ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 13 ธรรมชาติอันแท้จริง (ครึ่งแรก)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 938
      3
      13 ม.ค. 56

    ตอนที่ 13 ธรรมชาติอันแท้จริง


        ชายหนุ่มผมบลอนด์ คางมน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้ารูปรับกับดวงตาสีฟ้าสวยงาม ใบหน้าหล่อราวเทพบุตร.. และกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต เวลานี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเทพบุตรตกสวรรค์ เพราะมีผู้คุมกฎจอมโหดสองคนขนาบข้าง คนหนึ่งหัวฟ้าชี้เด่ขี้เล่น อีกคนยิ้มยากเจ้าระเบียบ

        คนแรกมักล่อลวงชวนเล่น แต่เมื่อทำตามคำเชิญนั้น คนเจ้าระเบียบจะโกรธ หาว่าไม่ตั้งใจและเทศนาชุดใหญ่ ส่วนไอ้คนชวนเล่น.. จะหัวเราะซ้ำเติมอย่างคึกคะนอง บางครั้งพาลให้นึกเอาว่าพวกมันสองตัวรวมหัวกันแกล้งเขา

        ตอนนี้มิลเลอร์กำลังคลั่งตายกับการเพิ่มเลเวลของตัวเอง เขาเริ่มต้นช้า และถ่วงเพื่อนให้จมปลักในทวีปแรกจึงถูกกดดันอย่างหนัก แต่ใครจะไปรู้ล่วงหน้าเล่า... ว่ามีระบบสุดโหดรออยู่ ทีแรกนึกว่าคล้ายกับเกมอื่น หลังเปลี่ยนอาชีพก็เข้าป่าล่าสัตว์อสูร ถ้าฆ่าได้เยอะเลเวลก็เพิ่มไว แต่.. มันไม่ได้มาตัวเดียว.. มันพ่วงพวกพ้องจำนวนมหาศาลติดมาทุกครั้ง!

        ชายหนุ่มอยู่ระหว่างการเอาชีวิตรอด ฝูงกระรอกที่ยิงลำแสงสีขาวและกริฟฟินสามตัวกำลังไล่ตามมา ส่วนเพื่อนสองคนกลับยืนดูเฉยๆ ไอ้คนยิ้มยากเจ้าระเบียบอย่างเรวินจะยืนเฉยไม่แปลกเพราะเป็นนักบวช แต่จั๊งค์ที่มีอาชีพสายบู๊เนี่ยสิ ไอ้เพื่อนบ้าเอาแต่หัวเราะสนุกไปกับสภาพหนีตายของเขา เขาคิดว่าเมื่อเร็วๆ นี้ไม่ได้ก่อปัญหาอะไรให้ทั้งคู่สักหน่อย เรื่องเข้าเล่นเกมช้ามันก็ผ่านมาแล้ว

        “นายทำอะไรลับหลังเอิกเกริกขนาดนั้น คิดว่าพวกเราจะไม่รู้เลยเรอะ” เรวินเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน แม้จะตัวเล็กสุดในกลุ่มเพื่อนและไม่ใช่อาชีพสายโจมตี แต่ทุกคนกลับเกรงใจนักบวชหนุ่มเป็นที่สุด กระทั่งจั๊งค์ยังเอาไปเรียกลับหลังว่าหัวหน้าสมาพันธ์ตัวจริง

        “พวกเราอุตส่าห์มาแบบไม่ให้เป็นจุดสนใจ แต่นายดันทำตัวอล่างฉ่างไปให้สัมภาษณ์อะไรก็ไม่รู้” โจรหัวฟ้าเสริม “ฉันก็เลยอยากดูนายวิ่งเล่นต่ออีกสักหน่อย ถ้าเลเวลไม่ถึงยี่สิบห้าไม่ต้องไปเหยียบทวีปใหม่นะเพื่อน”

        “มันคงจะถึงหรอกถ้าพวกนายปล่อยให้ฉันตายแล้วคอยชุบชีวิตขึ้นมาเรื่อยๆ แบบนี้! ฉันสู้มาสี่สิบชั่วโมงติดแล้วนะ! เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว! ถ้าไม่ให้พัก.. อย่างน้อยช่วยใช้เวทฟื้นพลังให้ก็ยังดี!”

        “นายมีเงินจากการรับบริจาคผ่านนิตยสารอะไรนั่นแล้ว เอามันไปซื้อน้ำยาฟื้นพลังใช้เองสิ” นักบวชหนุ่มแค่นเสียง

        “นั่นมันเงินสำหรับสมาพันธ์พวกเรานะ!” มิลเลอร์โวยวายพร้อมๆ กับยกโล่ขึ้นกันลำแสงสีขาวจากกระรอก “นายทำบัญชี นายก็รู้ว่าเงินนั่นใช้ทำอะไร!”

        “พวกเราไม่มีปัญหาเรื่องเงินจนต้องทำเรื่องน่าอายอย่างรับบริจาค” นักบวชขาวย้ำ

        “แล้วนายเอารองหัวหน้าพวกเราไปขายได้ราคางามซะด้วยสิ” จั๊งค์ต่อให้ “ฉันเชื่อว่าบทละครชีวิตพระเอกโศกนั่นนายเขียนเองแหงมๆ ที่นายสัมภาษณ์ไปคิดอะไรบ้างหรือเปล่าว่าจะกระทบหมอนั่นยังไง”

        มิลเลอร์ไม่ตอบจั๊งค์... นั่นมันน้องสาวของตัวเอง การเอามาใช้งานเล็กๆ น้อยๆ ไม่เห็นจะผิดตรงไหน! มิเชลเสียอีกที่เป็นต้นเรื่องทั้งหมด จู่ๆ พ่อก็โทรหา.. และสั่งว่าถ้าไม่เข้าไปคุมเวลาเล่นเกมน้องจะตัดค่าขนมรายเดือนครึ่งหนึ่ง เขาเลยจำใจต้องมาเล่นเกมที่ไม่คิดจะเล่น มันเป็นเกมที่พัฒนาด้วยเงินสปอนเซอร์ของพ่อ พ่อที่ขี้บ่นจนเขาต้องเผ่นออกจากบ้านไปอยู่หอ

        กะอีแค่เล่นเกมทั้งวี่ทั้งวันเท่านั้น.. วัยรุ่นไหนๆ ก็ทำกัน! เพียงแต่เขาอาจจะหมกมุ่นมากไปหน่อยจนถูกสาวบอกเลิกด้วยเรื่องนี้เกินสิบครั้งแล้ว บรรดาแฟนเก่าต่างเอือมระอาเพราะชายหนุ่มไม่ยอมพาเที่ยวยกเว้นวันที่เซิร์ฟเวอร์เกมปิดซ่อมบำรุง

        จริงๆ แล้ว.. เกมนี้ก็สนุกดี มิลเลอร์ไม่เคยคิดว่าระบบคลื่นสมองในปัจจุบันจะก้าวไกลขนาดนี้ ความสมจริงจากการสัมผัสของในเกมมีมากเกินไป จนทำให้หลงคิดว่ากำลังท่องโลกอีกมิติอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่เกมที่พ่อเป็นสปอนเซอร์ เขาอาจจะโผล่มาเล่นตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ!

        “โอ๊ย!” มิลเลอร์กำลังบ่นในใจจึงพลาดลืมยกโล่ขึ้นกัน ตัวเขาหล่นไปกองบนพื้น หัวกระแทกเข้ากับขอนไม้เต็มแรง พอเงยหน้าก็เห็นลำแสงนับสิบกำลังเล็งมาที่เขา

        “เลิกหนี หันกลับไปสู้ดีๆ แล้วก็ตั้งใจด้วย” เรวินดุ

        “เรวิน!” เสียงชายหนุ่มค่อยๆ ถูกกลืนหายไปพร้อมกับลำแสงสีขาว มิลเลอร์รู้สึกว่าวิญญาณของตัวเองกระเด็นหลุดจากร่างเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว

        “เรวิน ฉันไม่อยากขัดหรอกนะ แต่นายก็ทำเกินไปหน่อยรึเปล่า?” จั๊งค์ได้โอกาสถามหลังจากมิลเลอร์ตายแล้ว โจรหัวฟ้ากำลังเอามือลูบผมตัวเองให้เข้าทรง “ถ้าหมอนั่นเลเวลไม่เพิ่มเราทั้งคู่ก็จะติดแหงกอยู่ที่นี่ด้วยกันนะเฟ้ย”

        “ลงโทษแค่นี้ไม่เกินไปหน่อยหรอก ถ้าอยากช่วยเพิ่มเลเวลจะทำเมื่อไหร่ก็ทันทั้งนั้น” นักบวชหนุ่มตอบ “แต่ถ้าไม่ปรามไว้บ้างจะได้ใจมากไป”

        “ฉันก็เห็นหมอนั่นได้ใจตลอดเวลาน่ะแหละ นายก็ปล่อยวางซะ รีบๆ ช่วยมันเพิ่มเลเวลแล้วไปทวีปหลักเถอะ ฉันเบื่อที่นี่แล้ว”

        นักบวชหนุ่มยกไม้เท้าขึ้นแตะร่างไร้วิญญาณของเพื่อน แสงสีขาวพุ่งออกมารวมบนใบหน้า จากสีผิวขาวซีดค่อยกลับมามีน้ำมีนวล มิลเลอร์กระพริบตา และตื่นพร้อมกับท่ากระโจนลุกขึ้นยืน มือก็รีบหยิบดาบเตรียมพร้อมรบ

        “ฉันไม่ได้แกล้งตายเหมือนเมื่อกี้แล้วนะ นายไม่ต้องไปล่อฝูงกระรอกมาอัดฉันตอนเผลอเลย!”

        นักบวชผมบลอนด์ส่ายหัวเบาๆ ใจจริงยังอยากปล่อยให้ตายอีกสักรอบ แต่ทำตามที่จั๊งค์บอกก็ดีเพราะงานประลองคริสมาสต์ใกล้เข้ามา เขาคงไม่ปล่อยมิลเลอร์ลงแข่งด้วยเลเวลอันน้อยนิด ประเดี๋ยวมันจะเสียถึงชื่อจักรพรรดิหน้าตาย ส่วนจั๊งค์พอมีแววชนะอยู่ เรวินอยากให้สมาพันธ์ตนเหลือผู้แข่งขันตามรอบลึกๆ บ้าง

        เรวินเริ่มนึกถึงมิเชล นักบวชหนุ่มหวังว่าเขาคงปลอดภัยจากพวกเกราะแดง และตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้รองหัวหน้าประจำสมาพันธ์พกเอาประสบการณ์ต่อสู้มามากกว่าเดิม

        *********************************************

        เด็กผู้หญิงตัวเล็กเดินอยู่ในป่าหลังออกจากโซเนีย เธอกับโทนี่กำลังเบื่อเพราะต้องพักเหนื่อยทุกยี่สิบนาที เมสโซ่มีทักษะอัญเชิญอย่างโหด แต่ร่างกายเขากลับเป็นปัญหามาก เอลฟ์ประหลาดอธิบายว่าจิตรกรเร่ร่อนพลังกายต่ำกว่าอาชีพอื่น มิเชลเลยใช้ท่าดอกไม้จงบานช่วย แต่มันกลับแสดงข้อความว่า อาชีพพิเศษ ไม่สามารถรับพลังจากภายนอกได้

        ตอนนี้เธอสวมชุดคลุมเขียวตัวเก่าทับเสื้อกางเกงสีขาว บนหัวใส่ที่คาดผมหูหมาป่าเพราะเครื่องป้องกันอื่นพังหมด ที่จริงเมสโซ่ตั้งใจเก็บมาคืน แต่มันโทรมมากแล้ว พอโดนฝูงจิ้งจอกรุมขย้ำเลยขาดเป็นริ้ว

        เอลฟ์หนุ่มขอติดตามทั้งคู่เพราะอยากเจอมิเชลคนพี่ และเธอไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าเมื่อไหร่พี่ชายที่สมมุติขึ้นเองจะมา ส่วนพี่ชายตัวจริง ไม่ต้องโผล่ให้เห็นตลอดชีวิตการเล่นเกมคงดีสุดๆ

        ป่าแห่งนี้ค่อนข้างทึบ แต่เดินง่ายเพราะดินแห้งแข็ง กลิ่นซากใบไม้บนพื้นฉุนแตะจมูก และนานๆ ทีจะมีลมพัดให้ได้ยินเสียงกิ่งไม้เสียดสีกัน ทั้งกลุ่มสามารถมองเห็นทิวทัศน์กลางคืนอันเลือนรางด้วยคบไฟในมือเมสโซ่ เขาขอเวลานอกและหยิบมันมาจุด หลังจากนั้น มิเชลรู้สึกว่าความถี่ในการหกล้มของเอลฟ์ประหลาดลดลงนิดหน่อย

        แต่เมสโซ่เลเวลสูง การออกล่าหาสัตว์อสูรจึงกลายเป็นเดินเล่นกินลมชมบรรยากาศมืดๆ ของป่ายามกลางคืนอยู่นาน เพราะพวกเลเวลต่ำกว่าจะคอยหลบซ่อนตัว

        ทว่า ในที่สุดสัตว์อสูรตัวแรกก็โผล่จนได้! มิเชลดีใจแทบกระโดด มันมีท่อนล่างเป็นม้าและครึ่งบนเป็นชายผมยาวรุงรัง หน้าตาไร้อารมณ์ ในมือกำลังยกหน้าไม้ขึ้นเล็ง เธอรู้จักเจ้าสิ่งมีชีวิตตามตำนานตัวนี้ ชื่อของมันคือ ‘เซนทอร์’

        เธอวิ่งหลบลูกดอกเซนทอร์สองครั้งก่อนพุ่งเข้าถึงร่างศัตรู มิเชลยกดาบฟันทันที ปรากฏว่าตัวเลขสีแดงที่แสดงอาการบาดเจ็บบนหัวสัตว์อสูรกลับเด้งครั้งละ 1... หรือ 2... เรียกว่าลดค่าพลังชีวิตมันแทบไม่ได้

        "มันเป็นสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์.. มีพลังป้องกันเวทมนตร์สูง" เมสโซ่อธิบาย "เปลวไฟที่ดาบเธอก็เป็นเวทมนตร์เหมือนกันใช่ไหมล่ะ เอ๊ะ?.. มิเชลคนน้องกับคนพี่ใช้อาวุธเหมือนกัน?"

        "เราสองคน... เอ่อ เลือกอาชีพ.. เดียวกัน"

        "งั้นหรือ เป็นพี่น้องที่ทำอะไรเหมือนกันดีนะ"

        เธอสะอึกไปนิดหน่อย และพยายามทบทวนว่าตกลงเขารู้หรือไม่รู้กันแน่ แต่พอมองหน้าเหรอหราของเมสโซ่จึงเข้าใจ เขาแค่พูดเพราะคิดตามนั้นจริงๆ

        "ระวัง ตัวนั้นมันเลเวลสี่สิบสอง" เมสโซ่เตือนเมื่อเห็นมิเชลยังพยายามเข้าใกล้มันอีกครั้ง

        พอได้ยิน เธอถึงกับเด้งหนีแทบไม่ทัน มันเลเวลมากกว่าตั้งหนึ่งเท่าครึ่ง! นี่แปลว่าทุกคนเผลอเดินเข้ามาลึกมาก โทนี่เองก็รีบถอยไปอยู่ห่างๆ ส่วนเมสโซ่ล้วงพู่กันกับกระดาษและเริ่มละเลงรูปอย่างรวดเร็ว เขาสามารถวาดจิ้งจอกทุกตัวได้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วราวถ่ายสำเนาออกมา

        เมื่อเมสโซ่วาดรูปที่สิบ มิเชลก็รู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันมากเกินไป.. แค่เซนทอร์ตัวเดียวไม่เห็นต้องใช้จิ้งจอกอัญเชิญเยอะแยะขนาดนั้น แต่เขายังเรียกมันออกมาเรื่อยๆ แม้ศัตรูจะล้มลงนอนเพราะใกล้ตายแล้ว

        "พอได้แล้ว มันตายแล้ว" เธอหยุดก่อนเขาจะลงมือวาดตัวที่สิบแปด

        เอลฟ์ประหลาดเงยหน้าขึ้นจากกระดาษ เขาค่อยๆ เรียกเก็บจิ้งจอกเข้าไปทีละตัวก่อนจะขอโทษและเอ่ยคำอธิบาย

        “เราชอบวาดเพลินจนลืมมองสถานการณ์รอบข้าง พอได้จับพู่กันมันก็จะต้องเติมอะไรบนกระดาษไปเรื่อยๆ”

        เมสโซ่ส่งคำขอเข้าร่วมกลุ่ม เมื่อโทนี่กดรับ ทั้งคู่ก็ผงะ เพราะเขาเลเวล 59! และก็ตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นแต้มพลังชีวิตเตี้ยต่ำติดดิน

        คนพลังชีวิตมากสุดเห็นจะเป็นโทนี่ มิเชลเป็นนักเวทและช่วงแรกเพิ่มค่าสถานะมั่วซั่วจึงน้อยกว่าเกือบครึ่ง แม้ตอนนี้เธอเลิกกดเพิ่มค่าโชคกับเสน่ห์เพราะไม่เห็นว่ามันทำอะไรได้ ค่าพลังชีวิตเธอก็ยังตามเพื่อนไม่ทันอยู่ดี ทว่า.. เมสโซ่กลับมีแต้มพลังชีวิตเพียงหนึ่งในสิบของเด็กหญิงเท่านั้น!

        "เราไม่เคยกดเพิ่มค่าอื่นเลยนอกจากเวทมนตร์ มันทำให้เราวาดรูปได้นานขึ้น"

        เมสโซ่พิสูจน์คำพูดนั้นให้ดูเป็นครั้งที่สองเมื่อเจอเซนทอร์ฝูงใหญ่ เขาเรียกจิ้งจอกออกมาเกือบร้อยตัว และสั่งให้มันวิ่งทั่วป่าเพื่อล่าทุกอย่างที่มีชีวิต กำไลของมิเชลเตือนการเลื่อนเลเวลติดๆ กัน ภายในเวลาสั้นๆ จากนักมายาธาตุเลเวล 29 ก็กลายเป็น 35 หลังจากนั้นค่าพลังเวทมนตร์ของจิตรกรเร่ร่อนหมดพอดี เหล่าอสูรร้ายสีขาวจึงสลายร่างไป

        "แย่แล้ว.." ชายหนุ่มร้องเสียงอ่อย "พวกนาย.. ระวังด้วย"

        เอลฟ์ประหลาดล้มตัวนอนแผ่ จากนั้นหลับไปง่ายๆ โดยไม่สนใจว่าเป็นเขตป่าลึก ป่าที่มีแต่สัตว์อสูรเลเวลสูงตึงมือผู้ร่วมทางทั้งสอง

        "เขาหลับไปแล้ว" มิเชลเอ่ยขึ้น "พวกเราก็...แย่แล้ว จริงๆ ด้วย..."

        รอบข้างทั้งสามเป็นผลงานของฝูงจิ้งจอกที่ลากเอาสัตว์อสูรออกมาเกือบหมดป่า ทั้งเซนทอร์ สุนัขสองหัว และผีเสื้อกลางคืนตัวเท่าคน มิเชลกำอาวุธ หน้าซีด ส่วนโทนี่พยายามเขย่าร่างเอลฟ์หนุ่ม แต่เขาหลับสนิทเหมือนคนตายทั้งที่ค่าพลังชีวิตยังเต็ม เด็กชายถึงกับขมวดคิ้วทีเดียวสามชั้นเพราะไม่เข้าใจ

        มิเชลกดปุ่มสีเหลืองบนกิ่งไม้ พอมันกลายเป็นถุงมือจึงรีบแตะสัมผัสพื้น กำแพงดินความสูงหนึ่งเมตรงอกขึ้นมาขวาง เธอสร้างกำแพงดินอีกหลายแผงขึ้นเป็นเกราะป้องกันตัวเองกับพรรคพวก

        โทนี่เอาดาบแกว่งเหนือศีรษะเพื่อฟันผีเสื้อกลางคืนร่างยักษ์ มันร้องกี๊ซสามครั้งก่อนกระพือปีกโปรยผงสีฟ้าบางอย่าง มิเชลที่กำลังง่วนกับการสร้างกำแพงดินจึงสูดเข้าไปเต็มๆ เท้าของเธอค่อยๆ แข็งขึ้น จะเดินหรือก้าวขาก็ไม่ได้

        "โทนี่ อย่าสูดเจ้าผงนั่นนะ!" เธอตะโกน ตั้งแต่ปลายเท้าไล่มาถึงหัวเข่าได้กลายสภาพเป็นหิน มิเชลโดนตรึงไว้กับพื้นเสียแล้ว

        โทนี่ใช้มืออีกข้างประเคนน้ำยาแก้อาการสถานะผิดปกติใส่เธอทุกประเภท แต่ไม่เจออะไรที่ช่วยรักษาได้ มิเชลจึงกวัดแกว่งดาบทั้งอย่างนั้น พวกมันยังพยายามเหยียดลิ้นยาวๆ ลงมาเลีย เธอยกแขนฟันทิ้ง ทว่าไม่ขาดเพราะพลังป้องกันของฝูงผีเสื้อมีมาก

        การต่อสู้เชิงรับลากยาวเกือบยี่สิบนาที กำแพงดินถล่มลงมาเป็นซาก เธอพยายามปัดป้องเท่าที่ร่างติดสถานะผิดปกติจะอำนวย มิเชลเกือบยอมแพ้และชวนโทนี่ทำใจไปบินเล่นบนฟ้า แต่เอลฟ์ประหลาด ต้นเรื่องทั้งหมดกลับลืมตาตื่นขึ้นพอดี เมสโซ่ขยิบตาอย่างเฉื่อยชาก่อนลงมือวาดรูป

        จิ้งจอกขาวเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ ผีเสื้อยักษ์ สุนัขสองหัวและเซนทอร์ ถ้าไม่ถูกฆ่าก็วิ่งหนีเพราะใกล้ตาย มิเชลกับโทนี่หยุดมือแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่จิตรกรหนุ่ม พอเหตุการณ์สงบลง จึงได้ฤกษ์ถามว่าเกิดอะไรขึ้น

        "ถ้าเผลอใช้พลังเวทหมดเราจะโดนบังคับให้หลับเพื่อเพิ่มอัตราการฟื้นฟู อาชีพเรารับน้ำยาฟื้นพลังแบบคนอื่นไม่ได้ รวมถึงมนตร์รักษาทุกประเภทด้วย"

        เมื่อเอลฟ์หนุ่มอธิบายจบ ทั้งสองเลยตกลงกันว่าจะคอยเตือนไม่ให้เขาวาดมากเกินไป เพราะเข้ามาในป่าลึกขนาดนี้.. ชีวิตก็แขวนอยู่กับเหล่าจิ้งจอกอัญเชิญแล้ว!

        มิเชลนอนพักเกือบครึ่งชั่วโมงขาจึงกลับมาเหมือนเดิม เธอยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนบอกทุกคนว่าเดินทางต่อได้

        ทั้งคู่ยังพบว่าเมสโซ่คุมสัตว์อัญเชิญไม่เก่ง เมื่อเขาเรียกออกมา กว่าจะเปลี่ยนคำสั่งเสร็จมันก็ทำสิ่งที่กินพลังเวทมนตร์เจ้านายไปมาก มิเชลกับโทนี่ยังต้องเจอปัญหาจิตรกรหนุ่มหลับกลางคันหลายรอบ ทว่า เธอเริ่มชินและรับมือได้ กำแพงดินเป็นแผนตั้งรับที่ประสิทธิภาพสูง เพียงแต่เปลืองพลังเวทไม่ต่างจากเหล่าจิ้งจอกขาว

        มิเชลจะสร้างกำแพงดินรอบทุกคน ถัดมาก็เค้นพลังไฟจากดาบเพื่อไล่ผีเสื้อกลางคืน มีโทนี่ช่วยฟันด้วยนิดหน่อย เมื่อเมสโซ่ตื่นถึงค่อยยกที่เหลือให้เป็นหน้าที่เขา และหลังเสร็จแต่ละศึกจะให้ชายหนุ่มนอนพักฟื้นพลังเวทก่อนไปต่อ

        โทนี่ขึ้นมาเป็นเลเวล 39 ส่วนมิเชลได้เลเวล 41 มันเป็นวิธีสู้ที่น่าเบื่อ แต่พอเห็นตัวเลขพุ่งเอาๆ ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วมีกำลังใจลุยต่อ เวลากดเพิ่มค่าสถานะหลังเลเวลขึ้น เธอเลือกเพิ่มแต้มโจมตีและเวทมนตร์เท่าๆ กันเพราะเลือกไม่ถูก ไม่รู้อันไหนดีกว่ากัน

        เมื่อเอลฟ์ประหลาดเลื่อนระดับมาเป็นเลเวล 63 มิเชลก็ได้ 45 ตามติดด้วยโทนี่ที่เลเวล 44! เธอฟังเสียงเลเวลเพิ่มพร้อมหัวใจเต้นระรัว และพบว่าตนเริ่มฟันสัตว์อสูรสุดโหดละแวกนี้เข้าและฆ่าได้สำเร็จ พอเมสโซ่ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราในครั้งถัดไป ทั้งคู่จึงมีโอกาสสำแดงฤทธิ์ เด็กชายใช้ดาบคล่องกว่าเดิมมาก เขารู้จักหลบบ้างกันบ้าง แต่กันด้วยสภาพแวดล้อมอย่างเช่นหลบหลังต้นไม้หรือหินก้อนใหญ่

        พอมิเชลเห็นการพัฒนาของเพื่อนที่ตัวเองไม่มี เธอก็รู้สึกถูกแซงจึงลองเลียนแบบ แต่กลับทำตามได้ไม่สะดวกนัก อาจเพราะไวเกินไปจึงหลบได้โดยไม่ต้องใช้อะไรกำบัง เด็กหญิงสรุปโดยเร็วว่าความถนัดแต่ละคนต่างกัน หากเธอมัวแต่พยายามซ่อนหลังต้นไม้ทั้งที่โยกขวาเพียงนิดเดียวจะหลบพ้น มันคงประหลาดพิลึก

        มิเชลเผลอก้าวเท้าย่ำเข้าส่วนลึกของป่า ทีแรกตั้งใจแค่วนเวียนอยู่รอบนอก แต่เพราะเมสโซ่ทำให้สัตว์อสูรเลเวลต่ำไม่ปรากฏตัว เด็กทั้งสองจึงลุยไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวอีกทีก็หลุดมาถึงหน้าผาสูง เธอเดินนำเลยเกือบพลาดไถลตก แต่โทนี่ช่วยคว้าเอาไว้ ลมที่ปะทะกับร่างเย็นเฉียบ มันพัดจากใต้หุบเหว ฟังเสียงแล้วคล้ายคนตัวใหญ่กำลังคำรามก้อง

        เธอย่อตัวต่ำ พยายามก้มมอง ตาหยีเหลือนิดเดียวเพราะลมตีหน้า แต่มันก็มืดจนไม่อาจเห็นอะไรได้นอกจากสีดำสนิท เมื่อดูเวลาปรากฏว่าสามทุ่มแล้ว โทนี่กางกระโจมและขอตัวก่อนคนแรก ส่วนมิเชลนั้น มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึกอยากทำมานาน เด็กสาวยังจดจ่อแถวขอบหุบเหวพร้อมกับอ้าปากกว้าง

        ร่างเล็กตะโกนสุดเสียง

        รอไม่นานก็ได้ยินเสียงสะท้อนตัวเอง เธอตะโกนลงไปอีกหลายคำ เมื่อพอใจแล้วจึงผละออก มิเชลนึกขำพอเห็นเมสโซ่เลียนแบบ ปอดจิตรกรหนุ่มคงไม่แข็งแรงนัก เพราะดังสุดของเขาคล้ายคนตะโกนคุยกัน เบาขนาดภูเขาไม่กล้าตอบกลับเสียด้วย

        พ่อไม่เคยพามิเชลขึ้นเขา มันอันตรายสำหรับคนที่มองไม่เห็น การถอดรองเท้าเพื่อสัมผัสดินนั้นยังยุ่งยากและเลอะเทอะ โดยมากจึงได้ไปทะเลเสียมากกว่า แต่เขาก็จะเลือกหาดสะอาดปราศจากขยะเพราะกลัวเธอเหยียบเศษแก้วหรือของมีคม

        มิเชลติดแหงกอยู่ตรงนั้น ข้างหน้าคือผาสูง แต่ด้านหลังเป็นป่าทึบที่โทนี่กลับออกไปคนเดียวลำบาก เธอจึงนั่งคุยกับเมสโซ่ด้วยความสงสัยหลายอย่าง เด็กหญิงเคยคิดว่าตนมีส่วนประหลาดแล้ว แต่เมื่อเจอคนประหลาดกว่าก็ไม่เข้าใจระบบการคิดในหัวเขานัก

        "มิเชลคนน้อง อายุเท่าไหร่"

        "สิบสาม แต่ช่วยเรียกมิเชลเฉยๆ เถอะนะ.."

        "งั้นถ้ามิเชลเล็ก มิเชลใหญ่ล่ะ?" เมสโซ่พยายามยื่นข้อเสนอ แต่ถูกเจ้าของชื่อปฏิเสธเสียงแข็ง

        “เมสโซ่เก่งจัง แต่เก่งแบบประหลาด ไม่รู้ว่าควรเรียกแบบไหนดี”

        “ตัวเราเป็นทั้งสองอย่างเลยหรือ ส่วนใหญ่จะโดนเพื่อนเรียกประหลาดมากกว่าเก่งน่ะ”

        เขาเลเวลสูง มีทักษะโหด แต่เอลฟ์หนุ่มคลั่งการวาดรูปจิ้งจอกจนต้องหลับกลางดงสัตว์อสูรเกือบทุกครึ่งชั่วโมงและเจียนตายไปหลายครั้ง เธอคิดว่ามันคงเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของเมสโซ่ ด้วยความคิดยึดติดอย่างแรงกล้า กลับให้ผลลัพธ์ดีๆ ออกมาได้

        “ขอบคุณที่ช่วยทำให้เลเวลมิเชลกับโทนี่เพิ่มเร็วมาก จากยี่สิบปลายๆ มาเป็นสี่สิบภายในวันเดียว”

        “เราไม่ได้คิดจะช่วยมิเชลคนน้อง เรารอคนพี่ต่างหาก เราอยากให้คนพี่เก่ง”

        เธอยิ้ม แกล้งเงียบไป อย่างไรเสีย เขาก็ช่วยมิเชลคนพี่โดยไม่รู้ตัวแล้ว

        เด็กผู้หญิงผมดำนั่งลงโดยเอาขาห้อยต่องแต่งบนขอบผา มือเล็กๆ ที่โผล่มาจากชายชุดคลุมจับหินแน่นเพราะกลัวตก ลมเย็นก็พัดแรงจนปากแห้งแตกเลยต้องคอยเลียริมฝีปาก พลัน ดวงตาสีเทาคู่นั้นคิดว่าเห็นแสงอะไรบางอย่างจึงก้มดูดีๆ อีกครั้ง เมสโซ่ทำหน้าฉงน และพลอยโค้งตัวมองต่ำไปยังใต้หุบเหวนั้นบ้าง

        พอมองซ้ำก็ไม่เจออะไร มิเชลคุยกับเมสโซ่อยู่นาน จากนั้นพบว่าเขาเข้าใจง่ายมาก ระบบความคิดเอลฟ์ประหลาดผู้นี้เป็นเส้นตรง ถ้าทำให้เฉออกนอกเส้นตรงจะสับสนและต้องการเวลาเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวใหม่ เธอเอานิ้วหมุนปลายผมสีดำของตัวเองเล่นอีกสักพักก็เบื่อ สุดท้ายเลยตั้งกระโจมเตรียมตัวนอน ก่อนออกเกม เด็กหญิงเหลือบดูทิวทัศน์มืดสลัวบนหน้าผาเพราะอยากจดจำบรรยากาศนี้ไว้

        มิเชลเคยเห็นฉากภูเขาหรือหุบเหวในวิช่วลเวิร์ลบ่อยๆ แต่ที่นี่กลับแตกต่างออกไป ลมสามารถพุ่งเข้าปะทะกับร่างได้จริงๆ เธอไม่รู้มาก่อนว่าการยืนริมหน้าผาทำให้รู้สึกตื่นเต้นและหวาดเสียวขนาดนี้

        มิเชลออกจากเกม ถอดหมวก แปรงฟันแล้วเข้านอน ส่วนเมสโซ่ยังเตร็ดเตร่ต่อแถวนั้น เธอได้เรียนรู้อีกอย่างว่าเขาอายุ 22 โตแล้ว และไม่มีเคอร์ฟิว

    ******************************************************************

        ตอนเช้าพ่อมาเรียกทั้งที่เป็นวันเสาร์ เขาเร่งให้ไปอาบน้ำ เมื่อแต่งตัวเสร็จ เธอก็โดนลากขึ้นรถพร้อมถูกยัดแซนวิชแฮมใส่มือ มิเชลแทะกินแบบเล็มๆ เนื่องจากเพิ่งตื่นเลยยังไม่รู้สึกหิว พอพยายามถามพ่อ เขากลับไม่สนใจตอบ ผู้เป็นลูกจึงกดปุ่มเปิดกระจก ปล่อยให้ลมตีหน้าเพื่อดมกลิ่นอย่างคร่าวๆ

        ดูจากระดับความแรงของลม พ่อคงเหยียบคันเร่งสุดๆ มันกระแทกหน้าเธอจนเจ็บเลยต้องเลื่อนกระจกขึ้นอีกหน่อย มิเชลปล่อยให้กลิ่นเข้ามาอบอวลในรถ ถ้าเป็นกลิ่นอากาศสดชื่น แปลว่ายังอยู่ในเขตชานเมืองไม่ไกลจากบ้าน แต่อากาศบริสุทธิ์เริ่มถูกแทนที่ด้วยกลิ่นเค็มจางๆ และค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

        ทะเล?

        สักพักเธอรู้สึกว่ารถหยุดสั่น พ่อคงหาที่จอดเสร็จเรียบร้อย มิเชลจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเปิดประตู

        เมื่อก้าวขาลงจากรถ กลับนึกถึงโทนี่ขึ้นมา... เขายังติดอยู่ที่หน้าผานั่น เธอกลัวเพื่อนรอเก้อจึงต้องรีบจิ้มมือถือส่งข้อความบอกว่าออกมาข้างนอก ก่อนจะถอดรองเท้าเพื่อสัมผัสทราย พ่อโผล่เซอร์ไพรส์จากข้างหลังด้วยการแตะไหล่ เขาอ่านที่พิมพ์ให้โทนี่ทั้งหมดและดึงมือลูกสาวตนเข้าไปเขียน

        "เที่ยวกับพ่อแล้วยังมีเรื่องเกมอีกเหรอ"

        “ไม่ใช่ค่ะ!”


        มิเชลรีบแย้ง

        “แต่ถ้ามิเชลไม่บอก เดี๋ยวโทนี่จะรอ”

         “จ้ะ”


        เส้นผมมิเชลถูกลมตีจนลอย กลิ่นเกลือแตะจมูก เธอย่ำขาบนพื้นทราย พลางรับสัมผัสนุ่มละเอียดของเกล็ดหินเล็กๆ ที่อัดเรียงแน่นใต้ฝ่าเท้า บางครั้งจะเหยียบเจอเปลือกหอยแข็งให้สะดุ้งเล่น  ทว่าเมื่อก้าวเดินได้สักพักก็รู้สึกเปียก เพราะคลื่นจิ๋วแอบซัดใส่ข้อเท้าแล้วไหลลงทะเลหนีไป

        ช่วงนี้อากาศเย็น ไม่เหมาะแก่การลงไปว่าย เด็กสาวนึกสงสัยว่าทำไมพ่อถึงพามาทะเล ปกติควรจะเป็นการกินขนมในห้าง

        พ่อดึงมือเธอเข้าไปถามด้วยภาษามือแบบสัมผัสอีกครั้ง

        “เป็นไงบ้าง?”

        "น้ำเย็นมากค่ะ"

        "น่าเสียดายที่ไม่ใช่ฤดูเล่นน้ำ แต่แบบนี้คนน้อยดี ไม่ต้องห่วงว่าจะชนใคร วิ่งเล่นได้ตามสบาย"


        เธอชะงักไปนิดหน่อยกับคำที่บอกให้วิ่งเล่นเพราะอยู่ตั้งม.1 แล้ว นี่พ่อคิดว่าลูกตัวเองอายุเท่าไหร่กัน

        "พ่อกลัวลูกจะลืมความสวยงามของธรรมชาติที่แท้จริงไป"

        เธอทำตาโตทันทีที่ได้ฟังเหตุผล พ่อคงกลัวลูกสาวลืมหาดทรายนุ่มละเอียด แล้วหันไปผูกพันกับเรื่องราวของโลกเกมมากเกิน ที่จริง ไม่ว่าจะหุบเขาเมื่อคืน หรือทะเลตรงหน้า ทั้งคู่ต่างล้วนเป็นความงามธรรมชาติสำหรับมิเชล ในเกมมีภาพและเสียง แต่ของจริงของปลอมก็ยังมีเสน่ห์คนละแบบ

        มิเชลบอกไปตามที่คิด แต่เขาก็ลูบหัวแทนคำตอบ เลยไม่รู้ว่าพ่อเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า

        "เล่าการผจญภัยในเกมให้ฟังบ้างสิ ไปถึงไหนแล้ว"

        พ่อเอ่ยขอขึ้นมา

        เธอจึงทำตามคำขอนั้น พ่อกับลูกสาวย้ายไปนั่งบนทรายแห้ง และเริ่มต้นถ่ายเทเรื่องราวต่างๆ ผ่านฝ่ามือสองคู่ มิเชลเผยอยิ้มเมื่อพูดถึงฉากตลก แล้วเปลี่ยนเป็นปั้นหน้าเครียดยามเข้าช่วงมีปัญหา สุดท้ายก็ไล่ไปถึงเรื่องหุบผาเวิ้งว้างที่จะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา

        “สนุกใช่ไหม?”

        “ค่ะ”

        “ต่อจากหน้าผานั่น ไปสร้างวีรกรรมไว้ที่ไหนอีกล่ะ”

        "จบแล้วค่ะ จากหน้าผาตรงนั้นมันไม่มีทางไปต่อ มิเชลคงต้องย้อนกลับเมือง"

        “แน่ใจนะ?”

        “แน่ใจค่ะ มันไม่มีสะพานให้ข้ามไปเลย แถมยังกว้างมาก”

        "รู้ไหม... ทุกทวีปมีจุดสิ้นสุดที่ทะเล ถ้าไม่ใช่ทะเลก็ยังไม่ใช่ทางตัน"
    ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสริม

        เธอสะดุด พลางสงสัยว่าเขากำลังบอกในเชิงเปรียบเปรย หรือแอบใบ้เนื้อหาเกมให้...

    ****************************************************************************















    ส่งจั๊งค์กับเรวินไปตบเกรียนมิลเลอร์ล่วงหน้าล่ะนะ (มีคนรอฉากมิเชลตบเกรียนพี่ชายอยู่นี่ xD)

    คิดว่าเขียนฉากนอกเกมส์ซะบ้าง เดี๋ยวคนนึกว่ามิเชลอาศัยอยู่ในคุก มีห้องเก็บรูปแล้วนะครับ เอาตอนที่เคยลบทิ้ง มาเก็บรูปภาพ ใครสนใจตามไปดูกันได้ที่นี่เลย ->>>>
    ห้องเก็บภาพ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×