหยดย้อยแล้วก็คงหนีไม่พ้นออกมาคล้ายคลึงกับโรซาลินด์นั่นเอง

                วิลเลียมที่เคยรู้จักโรซาลินด์เมื่อสมัยเด็ก ทราบดีว่าเมื่อตอนวัยเยาว์ นางเคยน่ารักงดงามขนาดไหน นางมีกิริยาที่ชวนให้มอง ชวนให้หลงใหล ชวนให้ผู้คนอยากเอาอกเอาใจเพียงไร พอนำความทรงจำเหล่านั้นมาผนวกเข้ากับคำเล่าลือในปัจจุบัน ภาพของโรซาลินด์ที่เขาคิดไว้กับตัวจริงจึงแทบไม่มีผิดเพี้ยนจากกัน

                ผู้หญิงนั้นเป็นอันตราย... ผู้หญิงยิ่งงดงามก็ยิ่งอันตรายเป็นหลายเท่าพันทวี...

                วิลเลียมจำไม่ได้แล้วว่าเคยได้คตินี้จากเรื่องราวใด หรือใครเป็นคนกล่าวเป็นผู้แรก แต่เขาก็เชื่อถือและจดจำจนขึ้นใจ จึงระวังตัวเอาไว้เสมอ

                โชคดีที่เขายึดถือโรซาลินด์เป็นเพื่อนในวัยเด็ก และรู้จักกันแต่เล็กตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจความงามหรือเรื่องราวความรักอันใดจึงมีภูมิคุ้นกันภัยอยู่บ้าง หากเขามีสายตาเช่นชายทั่วไป หรือมีความคิดเพ้อฝันงมงายมากกว่านี้สักนิด อาจจะตกหลุมรักนางไปตั้งแต่แรกพบในตอนนี้แล้วก็ได้

                เพราะนอกจากผมและดวงตาที่งามจดยากจะหาใครมาเปรียบแล้ว ส่วนอื่นบนเรือนร่างของหญิงสาวก็ไร้ที่ติ ผิวพรรณนั้นก็ขาวอมชมพูเนียนเรียบปราศจากจุดด่างพร้อย ทรวดทรงองค์เอวทั้งหลายก็เป็นที่ต้องตา ไม่มีคำว่าขาดหรือเกินเลยไป แม้แต่การเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถก็ดูแช่มช้อยงดงาม ราวกับนางคาดการณ์ไว้แต่แรกว่าตั้งขยับอวัยวะในร่างกายไปทิศไหนกี่องศาจึงจะเพียบพร้อมในทุกมุมมอง เหนืออื่นใดคือนางปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้เองตามธรรมชาติ มิได้อาศัยการคาดการณ์ของเทพยดา

                “ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง วิลเลียม” โรซาลินด์กล่าวหลังหัวเราะเสร็จ แต่ยังมีประโยคท่อนหลังที่นางเก็บไว้ในใจ

                ...ดีใจจริงๆ ที่เจ้ายังพูดกับข้าเหมือนเดิม ไม่ยึดถือข้าเป็นนางฟ้า เป็นเทพธิดา เป็นกุหลาบแห่งลูซแวร์ เหมือนคนอื่น...

                “ข้าก็ดีใจที่ได้กลับมาพบเจ้า โรส” ชายหนุ่มมองตรงเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว สื่อความหมายตรงตามคำพูด ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น แต่ก็สามารถทำให้หญิงสาวทั้งหลายละลายด้วยความคาดหวัง หรือเก็บเอาไปฝันต่อได้แล้ว หากโรซาลินด์ย่อมไม่ใช่เช่นเดียวหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป

                “เจอแล้ว! ชุดนี้แหละน่าจะใช้ได้” เสียงตะโกนประกาศชัยชนะพร้อมการชูชุดอันเปรียบเหมือนทรัพย์สมบัติล้ำค่าของมาร์กาเรตดังขัดจังหวะการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของชายหญิงทั้งสองพอดี ทั้งคู่ต่างหันไปสนใจหญิงผู้อาวุโสที่สุดในที่นั้น

                “เอาชุดนี้หรือท่านป้า” วิลเลียมถามด้วยความไม่แน่ใจ ดูอย่างไรมันก็เหมือนสูทชุดแต่งงานของท่านลุงที่เขาบอกไปแล้วว่าไม่อยากรบกวนชัดๆ

                “อ้าว วิลเลียม อาบน้ำเสร็จแล้วรึ” ดูเหมือนมาร์กาเรตใส่ใจกับปฏิบัติการค้นหาชุดมากเกินไป จนไม่รู้ตัวว่าวิลเลียมยืนคุยกับโรซาลินด์ได้สักพักแล้ว “โกนหนวดโกนเคราแล้วดูดีทีเดียวนี่ อย่างนี้ต้องเข้ากับชุดนี้แน่นอน เจ้าลองเอาไปเปลี่ยนดูเลย” ว่าแล้วก็ส่งทั้งชุดทั้งคนเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มต่อต้านหรือขัดขืนแต่อย่างใด

                “วิลเลียมจะเอาชุดใส่ไปไหนหรือคะ” โรซาลินด์ถามท่านแม่

                “คงจะใส่ไปเข้าวังกระมัง” มาร์กาเรตคาดเดา

                “เข้าวัง?” หญิงสาวย้อนถาม

                “ก็เห็นบอกว่ามีธุระสำคัญที่ต้องไปทำต่อ แล้วก็ขอชุดใส่ออกงานนี่”

                สองแม่ลูกคุยกันแล้วก็ต่างเงียบไป ด้วยต่างพอทราบถึงสาเหตุที่วิลเลียมหลบหนีออกจากเมืองไปในกาลก่อน จึงพากันขบคิดว่าเขากลับมาในครั้งนี้...คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ แต่ไม่ว่าจะพยายามครุ่นคิดเท่าไร ก็ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ถึงจิตใจของชายหนุ่มได้

     

                สุดท้าย... วิลเลียมก็จำใจต้องใส่ชุดสูทที่อายุความขลังน่าจะมากกว่าอายุตนของท่านลุงโจนาธานออกจากร้านมาด้วยมิอาจปฏิเสธท่านป้ามาร์กาเรตได้

                ก่อนออกมาเขาฝากกระเป๋าเดินทางและสัมภาระต่างๆ ไว้ที่ร้านของท่านป้าแล้ว ดังนั้นเรื่องจะเอาชุดของเขาเองมาเปลี่ยนกลับก็เป็นอันตัดทิ้งไปได้

                ไม่น่าไปขอให้ช่วยหาชุดให้ตั้งแต่แรกเลย...

                คิดแล้วก็คงได้แต่โทษตัวเอง คงหวังมากไปว่าท่านลุงจะพอมีชุดดีๆ เก็บไว้บ้าง คนที่บาร์ของมาร์กาเรตที่หาซื้อเครื่องแต่งกายหรูหราใหม่ๆ มาไว้ประดับตกแต่งตนก็คงจะมีแต่โรซาลินด์เท่านั้น ท่านลุงกับท่านป้ายังคงทำตัวเป็นเศรษฐีในคราบยาจกอยู่เหมือนเดิม

                อันที่จริง ถ้าหากเขาไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก จะหยุดแวะหาซื้อชุดใหม่ไปเลย หรือพักสักหนึ่งวัน รอซักชุดตัวเก่งให้แห้งแล้วเอาไปรีดให้เรียบร้อยก่อนก็ย่อมได้ แต่เขามีความจำเป็นต้องรีบร้อน... มันไม่ใช่ความจำเป็นตามหลักเหตุผล แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า จำเป็นต้องจัดการสะสางเรื่องราวทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว มิเช่นนั้นแล้วเขาคงไม่กลับมาที่ลูซแวร์ตั้งแต่แรก

                ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จะให้หยุดไปทั้งอย่างนี้ได้อย่างไรล่ะ...

                วิลเลียมคิดมาถึงหน้าประตูทางเข้าเขตพระราชวัง

                “เฮ้! นายน่ะ มองสำรวจอะไรอยู่รึ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ให้นักท่องเที่ยงเข้ามาเยี่ยมชมได้หรอกนะ” ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจลงมือทำอะไร นายทหารที่เฝ้าอยู่ข้างประตูก็ชิงถามเขาเสียก่อนแล้ว

                “อ้อ... เออ...” ชายหนุ่มอ้ำอึ้งเหมือนเพิ่งได้สติ ...ท่าทางข้าเหมือนนักท่องเที่ยวมากขนาดนั้นเลยหรือ... แล้วจึงตอบว่า “ข้ามีธุระจะขอพบเจ้าชายอาเธอร์ ท่านช่วยส่งคนไปรายงานให้ทีได้ไหม”

                “นี่เจ้าคิดว่าที่นี่คือสถานที่อะไร คิดจะมาพบใครก็มาพบได้อย่างนั้นรึ ถ้ามีเรื่องอยากร้องเรียนหรือขอเข้าเฝ้า ต้องไปทำเรื่องขอที่กรมวังนู่น แล้วพอมีสารเรียกตัวแล้วค่อยเข้ามาได้” ทหารผู้นั้นชี้นิ้วประกอบไปไกลลิบๆ วิลเลียมเดาได้ว่าคงเป็นตำแหน่งที่ตั้งของกรมวัง

                “บอกไปว่าวิลเลียมมาขอพบ เดี๋ยวเจ้าชายก็เข้าใจเอง” วิลเลียมว่า

                นายทหารนั้นขมวดคิ้ว พยายามค้นหาว่าคำพูดที่อีกฝ่ายบอกมาตรงกับรหัสลับในการติดต่อของฝ่ายสืบราชการลับหน่วยใดหรือไม่ หากแต่ในความทรงจำของเขา ไม่มีคำใดเกี่ยวข้องกับนาม วิลเลียมเลย

                ด้วยความกลัวว่าจะครุ่นคิดนานจนหลุดเสียมาดไป ทหารเฝ้าประตูจึงง้างหอกในมือลงปิดทางเข้าไว้ ปากกล่าว

                “อย่าคิดจะว่าข้าจะหลงกลเจ้า ไม่มี วิลเลียม อยู่ในรายชื่อผู้มาติดต่อเลยสักคน” เขาเปลี่ยนเรื่องสายลับที่คิดไว้เป็นรายชื่อผู้มาติดต่อแทน

                วิลเลียมไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายคิดอ่านไปไกลถึงขั้นนั้น แต่เขาก็รู้สึกหงุดหงิดที่ทหารเฝ้าประตูพระราชวังซึ่งน่าจะได้รับการอบรมมาดีกลับจดจำตนไม่ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเขาเดินผ่านเข้าออกประตูนี้อย่างสบายๆ แท้ๆ

                ต่อให้เป็นทหารที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็เถอะ อย่างน้อยก็ต้องท่องจำชื่อเครือญาติของเหล่าเชื้อพระวงศ์กันบ้างสิ เมื่อก่อนตอนเขาเป็นทหารยังต้องศึกษาเจ้าพวกนี้ด้วยเลย

                “ลองบอกไปว่า วิลเลียม บุตรเจ้าชายอาเธอร์มา แล้วดูซิว่าคราวนี้ จะยอมให้ข้าเข้าไปไหม” ชายหนุ่มบอกด้วยเสียงอันดังพอได้ยินโดยทั่วถึง รอยยิ้มหยันแฝงความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

                ทหารเฝ้าประตูนายนั้นถึงเหลือกตามองฝ่ายตรงข้ามใหม่ แล้วก็พลันพบลักษณาการอันน่าตระหนก... เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเฉดนี้ กับดวงตาสีน้ำเงินที่ยากจะพบเห็นในหมู่คนทั่วไป แล้วยังรอยยิ้มเปี่ยมอำนาจนั้น มิใช่จะเหมือนเจ้าชายอาเธอร์ยิ่งนักหรอกหรือ...

                พอค้นความจำในสมองดูก็พบว่ามีนาม วิลเลียมเกี่ยวข้องกับเจ้าชายในฐานะบุตรจริง ลืมเลือนพระญาติคนสำคัญเช่นนี้ไปย่อมถือเป็นความผิดใหญ่หลวงยิ่งแล้ว

                อย่างไรก็ตามเพื่อธำรงรักษามาดและกฎระเบียบข้อบังคับเอาไว้ นายทหารนั้นก็คงส่งคนไปสอบถามเจ้าชายให้ทรงยืนยันกลับมาอยู่ดี ส่วนเขาก็ต้องยืนสบสายตากับบุรุษที่ละม้ายคล้ายเจ้าชายอาเธอร์ยิ่งนักที่กำลังยืนยิ้มกริ่มด้วยความรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เสียวสันหลังชอบกล

                “เจ้าชายทรงมีรับสั่งให้รีบเรียกตัวเขาเข้าไป” เพื่อนร่วมอาชีพที่เพิ่งจากไปส่งข่าวไม่นานกลับมากระซิบที่ข้างหูเขาเป็นข้อความดังกล่าว

                “ขอเชิญท่านวิลเลียมเข้าไปพบเจ้าชายอาเธอร์ได้เลยขอรับ” ฝืนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วกล่าวไป มือเลิกหอกกลับมาตั้งที่ข้างตัว จากที่เคยวางมาดขึงขังเปลี่ยนมาอ่อนลงด้วยกลัวโทษภัยมาเยือน

                “ต่อไปก็อย่าลืมจดจำชื่อเครือญาติทั้งหลายของเหล่าเชื้อพระวงศ์ให้ขึ้นใจกว่านี้นะ” วิลเลียมบอกส่งท้าย “เตือนเพื่อนทหารเวรเฝ้าประตูคนอื่นของเจ้าด้วยก็ดี ว่า ข้า วิลเลียม กลับมาแล้ว” กล่าวเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยแล้วจึงเดินตามนายทหารอีกคนไป

                “...ขอรับ” ทหารเฝ้าประตูโค้งศีรษะรับ ถึงจะเคยไม่พอใจกับท่าทางวางอำนาจเขื่องโขของพวกขุนนางบางคนที่ผ่านเข้าออกประตูนี้ แต่กับคนที่มีบุคลิกและรูปร่างหน้าตาคล้ายเจ้าชายอาเธอร์เช่นนี้แล้ว การยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตามคำสั่งดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการขัดขืนหรือเก็บไปแค้นใจเป็นไหนๆ

                ต่อไปอย่าได้ลืมชื่อของข้าอีก...

                ประโยคนั้นวิลเลียมถ่ายทอดออกไปทางสายตาโดยไม่ออกเสียง มั่นใจล่ะว่าต่อไปคงยากจะมีนายทหารเฝ้าประตูคนใดลืมชื่อของเขาลง

                เขาคือวิลเลียม...ผู้ที่จะมาเป็นหนึ่งในคนพิเศษแห่งลูซแวร์

                ทุกคนจะต้องจดจำเขาได้...

     

                “โปรดอย่าทรงเดินเร็วนักสิเพคะ เจ้าหญิงลูเครเซีย”

                “เมเดีย เจ้าก็รู้นี่ว่าข้ากำลังรีบไปหาเสด็จลุง ถ้าหากไม่รีบไปหาเดี๋ยวเสด็จลุงเปลี่ยนไปทำธุระที่อื่นก่อนข้าจะไปถึงจะเป็นอย่างไร เจ้ารับผิดชอบให้ข้าได้ไหม เมเดีย”

                ยินเสียงนางกำนัลที่ถูกเรียกว่าเมเดียถอนหายใจเบาๆ ถ้าผู้เป็นนายจะโยนความผิดให้นางเช่นนี้ นางก็ไม่มีคำจะไปทัดทานต่อแล้ว หากแต่ในฐานะพี่เลี้ยงที่รับผิดชอบดูแล นางจึงยังต้องกล่าวเตือนเจ้าหญิงต่อไปว่า

                “อย่างน้อยถึงรีบก็อย่าลืมรักษากิริยามารยาทด้วยนะเพคะ”

                “ข้ารู้แล้วหรอกน่า เอ๊ะ! นั่นพี่วิลเลียมใช่ไหม” คนบอกอยู่ว่ารู้กลับยกกระโปรงฟูฟ่องรัศมียาวเป็นวาของตนขึ้น แล้ววิ่งรี่หนีนางกำนัลพี่เลี้ยงไปทันที

                “โถ...โถ...โถ... เจ้าหญิงเพคะ โปรดอย่าทรงวิ่ง เดี๋ยวเกิดหกล้มขึ้นมาเมเดียจะเอาหน้าที่ไหนไปพบพระราชาพระราชินีล่ะเพคะ”

                “พี่วิลเลียม! พี่วิลเลียม!” ลูเครเซียร้องอย่างตื่นเต้นยินดี

                แม้จะไม่ได้พบหน้ากับมานานปี เจ้าหญิงลูเครเซียก็ทรงจำญาติผู้พี่คนนี้ได้ไม่ลืมเลือน ก็เขาเป็นคนสอนให้นางรู้จักเรื่องสนุกๆ ตั้งมากมายนี่นา อีกอย่าง ในบรรดาคนมากมายที่เคยรู้จักวิลเลียมทั้งหลาย เจ้าหญิงก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของเจ้าชายอาเธอร์ เสด็จลุงของนางอยู่บ่อยๆ ทั้งยังเคยเห็นภาพเสมือนของเสด็จลุงเมื่อครั้งยังทรงเยาว์วัย ดังนั้นนางจึงจินตนาการภาพวิลเลียมในวัยหนุ่มได้ไม่ยากเย็น

                เสียงเรียกชื่อตนดึงให้วิลเลียมต้องหันไปมอง แต่เมื่อพบว่าสาวน้อยที่กำลังเรียกชื่อตนปาวๆ อยู่นั้นกำลังจะสะดุดชายกระโปรงยาวหกล้มเข้าให้ ชายหนุ่มก็รีบรุดเข้าไปประคองรับไว้โดยทันที

                “อุ๊ย!” แล้วก็ล้มลงมาสู่แผ่นอกของคนร่างสูงกว่าเข้าจนได้ แต่เพราะทราบดีว่าคนที่รับนางไว้เป็นใคร ลูเครเซียจึงไม่ตกใจเท่าใจนัก

                “เจ้าหญิงลูเครเซียทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ ตายๆๆ เมเดียหัวใจจะวายตายอยู่แล้ว”

                เมเดียที่เพิ่งตามมาถึงเอามือแนบอกหอบหายใจถี่ๆ อุทานโวยวายสักพักก็รีบเข้าไปช่วยจัดชายกระโปรงของผู้เป็นนายให้เข้าที่เข้าทาง ดีนะที่กระโปรงนี้มีผ้าซ้อนข้างในอยู่หลายชั้น ไม่อย่างนั้นพระเกียรติของเจ้าหญิงของนางคงเสื่อมเสียหมดแล้ว

                “เป็นอะไรหรือเปล่าน้องหญิง” วิลเลียมถามขึ้น เขาจดจำได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสาวน้อยสูงศักดิ์ผู้นี้เป็นใคร ลำแขนแข็งแกร่งค่อยๆ ปล่อยร่างบางออกจากอ้อมอกให้กลับมายืนทรงตัวเอง

                “มีพี่วิลเลียมอยู่ด้วย หญิงจะเป็นอะไรไปได้ล่ะคะ” ลูเครเซียตอบพลางยิ้มกว้างด้วยสีหน้าแดงระเรื่อเพราะวิ่งมาแต่ไกล

                “ยังซุกซนไม่เปลี่ยนเลยนะเรา” ว่าแล้วมือใหญ่ก็เคลื่อนมาลูบหัวเจ้าหญิงเล่นด้วยความเอ็นดู ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนเด็กๆ คงเป็นการขยี้หัวด้วยความหมั่นไส้ไปแล้ว นี่เพราะเห็นว่าโตแล้วและมีคนอื่นอยู่ด้วยหรอกนะ

                หากจะกล่าวถึงรูปลักษณ์ของลูเครเซียในยามนี้ก็คงต้องชมเชยว่างดงามสมเป็นเจ้าหญิง เกศาหยักศกสีทองสดใสไว้ยาวถึงเอว ดวงเนตรนั้นก็ดึงเอาสีฟ้าสว่างของท้องฟ้าในวันไร้เมฆมาประดับไว้ ได้ยินว่าเหมือนของเสด็จย่ากับเสด็จตา ผิวพรรณรึก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง คนที่ได้อาบน้ำนมทุกวันจะมีผิวที่ต่างจากน้ำนมเท่าไหร่กัน เครื่องประดับเครื่องแต่งกายทั้งหลายก็หรูหราอลังการพอจะทำเอาสะดุดล้มยามวิ่งได้ หากมีโอกาสปรากฏโฉมให้ประชาชนพบเห็นบ่อยกว่านี้คงได้รับการกล่าวขวัญเป็นยอดบุปผาแห่งลูซแวร์คู่กับโรซาลินด์ไปแล้ว ถ้าจะมีอะไรที่ไม่สมเป็นเจ้าหญิงนักก็มีเพียง...นิสัยเสียที่ติดจากเขาตอนเด็กนี่แหละ ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระราชาไม่ยอมให้เจ้าหญิงน้อยออกไปปรากฏตัวที่ข้างนอกพระราชวังบ่อยครั้งนัก

                “ฮิๆๆ” เจ้าหญิงสรวลสำราญ หากขณะจะยกหัตถ์ขึ้นลูบนาสิกด้วยความภูมิใจอย่างที่ชอบทำเวลาอยู่กับพี่วิลเลียมนั้น มือเรียวก็พลันถูกมือใหญ่ดึงมากุมไว้เสียก่อน

                วิลเลียมคาดเดาได้ล่วงหน้าว่ามือเล็กของเจ้าหญิงจะเคลื่อนไปทำสิ่งใด ด้วยความสำนึกผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นต้นเหตุให้ญาติผู้น้องคนงามมีกิริยามารยาทผิดมาตรฐานเจ้าหญิงไป ทำให้พระพี่เลี้ยง นางกำนัล และทหารที่อยู่รอบข้างพากันเดือดร้อนไปหมด จึงนึกอยากแก้ตัวบ้าง เลยกล่าวอบรม

                “โตป่านนี้แล้วก็หัดรักษาจริตกิริยาให้สมเป็นเจ้าหญิงบ้าง รู้ไหม”

                ดวงตาสีฟ้าสว่างมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจนิดๆ แต่เห็นวิลเลียมอยู่ตรงหน้าเต็มคลองจักษุเช่นนั้น ความขุ่นเคืองทั้งหมดก็สลายไปโดยพลัน นางสะบัดศีรษะอย่างไม่ใส่ใจแล้วรีบซักถามชวนสนทนาต่อทันที

                “พี่วิลเลียมกลับมาอยู่กับหญิงเหมือนเดิมแล้วใช่ไหม จะไม่หนีไปไหนอีกแล้วนะ ถ้ามีใครรังแกพี่วิลเลียมอีกก็บอกหญิงได้เลย เดี๋ยวหญิงให้เสด็จพ่อจัดการเอง”

                วิลเลียมอดอมยิ้มเสียมิได้กับประโยคของเจ้าหญิงตัวยุ่ง ท่าทางคงไปได้ยินข่าวลืออะไรผิดๆ เกี่ยวกับการที่เขาหายตัวจากลูซแวร์เข้าให้ แต่เขาก็ยังไม่อยากจะมาเสียเวลาอธิบายให้เข้าใจในตอนนี้ ปล่อยให้คิดไปอย่างนี้ก่อนก็ดีแล้ว อีกอย่าง...

                “มันก็มีบางอย่างที่ถึงมีอำนาจล้นฟ้าอย่างพระราชาก็จัดการให้ไม่ได้หรอกนะ ลูซ” เขาคลายมือออกจากมือน้อยที่กุมเอาไว้ ยืดกายขึ้น แล้วกล่าวบอก “เดี๋ยวข้าจะไปพบเสด็จลุงของเจ้าก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยด้วยทีหลังนะ”

                “ข้าก็กำลังจะ...” ลูเครเซียกำลังจะบอกว่า ตนก็กำลังจะไปพบเสด็จลุงเหมือนกัน แต่พอเห็นแววตาจริงจังของวิลเลียมแล้วก็ชะงักวาจาเอาไว้

                นางแม้จะชอบแสดงออกว่ายังคงเป็นเด็กต่อหน้าพี่ชายหรือญาติผู้ใหญ่ทั้งหลาย แต่ความคิดอ่านของนางก็หาใช่จะเด็กอย่างที่แสดงออกเสียทีเดียว ต่อให้เรียกหาอีกฝ่ายเป็นพี่ด้วยความนับถือ ลูเครเซียก็แค่อ่อนเดือนกว่าวิลเลียมไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง

                “เจ้ากำลังจะทำอะไรหรือ น้องหญิง” วิลเลียมถามเมื่อเห็นนางค้างไป

                “อื้อ ไม่มีอะไร” เจ้าหญิงส่ายพระพักตร์ “ข้าแค่ว่าจะเปลี่ยนไปเดินเล่นดูดอกไม้ที่สวนเสียหน่อย ถ้าพี่วิลเลียมคุยธุระเสร็จแล้วก็อย่าลืมแวะมาสนทนากับข้านะ”

                “ได้สิ แต่เอาไว้วันหลังนะ วันนี้ข้ามีธุระเยอะ”

                “ค่ะ วันหลังก็วันหลัง แค่รับปากว่าจะมาก็พอ”

                “ไว้ใจได้ พี่ไม่ลืมหรอก” วิลเลียมยืนยันแล้วส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนบอกให้นายทหารที่หยุดรอลูกพี่ลูกน้องผู้สูงศักดิ์สองคนสนทนากันอยู่นานแล้วนำทางต่อไป

                “จะไม่ไปพบเจ้าชายอาเธอร์แล้วหรือคะ เจ้าหญิง” เมเดียส่งเสียงถาม

                “เมเดีย เจ้าไม่เห็นหรือว่าพี่วิลเลียมกำลังจะไปคุยกับเสด็จลุง ถึงข้าไปในตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์หรอก”

                “อย่างนั้นจะไปชมดอกไม้หรือเปล่าเพคะ”

                “ไม่หรอก กลับห้องกันเลยดีกว่า ถ้าพี่วิลเลียมกลับมาที่ลูซแวร์แล้ว ข้าก็ไม่เป็นกังวลเรื่องอื่นล่ะ” ลูเครเซียยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างปลอดโปร่งโล่งใจ

                เมเดียฟังแล้วก็ต้องกะพริบตาปริบๆ กับรับสั่งของเจ้าหญิง ปรกติแล้วพระองค์จะเป็นคนตรงๆ คิดอะไร บอกอะไรไปก็จะทำอย่างนั้นนี่นา ทำไมคราวนี้เมื่อพี่วิลเลียมอะไรนั่นกลับมาถึงได้เปลี่ยนไปกะทันหันขนาดนี้นะ

                ประเดี๋ยวก่อนสิ...

                วิลเลียมหรือ...

                ชื่อนี้คุ้นๆ อยู่ในใจเมเดียชอบกล ตอนแรกนางมัวแต่แตกตื่นตกใจที่เห็นเจ้าหญิงทรงสะดุดหกล้ม จนไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เห็นบุคลิกหน้าตาท่าทางดีก็เข้าใจว่าเป็นลูกหลานขุนนางสักคนที่เจ้าหญิงทรงรู้จัก แต่พอได้ยินชื่อวิลเลียมก้องอยู่ในหัว พร้อมความเกี่ยวพันกับเจ้าชายอาเธอร์เช่นนี้ ภาพเด็กชายที่ชักชวนเจ้าหญิงน้อยของนางออกไปทำเรื่องเหลวไหลรับไม่ได้ทั้งหลายก็ปรากฏแจ่มชัดขึ้นมา... เด็กชายผู้นี้เองคือต้นเหตุที่ทำให้เจ้าหญิงผู้เรียบร้อยราวผ้าพับไว้ของนางมีพฤติกรรมแปลกไป

                เป็นท่านชายวิลเลียมผู้นั้นเองหรอกหรือ...

                วิลเลียมผู้อยากให้ลูซแวร์จดจำตนไว้ไม่รู้ตัวเลยว่ามีหลายคนในลูซแวร์ที่ลืมเลือนตนไม่ลง

     

                เจ้าชายอาเธอร์คือพระเชษฐาร่วมอุทรของพระราชาลูเธอร์ กษัตริย์รัชกาลปัจจุบันแห่งอาณาจักรดาเรเนียน

                คำถามที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากข้อเท็จจริงนี้ก็คือ เหตุใดเจ้าชายอาเธอร์ถึงไม่ได้สืบทอดราชบัลลังก์ ทั้งที่ตามราชธรรมเนียมการสืบราชสานติวงศ์ของดาเรเนียนก็บัญญัติไว้ให้โอรสที่สืบเชื้อสายโดยตรงและมีอาวุโสสูงที่สุดเป็นผู้รับตำแหน่งรัชทายาท

                นี่ถือเป็นคำถามที่อันตรายยิ่งนัก หากชาวบ้านทั่วไปคุยกันถึงเรื่องนี้ให้เหล่าทหารได้ยินก็มีสิทธิ์จะหัวหลุดออกจากบ่าได้ ความเป็นมาของเรื่องนี้นั้นซับซ้อนจนต้องเล่ากันลับหลังเท่านั้น

                ในกาลก่อนที่เจ้าชายอาเธอร์ทรงเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง พระปรีชาสามารถก็ปรากฏขจรขจาย ทรงเป็นแม่ทัพผู้นำเหล่ากองทหารหาญไปปราบสัตว์อสูรที่รุกรานหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล และช่วยขยายเส้นทางการคมนาคมให้กว้างขวางทอดยาวไกลและปลอดภัยจากสัตว์ร้ายมากยิ่งขึ้น มีใครบ้างไม่อยากให้เขาขึ้นเป็นพระราชา

                เจ้าชายอาเธอร์คงได้เป็นราชาไปแล้ว หากไม่ใช่เกิดปัญหาไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน...

                และในตอนนี้ เจ้าตัวปัญหาที่ว่า ก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

                “นั่งก่อนสิ”

                อาเธอร์บอกกับคนที่หน้าตาคล้ายตนยิ่งนัก เมื่อเห็นใบหน้านี้แล้วก็เหมือนมีหินมาตกกระทบผืนน้ำนิ่ง ทำเอาตะกอนข้างใต้ลอยขุ่นขึ้นมา อดรู้สึกเคืองใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ แต่ก็ยังคงเก็บงำการแสดงออกทางสีหน้าไว้

                ...ไม่รู้ทำไมต้องหน้าเหมือนข้านัก...

                อีกฝ่ายทรุดนั่งเขาที่เก้าอี้รับแขกอย่างเงียบงัน อาเธอร์นั่งตามที่ฝั่งตรงข้าม แล้วบอกให้นางกำนัลยกน้ำชามาบริการ

                เจ้าของสถานที่จิบเครื่องดื่มไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเปิดบทสนทนา

                “กลับมาที่นี่อีกทำไม” ไม่จำเป็นต้องโอภาปราศรัยทักทายตามมารยาท คนตรงหน้าเมื่อกล้ากลับมาก็สมควรเจอหมัดหนักตรงประเด็น

                “พอดีข้าเบื่อชีวิตที่ท่องไปท่องมาแล้ว เลยอยากกลับมาทำงานที่เมืองบ้านเกิดสักระยะ” วิลเลียมตอบด้วยท่าทีสบายๆ หลบเลี่ยงการรุกไปได้

                “ถ้าแค่นั้นจำเป็นต้องมาหาข้าด้วยรึ”

                “อะไรกัน แค่ข้าแวะมาทักทายและบอกให้ท่านรู้ว่าข้ากลับมาแล้ว ตามมารยาทเท่านั้นเอง ...ท่านพ่อ” เขาจงใจเว้นจังหวะเพื่อเน้นคำที่ใช้เรียกขานอีกฝ่าย

                “ตอนไปไม่รู้จักลา ตอนกลับจะมาบอกว่าตนรู้มารยาท กล้าเผชิญหน้าคนมากขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ” อาเธอร์ยังไม่สิ้นประเด็นที่จะยิงใส่

                “ถ้าหากข้าบอกว่าข้าเปลี่ยนไปแล้วโดยการกล่าวแค่เพียงวาจา ท่านก็คงไม่เชื่อข้าอยู่ดี เช่นนั้นถึงกล่าวไปก็คงไร้ประโยชน์ สู้ให้ข้าแสดงให้ท่านเห็นกับตาว่าข้าเปลี่ยนไปจริงมิดีกว่าหรือ” วิลเลียมตอบเป็นคำถามด้วยเสียงหนักแน่นไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

                คำพูดนั้นทำให้อาเธอร์กระดกมุมปากขึ้นด้วยความพอใจ กล่าวอย่างผ่อนคลายมากกว่าเก่าว่า

                “ข้ารู้ดีว่าที่ผ่านมานี้เจ้าไปทำวีรกรรมอะไรเอาไว้บ้าง วิลเลียม ดังนั้นอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเปลี่ยนไปขนาดนั้น”

                “ท่านรู้ด้วยหรือ” หางเสียงนั้นค่อนไปทางโทนสูง ประหนึ่งจะเย้ยว่าอีกฝ่ายจะมาสนใจอะไรตน

                “ข้าเป็นเจ้าชาย เป็นแม่ทัพของอาณาจักรนี้ และเป็นพ่อเจ้า” สุดท้ายก็ต้องหลุดคำพูดที่ไม่อยากกล่าวออกมา “ตอนช่วงที่เจ้าหนีออกจากลูซแวร์ไป ใช่จะพอดีกับการปรากฏตัวของนักล่าเงินรางวัลนิรนามผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งหรือไม่ ถึงเจ้าจะไม่บอกชื่อหรือปิดบังอำพรางกายอย่างไร บุคลิกของเจ้าก็ยังคงสะท้อนตัวตนของเจ้าออกมาอยู่ดี”

                วิลเลียมฟังแล้วก็กระตุกยิ้ม ความรู้สึกระหว่างความโกรธและความยินดีผสมกันอยู่ภายใน

                ตอนเป็นนักล่าเงินรางวัล เขาจงใจทิ้งร่องรอยความเป็นตัวเองเอาไว้บ้างด้วยความหวังว่าจะมีคนจดจำเขาได้ แต่พอคิดว่าคนที่จำเขาได้กลับเป็นสายสืบของอาเธอร์ แม้จะดีใจที่อีกฝ่ายก็ใส่ใจเขาอยู่ แต่ก็ยังคงรู้สึกโกรธลึกๆ อยู่ข้างใน อย่างนั้นอาจกลายเป็นว่าความสำเร็จทั้งหลายที่เขาได้มาในฐานะนักล่าเงินรางวัลอาจเป็นเพราะความช่วยเหลืออย่างลับๆ ของอาเธอร์ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันจะมีความหมายอะไร

                แต่พอคิดอีกที เขาก็ระลึกได้ว่า คนอย่างอาเธอร์คงเอาแต่จับตามองเขาเท่านั้น ชายผู้นี้ถือคติว่ามนุษย์เราต้องไขว่คว้าความสำเร็จทั้งหลายด้วยตนเอง จะให้คนอื่นยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะคับขันเพียงไร บุรุษผู้แล้งน้ำใจนี้ย่อมไม่อนุญาตให้คนใต้บังคับบัญชาเข้ามาช่วยเหลือเขาหรอก

                เมื่อคิดถึงตรงนี้ สาเหตุของความโกรธและความยินดีก็พลิกกลับกัน วิลเลียมรู้ตัวว่าไม่ได้การ ขืนยังคงประพฤติตัวเป็นเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจอย่างนี้ต่อไปย่อมต้องพ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างหมดรูปแน่

                “แล้วเจ้าคิดจะมาทำงานในลูซแวร์ในฐานะนักล่าเงินรางวัลนิรนามอย่างนั้นหรือ” หลังจากปล่อยให้วิลเลียมคิดหักล้างกันภายในอยู่สักพัก อาเธอร์ก็ดึงจังหวะสนทนากลับมา รบกวนจิตใจของวิลเลียมได้เท่านี้ก็นับว่าได้ถือไพ่เหนือกว่าแล้ว

                “ท่านพ่อ ฉายานั้นข้าได้มาตอนอยู่นอกลูซแวร์ก็ทิ้งมันไว้นอกลูซแวร์เถอะ” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ เขาได้สติกลับมาแล้ว “ตอนอยู่ในลูซแวร์นี้ข้าขอเป็นแค่วิลเลียม... แค่วิลเลียมเท่านั้น”

                อาเธอร์ฟังคำประกาศของวิลเลียมแล้วก็นิ่งไป เรียกขานเขาว่าเป็น ท่านพ่อ แต่กลับบอกว่าขอเป็นแค่ วิลเลียม ไม่ใช่ วิลเลียม ดาเรนไลน์ แสดงว่ายอมรับเขาในฐานะพ่อ แต่ยังไม่ยอมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์

                “ข้ามารายงานท่านแค่นี้ เดี๋ยวต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว ข้าเพิ่งมาถึง ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องไปจัดการ” ว่าจบก็ลุกขึ้นเตรียมลาจากไป

                อยู่ดีๆ ไพ่ในมือที่เหมือนจะมีเหนือกว่าก็เสมือนไร้ค่าไป เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คิดจะเล่นเกมเดียวกัน

                อาเธอร์ได้แต่พยักหน้าบอกอนุญาต ไม่รั้งวิลเลียมไว้ต่อไป เจ้าชายผู้สูงศักดิ์มั่วแต่จมอยู่ในห้วงความคิด จนลืมที่จะพูดอีกหลายประโยคที่เคยคิดจะบอกกับลูกชาย

                มีที่พักหรือยัง ถ้ายังจะมาอยู่ข้างในนี้ก็ได้

                หากขาดเหลืออะไรก็บอกมา

                ข้าดีใจที่เจ้าตัดสินใจกลับมาที่นี่

                ...

                รู้ตัวอีกทีร่างสูงของวิลเลียมก็จากไปไกลแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามเรียกกลับมาเพื่อบอกเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มย่อมดูแลตัวเองได้สบายโดยไม่จำเป็นต้องมีเขาช่วยอยู่แล้ว

                สำหรับคนที่ไม่อยากนับเป็นญาติด้วยอย่างวิลเลียม... แท้จริงแล้ว อาเธอร์ก็ใช่จะแล้งน้ำใจฉันท์พ่อลูกเสียเดียว แม้จะเคยเกลียดชังหรือไม่ยอมรับเพียงไร แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น การสมานน้ำใจกันก็ย่อมดีกว่าเพิ่มพูนความขัดแย้งมิใช่หรือ

                คงดีกว่านี้หากเขาเป็นเพียงพ่อคนเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าชาย ไม่ได้เป็นท่านแม่ทัพ ที่มีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย

                อย่างในตอนนี้ อาเธอร์ก็กำลังสงสัยว่า ที่เขาเคยเข้าใจว่ารู้ดีว่าวิลเลียมเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เขาก็รู้แต่ในด้านทักษะฝีมือเท่านั้น ด้านความคิด การตัดสินใจ หรือภาวะจิตใจต่างๆ เขาไม่ล่วงรู้เลยสักนิด จะฟังแค่คำบอกกล่าวของลูกน้องแล้วเอามาตัดสินลูกชายตัวเองในทุกๆ ด้านได้อย่างไร

                ภายในของวิลเลียมเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย...

                บางทีเขาอาจจะต้องรอดูให้วิลเลียมแสดงให้เห็นจริงตามคำพูดที่กล่าวมา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×