ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 5 วิถีบุรุษ​(ครึ่งหลัง)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.29K
      6
      12 ม.ค. 56

       
        โทนี่จัดการฟื้นพลังให้มิเชลจนเต็ม เธอพยายามใช้ท่าดอกไม้จงบานกับโทนี่และตัวเอง แต่ทักษะนี้คงจะไม่มีผลกับผู้ใช้จริงๆ เพราะเพื่อนซี้ทำหน้าตาสดชื่น เหมือนต้นไม้ใกล้ตายได้น้ำ ส่วนเด็กหญิงนอนเหี่ยวบนพื้น

        เมื่อพักเติมพลังเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองจึงไปต่อ เป้าหมายคือป่าต้นสนดงฟ้า ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก็ถึงปากทางเข้า รอบข้างเป็นภูเขาหินสูง ช่องว่างตรงกลางกว้างประมาณสามสี่เมตร  แต่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นเบียดกัน สรุปว่าเหลือให้เดินได้แค่พอดีสองแขนเอื้อมถึง

        “แคบ”

        มิเชลยืนอยู่ตรงกลางระหว่างต้นไม้สองต้น มันมีช่องให้ลองผ่านได้เพียงครั้งละคน

        และโทนี่ต้องนำทาง เพราะจอมหลงอย่างมิเชลไม่เคยสนใจซ้ายขวา เธอเดินด้วยสัญชาติญาณล้วนๆ เด็กชายหยิบมีดขึ้นมาตัดพงหญ้าสูงกับกิ่งไม้ทิ้งเป็นพักๆ แต่บางช่วงก็เหมือนมีคนมาก่อนจัดการไห้แล้วเลยผ่านได้สบายๆ

        แต่กองหินกับใบไม้บนพื้นก็ยังเยอะจนเดินยากอยู่ดี ก้าวขาสามครั้งจะเผลอเตะทิ้งก้อนหนึ่ง โทนี่ต้องคอยหลบเศษกรวดเศษฝุ่นจากมิเชลตลอดเวลา

        เด็กชายหันมาค้อน เขาเดินนำอยู่ข้างหน้า มิเชลเพิ่งเอาปลายเท้างัดเศษหินใส่หัวเพื่อนแบบไม่ได้ตั้งใจ เธอผายมือแสดงอาการขอโทษ แต่สักพักก็ทำแบบเดิมอีก โทนี่เลยต้องพยายามหลบมันด้วยตัวเอง ดีกว่าโดนหินตอดค่าพลังชีวิตไปเรื่อยๆ เปลืองน้ำยาฟื้นพลังโดยใช่เหตุ

        สักพัก โทนี่คิดว่าเป็นวิธีฝึกสไตล์มิเชล เธออาจอยากให้เขารู้จักการหลบ เพราะเด็กชายเริ่มไวขึ้น แถมหูยังคอยจำว่าเสียงแบบไหนหินจะลอย แต่....มองดูอีกทีมันคงไม่ใช่ ในเมื่อเด็กสาวเพิ่งสะดุดรากไม้หงายหลัง มือเผลอคว้าคอเพื่อนลากลงไปนอนพร้อมกัน

        “ขอโทษน๊า... แต่โทนี่ก็ไม่เจ็บหรอก เพราะโทนี่หงายหลังล้มบนตัวมิเชลพอดี ”

        เด็กชายกลับทำหน้าเครียด ไม่รับมุข ไม่ยอมลุก ตาจ้องเขม็งมองฟ้า

        “ทำไมโทนี่เงียบล่ะ.. โกรธหรือเปล่า... ไม่เอาน่า ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่”

        “ไม่ใช่ ข้างบนมีอะ--”

        เธอเงยหน้า อะไรบางอย่างส่องแสงวูบวาบเข้ามาใกล้ มิเชลผลักโทนี่ออกจากตัว แล้วรีบยืนพร้อมกับดึงเขาขึ้นพร้อมกัน ทอร์นาโดลูกจิ๋วพุ่งดิ่งใส่บริเวณที่ทั้งคู่เพิ่งลุกออก เศษฝุ่นบนพื้นโดนตีจนกระจายทั่ว

        เด็กสองคนไอค่อกแค่ก มิเชลพยายามไม่สูดเอาเศษผงเข้าปากพร้อมหลับตาปี๋ พอฝุ่นเริ่มจาง มองขึ้นอีกรอบ ก็เห็นฝูงกระรอกกลุ่มใหญ่ ลำตัวมีเป็นแถบสีเขียวเข้มอ่อนลากยาวจากหัวถึงหาง มีอีกตาอยู่กลางหน้าผาก เหนือตาดวงนั้นปรากฏกลุ่มก้อนแสงสีขาวลอยอยู่ และกำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

        “มิเชล เมื่อกี้มันยิงไอ้แสงสีขาวนี่ลงมา! ฉันเห็นชัดเจนเลย” โทนี่เตือน

        กลุ่มแสงสีขาวหมุนวนกลางอากาศ แล้วพุ่งใส่พวกเขาลงมาเป็นทางตรง มิเชลกับโทนี่โดดหนีไปข้างๆ ทั้งคู่หลบทัน แต่กองใบไม้ลอยกระจัดกระจาย เศษฝุ่นคละคลุ้งปิดบังวิสัยทัศน์อีกรอบ ถึงพยายามกลั้นหายใจ มันก็เข้าตาอยู่ดี ทว่าหลับตาไม่ได้ เพราะต้องมองหาศัตรูที่ยิงทอร์นาโดแสงจากข้างบน

        ทีแรก เธอตั้งใจหาทางเอาอาวุธฟาดศัตรูตามแบบที่ตนถนัด แต่พวกมันกลับไม่ยอมเฉียดพื้น  เอาแต่กระโดดไปมาอยู่บนต้นไม้ โทนี่จึงทักให้ลองใช้ทักษะ มิเชลเรียกสาดน้ำออกมาต้านพายุแสง เวททั้งสองชนกันกลางอากาศแล้วสลาย กลุ่มน้ำแตกกระจายตกลงมาตัวเปียกคู่

        มิเชลจินตนาการถึงเวทจุดไฟ ถ้าชนกับทอร์นาโดแสงกลางอากาศ มันจะกลายเป็นดอกไม้ไฟได้หรือเปล่านะ..

        ทว่า พวกมันต่างเฮโลพาพรรคพวกมาเสริมเรื่อยๆ สุดท้ายเธอร่ายเวทขึ้นกั้นไม่ทัน และในพื้นที่สุดแคบ กระทั่งจ้าวแห่งความเร็วอย่างมิเชลยังต้องถูกลูกทอร์นาโดรุมอัดเอา เด็กสาวล้มกลิ้งหน้าคว่ำ มือกับเข่าพยายามยันพื้นลุกขึ้นยืนใหม่ แต่สักพักจะโดนกระแสลมผลักลงไปกองอีกรอบ

        "โอ๊ย เจ็บตัวอีกแล้ว...”

        “ลุกเร็ว!” โทนี่ฉุดเธอขึ้นยืน ก่อนจะทิ้งเพื่อน วิ่งหนีหายไปคนเดียว

        มิเชลกำลังอึ้ง แต่คิดว่าเขาคงมีอะไรในใจเพราะโทนี่ไม่เคยทิ้งเธอ เธอจึงช่วยรับหน้าให้ก่อน เด็กหญิงฟาดกิ่งไม้ลุยต่อแบบทุลักทุเล พื้นที่แถวนี้แคบ พอโดนรุมแล้วหลบลำบาก

        โทนี่รักษาระยะห่างจากจุดตะลุมบอน ในใจแอบนึกขอโทษเพื่อนสาว โทษฐานใช้เธอแทนเหยื่อล่อ เขาพยายามยิงเก็บกระรอกทีละตัว แต่กำลังเสริมพวกมันเพิ่มมาเร็วกว่าปริมาณที่ฆ่าได้ ฝีมือหน้าไม้ก็ยังมั่วซั่ว และในสภาพโดนรุมอัดจนขยับลำบาก จะน้ำยาสีอะไรต่างไร้ประโยชน์ สรุปว่ามีแต่ต้องหนีเท่านั้น ยิ่งตอนนี้แทบมองไม่เห็นมิเชล เพราะฝูงสัตว์อสูรแข่งกันปล่อยทอร์นาโดแสง ฝุ่นถูกตีขึ้นมาคละคลุ้ง

        “เฮ้! ทางนี้!”

        เขาใช้น้ำยาฟื้นพลังเติมค่าเลือดให้มิเชลแล้วตะโกนเรียก แต่เด็กสาวไม่ทันฟัง เธอกำลังย่ำแย่สุดขีด ความเร็วผิดมนุษย์ไม่ช่วยอะไรบนพื้นที่แคบ รอบๆ มีต้นไม้ขึ้นขวางเกะกะ ข้างๆ ก็เป็นภูเขาหินสูง พอหลบได้ก็มักจะเจอทอร์นาโดจิ๋วเข้าซ้ำอีกหลายลูก พวกมันจำนวนเยอะจนสามารถสะสมพลังรอ แล้วผลัดคิวกันปล่อยก้อนแสงหมุนโจมตี

        โทนี่ตะโกนให้ดังกว่าเดิม

        “มิเชล! มาทางนี้! ด่วน!”

        “โอเค!” เธอได้ยินจนได้ มิเชลรีบปาดฝูงกระรอกที่พยายามมาเกาะแกะตนออก แล้วตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง “มีอะไรให้ทำบอกมาเลย”

        “วิ่งหนี ด่วน”

        “อ้าว..!? โทนี่ไม่ได้มีแผนสู้กลับหรือเนี่ย”

        “มีแต่แผนหนี ดูจำนวนมันก่อน ถ้าสู้ต้องติดแหงกที่นี่ตลอดชาติแน่”

        “แต่อุตส่าห์ใช้มิเชลถ่วงเวลาแล้วยังไม่มีแผน”

        “แล้วจะไม่หนีหรือไง?”

        “เอ่อ...” เธอเงยหน้ามองฝูงกระรอกจำนวนมหาศาล “หนีสิ! หนีก็ได้! โทนี่ก็อย่าทำให้รู้สึกคาดหวังว่ามีวิธีอะไรดีๆ ซี่!”

        แต่แล้วเคราะห์กรรมซ้ำร้ายเมื่อมีชุดใหม่เข้ามาเสริม สัตว์อสูรร่างใหญ่ปรากฏกายเหนือศีรษะ พวกมันคำราม ร้องออกมาเป็นเพลงประสานกึกก้อง มิเชลขาอ่อน ล้มหัวเข่ากระแทกหน้าคว่ำ พลางพยายามเอามือยันพื้นป้องกันหัวปักดิน เสียงรบกวนทำให้ประสาทสัมผัสด้านชา ยืนทรงตัวลำบาก พอเงยขึ้น มองให้ชัด ค่อยเห็นว่าเป็นนกอินทรียักษ์..

        ทว่า เมื่อเพ่งดูให้ดี มันมีลำตัวแบบสิงโต หัวกับเท้าเป็นของนกอินทรียักษ์ แผงคอสีส้มแดงปกคลุมหนา จะงอยปากคมกริบ ส่วนปีกกระพือบินพยุงให้ร่างลอยอยู่กลางอากาศ รูปลักษณ์แบบนี้มัน...

        “สิงโตมีปีก!” มิเชลตะโกนบ้าง “เอ๊ะ.. รึเรียกว่านกอินทรีที่มีลำตัวของสิงโตดี..?”

        “มาตั้งชื่ออะไรให้มันตอนนี้...” เด็กชายทำเสียงละเหี่ยใจ

        “รู้แล้ว..! กริฟฟินไงโทนี่ กริฟฟิน โทนี่ยังไม่เคยได้เห็นตัวนี้ ต้องจำไว้นะ! มันเป็นครึ่งสิงโต ครึ่งนกอินทรีอยู่ในเทพนิยาย ...อ๊ะ แต่โทนี่ไม่เคยเห็นทั้งสิงโตกับนกอินทรี แล้วแบบนี้โทนี่จะเข้าใจไหมเนี่ย...”

        โทนี่ไม่รอให้เธอจ้อต่อ แต่กระชากแขนเพื่อนสาววิ่งทันที

        “โทนี่..! ผิดทางแล้ว!! นั่นมันทางที่เราเข้ามา” มิเชลประท้วง เธอยื้อไว้จนสะดุดล้มทั้งคู่

        “แล้วจะให้ไปทางไหน ข้างบนมีสิงโต อีกทางมีแต่กระรอก!” โทนี่ลุกขึ้น ทำท่าร้อนใจ

        “มีทางน่า”

        มิเชลผันตัวเองเป็นคนนำทาง เธอจับต้นแขนเพื่อนแล้ววิ่ง บังคับให้เขาต้องจ้ำเท้าตาม เด็กหญิงทำสิ่งที่บ้าคลั่งที่สุด ด้วยการกระโจนใส่ฝูงกระรอกนับร้อย โทนี่แหกปากร้องเสียงหลงพอจมูกเกือบเข้าไปแนบชิดกับฟันหน้าสุดคมของพวกมัน

        เธอกระตุกเพื่อนกลับมาหนึ่งจังหวะแล้ววิ่งต่อ สักพักเขารู้สึกเหมือนโดนผลักออกไปข้างๆ พอกระพริบตา ก็เห็นก้อนทอร์นาโดแสงดิ่งตรงจ่อหน้า มิเชลดึงโทนี่เข้าหาตัวเองอีกครั้ง เรียกว่าหลบได้แบบฉิวเฉียด

        ทั้งคู่วิ่งหลบได้เรื่อยๆ โทนี่รู้สึกว่าเธอจงใจคุมให้ตัวเขาเฉียงซ้ายขวาแบบไม่จำเป็น แถมยังหนีจากท่าโจมตีจากกระรอกซะฉิวเฉียดตลอดเส้นทาง เด็กชายชักเวียนหัวเพราะโดนเพื่อนจับเหวี่ยงไปมา

        มิเชลหายใจหอบแฮ่ก เธอเหนื่อยกว่าเพราะเป็นคนลาก แถมโทนี่ยังช้าเป็นเต่าคลาน ถ่วงน้ำหนักเข้าไปอีก
     
        "โทนี่ช้า! เร็วกว่านี้หน่อยสิ!"
     
        "อย..อย่าเหวี่ยงสิ!"

        “ขอโทษนะ แต่มันจะโจมตีอะไรก็ตามที่ขยับมากที่สุด”

        “ธ... เธอ ใช้ฉันเป็นตัวล่อเรอะ”

        “แป๊ปเดียวน่า”

        ขณะวิ่งหนี เท้าเด็กชายข้างหนึ่งจะไม่แตะพื้นเสมอ เขารู้สึกเหมือนกำลังกระโดดเป็นกระต่ายขาเดียว มีกำลังแขนเพื่อนฉุดให้ตัวลอย พอเมื่อยค่อยหาจังหวะเปลี่ยนข้างลงน้ำหนัก ปากพยายามร้องทัดทานเพื่อนตัวแสบ

        “ช้าหน่อยเถอะ...! ช้า...หน่อยยยย.... ได้โปรดดดด... ..อย่าเหวี่ยงด้วยยยยยยย”


        ****************************

        “โอ๊ย!”

        “ว๊าย!”

        วิ่งได้สักพักก็ขาพันจนล้ม กระรอกถูกสลัดทิ้งเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เจ้าสิงโตหัวนกอินทรี หรือว่ากริฟฟินที่ยังบินตามมาอยู่ พอมันเห็นเป้าหมายหยุดนิ่ง ก็รีบทิ้งดิ่งพสุธาตรงแหน่วลงมา เด็กสาวเอาสองเท้าสองแขนผลักเพื่อนไปข้างหน้า ส่วนตัวเองหลับตาปี๋ ทำใจรอรับการโจมตี

        “ว้ากกกกก”

        เสียงร้องของโทนี่ดังยาวแล้วขาดวูบ มิเชลถูกแรงกระแทกจากจะงอยปากสัตว์อสูรทำเอาจุกท้อง ค่าเลือดลดหายไปหนึ่งในสาม พอเธอมีโอกาสพักหายใจเพราะมันกลับขึ้นฟ้า เพื่อนก็หายตัวเสียแล้ว
        
        "โทนี่?" เธอเอามือซ้ายกุมท้อง ส่วนอีกข้างใช้ช่วยพยุงตัวคลาน ขาเร่งถีบตะกายเคลื่อนไปด้านหน้า มิเชลก้มมองบนพื้นที่เพื่อนจู่ๆ ก็อันตรธานหายแบบไม่บอกไม่กล่าว

        เมื่อกี้กริฟฟินพุ่งใส่เธอคนเดียวนี่นา...? โทนี่คงไม่ได้ตายใช่ไหม?

        พอมองดีๆ ก็เจอรูโบ๋สีดำลึก ช่องขนาดพอดีตัวคน มีร่องรอยของเศษใบ้ไม้ใบหญ้าที่เคยกองสุมเหมือนกับดักกระจายอยู่โดยรอบ เดาได้เลยว่าโทนี่คงหล่นลงหลุมนี้ เธอเอามือแหย่ ควานแล้วเจอแต่ความว่างเปล่า ปลายนิ้วไม่สัมผัสถึงอะไร ทว่าเจ้ากริฟฟินบนฟ้ากำลังพุ่งโจมตีอีกระลอก จังหวะนั้นจึงต้องตัดสินใจกระโดดตามลงไปทันที

        มิเชลรู้สึกถึงความหวิวชั่วขณะ เมื่อเท้าแตะพื้น ด้วยระยะตกสูงลิบลิ่ว ขาเลยรับแรงกระแทกไม่ไหว ตัวหล่นลงไปกองพับกัน ค่าเลือดลดหายกึ่งหนึ่ง และก่อนได้ร้องโอดโอยเพราะความเจ็บ พลังชีวิตก็ถูกฟื้นเรียบร้อยแล้ว เธอค่อยๆ พยุงกายขึ้นยืน มองเห็นหน้าเพื่อนกับบุคคลคุ้นเคยอีกสามคน นักบวชขาวตรงหน้าลดคฑาลง ท่าทางเขาจะเพิ่งร่ายเวทรักษาให้

        "จั๊งค์! เร-- อยู่นี่ได้ไง!" เธอย่อชื่อพี่น้องเรวินเรเชลเรียกควบ เพราะกำลังตกใจจนนึกคำต่อไปไม่ทัน

        เธอเจอกับสมาชิกทีมที่เคยลุยร่วมกันในทะเลทรายกะทะร้อน จั๊งค์โจรหัวฟ้า กับพี่น้องเรวินเรเชล เรวินเป็นนักบวชขาว เรเชลเป็นนักดาบร่างใหญ่ เขาอยู่ตำแหน่งดูแลซ้ายขวาของกลุ่มคู่กับจั๊งค์ ส่วนมิเชลตอนนั้นทำหน้าที่ระวังหลัง

        "หวัดดี บังเอิญชะมัด ตอนนี้ไม่รู้จะพูดคำว่ายินดีที่ได้เจอกันอีกรอบได้รึเปล่า" โจรหนุ่มยิ้มแบบฝืนมุมปาก

        พอส่งสายตาสงสัยหาโทนี่ เขาก็ส่ายหน้า

        "ฉันหล่นลงมาก่อนไม่ถึงนาทีนะ จะถามอะไรจากฉันล่ะ? ...แล้วทำไมเมื่อกี้ต้องเหวี่ยงฉันไปมาด้วย"

        “ตอนสู้กันครั้งแรก... พอเดาทางได้ว่าพวกกระรอกจะโจมตีสิ่งที่เคลื่อนไหวมากสุด ก็เลย...”

        “อ้อ.... มิน่าล่ะ ฉันถึงรู้สึกว่าเกือบตายหลายรอบ” โทนี่สรุปได้ว่าตัวเองถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ ถึงได้โดนเหวี่ยงล่อเป้าไปมา แต่เพราะผลลัพธ์ดี ครั้งนี้จึงยอมให้

        เด็กสาวสอดส่ายมองรอบข้าง ทั้งห้าคนอยู่ในห้องปิดตายสี่ด้าน ผนังเป็นอิฐบล็อคสีแดง มีกองไฟลุกเป็นแสงสว่างหนึ่งเดียวกลางห้อง ข้างๆ วางกระโจมสามหลัง เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง ไม่เหมือนอันที่เธอซื้อจากร้าน มิเชลเริ่มเข้าใจความหมายของรอยยิ้มพิลึกๆ จากจั๊งค์ เพราะถึงเงยขึ้นดูเพดาน ก็ไม่เห็นทางเข้าออกหรือช่องประตูตรงไหน

        "ปิ๊งป่อง เราอยู่ในห้องปิดตายนะคร้าบบบ..." จั๊งเน้นคำพูดด้วยเสียงสูง "สามบวกสองได้ห้า คราวนี้ห้าหัว ช่วยๆ กันคิดหน่อยว่าออกจากที่นี่ยังไงดี เพราะไอ้คุณเรวินหงุดหงิดจนจะบึ้มห้องทิ้งแล้ว"

        "ตอนนี้ฉันไม่ขำด้วยนะ" นักบวชหนุ่มแทรกเสียงเย็น "ฉันรอฟังคนอื่นหาข่าวมาให้ไม่ไหวแล้ว ขอออกไปหาข้อมูลข้างนอกก่อน"

        เรวินมุดเข้ากระโจมหลังกลางแล้วหายยาว มิเชลถามจากจั๊งค์ เลยได้รู้ว่าเต๊นท์สำหรับพักแรมสามารถใช้เข้าออกเกมด้วย ข้อสงสัยเรื่องวิธีออกเกมระหว่างอยู่นอกเมืองจึงกระจ่าง ทั้งสามคนมาถึงห้องปิดตายก่อนพวกเขาหนึ่งชั่วโมง และกำลังปวดหัวเพราะที่นี่ไม่มีประตูสักบาน

        “เมื่อกี้พี่เรวินกับพี่จั๊งค์เขาติดต่อเพื่อนคนอื่นแล้วครับ ทุกคนกำลังช่วยหาวิธี” เรเชลอธิบายเหตุการณ์​ “พวกเราคิดว่าเป็นข้อผิดพลาดของตัวเกม แต่พอรายงานไป พนักงานที่เป็นผู้ดูแลเกมบอกว่าไม่ใช่”

        “ฉันว่าใช่ชัวร์​ พวกนั้นพูดปัดความรับผิดชอบ แต่ที่จริงกำลังแอบแก้ไอ้ที่มันเจ๊งๆ โดยไม่ให้เรารู้แน่เลย” จั๊งค์เริ่มขึ้นเสียง “ปล่อยให้รอตั้งนานไม่บอกอะไรนี่มันไม่ไหวจริงๆ นะ”

        “ไม่ใช่ว่ามีทางออกอื่นที่หาไม่เจอรึเปล่า?”​มิเชลถามบ้าง แต่เธอก็ไม่เห็นเจ้าทางออกที่ว่าอยู่ดี​“อย่างเช่นทางที่เราใช้เข้ามา?”

        ทางเข้าคือหล่นลงจากเพดาน แต่ก็ปิดลงทันที เป็นสาเหตุของห้องปิดตายที่พวกเขากำลังปวดหัวกันอยู่

        “อันนั้นแทบจะพังเพดานหากันแล้ว! ขนาดรื้อกระเป๋ากันสุดๆ ยังไม่มีของอะไรใช้ระเบิดกำแพงได้เลย”​จั๊งค์โบ้ยหน้าใส่กองไอเทมบนพื้น ถึงตรงนี้ มิเชลค่อยเห็นว่าข้าวของเกลื่อนกลาดทั้งหมดเป็นอาวุธสารพัดประเภท ทั้งสามคงรื้อดูจนหมดปัญญาไปต่อแล้วจริงๆ “แต่ฉันก็มีเรื่องอยากถามนายอยู่นะมิเชล”

        “ถามอะไรล่ะ”

        “ตัวพวกนายเป็นสีแดงกระพริบๆ ไปต่อยกับใครมา”

        “เปล่านะ! โดนคนเลวใส่ชุดสีแดงแกล้งไว้ต่างหาก” เธอรีบแย้ง

        “ชุดสีแดง?​ กลุ่มคนสวมชุดเกราะสีแดงที่มีพรรคพวกเยอะๆ แต่อยู่คนเดียวแล้วปอดแหกน่ะ“

        “จั๊งค์รู้จักพวกมันด้วย? ที่มีหัวหน้าหน้าตาน่าเกลียด ปากหนาๆ”

        “อืม... ไม่รู้สิ เจอแต่ผู้ชายเลยไม่คิดจะจำ” โจรหัวฟ้าพยายามเค้นความทรงจำเก่า “พวกนั้นมันมีกันหลายคน และหลายกลุ่มด้วย”

        “แล้วจั๊งค์ทำยังไง”

        “จะเหลือเรอะ ฉันอยู่กับเรเชล เรวินตลอดเวลา”

        มิเชลหัวเราะ เข้าใจในความหมายที่สื่อ จั๊งค์กับเรเชลแข็งแกร่งมาก และถึงเรวินไม่ใช่สายต่อสู้ แต่เขาเป็นคนขี้ระแวง ตอนนี้ทั้งสามคนไม่ติดสถานะอาชญากรแบบเธอ มันก็บอกผลลัพธ์ของการปะทะกันได้ล่ะ

        พอรู้สึกตัวอีกทีก็หันไปเจอโทนี่กำลังเดินลูบกำแพงคนเดียว ตั้งแต่เข้ามา เขายืนปลีกวิเวกเงียบกริบ ดูจะสนใจตัวห้องปิดตายเป็นหลัก ไม่มีอาการตื่นเต้นเพราะพบเจอเพื่อนใหม่แบบเธอนัก มิเชลในฐานะคู่หู เห็นแล้วจึงต้องช่วยกระตุ้นต่อมมนุษย์สัมพันธ์สักหน่อย

        "เรเชล จั๊งค์ คนนี้คือโทนี่ เพื่อนผมเอง" เธอลากคอเสื้อเพื่อนออกจากมุมห้อง "หัวฟ้าๆ ชื่อจั๊งค์ ตัวสูงๆ ชื่อเรเชล เป็นน้องชายของนักบวชขาวที่ออกเกมไปหาข่าวเมื่อกี้"

        "ใช่คนที่นายนัดไว้จนต้องรีบกลับเมืองรึเปล่า เตี้ยจังนะนายนี่" โจรหนุ่มลูบหัวคนที่เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกดื้อๆ เรเชลผู้มาด้วยกันถึงกับอายแทน เขาต้องรีบกดมือจั๊งค์ลงแล้วขอโทษ แต่โทนี่ไม่ถือสา เขาเพียงแค่ตกใจนิดหน่อย

        “ผมโทนี่ อาชีพช่างฝีมือครับ”

        เรเชลเหล่มองคนตัวเล็กสุดอย่างโทนี่ด้วยแววตาพิลึก เขากำลังเดาอายุของโทนี่ว่าคงไม่ห่างกันนัก... เพราะผู้ชายไม่นิยมใช้ตัวละครเตี้ยกว่าตัวจริง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีเพื่อนวัยเดียวกัน จะได้เล่นเกมอยู่แค่กับกลุ่มพี่เรวินเสมอ

        “เราชื่อ...​เรเชล​ อาชีพนักดาบ โทนี่ นายเป็นช่างฝีมือสินะ”​ นานปีทีหน นักดาบหนุ่มน้อยร่างสูงเกินวัยจะลดความสุภาพในบทสนทนาหนึ่งระดับ เขาคิดว่าอายุใกล้กันไม่จำเป็นต้องมารยาทดีมาก จั๊งค์ถึงกับหมุนคอมามองแทบไม่ทัน

        “ใช่แล้ว”

        “เล่นยากนะอาชีพสายผลิตของ แต่นายอยู่กับพี่มิเชล คงสบายๆ อยู่แล้ว”

        มิเชลคอหมุนตามจั๊งค์​ ทำไม...โทนี่ถึงเป็นโทนี่ แล้วมิเชลกลายเป็นพี่มิเชลล่ะ!? อย่างน้อยมิเชลก็เกิดกลางปีนะ แต่โทนี่น่ะต้นปี แก่กว่าเห็นๆ!

        “สบายน้อยลงน่ะสิ...” โทนี่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเด็กโข่ง จะเตรียมอะไรล่วงหน้า นอกจากเผื่อตัวเองแล้วยังต้องเผื่อมิเชลด้วย

        “ใจร้าย ทั้งคู่เลย....”​ เธอโอดโอย มือล้วงสมุดบันทึกชื่อเพื่อน ใช้ระบบข้อความลับเขียนบ่นโทนี่สามสี่ประโยค แต่ถูกเมินพอเห็นชื่อคนส่ง เขาไม่ลังเลที่จะกดปิดเสียงกำไลทิ้ง

        เรเชลแม้เลือกเล่นตัวละครร่างสูงใหญ่ แต่เพิ่งสิบห้า โทนี่ก็สิบสาม นับว่าไม่ห่างกันนัก ส่วนมิเชลที่สิบสามเท่าโทนี่กลับถูกมองว่าแก่กว่า เพราะใช้ตัวละครหนุ่มแน่น บวกฝีมือกับความไวนรกแตก ดูแล้วเหมือนคนมากประสบการณ์เชิงเกมต่อสู้ อีกอย่าง เขามองเห็นเธอเป็นพี่ชายสุดเท่ในดวงใจไปแล้ว

        “ปล่อยเด็กสองคนคุยกันไปเถอะ พวกเรามาทางนี้ดีกว่า”​ จั๊งค์ดึงมิเชลออกจากวง “เรเชลมันดีใจ ปกติอยู่กับเพื่อนของฉันกับเรวินตลอดเลยไม่ค่อยเจอใครอายุใกล้ๆกัน”

        “เรเชลอายุเท่าไหร่?”​ เธออยากรู้

        “สิบห้าย่างสิบหก แล้วน้องชายนายล่ะ”

        เรเชลอายุมากว่าตั้งสองสามปี ไม่วายยังใส่คำว่าพี่นำหน้าให้!

        เด็กสาวนึกบ่นในใจ

        เอ...​หรือเพราะเราดูพึ่งพาได้นะ? ต้องใช่แบบนั้นแน่ๆเลย... มิเชลคงดูเป็นผู้ใหญ่ แต่โทนี่น่ะเด็กสมวัย!...

        คิดเองเออเองได้ดังนี้ เธอก็เลิกติดใจสรรพนามเรียกของนักดาบหนุ่มโดยสิ้นเชิง

        “โทนี่อายุสิบสาม”​ มิเชลตอบจั๊งค์​ “แล้วโทนี่ก็ไม่ใช่น้องชายด้วย”

        “อ้าวเรอะ เห็นมาด้วยกัน”

        “ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ จะเข้าใจผิดอะไรไปบ้างไม่แปลกหรอก” มิเชลจับบ่าจั๊งค์ตีเสมอราวคนอายุเท่ากัน

        ในเมื่อเราดูมีมาดเป็นผู้ใหญ่งั้นเนียนไปคงไม่ผิดเนอะ...​ ของแบบนี้ไม่ขึ้นกับวัยวุฒิ จั๊งค์ต้องเห็นเราโตกว่าแหงๆ เลยเข้าใจว่าโทนี่เป็นน้องชายไปซะได้

        ซึ่งตัวเธอเองนั่นแหละ ที่เข้าใจผิดแบบกู่ไม่กลับ....

        จั๊งค์เริ่มชวนคุยสัพเพเหระ สักพักพาลากเข้าเรื่องสาวๆ โจรหนุ่มบ่นว่าเกมนี้แห้งแล้งมากไปแล้ว ทำซะสมจริงจนผู้หญิงไม่กล้าเล่น ขนาดลดความเจ็บปวดในเกมเหลือเพียงหนึ่งต่อสิบ พวกคุณเธอยังกลัวได้กลัวดี ชายอกสามศอกอย่างเขาเลยต้องอดอยากปากแห้ง จะเดินทางไหน หรือฝึกเลเวลหนแห่งใดก็เจอแต่ตัวผู้กับคนมีแฟน แบบนี้ขัดแย้งหลักความสวยงามอันแท้จริงหมด

        เธอกำลังจะเสนอชื่อลาล่า เอลฟ์สาวนักธนูผมเขียว แต่นึกทันว่ามีแฟนแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นเจสสิก้าแทน จั๊งค์ตอบรับด้วยการส่ายหัว ทำเสียงจุ๊ปาก

        “NPC เป็นข้อยกเว้น เพราะ NPC คือคนของประชาชน เธอต้องมอบความรักที่มีแก่ลูกค้าชายทุกคน เวลาพวกเธอเปลี่ยนกะทำงาน ดีไม่ดีตัวผู้เล่นข้างในก็เปลี่ยนไปด้วย”

        “แต่จั๊งค์แค่เอาไว้ดูเท่านั้นนี่นา”

        “นายนี่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ ของแบบนี้อยู่ที่ความรู้สึก! คิดตามดูนะ... ถ้าเกิดว่าพนักงานที่เล่นตัวละครเจสสิก้าลาออก ทีนี้บริษัทเกมรับคนใหม่มาทำหน้าที่แทน พอนายไปคุยก็ไม่ใช่เจสสิก้าคนเดิม...​นายจะทำยังไง!?” จั๊งค์ขึ้นเสียงดัง ทำมือไม้ประกอบบทสนทนา

        “ก็เสียใจ”

        “ใช่! แล้วถ้าคุณเธอยิ้ม หรือเล่นหูเล่นตาให้นาย จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับคนอื่น นายจะยังเห็นรอยยิ้มนั้นมีค่าเท่ากับยิ้มที่ให้ผู้ชายคนเดียวได้รึเปล่าล่ะ!?”

        “อืม..น้อยกว่า”

        “ใช่เลย! แบบนั้นแหละ มิเชล นายเริ่มเข้าใจวิถีจีบสาวในเกมขึ้นมาแล้วสินะ”

        “คิดว่าไม่เข้าใจหรอกนะ...” เธอคิดว่าตัวเองกับจั๊งค์กำลังพูดกันคนละเรื่อง

        “โอ๊ยย...​ นายมันเสียชาติเกิดเป็นผู้ชายจริงๆ...​มาๆ ฉันจะสอนให้เอง” เขาเอาแขนโอบคอมิเชล ดึงหูเข้ามาใกล้ “ฟังนะ เวลานายเจอสาวแปลกหน้า คำแรกที่ต้องพูดคือ....”

        กลายเป็นว่าในห้องเกิดการจับกลุ่มสนทนาแยกเป็นสองฝั่ง คู่โทนี่เรเชลคุยเรื่องความโหดของฝูงกระรอก นักดาบหนุ่มน้อยเล่าว่าตนถูกมันไล่จนตกลงมาในห้องนี้เหมือนกัน​ และพอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าไม้ที่ใช้อยู่ จึงยื่นดาบที่ดีกว่ามีดสั้นห่วยๆ ให้ฟรี

        ส่วนมิเชลกำลังเรียนรู้วิถีแห่งชายหนุ่มจากจั๊งค์ โจรหนุ่มสรรหาประโยคสุดน้ำเน่า ตกยุค และทุกอย่างที่ฟังดูแสนประหลาดยกมาให้จำ เธอตั้งท่าค้าน ขนาดฟังเองยังขนลุก ประสาอะไรกับผู้หญิงแปลกหน้า แต่เขานั่งยันนอนยันเอาคางยันว่าแบบนี้แหละ สาวๆ ชอบนัก ถึงปากบอกไม่ก็ห้ามเชื่อ ใจคิดอย่างพูดอย่างแน่นอน

        ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทักษะจ้อน้ำไหลไฟดับหรืออะไร มิเชลฟังไปก็ชักสะกดจิตตัวเองให้เชื่อตาม คำพูดสุดเชยเริ่มดูดีขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมุขเฉิ่มเมื่อห้าสิบปีที่แล้วยังน่าจำไปใช้ต่อ ผู้เผยแพร่วิชาอย่างจั๊งค์จึงยิ่งได้ใจ ยกแม่น้ำห้าสายลากทุกเรื่องมายำแบบไม่จบไม่สิ้น

        กองทัพแมงโม้บินว่อน ดูเหมือนไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ช่างเจรจา ทั้งสี่คุยกันออกรสติดลม ต่างคนต่างลืมว่าโดนขังอยู่ในห้องปิดตาย ณ เวลานี้ จั๊งค์เริ่มให้มิเชลกราบคำนับเป็นท่านอาจารย์ผู้รอบรู้วิถีชายหนุ่มแล้ว เธออิดออดตอนแรกแต่สุดท้ายยอมเพราะอารมณ์พาไป ฝั่งเรเชลกำลังสอนโทนี่ใช้ดาบ เขาบอกหลักการวางมือจับที่ถูกต้อง นอกนั้นก็ถกแต่เรื่องดีมีสาระ เทียบกับคู่แรก สรุปได้ว่าค่าเฉลี่ยอายุไม่ช่วยอะไรแน่นอน

        เธอไม่รู้ว่าคุยกันนานแค่ไหนแล้ว แต่พอจั๊งค์กำลังจะเข้าหัวข้อมัดใจสาวขี้อาย เสียงเตือนอันแสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นอีก..​ มิเชลก้มมองกำไล เข็มชี้บอกเวลาห้าทุ่ม....​ จากนั้นจ้องตาโทนี่ เพราะเวลาเส้นตายของแม่เขาคือสามทุ่มครึ่ง

        โทนี่ร้องลั่น กุลีกุจอกางกระโจมแล้วบอกลาทุกคนอย่างเร่งด่วนที่สุด เรเชลนึกเสียดาย เขากำลังสอนวิธีสู้กับศัตรูบนฟ้าค้างไว้อยู่ หากกลับมาเล่นต่อพรุ่งนี้ คงต่อให้ติดจากของเดิมลำบากเพราะไม่เข้าใจหลักการจริงๆ และคงเหมือนเริ่มใหม่เกือบทั้งหมด

        มิเชลต้องออกจากเกมด้วยเหมือนกัน แต่เธอไม่ได้รีบขนาดโทนี่ จึงเลือกที่จะพูดคุยต่ออีกสักพัก

        “จั๊งค์กับเรเชลจะเลิกเล่นเมื่อไหร่?”

        “ไม่รู้สิ รอเรวินมันกลับมาก่อนค่อยว่ากัน ปกติฉันนอนหลังเที่ยงคืน แต่ติดอยู่ในนี้แล้วไม่มีอารมณ์อยากเล่นต่อเลย”

        “ผมตามพี่เรวินให้ไหมครับ?” เรเชลเสนอตัว ทั้งคู่อยู่บ้านเดียวกันเพราะเป็นพี่น้อง

        “ก็ดี ช่วยเช็คหน่อยว่ามันแอบหลับไปก่อนรึยัง”

        “งั้นไปล่ะนะ ได้เวลาต้องไปแล้วเหมือนกัน” เธอเปิดกระโจมขึ้น ก้มหัวมุดเข้า ข้างในไม่มีอะไรนอกจากด้ายสีขาวเส้นบาง พอเอานิ้วดึง ความรู้สึกของน้ำหนักร่างกายกลับมาอีกครั้ง ตัวกำลังนอนจมอยู่บนเตียงอุ่นนุ่ม

        มิเชลกำลังสบายจึงไม่อยากลุก เธอดึงหมอนข้างเข้ามากอด แต่จู่ๆเจอสิ่งแปลกปลอมเกะกะสวมอยู่บนข้อมือ คลำแล้วจึงรู้ว่าเป็นกำไลสำหรับฝากข้อความยามนอนหลับ พ่อจะเขียนอักษรเบรลใส่กระดาษ จากนั้นหนีบติดกับกำไล ตื่นเมื่อไหร่ก็ได้อ่านพอดี

        ลงจากเตียงระวังๆหน่อย เพราะข้างเตียงพ่อวางโต๊ะกับข้าวเย็นเอาไว้​จะเล่นเกมไม่เป็นไร แต่ต้องกินข้าวให้ตรงเวลา ไม่ใช่เล่นหักโหมแบบนี้

        เสียงท้องประท้วงดังพออ่านถึงคำว่าข้าวเย็น เธอเข้าเกมตั้งแต่บ่ายสาม ตอนนี้ห้าทุ่ม เท่ากับว่าเล่นมาราธอนติดกันถึงแปดชั่วโมง ช่วงเวลาในนั้นมันช่างเย้ายวน... ชวนให้ลืมโลกภายนอกหมดสิ้น กระทั่งคนรอบคอบอย่างโทนี่ยังถูกเสน่ห์ของมันล่อลวงจนเกินเวลานอนสองวันติดแล้ว

        เด็กหญิงรู้สึกผิด พ่อคงห่วงกลัวลูกหิว แต่ความรู้สึกผิดนั้น...กลับไม่ทำให้ตนแน่ใจว่าพรุ่งนี้จะสามารถคุมเวลาเล่นได้เลย อารมณ์เพลิดเพลินขณะอยู่ในเกม​ รูปและเสียงที่โลกจริงให้ไม่ได้ แม้มีคำว่าลำบากแทรก แต่ทุกอย่างแฝงด้วยความสนุก ตื่นเต้น น่าค้นหา เพื่อนใหม่เองก็เป็นปัจจัยหลักอีกตัวหนึ่ง มิเชลชอบลาล่า เจสสิก้า จั๊งค์ เธออยากสนิทกับอิลแฟนของลาล่า คู่พี่น้องเรวินเรเชล และแพนด้าน้อยมากกว่านี้ รวมไปถึงสาวปริศนาขาสวยในชุดจีนที่เจอกันเพียงครู่เดียวด้วย

        มิเชลยื่นมือคลำหาโต๊ะกินข้าว เธอลงมือจัดการจนเกลี้ยง อิ่มแล้วอาบน้ำนอน ในหัวนึกขอให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็วกว่าเดิม

    ********************






    Rewrite ล่าสุด
    ปรับปรุงสำนวนงงๆ และบทบู๊งงๆ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×