ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #25 : บทที่ 10 การเดินทางช่วงต้น - "แต่ละคนดูจะสร้างปัญหาให้ข้า..." [2]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.48K
      5
      20 พ.ย. 53

      

                วิลเลียมเพิ่งจัดที่นอนของตนเสร็จ กำลังคิดจะล้มตัวลงนอนอย่างสบายอารมณ์ ทว่าก็มีเสียงหนึ่งเรียกเขาเสียก่อน

                “ท่านวิลเลียม”

                ชายหนุ่มที่กำลังจะเอนหลังลงบนผ้าที่ปูกับพื้นจำต้องลุกขึ้นมานั่งตัวตรง แล้วตอบ

                “มีอะไรหรือเรนนี”

                เห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ตรงหน้า วิลเลียมมองออกจะจำได้ว่าเป็นของนักบวชสาว ยิ่งเสียงและคำเรียกเช่นนั้นคงไม่ต้องถามว่าเป็นใคร โรซาลินด์และแคสซานดราไม่เรียกเขาอย่างยกย่องเช่นนี้หรอก

                “คือว่า... ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย”

                “เรื่องอะไรหรือ”

                แม้จะอยากนอนแต่เมื่ออยู่ในฐานะผู้นำของกลุ่มแล้ว การรับฟังปัญหาของเพื่อนร่วมเดินทาง และช่วยหาทางแก้ไขให้คงถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง

                “เรื่องของคำสาปที่ท่านแคสซานดราร่ายใส่ท่านไลนัสในวันนี้น่ะค่ะ” หญิงสาวบอก “ท่านบอกให้ข้าลองช่วยท่านไลนัสถอนคำสาปดู แต่ข้าลองทำตามวิธีที่มาสเตอร์สอนมาแล้วก็ไม่สำเร็จ อีกทั้ง...ท่านแคสซานดรายังบอกอีกว่าเครื่องรางของวิหารหลวงไม่ดี...”

                “อ้อ...”

                วิลเลียมพอเข้าใจขึ้นมาบ้าง แต่ถึงจะรู้เช่นนั้นเขาก็คงช่วยอะไรนางไม่ได้ ปัญหาที่แท้จริงน่าจะเป็นเพราะว่าแคสซานดราเก่งเกินไป ไม่ใช่วิหารหลวงหรือเรนนีไม่ได้เรื่อง

                “แล้วเจ้าอยากให้ข้าช่วยอย่างไรหรือ” ชายหนุ่มถามไป

                “ข้าอยากลองพยายามแก้คำสาปดูอีกครั้ง...” เรนนีกล่าว “...ถ้าข้าแก้ได้ก็น่าจะช่วยเสริมอาคมของเครื่องรางใหม่ได้ พอไปเผชิญหน้ากับแม่มดแห่งแดนรกร้างตะวันตก พวกท่านจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องคำสาป”

                ฟังเหตุผลแล้วก็เข้าใจได้อยู่ แต่วิลเลียมกลับรู้สึกถึงเค้าลางไม่ดีเท่าไร และอันที่จริง เขาคิดว่าเรนนีไม่ต้องพยายามขนาดนั้นก็ได้ แค่ให้แคสซานดราปรับปรุงเครื่องรางหรือลงเวทป้องกันให้ก็พอแล้ว ทว่าขืนตอบอย่างนั้นไป มีหวังทำให้นักบวชสาวเสียกำลังใจมากขึ้นไปอีก ดังนั้นชายหนุ่มจึงเสนอไปว่า

                “อย่างนั้นข้าจะไปบอกแคสให้ช่วยร่ายคำสาปให้เจ้าลองแก้ดูดีไหม”

                “ค่ะ ถ้าท่านวิลเลียมทำอย่างนั้นได้ก็ดีเลย” เรนนีดีใจที่อีกฝ่ายเข้าใจโดยง่ายกว่านางต้องการให้ช่วยอะไร

                วิลเลียมที่เปลือกนอกกำลังยิ้มอยู่ได้แต่สงสัยกับตัวเองว่า

                คืนนี้ข้าจะได้นอนหลับโดยปลอดภัยไหมนี่...

     

                อุปสรรค์ข้อหนึ่งของการทดลองแก้คำสาปแม่มดดำของเรนนีที่นางไม่ได้คิดไว้ก็คือ การจะสาปหรือถอนคำสาปนั้นจำเป็นต้องมีเป้าหมายของคำสาปด้วย ซึ่งการนี้จะอาศัยตัวนางเองก็ไม่ได้ เพราะนางต้องรวบรวมสมาธิสำหรับหาวิธีแก้ และในระหว่างเดินทางเช่นนี้ก็ยังไปหาสัตว์ทดลองที่เหมาะสมมาใช้ไม่ได้เช่นกัน

                พอแคสซานดราฟังสาเหตุการมารบกวนของคนทั้งสองจบแล้ว นางก็เห็นปัญหาทันที จึงถามขึ้นว่า

                “แล้วใครจะเป็นคนมารับคำสาปล่ะ”

                เรนนีได้แต่มองไปที่วิลเลียมอย่างไถ่ถาม นางเพิ่งระลึกได้ถึงปัญหานี้ และไม่ได้คิดเตรียมตัวมาก่อน

                “ข้าอาสาเอง” ชายหนุ่มยืดอกตอบ

                “ไม่ได้นะคะท่านวิลเลียม” เรนนีรีบบอก หญิงสาวไม่ได้เจตนาจะบอกให้ชายหนุ่มสละตัวเองด้วยซ้ำ

                “ข้าบอกจะช่วยเจ้าแล้ว ก็ต้องช่วยให้เต็มที่สิ” วิลเลียมว่าแล้วก็นั่งลง เตรียมพร้อมรับคำสาปทันที

                “เตรียมตัวเตรียมใจมาเรียบร้อยแล้วสินะ” แคสซานดราเปรยขึ้น แค่เห็นปฏิกิริยาและใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่นำพาของชายหนุ่มนางก็รู้แล้ว

                วิลเลียมพยักหน้าหนักๆ ปากกล่าวว่า

                “ลงมือเลย”

                เมื่อนั้น แคสซานดราก็จัดการเรียกไม้เท้าหัวงูออกมาสาปให้ชายหนุ่มตาบอดสนองความต้องการ ไม่คิดฟังเสียงประท้วงของเรนนีที่ร่ำร้องอยู่แต่อย่างใด ได้สาปคนตรงหน้าที่เสนอตัวมาให้โดนสาปแล้วก็รู้สึกสะใจดีเหมือนกัน

                วิลเลียมเห็นแสงสว่างวาบในดวงตา แสงนั้นค้างอยู่อย่างนั้น ชวนแสบตาเสียเหลือเกิน แต่ขนาดปิดเปลือกตาลงแล้วมันก็ไม่หายไป เขานึกว่าคนตาบอดทั่วไปจะเห็นแต่ความมืดเสียอีก แล้วสีขาวนี่มันอะไรกัน ชักรู้สึกว่าตนคิดผิดเสียแล้วที่อาสามาเป็นมนุษย์ทดลองคำสาปของแคสซานดรา

                “เริ่มต้นที่ตาบอดก่อนละกัน” ได้ยินเสียงแคสซานดราดังขึ้นที่ด้านข้าง “ถ้าเจ้ามัวแต่ทำตัวน่ารำคาญ ไม่รีบหาทางแก้ วิลเลียมจะแย่เอานะ” ประโยคหลังนี่นางคงกำลังบอกกับเรนนี

                วิลเลียมนึกอยากร้องไห้ อยากปล่อยให้น้ำตาไหลพราก จะได้ช่วยหล่อเลี้ยงดวงตาที่กำลังเผชิญกับแสงสว่างเจิดจ้านี้เสียหน่อย ทว่าพอคิดว่ามีสาวๆ สองคนกำลังมองเขาอยู่ ชายหนุ่มก็กลั้นใจเอาไว้ เมื่อเช้าเขายังไม่เห็นน้ำตาของไลนัสสักหยดเลย จะให้ยอมแพ้หมอนั่นได้อย่างไร

                เหมือนเรนนีจะเริ่มต้นลงมือแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงมือนุ่มนิ่มที่แตะลงบนใบหน้าเขา จับหน้าเขาหันช้าๆ

                “เป็นอย่างไรบ้างคะ” เรนนีถาม “เห็นอะไรบ้างไหม”

                “มีแสงสว่างเต็มไปหมด แสบตามาก” วิลเลียมแค่นเสียงบอก พยายามไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกไปมากนัก

                “ไม่ได้มืดไปหมดหรอกหรือคะ”

                “ไม่ มีแต่สีขาวเจิดจ้าทั้งนั้น”

                นักบวชสาวคิดว่า นี่เป็นคำสาปตาบอดที่แปลกเหลือเกิน ปรกติแล้วคนตาบอดจะเห็นแต่เพียงความมืดมิด อาจเห็นจุดสีแดงเมื่อมองดวงอาทิตย์ ถ้าอาการไม่หนักนักก็อาจพอเห็นเป็นแค่แสงสลัวๆ แล้วโดยปรกติแล้วถ้าคนธรรมดาจ้องแสงสว่างจากดวงตะวันนานๆ ตาก็จะรับแสงไม่ไหวแล้วบอดไปเอง

                นางลองร่ายมนตร์แก้ด้วยวิธีปรกติดูก่อน แล้วก็ไม่ได้ผลเช่นเดียวกับครั้งของไลนัส เรนนีลองแปลงมนตร์อีกหลายๆ แบบ ทว่าก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

                ผ่านไปนานเข้า เรนนีก็เห็นว่าวิลเลียมมีน้ำตานองไหลอาบแก้ม

                “ท่านวิลเลียมเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

                “เปล่า ข้าไม่เป็นไร แค่แสบตาจนน้ำตาไหลน่ะ” วิลเลียมบอกพลางแค่นยิ้ม

                “อึดเหมือนกันนี่” แว่วเสียงแคสซานดราที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ดังขึ้น “ตั้งนานกว่าจะยอมร้องไห้”

                เรนนีอยากขอถอนตัว นางไม่อยากเห็นชายหนุ่มต้องมาเจ็บปวดเพื่อนางอีก ทว่าทันทีที่กำลังจะหันไปบอกยอมแพ้ต่อแคสซานดรานั่นเอง วิลเลียมก็กล่าวขึ้นว่า

                “เรนนี เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าอาสาช่วยเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าก้าวหน้าขึ้น ลองค่อยๆ คิดหาทางแก้ไป อย่าเพิ่งยอมแพ้เสียละ ถ้าเจ้ายอมแพ้ตอนนี้ก็เท่ากับว่าที่ข้าพยายามอดทนมาตลอดนี่เสียแรงเปล่านะ อย่างไรคืนนี้พวกเราก็ยังมีเวลากันอีกตั้งเยอะ”

                ใครฟังวิลเลียมพูดเช่นนี้แล้วคงอดซาบซึ้งในความเสียสละของชายหนุ่มไม่ได้ ทว่าที่ชายหนุ่มกล่าวสิ่งเหล่านั้นออกมาก็เพราะไม่อยากเสียแรงเปล่าเท่านั้นจริงๆ

                “...ค่ะ” เรนนีรับคำ ตัดสินใจกลับมาตั้งสมาธิกับงานใหม่อีกครั้ง...

                ทันใดนั้นก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุ้นให้นางคิดขึ้นได้

                ถ้าหากว่าท่านวิลเลียมเห็นแต่แสงจนแสบตา... ทำให้เขาตาบอดจริงๆ ไปชั่วคราวน่าจะสบายกว่า...

                “ท่านวิลเลียม ข้าขอลองร่ายคำสาปที่ทำให้ตาบอดแบบธรรมดาใส่ท่านดูได้ไหมคะ”

                “ก็เอาสิ” วิลเลียมตอบโดยไม่คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรสภาพของเขาคงไม่ย่ำแย่กว่านี้ไปได้เท่าไรนัก

                นักบวชสาวจึงลองสาปเขาให้ตาบอดตามวิธีมาตรฐานทั่วไป

                เมื่อนั้นเอง วิลเลียมก็เปลี่ยนมาเห็นแต่ความมืด รู้สึกสบายตาขึ้นมากมาย

                “อา... ตอนนี้มืดไปหมดแล้วละ”

                ชายหนุ่มปราดน้ำตาทิ้งจากใบหน้า ตาบอดแล้วตกอยู่ในความมืดแบบนี้ดีกว่าอยู่ท่ามกลางแสงสว่างหลายเท่านัก

                เรนนีลองร่ายมนตร์แก้คำสาปอีกครั้ง เป็นมนตร์มาตรฐานเช่นกัน

                ภาพของยามค่ำคืนสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาสีน้ำเงินของวิลเลียม เขาหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนไปมองแคสซานดราซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นด้วย

                “ข้ากลับมามองเห็นได้เป็นปรกติแล้วละ” ชายหนุ่มประกาศ

                เรนนียินดีจนน้ำตารื้อ นางใจดีที่วิลเลียมปลอดภัยมากกว่าจะยินดีที่นางแก้คำสาปของแม่มดดำได้สำเร็จเสียอีก

                “จะลองคำสาปหูหนวกต่อไปไหม” แคสซานดราถามขึ้น สีหน้าและน้ำเสียงไม่ได้ร่วมยินดีไปกับความสำเร็จครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย

                นักบวชสาวจำได้ว่าเมื่อเช้า ไลนัสบอกว่า ได้ยินแต่เสียงอีการ้องดังก้องหูไปหมด กลบเสียงอื่นๆ ไปหมดเลย นางคิดว่า บางทีคำสาปนั้นอาจใช้วิธีเดียวกันแก้ได้ จึงกล่าวว่า

                “คำสาปนั้นสามารถแก้ได้โดยสาปให้หูหนวกซ้ำอีกทีก่อน แล้วค่อยให้มนตร์ธรรมดาแก้หรือเปล่าคะ”

                “เจ้าก็ไม่ได้โง่เท่าไหร่นี่” ถึงจะไม่ได้เอ่ยชมอย่างเต็มปากเต็มคำนัก แต่นั่นก็ถือเป็นการยอมรับในที แม่มดดำบอกต่อว่า “แต่คำสาปอื่นๆ ของข้าก็มีที่ไม่ได้ใช้วิธีนั้นในการแก้หรอกนะ”

                “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะมาขอศึกษาในวันหลังได้ไหมคะ”

                “ได้สิ วันนี้ข้าเองก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” แคสซานดรายกมือขึ้นปิดปากหาวประกอบคำ แต่กิริยานั้นของนางก็ดูมีเสน่ห์ราวกับจัดวางมากกว่าจะเป็นการหาวเพราะง่วงจริงๆ “แต่ถ้าจะมาวันหลัง ก็มาพูดกับข้าด้วยตนเอง ไม่ต้องพาวิลเลียมมาช่วยพูดหรอกนะ”

                “ค่ะ ข้าจะไม่รบกวนท่านวิลเลียมอีกแล้วละค่ะ” เรนนีตั้งใจว่าไม่ทำให้วิลเลียมต้องลำบากอีก “ขอบคุณท่านแคสซานดรามากนะคะ”

                “ข้าก็จะขอตัวราตรีสวัสดิ์แล้วเหมือนกัน ต้องไปพักสายตาสักหน่อยแล้ว” วิลเลียมเห็นสองสาวตกลงกันได้แล้วก็ขอตัวลา ลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนโบกมือให้ แล้วเดินจากไป

                เรนนีก็ก้มศีรษะของแม่มดดำแล้วถอนตัวจากไปเช่นกัน

     

                แดเนียลที่รับอาสาอยู่เฝ้าเวรกะแรกให้ แปลกใจเมื่อเห็นแสงสว่างแวบจากมุมหนึ่ง พอเห็นไปมองก็เห็นนักบวชสาว แม่มดดำ และชายหนุ่มผมน้ำตาลอีกคนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น

                เขาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ต่อไป

                “เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”

                แดเนียลได้ยินเสียงถาม แต่ไม่ได้หันไปมองคนพูด เขาจดจำเสียงของสหายได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นเสียงของไลนัส

                เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ ไลนัสก็ไม่ใส่ใจ ทิ้งตัวลงนั่งข้างหนุ่มผมสีทราย แล้วลองมองตามทิศที่แดเนียลมองไป

                แม้จะอยู่ในความมืด แต่ไลนัสก็สามารถเห็นประกายของหยดน้ำที่บนใบหน้าของวิลเลียมได้ชัดเจน            “พวกนั้นกำลังทำอะไรกัน” เขาขบคิดแล้วไม่เข้าใจจึงได้ถามเพื่อน

                “ดูเหมือนวิลเลียมจะยอมเป็นเหยื่อรับคำสาปของแม่มดดำ เพื่อให้ท่านนักบวชลองหาทางแก้ดูกระมัง” นี่คือสิ่งที่แดเนียลสรุปได้หลังจากเฝ้าสังเกตดู “ตอนโดนคำสาปเมื่อเช้า ไลนัสก็บอกว่า เห็นแต่แสงสว่างไม่ใช่หรือ ข้าว่าถ้าคนมองแสงมากๆ คงต้องหลั่งน้ำตากันบ้างละ”

                ไลนัสพยักหน้ารับ คนธรรมดาคงจะหลั่งน้ำตา แต่สำหรับเขานั้นมีความบกพร่องอยู่จึงไม่อาจร้องไห้ได้ ซึ่งข้อนี้ ไลนัสถือว่ามันเป็นพร อย่างน้อยก็จะไม่มีใครเห็นน้ำตาของเขาได้

                “เฮอะ” ชายหนุ่มแค่นเสียง “เจ้านั่นก็มัวแต่เอาใจผู้หญิง งานอื่นๆ มีตั้งมากมายไม่คิดจะทำ”

                “แต่ข้าว่า วิลเลียมคงอยากช่วยท่านนักบวช เพื่อให้นางสามารถช่วยพวกเราได้ในอนาคตละ” แดเนียลบอก “แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ ไลนัส ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนเวรเลยนะ”

                “ข้ายังไม่ง่วง”

                ความจริงคือไลนัสนอนไม่หลับ พอปิดเปลือกตาลงก็จะเห็นแต่ภาพความพ่ายแพ้ย้อนมาเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไลนัสจึงยังไม่อยากนอน คิดจะออกมาหาอะไรทำเบี่ยงเบนความสนใจแทน

                “ให้ข้าไปบอกท่านโรซาลินด์ให้ช่วยหาเพลงมาบรรเลงกล่อมให้สบายใจดีไหม” แดเนียลเสนอ เพราะพอคาดเดาอาการของเพื่อนที่ไม่ได้บอกไว้ในคำตอบได้ “ข้าได้ยินมาดนตรีสามารถช่วยทำให้หลับง่ายขึ้นนะ”

                “ไม่ต้องหรอก นางคงนอนแล้ว ไปตอนนี้ก็รบกวนเปล่าๆ”

                ความเงียบเข้าครอบครองบทสนทนาไปชั่วขณะ

                เรื่องของโรซาลินด์เป็นอีกเรื่องที่ต้องคอยระวัง แต่ต่อให้นางก็เป็นคนที่เรียกร้องขอมาด้วยเอง และพระราชาจะอนุญาตแล้ว ไลนัสก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี

                “ข้าอยากรู้จริงๆ ล่ะว่า ถ้าเจ้าไม่ล่วงรู้ถึงตำแหน่งของนาง เจ้าจะยังปฏิบัติกับนางเช่นนี้ไหม” แดเนียลเปรย ถึงโรซาลินด์จะมีความงามเพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายมาพินอบพิเทา แต่สำหรับคนรักศักดิ์ตนยิ่งชีพอย่างไลนัสแล้ว ความงามของนางอาจจะไม่อยู่ในสายตาของชายหนุ่มก็ได้

                ไลนัสไม่ตอบ เพราะว่านั่นเป็นการสมมุติ มิใช่เรื่องจริง อย่างไรเขาก็รู้ถึงตำแหน่งของนางที่เป็นความลับยิ่งของนางแล้ว และคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่ถ้าจะให้ลองสมมุติและขอคำตอบที่เป็นได้จริง ...เขาก็ไม่ทราบเช่นกัน

                ที่เบื้องหน้า ไม่ไกลเกินระยะมองเห็น วิลเลียมลุกขึ้นมาโบกมือลาแล้ว ส่วนนักบวชสาวก็ค้อมศีรษะให้แม่มดดำแล้วจากไปเช่นกัน แคสซานดราชายตามามองพวกเขาแวบหนึ่ง แต่แล้วก็หันกลับเหมือนไม่ใส่ใจ นางคงรู้ตัวแต่ต้นแล้วว่ามีคนแอบมองอยู่

                “วิลเลียมนี่ดูเปิดกว้าง และใจดีจริงๆ นะ” แดเนียลเอ่ยขึ้น

                “เฮอะ ถึงชมหมอนั่นว่าเปิดกว้างไป แต่เจ้าก็ยังเข้าถึงหมอนั่นไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ”

                แม้จะคบหากันมานานจนเริ่มชินกับการพูดจาลักษณะนี้ของไลนัสแล้ว แต่แดเนียลก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า คำพูดช่างแทงใจดำของเขาเสียเหลือเกิน

                “นั่นสิ คงมีแค่คนพิเศษบางคนที่วิลเลียมยอมรับเท่านั้นถึงจะเข้าถึงเขาได้...” แดเนียลว่าเบาๆ “แล้วข้าก็จะยังไม่ใช่หนึ่งในนั้น”

    ---

    S.O.

    November 20, 2010

    เปลี่ยนเป็นแยกอัพสองตอนละกัน

    ยังคงไม่มีอะไรจะกล่าวมาก... ช่วงนี้รู้สึกอยากหายตัวไปจริงๆ ...

    แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องคืบคลานมาอัพนิยายอยู่ดี

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×