ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #29 : บทที่ 12 กระจัดกระจาย - "ข้าไม่มีวันยอมตายพร้อมเจ้า" [1]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      4
      14 ม.ค. 54

    บทที่ 12 กระจัดกระจาย

    “ข้าไม่มีวันยอมตายพร้อมกับเจ้า”

     

                มีคนมา

                นางมาอีกแล้ว

                นางคิดจะทำอะไร

                ข้าหิว

                นางเพิ่งมานี่

                อีกานั่นก็มาด้วย

                เจ้างูล่ะ

                ไปหาอะไรกินสิ

                คนเยอะแยะเลย

                แม่มด

                น่ากลัวแฮะ

                เด็กคนนั้นเหรอ

                กิน

                อันตราย

                คิดจะทำอะไร

                เด็กไหน

                ต้องคอยระวัง

                ...

                นัยน์ตาสีน้ำเงินลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหนวกหูที่ดังรบกวน

                เสียงสนทนาในป่า... ไม่ได้ยินมานานแล้ว... ที่พวกมันกล้าคุยกันให้เขาได้ยินเช่นนี้ แสดงว่ายังไม่มีใครรู้จักเขาสินะ... แต่ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นอยู่หรอก... ก็เขาเพิ่งเข้ามาในเขตแดนรกร้างตะวันเมื่อวานนี่เอง...

                ปล่อยให้พวกมันคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ไปก็คงดีแล้ว...

                ชายหนุ่มคิด... ถึงจะจับเอาข้อมูลดีๆ มาได้ยากหน่อย แต่ก็ดีกว่าเปิดเผยตัวไปแล้วไม่มีใครยอมบอกอะไรเลยละ...

                ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเลยดีกว่า ฟังเจ้าพวกนี้นานๆ บางทีก็ปวดหัวเหมือนกัน

                หิว

                นั่นสิ เขาเองก็หิวแล้ว

     

                พื้นที่ของแดนรกร้างตะวันตกมีลักษณะเป็นป่ารกชัฏผสมบึง ด้วยมีเขตหนองน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหนึ่งกับป่าครึ้มสีเขียวเข้มจัดปนปะกันไป เมื่อเดินเข้ามาในแดนแถบนี้จะได้ยินเสียงกบ เขียด คกคาง อึ่งอ่าง สัตว์จำพวกนั้น และแมลงทั้งหลายร้องดังระงมเซ็งแซ่ไปหมด

                วิลเลียมอาการดีขึ้นจากเมื่อวันก่อนมาก เรี่ยวแรงฟื้นกลับมาเต็มที่ ส่วนแขนขวา...เรนนีก็มารักษาให้แล้ว

                ที่จริงเขาไม่ได้บอกให้นางจัดการแต่แรกก็เพราะอยากให้นักบวชสาวได้พักบ้าง เรนนีคนเดียวต้องคอยทำหน้าที่รักษาทุกคน ก่อนหน้านี้ก็ช่วยสร้างเกราะกำบังให้ตั้งหลายครั้ง อีกทั้งยังร่ายมนตร์ชำระล้างให้เขาหายเหม็นตอนที่สลบอยู่ด้วย จริงๆ ปลุกให้ตื่นแล้วให้เขาไปอาบน้ำเองก็ได้ ใช้พลังโดยไม่ยั้งคิดจนสีหน้าซีดเซียวไปขนาดนั้นจะให้เขาบอกให้นางรักษาแขนให้โดยทันทีได้อย่างไร

                แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วเหมือนกัน เขาจึงได้ถือโอกาสบอกแคสซานดราให้ระวังด้วย ถึงนางจะแสดงออกว่า ไม่คิดจะสนใจผู้อื่นก็ตาม ทว่าสำหรับเขาแล้วก็ยังจำเป็นต้องระวังเรื่องนี้ไว้

                ชายหนุ่มคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ได้แต่มองไปยังกลุ่มหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างหน้า คงมีแต่โรซาลินด์ที่ไม่ค่อยสร้างความลำบากให้เขานักในการเดินทางครั้งนี้

                พื้นดินกลายมาเป็นทางเฉอะแฉะ สุมทุมพุ่มไม้ที่เคยมีอยู่มากมายเริ่มหายไป เปลี่ยนเป็นพืชน้ำงอกเงยบนกองโคลนแทน การเดินทางเป็นไปได้ล่าช้ากว่าเดิมมาก จนมาร์คัสที่ต้องเอาแผนที่ขึ้นมาตรวจสอบดูว่ามาถูกทาง ทว่าการกระทำนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่เคยมีผู้ใดผ่านมาเยือนที่แถบนี้พื้นเขียนแผนที่ใหม่มานานหลายสิบปีแล้ว อาจเป็นตั้งแต่ที่แม่มดเข้ามายึดครองก็ได้

                ชาวคณะยังคงเดินทางกันต่อไปท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ต่างคนต่างพยายามยกเท้าขึ้นสูง แล้วก้าวสั้นๆ เพื่อไม่ให้ลื่นล้มโดยง่าย เดินไปอีกพักดินโคลนก็เริ่มเหนียวขึ้น ในบางจุดที่ก้าวเดินไปขาก็จมลึกถึงครึ่งแข้ง น่าหวั่นเกรงว่าจะอาจจะเจอโคลนดูดดึงให้จมลงไปทั้งตัวในไม่ช้านาน มาร์คัสจึงต้องใช้เวทลมผสมน้ำแข็งช่วยสร้างทางเดินที่มั่นคงให้ พวกเขาจึงเดินกันต่อไปได้

                ทว่าถึงจะระวังกันดีแค่ไหนแล้วก็ตาม หากเรื่องจะเกิดก็ย่อมเกิดอยู่ดี

                จู่ๆ หญิงสาวผมทองที่เดินนำอยู่หน้าเขาก็หายไปจากสายตา มองตามเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอีกทีจึงพบว่า โรซาลินด์ล้มลงไปในโคลนเสียแล้ว ที่ข้อเท้าของหญิงสาวมีเถาวัลย์สีน้ำตาลเลื้อยมาพัน แล้วมันก็กำลังดึงนางให้เคลื่อนเข้าไปเรื่อยๆ

                วิลเลียมยังมองไม่เห็นแหล่งที่มาของเถาวัลย์มีชีวิตนั้น ไลนัสที่อยู่ไกลออกไปจากจุดเกิดเหตุก็ยิงธนูออกไปตัดสายระยางนั่นแล้ว ความแม่นยำและเฉียบคมของเขานั้นไม่ต้องถามถึง ต่อให้เป็นเส้นด้ายบางๆ ชายหนุ่มผมเงินก็น่าจะยิงโดนมันได้

                เมื่อนั้นเอง วิลเลียมที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ลงไปช่วยโรซาลินด์ให้ลุกขึ้นมา

                “ขอบใจนะ” หญิงสาวบอกเมื่อกลับมายืนได้ เนื้อตัวและเส้นผมของนางเปรอะเปื้อนโคลนไปหมด เห็นดังนั้นแล้ววิลเลียมก็อดแหย่ไม่ได้

                “เพิ่งเห็นเจ้าไม่สวยเอาวันนี้นี่แหละ”

                ทว่าเพียงกล่าวจบคำนั้น แต่มีเถาวัลย์อีกหลายสายตวัดจากทิศทางเดิมออกมาพันรอบตัวของเขา โรซาลินด์ และคนอื่นที่เหลือเอาไว้ มันเหวี่ยงพวกเขาไปคนละทิศละทางโดยไม่ให้ตั้งตัวแม้แต่น้อย

     

                ชายหนุ่มสำลักน้ำโคลนคำใหญ่ออกจากปาก มือยันตัวลุกขึ้นแล้วก็เปลี่ยนมาลูบใบหน้า ปัดสิ่งที่บังตาอยู่ให้ออกไป ลืมตาขึ้นก็เห็นว่าตนเองเต็มไปด้วยโคลนอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด เขาพยายามมองหาพื้นที่สำหรับพักหายใจที่น่าจะปลอดภัย แต่แล้วก็พลันเห็นอะไรบางอย่างที่มีสีทองคุ้นตาจมเลนโคลนอยู่ใกล้ๆ เสียก่อน จึงรีบไปเข้าช่วยดึงเจ้าของร่างนั้นขึ้นมา

                โรซาลินด์สำลักเมื่อสัมผัสอากาศหายใจได้คล่องกว่าเดิม วิลเลียมเทน้ำออกจากถุงน้ำดื่มของตนช่วยล้างหน้าล้างตาให้นาง

                “วันนี้เจ้าดูสวยน้อยที่สุดจริงๆ” เขาบอกยิ้มๆ เป็นความหมายเดิมอีกครั้ง

                หญิงสาวหันไปมองรอบตัวแล้วไม่พบคนอื่นใดออกนอกวิลเลียม จึงถามว่า

                “คนอื่นล่ะ”

                “ไม่รู้” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “ข้าฟื้นมาก็เจอเจ้าจมเลนโคลนอยู่คนเดียว สงสัยคงถูกจับโยนไปอีกทิศทาง ว่าแต่เจ้าไม่เป็นอะไรนะโรส”

                “ข้าไม่เป็นไร” โรซาลินด์บอก “ก็แค่...รู้สึกขยะแขยงนิดหน่อยเท่านั้น”

                หญิงสาวนักดนตรีสำรวจดูตนเอง...ยังคงเต็มไปด้วยโคลนไม่เปลี่ยนแปลง...

                “แล้วฟลุตของข้าหายไปไหนแล้วนี่” นางถือฟลุตไว้ตอนออกเดินทาง เมื่อตอนนี้มันไม่อยู่ในมือแสดงว่า...คงจมหายไปในโคลนแล้ว “พิณ...และของอื่นของข้า ก็อยู่กับท่านไลนัสเสียด้วย”

                นึกแล้วก็น่าอนาถชะตาตนเองยิ่งนัก ตอนนี้นางไร้อาวุธคู่กาย แล้วยังต้องมาเจอกับดินเหลวๆ นี่อีก เมื่อวันก่อนทำอะไรวิหคหนังเกล็ดดึกดำบรรพ์ไม่ค่อยได้ก็นับว่าไร้ประโยชน์มากยิ่งแล้ว วันนี้นางไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ความงาม จะมิกลายเป็นตัวถ่วงไปเลยหรอกหรือ ทั้งยังต้องมาอยู่กับวิลเลียมเพียงสองคนอีก...

                แต่จะว่าไป...อยู่กับวิลเลียมอาจจะถือว่าเป็นโชคดีกว่าการจะต้องอยู่เพียงลำพัง หรือต้องอยู่กับคนอื่นก็ได้...

                คิดแล้วโรซาลินด์ก็ถามชายหนุ่มผู้นำว่า

                “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อกันดี”

                วิลเลียมลองหยิบเข็มทิศของกลุ่มขึ้นมาดู เข็มทิศนี้เป็นอุปกรณ์ที่จะแจกไว้ให้สมาชิกแต่คนละคนในคณะเดินทางพกติดตัว สิ่งประดิษฐ์ประเภทนี้ต้องจัดทำขึ้นเป็นชุดพร้อมๆ กัน ลักษณะภายนอกของมันเป็นตลับกลม ถ้าเปิดฝาออกก็จะเป็นเข็มชี้ทิศเหนือธรรมดาในชั้นแรก ชั้นที่สองจึงค่อยเลือกได้ว่าจะให้ชี้ไปยังเข็มทิศอื่นในชุดเดียวกันหรือไม่ หากมีใครหลงหายไปก็สามารถใช้อุปกรณ์นี้บอกตำแหน่งได้ เข็มทิศที่มีระดับสูงขึ้นมาหน่อยก็อาจใช้มนตราช่วยติดต่อสื่อสารกันได้หากมีนักเวทอยู่ด้วย แน่นอนว่า เข็มทิศที่ของคณะเดินทางที่พระราชาทรงจัดตั้งขึ้นย่อมทำเช่นนั้นได้ ทว่าพอวิลเลียมจะลองหาที่อยู่ของคนอื่นดู เข็มทิศชั้นสองกลับหมุนวนไปวนมา ระบุทิศทางแน่ชัดไม่ได้ เสมือนมีคลื่นพลังประหลาดรบกวนการทำงาน ยังดีที่เข็มทิศชั้นแรกยังชี้ไปที่ทิศเหนือได้อยู่

                “เข็มทิศประจำกลุ่มใช้ไม่ได้” ชายหนุ่มรายงาน “เราก็คงต้องหาทางเดินกันต่อไปก่อน จนกว่าจะเจอคนอื่น หรือมีเวทนำทางจากท่านมาร์คัสมา”

                วิลเลียมไม่เอ่ยถึงคนที่ใช้เวทนี้ได้อีกคน เพราะคิดว่านางคงไม่ยื่นมามือช่วยในครั้งนี้เช่นนั้น แต่คิดๆ ดูแล้ว...เขาก็ชักเป็นห่วงขึ้นมาละว่า แคสซานดราจะโดนเหวี่ยงไปประสบอันตรายที่ไหนหรือไม่ ยิ่งนางไม่มีเข็มทิศแบบเดียวกันกับคนอื่นอยู่ด้วย ยังมีเรนนีอีกที่น่ากังวล...

                “อย่างนั้นก็เดินต่อตามที่เจ้ามากันเถอะ” เสียงของโรซาลินด์ชักนำความคิดของวิลเลียมให้กลับมาอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน วิลเลียมตัดสินใจว่าจะเลิกคิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนี้คงต้องหาทางเอาตัวเองให้รอดก่อน

                ชายหนุ่มออกเดินนำ หญิงสาวเดินตามไป แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าว คนนำก็หยุด ค้นของออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง ก่อนส่งปลายเชือกด้านหนึ่งให้โรซานลินด์

                “เจ้าผูกนี่ไว้ที่รอบเอวด้วยละกัน” วิลเลียมบอกพลางเอาปลายอีกด้านของเชือกผูกที่รอบเอวตนเอง “เผื่อพลัดหลงเดินลงโคลนดูดหรือหลุมบ่อที่ไหนจะได้พอช่วยทัน หรือถ้าจะมีเถาวัลย์ลึกลับจับใครเหวี่ยงเล่นอีก ก็จะได้ติดไปด้วยกัน”

                ฟังเขาพูดก็ตลกดี แต่โรซาลินด์ยังคงยิ้มไม่ออก นางได้แต่รับเชือกไปผูกไว้รอบเอวตามที่อีกฝ่ายบอก

                แล้วพวกเขาก็เดินกันต่อไป

                โรซาลินด์ลื่นหกล้มอยู่หลายครั้ง และในหลายครั้งนั้นก็มักจะลากวิลเลียมให้ล้มตามไปด้วย ชายหนุ่มพยายามพูดเล่นชวนคุยกับนางเสมือนไม่ถือสาเรื่องที่เกิด ทว่าก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้สาวงามในคราบโคลนอารมณ์ดีขึ้นเลย จนเมื่อนางล้มลงอีกครั้งนั่นเอง หญิงสาวจึงได้เปิดปากพูดขึ้นว่า

                “ข้า...ไม่ไหวแล้ว”

                “หืม...” วิลเลียมที่กำลังจะมาช่วยดึงนางขึ้นส่งเสียงถามในลำคอ

                “นี่มันยากกว่าการเต้นรำบนพื้นน้ำแข็งเสียอีก” โรซาลินด์ว่า ยันตัวลุกขึ้นมาด้วยตนเอง นัยน์ตาสีมรกตมองลงพื้นอย่างโกรธเคืองระคนรำคาญ “แล้วก็สกปรก เลอะเทอะ คันขยุบขยิบตามตัวไปหมด ผมก็มาติดหน้า พันกันยุ่ง ดึงไม่ออก...”

                หญิงสาวกำมือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวแน่น ชายหนุ่มคิดว่าตัวนางกำลังสั่นอยู่นิดๆ

                “...อาวุธข้าก็ไม่มี ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะหายใจก็ยังรู้สึกว่าจมูกตัวเองไม่สะอาด...”

                ครั้นแล้วหญิงสวนก็เงยหน้าขึ้นฟ้า ตะโกนเสียงดังว่า

                “ข้าอยากกลับบ้าน! อยากกลับไปอาบน้ำที่สุดเลย!

                ยินเสียงนกร้องและขยับปีกบินด้วยความตกใจตามหลังเสียงนั้นดังว่อนทั่วบริเวณ

                หลังปลดปล่อยความในใจเรียบร้อยแล้ว โรซาลินด์หันมายิ้มงดงามให้วิลเลียมแล้วกล่าวว่า

                “ได้พูดออกไปแล้ว ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยละ”

                วิลเลียมหรี่ตาลงพลางใช้ความคิดพิจารณาวิธีระบายอารมณ์ของหญิงสาว... โรซาลินด์ที่เขารู้จักนั้นแต่ไหนแต่ไรก็ชอบสิ่งสวยงาม และในทางกลับกันก็เกลียดอะไรที่สกปรกหรือดูน่ารังเกียจเป็นที่สุด การที่นางจะทนกับสภาพเช่นนี้ไม่ได้จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไร แต่เขาก็ยังคงสงสัยว่าทำไมนางถึงมาร่วมขบวนเดินทางครั้งนี้ด้วยอยู่ดี

                “ถ้าออกเดินทางปฏิบัติภารกิจ ก็ต้องเจออะไรสกปรกๆ ที่เจ้าไม่ชอบแบบนี้อยู่แล้วละ โรส” ชายหนุ่มว่า ก่อนหันกลับไปเดินตามทางเดิม

                เมื่อรู้สึกถึงแรงดึงที่เส้นเชือกที่เอว หญิงสาวผมทองก็เดินตามไป

                “ก็ข้านึกว่ามันจะสนุกนี่” โรซาลินด์บอกด้วยเสียงที่อ่อนลง

                “ส่วนที่สนุกอย่างที่เจ้านึกก็มีอยู่หรอก เพียงแต่ส่วนที่ไม่สนุกอาจจะมีอยู่เยอะกว่าก็ได้ ในสถานการณ์เป็นตายไม่มีใครจะมาประคบประหงมเอาใจเจ้าได้ตลอดหรอกนะ ทุกคนต่างก็เป็นห่วงตัวเองกันทั้งนั้น”

                “แต่เมื่อวันก่อนเจ้ายังช่วยเรนนีเลย ข้าเห็นนะ” แวบหนึ่ง โรซาลินด์ก็รู้สึกอิจฉานักบวชสาวขึ้นมา ถ้าหากนางประสบอันตรายเช่นนั้นขึ้นบ้าง จะมีชายใดยอมเสี่ยงชีวิตตนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือบ้างไหมหนอ

                “นั่นมันก็เพราะสถานการณ์พาไปเหมือนกัน”

                ถึงวิลเลียมจะตอบมาอย่างนั้น แต่หญิงสาวก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดีว่า ถ้าคนที่วิหคหนังเกล็ดดึกดำบรรพ์จ้องจะทำร้ายเป็นคนอื่นไม่ใช่เรนนีแล้ว ชายหนุ่มอาจจะไม่เข้าไปช่วยเหลือเช่นนั้น

                ก็เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของนักบวชสาวน่ะคล้าย...

                โรซาลินด์ยังคิดไม่ทันจบก็ต้องร้องเสียงหลงขึ้นมา เมื่อมีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เชือกของวิลเลียมพันรอบเอวบางแล้วดึงตัวนางขึ้นฟ้าไป วิลเลียมที่ผูกติดอยู่ด้วยกันก็เริ่มจะเท้าไม่ติดพื้นตามนางไปด้วย

                ยังดีที่เขาไหวตัวทัน จึงซัดอาวุธออกไปตัดเถาวัลย์เส้นที่ดึงตัวโรซาลินด์ไป เขาคิดจะไปช่วยรับตัวนาง แต่ก็ช้าไปเสียก้าวหนึ่ง หญิงสาวตกแหมะลงมาบนพื้นโคลนแทน ส่วนวิลเลียมก็ต้องรับเศษดินเหลวที่กระเด็นใส่หน้า

                อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังไม่คลายใจโดยง่าย นัยน์ตาคมสีน้ำเงินลืมขึ้นพลางสำรวจมองหาที่มาของเถาวัลย์นั่นอย่างระแวดระวัง

                “เจ้าเถาเลื้อยบ้า ข้าสุดจะทนกับเจ้าจริงๆ แล้วนะ!” หญิงสาวร้องขึ้น ขณะเดียวกันนั้นก็กระโดดลุกขึ้นยืนโดยพลัน

                โรซาลินด์ดูเกรี้ยวโกรธอย่างที่วิลเลียมไม่เคยเห็นมาก่อน

                “ถ้าเจ้าตามมาเพราะเสียงของข้า ก็จงตายด้วยเสียงของข้าเถอะ”

                หญิงสาวโก่งคอ เชิดหน้า แล้วเริ่มต้นร้องเพลง เสียงของนางดังกังวานไปไกล

                ยินเสียงนกบินแตกฝูง และเสียงโหยหวนของสัตว์ป่าดังตามมา แต่เสียงเหล่านั้นก็มิอาจกลบเสียงของคนที่ยิ่งร้องยิ่งพุ่งขึ้นสูงไต่ระดับไปเรื่อยได้

                ปรากฏเถาวัลย์สีน้ำตาลลอยมาจากหลายทิศ วิลเลียมเตรียมอาวุธพร้อมในมือ คมมีดเปล่งประกายอยู่ตามง่ามนิ้ว ครั้นเห็นเถาวัลย์เส้นไหนพุ่งเข้ามาใกล้เขาก็ซัดมีดออกไปตัดมันเสียก่อน อาวุธพุ่งออกไปราวกับไม่มีจำนวนกำจัด และโผล่ขึ้นมาใหม่ให้เขาหยิบใช้เรื่อยๆ ทว่าเพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าเถาวัลย์พวกนั้นเริ่มส่ายเอนเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง เส้นสายเหล่านั้นเอนไปเอนมาตามจังหวะการร้องของโรซาลินด์

                เมื่อหญิงสาวจับช่วงเสียงที่บงการพืชร้ายนั้นได้แล้ว นางก็ร้องขับขานเป็นท่วงทำนองต่อไปจนจบเพลง เถาวัลย์พวกนั้นก็ล้มครืนลง ไม่ไหวติ่งอีก

                วิลเลียมเห็นโรซาลินด์เว้นจังหวะพักหายใจ ถ้าไม่มีโคลนเปื้อนอยู่มากเช่นนี้ เขาคิดว่า นางคงต้องกำลังหน้าแดงด้วยความเหนื่อยที่ใช้กำลังเสียงไปมาก หรือไม่ก็คงมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นให้เห็นบ้าง

                “เจ้าสุดยอดไปเลย โรส” ชายหนุ่มเอ่ยชมจากใจจริง ต่อให้นางไม่มีอาวุธติดตัวก็ตาม พลังเสียงที่พิชิตได้แม้แต่พืชเถาวัลย์ที่มองไม่เห็นแหล่งกำเนิดเช่นนี้ก็คงไม่มีผู้ใดเทียมทานได้

                “ข้า... เหนื่อย...” พูดออกมาจบนางก็ทรุดนั่งลงกับพื้นโคลน ไม่สนใจอีกแล้วว่าจะต้องเปรอะเปื้อนอย่างใด เพราะยามนี้นางก็เลอะไปทั้งตัวจนไม่มีอะไรดีอยู่แล้ว

                “ข้าให้เจ้าขี่หลังดีไหม”

                ได้ยินคำถามนั้น โรซาลินด์ก็หันมามองชายหนุ่มอย่างสงสัย จะให้นางขี่หลังในสภาพที่อยู่กลางบ่อโคลนเช่นนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆ

                “ก็เจ้าไม่ชอบโคลนพวกนี้ เดินๆ ไม่นานก็จะล้มเอา แล้วตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับเถาวัลย์เจ้าปัญหาพวกนั้นแล้วด้วย อีกอย่าง ข้าก็คิดว่าตัวเองมั่นคงแข็งแรงพอ แล้วก็พอจะเห็นทางเดินที่จะไปต่อแล้วด้วย” วิลเลียมอธิบายให้เสร็จสรรพ พลางยื่นมือมาไปให้หญิงสาว

                แม้จะทราบว่าควรจะปฏิเสธไป แต่อีกใจหนึ่งนางก็อยากจะพักบ้าง... และตอนนี้ความรู้สึกก็เอาชนะเหตุผลได้เสียแล้ว...

                ถ้าเป็นวิลเลียมแล้วละก็... ข้าคงไม่ต้องวางตัวให้สูงส่งมากมาย...

                โรซาลินด์เอื้อมมือของตนไปจับตอบมือแข็งแกร่งของชายหนุ่ม และเป็นการบอกตกลงไปในที

     

                “ตกลงว่า เจ้ามาทำงานนี้เพราะอยากออกมาผจญภัยดูบ้างเท่านั้นเองหรือ”

                “อืม...” เสียงขานตอบในลำคอโดยไม่เปิดปากดังมาจากด้านหลัง “ข้าคงทำคะแนนได้ดีตอนไปทดสอบขอใบรับรองจากสมาคมนักดนตรีเร่ อีกทั้งก็อาศัยอยู่ที่ลูซแวร์อยู่แล้ว และก็แจ้งความจำนงไปด้วยว่า อยากออกเดินทาง พอฝ่าบาทต้องการหาคนมาร่วมในคณะของเจ้า พวกเขาเลยส่งชื่อข้าไปให้เลือกด้วยกระมัง”

                คำตอบก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่ ทว่าการจะเอาคนมีฝีมือสูงแต่ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริงก็ถือเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงอยู่เหมือนกัน

                “แล้วเจ้ารู้จักกับไลนัสและแดเนียลได้อย่างไร” ชายหนุ่มชวนคุยต่อไป

                “เรื่องนั้นน่ะ....” หญิงสาวคิดจะพูดสิ่งหนึ่ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไปบอกอีกเรื่องแทน “...มีชายใดในลูซแวร์ไม่รู้จักข้าบ้างล่ะ”

                “นั่นสินะ ข้านี่โง่จริงที่ถาม”

                ทั้งสองเงียบกันไป มีเพียงเสียงย่ำเท้าลงปะทะกับดินเหลวๆ และยกขึ้นมาสลับกันไปของขาคู่หนึ่งระหว่างนั้น

                “ท่านไลนัสมาเป็นแขกที่ร้านบ่อยๆ ด้วย” คนที่ด้านหลังเสริมขึ้น “บางครั้งก็ชวนท่านแดเนียลมาเป็นเพื่อน”

                “อย่างนั้นหรือ...” คนฟังรับ เสียงเหมือนไม่ใส่ใจนัก แต่ก็ยังเก็บเป็นข้อมูลเอาไว้

                “...ขอโทษนะที่ต้องให้เจ้ามาช่วยข้าอีกแล้ว”

                “อะไรกัน เรื่องแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก อีกอย่าง ข้าก็เป็นคนอาสาเองนี่”

                “แต่เมื่อก่อน วิลเลียมก็เป็นคนช่วยข้าทุกทีเลยนี่นา” หญิงสาวว่า ภาพความทรงจำครั้งเยาว์วัยย้อนกลับเข้ามาในมโนความคิด ยามที่รู้สึกว่า ตนเองกำลังท้อแท้ ไม่อยากทำตามความฝันต่อแล้ว หรือยามที่ร้องไห้ทะเลาะกับท่านพ่อท่านแม่เพราะความไม่เข้าใจกัน แต่มักจะมีเด็กชายผมน้ำตาลมาช่วยปลอบเสมอๆ

                “ข้าแค่คิดว่าคนสวยอย่างเจ้าไม่เหมาะกับน้ำตาเอาเสียเลย” วิลเลียมบอก

                “ตอนนั้น ข้านึกว่าเจ้าชอบข้าเสียอีก...”

                เด็กชายในตอนนั้นที่ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มแล้วได้แต่หัวเราะแห้งๆ ยิ้มแหยรับ ถึงอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นรอยยิ้มนั้น แต่ก็พอคาดเดาได้

                “...แต่ตอนนี้คงไม่ได้ชอบแล้วใช่ไหม”

                “เจ้ามีคนมากมายมาชอบอยู่แล้วนี่ โรส ยังจะต้องเอาข้าไปรวมกับพวกนั้นด้วยหรือ” เสียงพูดนั้นเหมือนหยอกเล่น แต่ก็ถือเป็นการปฏิเสธไปในตัว

                โรซาลินด์ฟังแล้วก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ขึ้นมา แต่นางก็ทราบดีกว่าการจะบังคับให้คนทั้งโลกคิดเห็นเหมือนกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เด็กชายที่เคยหลงชอบอะไรที่สวยงามง่ายๆ คนนั้นก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

                “วิลเลียมมีใครคนอื่นที่ชอบอยู่แล้วหรือ”

                “ไม่มีหรอก”

                คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้น ถ้าหัวใจของชายหนุ่มยังว่างอยู่ อย่างน้อยนางก็ยังมีโอกาสมากเท่ากับคนอื่น

                ในความคิดของโรซาลินด์ วิลเลียมก็มีดีครบทุกอย่าง ทั้งรูปก็งาม ฐานะแท้จริงแล้วก็สูงส่งเกินใคร ฝีมือก็ใช่จะอ่อนด้อย ไม่แปลกเลยที่สาวน้อยอย่างเรนนีจะมาหลงชอบได้

                ถึงนิสัยที่เขาแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นอาจจะแลกะล่อนสบายๆ ไปบ้าง แต่นางก็ยังเชื่อว่า คนที่รักและเทิดทูนผู้เป็นมารดายิ่งนักอย่างวิลเลียม หากปักใจไปที่ใครสักคนแล้ว คงไม่มีวันทำเจ้าชู้กรุ่มกริ่มนอกลู่นอกทางเป็นแน่

                “ใกล้ถึงแล้วละ โรส ข้าว่าตอนนี้เจ้าลงจากหลังข้าได้แล้ว เตรียมตัวรับศึกไว้ด้วยก็ดีนะ เดี๋ยวเจ้าคงได้พิณคืนมาแล้วละ”

                โรซาลินด์ลงมาจากหลังวิลเลียมแล้วก็เอียงคอถาม

                “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

                ชายหนุ่มพูดเหมือนเห็นอนาคตข้างหน้าอยู่ก่อนแล้ว

                “พอดีมีพรายกระซิบบอกข้าน่ะ” เขาชี้ไปที่หูตัวเอง “มีคนทำนายอนาคตให้ข้าฟัง เหมือนกับที่เจ้าทำนายไพ่นั่นแหละ”

                หญิงสาวฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ทว่าก็จนปัญญาที่จะพยายามค้นหาความจริงต่อ หากแต่พอนางเดินไปกับชายหนุ่มอีกสักพักจึงได้รู้ว่า ที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องคุยโม้แต่อย่างใด

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×