คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : บทที่ 12 กระจัดกระจาย - "ข้าไม่มีวันยอมตายพร้อมเจ้า" [1]
บทที่ 12 กระจัดกระจาย
“ข้าไม่มีวันยอมตายพร้อมกับเจ้า”
‘มีคนมา’
‘นางมาอีกแล้ว’
‘นางคิดจะทำอะไร’
‘ข้าหิว’
‘นางเพิ่งมานี่’
‘อีกานั่นก็มาด้วย’
‘เจ้างูล่ะ’
‘ไปหาอะไรกินสิ’
‘คนเยอะแยะเลย’
‘แม่มด’
‘น่ากลัวแฮะ’
‘เด็กคนนั้นเหรอ’
‘กิน’
‘อันตราย’
‘คิดจะทำอะไร’
‘เด็กไหน’
‘ต้องคอยระวัง’
...
นัยน์ตาสีน้ำเงินลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหนวกหูที่ดังรบกวน
เสียงสนทนาในป่า... ไม่ได้ยินมานานแล้ว... ที่พวกมันกล้าคุยกันให้เขาได้ยินเช่นนี้ แสดงว่ายังไม่มีใครรู้จักเขาสินะ... แต่ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นอยู่หรอก... ก็เขาเพิ่งเข้ามาในเขตแดนรกร้างตะวันเมื่อวานนี่เอง...
ปล่อยให้พวกมันคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ไปก็คงดีแล้ว...
ชายหนุ่มคิด... ถึงจะจับเอาข้อมูลดีๆ มาได้ยากหน่อย แต่ก็ดีกว่าเปิดเผยตัวไปแล้วไม่มีใครยอมบอกอะไรเลยละ...
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเลยดีกว่า ฟังเจ้าพวกนี้นานๆ บางทีก็ปวดหัวเหมือนกัน
‘หิว’
นั่นสิ เขาเองก็หิวแล้ว
พื้นที่ของแดนรกร้างตะวันตกมีลักษณะเป็นป่ารกชัฏผสมบึง ด้วยมีเขตหนองน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหนึ่งกับป่าครึ้มสีเขียวเข้มจัดปนปะกันไป เมื่อเดินเข้ามาในแดนแถบนี้จะได้ยินเสียงกบ เขียด คกคาง อึ่งอ่าง สัตว์จำพวกนั้น และแมลงทั้งหลายร้องดังระงมเซ็งแซ่ไปหมด
วิลเลียมอาการดีขึ้นจากเมื่อวันก่อนมาก เรี่ยวแรงฟื้นกลับมาเต็มที่ ส่วนแขนขวา...เรนนีก็มารักษาให้แล้ว
ที่จริงเขาไม่ได้บอกให้นางจัดการแต่แรกก็เพราะอยากให้นักบวชสาวได้พักบ้าง เรนนีคนเดียวต้องคอยทำหน้าที่รักษาทุกคน ก่อนหน้านี้ก็ช่วยสร้างเกราะกำบังให้ตั้งหลายครั้ง อีกทั้งยังร่ายมนตร์ชำระล้างให้เขาหายเหม็นตอนที่สลบอยู่ด้วย จริงๆ ปลุกให้ตื่นแล้วให้เขาไปอาบน้ำเองก็ได้ ใช้พลังโดยไม่ยั้งคิดจนสีหน้าซีดเซียวไปขนาดนั้นจะให้เขาบอกให้นางรักษาแขนให้โดยทันทีได้อย่างไร
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วเหมือนกัน เขาจึงได้ถือโอกาสบอกแคสซานดราให้ระวังด้วย ถึงนางจะแสดงออกว่า ไม่คิดจะสนใจผู้อื่นก็ตาม ทว่าสำหรับเขาแล้วก็ยังจำเป็นต้องระวังเรื่องนี้ไว้
ชายหนุ่มคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ได้แต่มองไปยังกลุ่มหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างหน้า คงมีแต่โรซาลินด์ที่ไม่ค่อยสร้างความลำบากให้เขานักในการเดินทางครั้งนี้
พื้นดินกลายมาเป็นทางเฉอะแฉะ สุมทุมพุ่มไม้ที่เคยมีอยู่มากมายเริ่มหายไป เปลี่ยนเป็นพืชน้ำงอกเงยบนกองโคลนแทน การเดินทางเป็นไปได้ล่าช้ากว่าเดิมมาก จนมาร์คัสที่ต้องเอาแผนที่ขึ้นมาตรวจสอบดูว่ามาถูกทาง ทว่าการกระทำนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่เคยมีผู้ใดผ่านมาเยือนที่แถบนี้พื้นเขียนแผนที่ใหม่มานานหลายสิบปีแล้ว อาจเป็นตั้งแต่ที่แม่มดเข้ามายึดครองก็ได้
ชาวคณะยังคงเดินทางกันต่อไปท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ต่างคนต่างพยายามยกเท้าขึ้นสูง แล้วก้าวสั้นๆ เพื่อไม่ให้ลื่นล้มโดยง่าย เดินไปอีกพักดินโคลนก็เริ่มเหนียวขึ้น ในบางจุดที่ก้าวเดินไปขาก็จมลึกถึงครึ่งแข้ง น่าหวั่นเกรงว่าจะอาจจะเจอโคลนดูดดึงให้จมลงไปทั้งตัวในไม่ช้านาน มาร์คัสจึงต้องใช้เวทลมผสมน้ำแข็งช่วยสร้างทางเดินที่มั่นคงให้ พวกเขาจึงเดินกันต่อไปได้
ทว่าถึงจะระวังกันดีแค่ไหนแล้วก็ตาม หากเรื่องจะเกิดก็ย่อมเกิดอยู่ดี
จู่ๆ หญิงสาวผมทองที่เดินนำอยู่หน้าเขาก็หายไปจากสายตา มองตามเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอีกทีจึงพบว่า โรซาลินด์ล้มลงไปในโคลนเสียแล้ว ที่ข้อเท้าของหญิงสาวมีเถาวัลย์สีน้ำตาลเลื้อยมาพัน แล้วมันก็กำลังดึงนางให้เคลื่อนเข้าไปเรื่อยๆ
วิลเลียมยังมองไม่เห็นแหล่งที่มาของเถาวัลย์มีชีวิตนั้น ไลนัสที่อยู่ไกลออกไปจากจุดเกิดเหตุก็ยิงธนูออกไปตัดสายระยางนั่นแล้ว ความแม่นยำและเฉียบคมของเขานั้นไม่ต้องถามถึง ต่อให้เป็นเส้นด้ายบางๆ ชายหนุ่มผมเงินก็น่าจะยิงโดนมันได้
เมื่อนั้นเอง วิลเลียมที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ลงไปช่วยโรซาลินด์ให้ลุกขึ้นมา
“ขอบใจนะ” หญิงสาวบอกเมื่อกลับมายืนได้ เนื้อตัวและเส้นผมของนางเปรอะเปื้อนโคลนไปหมด เห็นดังนั้นแล้ววิลเลียมก็อดแหย่ไม่ได้
“เพิ่งเห็นเจ้าไม่สวยเอาวันนี้นี่แหละ”
ทว่าเพียงกล่าวจบคำนั้น แต่มีเถาวัลย์อีกหลายสายตวัดจากทิศทางเดิมออกมาพันรอบตัวของเขา โรซาลินด์ และคนอื่นที่เหลือเอาไว้ มันเหวี่ยงพวกเขาไปคนละทิศละทางโดยไม่ให้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มสำลักน้ำโคลนคำใหญ่ออกจากปาก มือยันตัวลุกขึ้นแล้วก็เปลี่ยนมาลูบใบหน้า ปัดสิ่งที่บังตาอยู่ให้ออกไป ลืมตาขึ้นก็เห็นว่าตนเองเต็มไปด้วยโคลนอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด เขาพยายามมองหาพื้นที่สำหรับพักหายใจที่น่าจะปลอดภัย แต่แล้วก็พลันเห็นอะไรบางอย่างที่มีสีทองคุ้นตาจมเลนโคลนอยู่ใกล้ๆ เสียก่อน จึงรีบไปเข้าช่วยดึงเจ้าของร่างนั้นขึ้นมา
โรซาลินด์สำลักเมื่อสัมผัสอากาศหายใจได้คล่องกว่าเดิม วิลเลียมเทน้ำออกจากถุงน้ำดื่มของตนช่วยล้างหน้าล้างตาให้นาง
“วันนี้เจ้าดูสวยน้อยที่สุดจริงๆ” เขาบอกยิ้มๆ เป็นความหมายเดิมอีกครั้ง
หญิงสาวหันไปมองรอบตัวแล้วไม่พบคนอื่นใดออกนอกวิลเลียม จึงถามว่า
“คนอื่นล่ะ”
“ไม่รู้” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “ข้าฟื้นมาก็เจอเจ้าจมเลนโคลนอยู่คนเดียว สงสัยคงถูกจับโยนไปอีกทิศทาง ว่าแต่เจ้าไม่เป็นอะไรนะโรส”
“ข้าไม่เป็นไร” โรซาลินด์บอก “ก็แค่...รู้สึกขยะแขยงนิดหน่อยเท่านั้น”
หญิงสาวนักดนตรีสำรวจดูตนเอง...ยังคงเต็มไปด้วยโคลนไม่เปลี่ยนแปลง...
“แล้วฟลุตของข้าหายไปไหนแล้วนี่” นางถือฟลุตไว้ตอนออกเดินทาง เมื่อตอนนี้มันไม่อยู่ในมือแสดงว่า...คงจมหายไปในโคลนแล้ว “พิณ...และของอื่นของข้า ก็อยู่กับท่านไลนัสเสียด้วย”
นึกแล้วก็น่าอนาถชะตาตนเองยิ่งนัก ตอนนี้นางไร้อาวุธคู่กาย แล้วยังต้องมาเจอกับดินเหลวๆ นี่อีก เมื่อวันก่อนทำอะไรวิหคหนังเกล็ดดึกดำบรรพ์ไม่ค่อยได้ก็นับว่าไร้ประโยชน์มากยิ่งแล้ว วันนี้นางไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ความงาม จะมิกลายเป็นตัวถ่วงไปเลยหรอกหรือ ทั้งยังต้องมาอยู่กับวิลเลียมเพียงสองคนอีก...
แต่จะว่าไป...อยู่กับวิลเลียมอาจจะถือว่าเป็นโชคดีกว่าการจะต้องอยู่เพียงลำพัง หรือต้องอยู่กับคนอื่นก็ได้...
คิดแล้วโรซาลินด์ก็ถามชายหนุ่มผู้นำว่า
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อกันดี”
วิลเลียมลองหยิบเข็มทิศของกลุ่มขึ้นมาดู เข็มทิศนี้เป็นอุปกรณ์ที่จะแจกไว้ให้สมาชิกแต่คนละคนในคณะเดินทางพกติดตัว สิ่งประดิษฐ์ประเภทนี้ต้องจัดทำขึ้นเป็นชุดพร้อมๆ กัน ลักษณะภายนอกของมันเป็นตลับกลม ถ้าเปิดฝาออกก็จะเป็นเข็มชี้ทิศเหนือธรรมดาในชั้นแรก ชั้นที่สองจึงค่อยเลือกได้ว่าจะให้ชี้ไปยังเข็มทิศอื่นในชุดเดียวกันหรือไม่ หากมีใครหลงหายไปก็สามารถใช้อุปกรณ์นี้บอกตำแหน่งได้ เข็มทิศที่มีระดับสูงขึ้นมาหน่อยก็อาจใช้มนตราช่วยติดต่อสื่อสารกันได้หากมีนักเวทอยู่ด้วย แน่นอนว่า เข็มทิศที่ของคณะเดินทางที่พระราชาทรงจัดตั้งขึ้นย่อมทำเช่นนั้นได้ ทว่าพอวิลเลียมจะลองหาที่อยู่ของคนอื่นดู เข็มทิศชั้นสองกลับหมุนวนไปวนมา ระบุทิศทางแน่ชัดไม่ได้ เสมือนมีคลื่นพลังประหลาดรบกวนการทำงาน ยังดีที่เข็มทิศชั้นแรกยังชี้ไปที่ทิศเหนือได้อยู่
“เข็มทิศประจำกลุ่มใช้ไม่ได้” ชายหนุ่มรายงาน “เราก็คงต้องหาทางเดินกันต่อไปก่อน จนกว่าจะเจอคนอื่น หรือมีเวทนำทางจากท่านมาร์คัสมา”
วิลเลียมไม่เอ่ยถึงคนที่ใช้เวทนี้ได้อีกคน เพราะคิดว่านางคงไม่ยื่นมามือช่วยในครั้งนี้เช่นนั้น แต่คิดๆ ดูแล้ว...เขาก็ชักเป็นห่วงขึ้นมาละว่า แคสซานดราจะโดนเหวี่ยงไปประสบอันตรายที่ไหนหรือไม่ ยิ่งนางไม่มีเข็มทิศแบบเดียวกันกับคนอื่นอยู่ด้วย ยังมีเรนนีอีกที่น่ากังวล...
“อย่างนั้นก็เดินต่อตามที่เจ้ามากันเถอะ” เสียงของโรซาลินด์ชักนำความคิดของวิลเลียมให้กลับมาอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน วิลเลียมตัดสินใจว่าจะเลิกคิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนี้คงต้องหาทางเอาตัวเองให้รอดก่อน
ชายหนุ่มออกเดินนำ หญิงสาวเดินตามไป แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าว คนนำก็หยุด ค้นของออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง ก่อนส่งปลายเชือกด้านหนึ่งให้โรซานลินด์
“เจ้าผูกนี่ไว้ที่รอบเอวด้วยละกัน” วิลเลียมบอกพลางเอาปลายอีกด้านของเชือกผูกที่รอบเอวตนเอง “เผื่อพลัดหลงเดินลงโคลนดูดหรือหลุมบ่อที่ไหนจะได้พอช่วยทัน หรือถ้าจะมีเถาวัลย์ลึกลับจับใครเหวี่ยงเล่นอีก ก็จะได้ติดไปด้วยกัน”
ฟังเขาพูดก็ตลกดี แต่โรซาลินด์ยังคงยิ้มไม่ออก นางได้แต่รับเชือกไปผูกไว้รอบเอวตามที่อีกฝ่ายบอก
แล้วพวกเขาก็เดินกันต่อไป
โรซาลินด์ลื่นหกล้มอยู่หลายครั้ง และในหลายครั้งนั้นก็มักจะลากวิลเลียมให้ล้มตามไปด้วย ชายหนุ่มพยายามพูดเล่นชวนคุยกับนางเสมือนไม่ถือสาเรื่องที่เกิด ทว่าก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้สาวงามในคราบโคลนอารมณ์ดีขึ้นเลย จนเมื่อนางล้มลงอีกครั้งนั่นเอง หญิงสาวจึงได้เปิดปากพูดขึ้นว่า
“ข้า...ไม่ไหวแล้ว”
“หืม...” วิลเลียมที่กำลังจะมาช่วยดึงนางขึ้นส่งเสียงถามในลำคอ
“นี่มันยากกว่าการเต้นรำบนพื้นน้ำแข็งเสียอีก” โรซาลินด์ว่า ยันตัวลุกขึ้นมาด้วยตนเอง นัยน์ตาสีมรกตมองลงพื้นอย่างโกรธเคืองระคนรำคาญ “แล้วก็สกปรก เลอะเทอะ คันขยุบขยิบตามตัวไปหมด ผมก็มาติดหน้า พันกันยุ่ง ดึงไม่ออก...”
หญิงสาวกำมือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวแน่น ชายหนุ่มคิดว่าตัวนางกำลังสั่นอยู่นิดๆ
“...อาวุธข้าก็ไม่มี ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะหายใจก็ยังรู้สึกว่าจมูกตัวเองไม่สะอาด...”
ครั้นแล้วหญิงสวนก็เงยหน้าขึ้นฟ้า ตะโกนเสียงดังว่า
“ข้าอยากกลับบ้าน! อยากกลับไปอาบน้ำที่สุดเลย!”
ยินเสียงนกร้องและขยับปีกบินด้วยความตกใจตามหลังเสียงนั้นดังว่อนทั่วบริเวณ
หลังปลดปล่อยความในใจเรียบร้อยแล้ว โรซาลินด์หันมายิ้มงดงามให้วิลเลียมแล้วกล่าวว่า
“ได้พูดออกไปแล้ว ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยละ”
วิลเลียมหรี่ตาลงพลางใช้ความคิดพิจารณาวิธีระบายอารมณ์ของหญิงสาว... โรซาลินด์ที่เขารู้จักนั้นแต่ไหนแต่ไรก็ชอบสิ่งสวยงาม และในทางกลับกันก็เกลียดอะไรที่สกปรกหรือดูน่ารังเกียจเป็นที่สุด การที่นางจะทนกับสภาพเช่นนี้ไม่ได้จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไร แต่เขาก็ยังคงสงสัยว่าทำไมนางถึงมาร่วมขบวนเดินทางครั้งนี้ด้วยอยู่ดี
“ถ้าออกเดินทางปฏิบัติภารกิจ ก็ต้องเจออะไรสกปรกๆ ที่เจ้าไม่ชอบแบบนี้อยู่แล้วละ โรส” ชายหนุ่มว่า ก่อนหันกลับไปเดินตามทางเดิม
เมื่อรู้สึกถึงแรงดึงที่เส้นเชือกที่เอว หญิงสาวผมทองก็เดินตามไป
“ก็ข้านึกว่ามันจะสนุกนี่” โรซาลินด์บอกด้วยเสียงที่อ่อนลง
“ส่วนที่สนุกอย่างที่เจ้านึกก็มีอยู่หรอก เพียงแต่ส่วนที่ไม่สนุกอาจจะมีอยู่เยอะกว่าก็ได้ ในสถานการณ์เป็นตายไม่มีใครจะมาประคบประหงมเอาใจเจ้าได้ตลอดหรอกนะ ทุกคนต่างก็เป็นห่วงตัวเองกันทั้งนั้น”
“แต่เมื่อวันก่อนเจ้ายังช่วยเรนนีเลย ข้าเห็นนะ” แวบหนึ่ง โรซาลินด์ก็รู้สึกอิจฉานักบวชสาวขึ้นมา ถ้าหากนางประสบอันตรายเช่นนั้นขึ้นบ้าง จะมีชายใดยอมเสี่ยงชีวิตตนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือบ้างไหมหนอ
“นั่นมันก็เพราะสถานการณ์พาไปเหมือนกัน”
ถึงวิลเลียมจะตอบมาอย่างนั้น แต่หญิงสาวก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดีว่า ถ้าคนที่วิหคหนังเกล็ดดึกดำบรรพ์จ้องจะทำร้ายเป็นคนอื่นไม่ใช่เรนนีแล้ว ชายหนุ่มอาจจะไม่เข้าไปช่วยเหลือเช่นนั้น
ก็เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของนักบวชสาวน่ะคล้าย...
โรซาลินด์ยังคิดไม่ทันจบก็ต้องร้องเสียงหลงขึ้นมา เมื่อมีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เชือกของวิลเลียมพันรอบเอวบางแล้วดึงตัวนางขึ้นฟ้าไป วิลเลียมที่ผูกติดอยู่ด้วยกันก็เริ่มจะเท้าไม่ติดพื้นตามนางไปด้วย
ยังดีที่เขาไหวตัวทัน จึงซัดอาวุธออกไปตัดเถาวัลย์เส้นที่ดึงตัวโรซาลินด์ไป เขาคิดจะไปช่วยรับตัวนาง แต่ก็ช้าไปเสียก้าวหนึ่ง หญิงสาวตกแหมะลงมาบนพื้นโคลนแทน ส่วนวิลเลียมก็ต้องรับเศษดินเหลวที่กระเด็นใส่หน้า
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังไม่คลายใจโดยง่าย นัยน์ตาคมสีน้ำเงินลืมขึ้นพลางสำรวจมองหาที่มาของเถาวัลย์นั่นอย่างระแวดระวัง
“เจ้าเถาเลื้อยบ้า ข้าสุดจะทนกับเจ้าจริงๆ แล้วนะ!” หญิงสาวร้องขึ้น ขณะเดียวกันนั้นก็กระโดดลุกขึ้นยืนโดยพลัน
โรซาลินด์ดูเกรี้ยวโกรธอย่างที่วิลเลียมไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้าเจ้าตามมาเพราะเสียงของข้า ก็จงตายด้วยเสียงของข้าเถอะ”
หญิงสาวโก่งคอ เชิดหน้า แล้วเริ่มต้นร้องเพลง เสียงของนางดังกังวานไปไกล
ยินเสียงนกบินแตกฝูง และเสียงโหยหวนของสัตว์ป่าดังตามมา แต่เสียงเหล่านั้นก็มิอาจกลบเสียงของคนที่ยิ่งร้องยิ่งพุ่งขึ้นสูงไต่ระดับไปเรื่อยได้
ปรากฏเถาวัลย์สีน้ำตาลลอยมาจากหลายทิศ วิลเลียมเตรียมอาวุธพร้อมในมือ คมมีดเปล่งประกายอยู่ตามง่ามนิ้ว ครั้นเห็นเถาวัลย์เส้นไหนพุ่งเข้ามาใกล้เขาก็ซัดมีดออกไปตัดมันเสียก่อน อาวุธพุ่งออกไปราวกับไม่มีจำนวนกำจัด และโผล่ขึ้นมาใหม่ให้เขาหยิบใช้เรื่อยๆ ทว่าเพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าเถาวัลย์พวกนั้นเริ่มส่ายเอนเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง เส้นสายเหล่านั้นเอนไปเอนมาตามจังหวะการร้องของโรซาลินด์
เมื่อหญิงสาวจับช่วงเสียงที่บงการพืชร้ายนั้นได้แล้ว นางก็ร้องขับขานเป็นท่วงทำนองต่อไปจนจบเพลง เถาวัลย์พวกนั้นก็ล้มครืนลง ไม่ไหวติ่งอีก
วิลเลียมเห็นโรซาลินด์เว้นจังหวะพักหายใจ ถ้าไม่มีโคลนเปื้อนอยู่มากเช่นนี้ เขาคิดว่า นางคงต้องกำลังหน้าแดงด้วยความเหนื่อยที่ใช้กำลังเสียงไปมาก หรือไม่ก็คงมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นให้เห็นบ้าง
“เจ้าสุดยอดไปเลย โรส” ชายหนุ่มเอ่ยชมจากใจจริง ต่อให้นางไม่มีอาวุธติดตัวก็ตาม พลังเสียงที่พิชิตได้แม้แต่พืชเถาวัลย์ที่มองไม่เห็นแหล่งกำเนิดเช่นนี้ก็คงไม่มีผู้ใดเทียมทานได้
“ข้า... เหนื่อย...” พูดออกมาจบนางก็ทรุดนั่งลงกับพื้นโคลน ไม่สนใจอีกแล้วว่าจะต้องเปรอะเปื้อนอย่างใด เพราะยามนี้นางก็เลอะไปทั้งตัวจนไม่มีอะไรดีอยู่แล้ว
“ข้าให้เจ้าขี่หลังดีไหม”
ได้ยินคำถามนั้น โรซาลินด์ก็หันมามองชายหนุ่มอย่างสงสัย จะให้นางขี่หลังในสภาพที่อยู่กลางบ่อโคลนเช่นนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆ
“ก็เจ้าไม่ชอบโคลนพวกนี้ เดินๆ ไม่นานก็จะล้มเอา แล้วตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับเถาวัลย์เจ้าปัญหาพวกนั้นแล้วด้วย อีกอย่าง ข้าก็คิดว่าตัวเองมั่นคงแข็งแรงพอ แล้วก็พอจะเห็นทางเดินที่จะไปต่อแล้วด้วย” วิลเลียมอธิบายให้เสร็จสรรพ พลางยื่นมือมาไปให้หญิงสาว
แม้จะทราบว่าควรจะปฏิเสธไป แต่อีกใจหนึ่งนางก็อยากจะพักบ้าง... และตอนนี้ความรู้สึกก็เอาชนะเหตุผลได้เสียแล้ว...
ถ้าเป็นวิลเลียมแล้วละก็... ข้าคงไม่ต้องวางตัวให้สูงส่งมากมาย...
โรซาลินด์เอื้อมมือของตนไปจับตอบมือแข็งแกร่งของชายหนุ่ม และเป็นการบอกตกลงไปในที
“ตกลงว่า เจ้ามาทำงานนี้เพราะอยากออกมาผจญภัยดูบ้างเท่านั้นเองหรือ”
“อืม...” เสียงขานตอบในลำคอโดยไม่เปิดปากดังมาจากด้านหลัง “ข้าคงทำคะแนนได้ดีตอนไปทดสอบขอใบรับรองจากสมาคมนักดนตรีเร่ อีกทั้งก็อาศัยอยู่ที่ลูซแวร์อยู่แล้ว และก็แจ้งความจำนงไปด้วยว่า อยากออกเดินทาง พอฝ่าบาทต้องการหาคนมาร่วมในคณะของเจ้า พวกเขาเลยส่งชื่อข้าไปให้เลือกด้วยกระมัง”
คำตอบก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่ ทว่าการจะเอาคนมีฝีมือสูงแต่ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริงก็ถือเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงอยู่เหมือนกัน
“แล้วเจ้ารู้จักกับไลนัสและแดเนียลได้อย่างไร” ชายหนุ่มชวนคุยต่อไป
“เรื่องนั้นน่ะ....” หญิงสาวคิดจะพูดสิ่งหนึ่ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไปบอกอีกเรื่องแทน “...มีชายใดในลูซแวร์ไม่รู้จักข้าบ้างล่ะ”
“นั่นสินะ ข้านี่โง่จริงที่ถาม”
ทั้งสองเงียบกันไป มีเพียงเสียงย่ำเท้าลงปะทะกับดินเหลวๆ และยกขึ้นมาสลับกันไปของขาคู่หนึ่งระหว่างนั้น
“ท่านไลนัสมาเป็นแขกที่ร้านบ่อยๆ ด้วย” คนที่ด้านหลังเสริมขึ้น “บางครั้งก็ชวนท่านแดเนียลมาเป็นเพื่อน”
“อย่างนั้นหรือ...” คนฟังรับ เสียงเหมือนไม่ใส่ใจนัก แต่ก็ยังเก็บเป็นข้อมูลเอาไว้
“...ขอโทษนะที่ต้องให้เจ้ามาช่วยข้าอีกแล้ว”
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก อีกอย่าง ข้าก็เป็นคนอาสาเองนี่”
“แต่เมื่อก่อน วิลเลียมก็เป็นคนช่วยข้าทุกทีเลยนี่นา” หญิงสาวว่า ภาพความทรงจำครั้งเยาว์วัยย้อนกลับเข้ามาในมโนความคิด ยามที่รู้สึกว่า ตนเองกำลังท้อแท้ ไม่อยากทำตามความฝันต่อแล้ว หรือยามที่ร้องไห้ทะเลาะกับท่านพ่อท่านแม่เพราะความไม่เข้าใจกัน แต่มักจะมีเด็กชายผมน้ำตาลมาช่วยปลอบเสมอๆ
“ข้าแค่คิดว่าคนสวยอย่างเจ้าไม่เหมาะกับน้ำตาเอาเสียเลย” วิลเลียมบอก
“ตอนนั้น ข้านึกว่าเจ้าชอบข้าเสียอีก...”
เด็กชายในตอนนั้นที่ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มแล้วได้แต่หัวเราะแห้งๆ ยิ้มแหยรับ ถึงอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นรอยยิ้มนั้น แต่ก็พอคาดเดาได้
“...แต่ตอนนี้คงไม่ได้ชอบแล้วใช่ไหม”
“เจ้ามีคนมากมายมาชอบอยู่แล้วนี่ โรส ยังจะต้องเอาข้าไปรวมกับพวกนั้นด้วยหรือ” เสียงพูดนั้นเหมือนหยอกเล่น แต่ก็ถือเป็นการปฏิเสธไปในตัว
โรซาลินด์ฟังแล้วก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ ขึ้นมา แต่นางก็ทราบดีกว่าการจะบังคับให้คนทั้งโลกคิดเห็นเหมือนกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เด็กชายที่เคยหลงชอบอะไรที่สวยงามง่ายๆ คนนั้นก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“วิลเลียมมีใครคนอื่นที่ชอบอยู่แล้วหรือ”
“ไม่มีหรอก”
คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้น ถ้าหัวใจของชายหนุ่มยังว่างอยู่ อย่างน้อยนางก็ยังมีโอกาสมากเท่ากับคนอื่น
ในความคิดของโรซาลินด์ วิลเลียมก็มีดีครบทุกอย่าง ทั้งรูปก็งาม ฐานะแท้จริงแล้วก็สูงส่งเกินใคร ฝีมือก็ใช่จะอ่อนด้อย ไม่แปลกเลยที่สาวน้อยอย่างเรนนีจะมาหลงชอบได้
ถึงนิสัยที่เขาแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นอาจจะแลกะล่อนสบายๆ ไปบ้าง แต่นางก็ยังเชื่อว่า คนที่รักและเทิดทูนผู้เป็นมารดายิ่งนักอย่างวิลเลียม หากปักใจไปที่ใครสักคนแล้ว คงไม่มีวันทำเจ้าชู้กรุ่มกริ่มนอกลู่นอกทางเป็นแน่
“ใกล้ถึงแล้วละ โรส ข้าว่าตอนนี้เจ้าลงจากหลังข้าได้แล้ว เตรียมตัวรับศึกไว้ด้วยก็ดีนะ เดี๋ยวเจ้าคงได้พิณคืนมาแล้วละ”
โรซาลินด์ลงมาจากหลังวิลเลียมแล้วก็เอียงคอถาม
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มพูดเหมือนเห็นอนาคตข้างหน้าอยู่ก่อนแล้ว
“พอดีมีพรายกระซิบบอกข้าน่ะ” เขาชี้ไปที่หูตัวเอง “มีคนทำนายอนาคตให้ข้าฟัง เหมือนกับที่เจ้าทำนายไพ่นั่นแหละ”
หญิงสาวฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ทว่าก็จนปัญญาที่จะพยายามค้นหาความจริงต่อ หากแต่พอนางเดินไปกับชายหนุ่มอีกสักพักจึงได้รู้ว่า ที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องคุยโม้แต่อย่างใด
ความคิดเห็น