ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #30 : ตอนที่ 19 ปลายทางนั้นมี...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 637
      2
      13 ม.ค. 56

       
        "พี่มิลเลอร์กล้ามาก" โทนี่พูดใส่หูมิเชล "สี่จตุรเทพแห่งหน้ากากมายา.. กล้าที่ใช้ชื่อสุดเชยขนาดนี้"

        มิเชลพยักหน้าเห็นด้วย ชื่อนั้นอย่างกับหลุดมาจากหนังสมัยต้นปีสองพัน  ทั้งคำว่าจตุรเทพหรือหน้ากากมายาก็ดูเป็นศัพท์ที่เก่าเกินกว่าจะใช้กันในยุคนี้แล้ว เวลานี้ทั้งคู่ยืนอยู่ห่างจากเรเชลกับมิลเลอร์เลยสามารถนินทาได้สะดวก

        "แต่เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ นะ" โทนี่เกริ่น "เหมือนคนละคนที่เคยรู้จัก"

        "มิเชลคงไม่รู้หรอกว่าเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เพราะเราไม่ได้คุยอะไรกันอยู่แล้ว"

        "เขาเคยใจร้อนกว่านี้มาก และไม่ได้ชอบปั้นแต่งคำพูดขนาดนี้"

        "คนเรามีเปลี่ยนแปลง แต่อันนี้คงไปในทางที่เลวลง" เธอพูดย้ำความเชื่อของตัวเอง

        ********************************


        หลังพลังพิเศษของคุกกี้หมด กลายเป็นว่าทุกคนกลับเมืองไม่ได้อีก เนื่องจากกลุ่มเกราะแดงมายืนเบียดกันอยู่หน้าประตูเมืองไขลานโซเนีย พวกเขาผลัดเวรดักรอสี่จตุรเทพแห่งหน้ากากมายาที่เพิ่งถูกอุปโลกขึ้นอย่างมั่วๆ แม้มิเชล โทนี่ เรเชล และมิลเลอร์ได้ถอดผ้าปิดปากกับแว่นดำออกแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดเสี่ยงเดินฝ่ากลับเข้าไป

        "อยู่กันเพียบเลยครับ" เรเชลพูดพลางหมุนเลนส์กล้องส่องทางไกลให้มองได้ใกล้ขึ้น "ผมคุ้นหน้าหลายคน เป็นพวกตัวโหดๆ ที่ผ่านเข้ารอบของงานประลองเมื่อวานทั้งนั้นเลย"

        "พวกนั้นรู้ได้ไงว่าเราจะกลับเมืองนี้" มิเชลโพล่งขึ้น "เมื่อกี้ก็ปะทะมั่วไปทั่ว ไม่ได้อยู่แต่หน้าเมือง"

        "เส้นทางการเดินพวกเราเป็นรูปตัวยู” โทนี่อธิบาย "เริ่มจากหน้าเมืองไปจนถึงหุบเขา  ส่วนขากลับก็ใช้อีกทางเดินอ้อมมาถึงตรงนี้.. พวกนั้นคงเดาจากจุดที่ปะทะกันว่าเรากำลังจะหลบเข้าเมืองนั่นแหละ"

        "พี่เป็นคนนำทาง" เรเชลหันไปหามิลเลอร์ "พี่คำนวณอะไรอยู่ไว้ใช่ไหมครับ"

        "อืม เราจะไม่กลับเข้าโซเนียตอนนี้" ชายหนุ่มบอกทุกคน "มีที่ๆ หนึ่งที่อยากให้ทั้งสามคนไปด้วยกัน"

        "ที่ไหนครับ?"

        "ไม่ไกลเท่าไหร่ เอาเป็นว่าทุกคนตามมา"

        ตอนนี้พวกเขายืนห่างจากแดนอันตรายอย่างหน้าเมืองโซเนียมาเกือบสองร้อยเมตร เมื่อเรเชลเก็บกล้องส่องทางไกลใส่กระเป๋าเรียบร้อย ทุกคนก็พยายามเดินตามมิลเลอร์โดยก้มหัวต่ำๆ หวังใช้กอไม้ช่วยบัง สภาพรอบข้างเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้ไม่ค่อยหนาแน่น แต่ด้วยระยะห่าง สามารถหลุดรอดสายตากลุ่มเกราะแดงได้ถ้าเคลื่อนไหวอย่างระวัง

        มิลเลอร์พาแก๊งเด็กทั้งสามเดินข้ามก้อนหินทรงคล้ายพีระมิด แต่มีผิวขรุขระ เขาเลี้ยวขวาและก้มหัวลอดใต้ยอดหญ้าที่มีใบแผ่ออกมาเหมือนร่ม ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดสะเปะสะปะกลางอากาศเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างแต่ไม่เจอ จากนั้นจึงย่ำเท้าต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับแกว่งแขนแบบไม่มีเหตุผลตลอดทาง

        สักพัก มิลเลอร์ทำท่าเหมือนชนอะไรบางอย่างและก็หยุดเดิน เขาใช้มือคลำอากาศที่ว่างเปล่าอีกครั้งพร้อมสีหน้าดีใจ

        “ตรงนี้มีบันไดอยู่ ตามขึ้นมา!”

        “บันได?” ทั้งสามอุทานพร้อมกัน

        “ใช่ ดูดีๆ นะ มีบันไดล่องหนอยู่” มิลเลอร์ขึ้นไปยืนเท้าลอยอยู่กลางอากาศ แล้วก้าวขาขึ้นไปอีกขั้นท่ามกลางความตะลึงของทุกคน “ฉันเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ดีจริงๆ ที่มันยังอยู่”

        “บันไดจะพาไปที่ไหนครับ?” โทนี่ถามทันที

        “ไม่รู้สิเพราะไปไม่ถึงชั้นบนสุด ไหนๆ ตอนนี้กลับเมืองไม่ได้ก็ลองกันสักหน่อย”

        มิเชลยื่นมือไปหาบันไดล่องหน มันลอยอยู่สูงประมาณครึ่งเมตร เธอคลำดูความกว้างกับยาวของมันก่อนจะยอมยกขาขึ้นปีน เรเชลตามหลังมาด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ส่วนโทนี่พยายามล้วงกระเป๋าหาตัวช่วย เขาหยิบเอาน้ำยาสีสาดใส่ และต้องผิดหวังเมื่อบันไดล่องหนไม่ติดสี

        บันไดแต่ละขั้นนั้นยังวางตัวแบบกระจัดกระจาย มันไม่ได้เรียงเป็นทางตรงยาวขึ้นไปให้เดินง่ายๆ มิลเลอร์จึงต้องคอยคลำหาว่าขั้นถัดไปนั้นอยู่ซ้ายขวา หน้าหรือหลัง เขาเคยมาที่นี่หลายครั้งเลยไม่กลัวแม้จะเห็นเท้าตัวเองลอยอยู่กลางอากาศ ผิดกับมิเชลผู้กำลังปีนบันไดอย่างหวาดระแวง ยิ่งสูงเธอก็ยิ่งรู้สึกหวิวๆ ใต้ฝ่าเท้ามากกว่าเดิม

        เคยมีคนพูดไว้ว่าคนตาบอดมองไม่เห็นจึงไม่กลัวความสูงหรือผี แต่นั่นไม่จริงสักนิด! เพราะร่างกายมันสัมผัสได้ พลังจินตนาการภายในหัวของคนนั้นไม่มีที่สิ้นสุดหรอก...

        ระหว่างทางปีนขึ้น ยิ่งสูงก็ยิ่งไม่มีใครยอมมองพื้น ทั้งมิเชล โทนี่ และเรเชลกำลังคลานขึ้นโดยใช้มือต่างเท้าเพราะหวาดเสียวจนเดินตัวตรงไม่ไหว มีเพียงมิลเลอร์ที่ยังเป็นปกติ เขาเคยปีนมาก่อนหลายครั้งจึงชินแล้ว

        ทุกคนลืมฉุกใจคิดเรื่องหนึ่ง ทั้งที่ควรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นั่นก็คือ.. มิลเลอร์ปีนบันไดล่องหนมาหลายรอบแล้ว แต่ทำไมเขายังไปไม่ถึงยอดสักที....


        ******************************************


        หญิงสาวร่างเล็กในชุดจีนกำลังเดินวนเวียนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมกับผู้เล่นอีกหลายสิบ ทุกคนถูกขังไว้สองวันของเวลาเกมเพราะโดนลงโทษ หรือก็คือเกือบสิบชั่วโมงตามเวลาจริง โดยมากจึงเลือกออกจากเกมเพื่อหนีไปพักผ่อนแล้ว

        แต่สำหรับจอร์เจีย มันหมายความว่าเหลือเวลาเพียงแค่สองวัน หญิงสาวไม่อยากตัดใจจากภารกิจที่อุตส่าห์หาเจอ กว่าจะผ่านป่าที่มีสัตว์ร้ายอันเป็นทางเข้านั้นก็ลำบากสุดๆ แล้ว แถมยาฟื้นพลังยังใกล้หมดอีก

        จอร์เจียขอซื้อยาต่อจากกลุ่มที่ตัดใจเลิกเล่น แต่กลับโดนพวกเขาฉวยโอกาสโขกราคาใส่ เธอเลยเล่นบทโหดไล่เชือดพ่อค้าหน้าเลือดทิ้งไปสามคนก่อนจะได้ยาฟื้นพลังมาในราคาตลาด

        หญิงสาวกล้าทำเพราะบนทวีปหลักนั้น หากอยู่นอกเมืองจะนับว่าเป็นเขตโจมตีอิสระ การฆ่ากันเองไม่ส่งผลให้ติดสถานะอาชญากร

        ที่จริง พวกเขาจะรวมตัวกันรุมจอร์เจียก็ได้ แต่เพราะคนขายโก่งราคาเป็นฝ่ายผิดเห็นๆ แถมยังอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย ถ้าเหลือความอายไว้บ้างจะไม่กล้ารุมรังแกผู้หญิงตัวเล็กกว่าแน่นอน

        ตอนแรก เธอได้ยินว่ามีเมืองร้างตั้งกลางทะเล พอใช้บริการ NPC ไปถึงค่อยรู้ว่าเป็นซากปราสาทเก่าๆ ที่มีตะไคร่น้ำเกาะเต็มผนังเพราะความชื้น จอร์เจียดีใจที่ตนสามารถหาทางเข้าชั้นใต้ดินเจอโดยบังเอิญ หญิงสาวเห็นแสงวูบวาบสองครั้ง จากนั้นก็โดนส่งไปสู้กับราชาสัตว์อสูรฝาแฝด

        ราชาอสูรฝาแฝดเป็นผีใต้ผ้าคลุม ตัวหนึ่งคลุมผ้าสีดำ ส่วนอีกตัวหนึ่งใช้สีขาว ร่างของมันใต้ผ้าคลุมล่องหนมองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้ จอร์เจียสู้กับทั้งสองราชาไม่ไหว และแทนที่จะตาย กลับถูกส่งมาคุกแห่งนี้อย่างงงๆ

        ทุกคนในที่นี้ล้วนแล้วแต่บังเอิญเจอทางเข้าและแพ้ราชาสัตว์อสูรฝาแฝดมา เธอคิดว่าการที่มีบทลงโทษ อาจจะเพื่อไม่ให้คนกลับมาท้าราชาสัตว์อสูรบ่อยๆ ก็ได้... เพราะถ้ารู้จักทางเข้าแล้ว จะกลับมาใหม่มันก็ง่าย

        แต่... จอร์เจียคิดว่ามันอาจจะมีมากกว่านั้น ราชาผีทั้งสองเก่งเกินปกติ เธอมั่นใจในฝีมือตัวเองว่าตนควรทำอะไรได้มากกว่านี้... หรือจริงๆ แล้วมันอาจเป็นเพียงทางผ่านมาสู่ภารกิจลับที่หนึ่ง... พาราเรลออนไลน์มีภารกิจลับเต็มไปหมด บางอันง่าย บางอันยาก และบางทีก็จะเจอปริศนาแปลกๆ ให้แก้ นับว่าเป็นเสน่ห์ของเกม

        จอร์เจียเอามือลูบจับตามจุดที่เป็นรอยต่อ แต่ไม่เจอทางออก และถึงเปิดสมุดรายชื่อเพื่อนก็ไม่คิดว่าจะช่วยอะไร เพราะในสมุดมีเพื่อนแค่สองคนเท่านั้น คนแรกกำลังทะเลาะกันอยู่ ส่วนอีกคนดูแล้วยังไม่น่าวางใจ

        ทว่า.. ดูแล้วไม่น่าวางใจเป็นแค่การคาดเดา เขาพูดจาเหมือนเด็กและวิธีต่อสู้ก็ตรงไปตรงมาในระดับที่เรียกว่าทื่อสนิท แต่เจ้าความทื่อจนบื้อนั้นเป็นคนละขั้วกับเธอ หากให้คนบุคลิกต่างกันช่วยวิเคราะห์ มันอาจจะมีไอเดียแปลกๆ ผุดขึ้นมา

        เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบเปิดสมุดและจิ้มไปบนชื่อ 'มิเชล' ทว่า.. จะเรียกกี่ครั้งเขาก็ไม่ตอบกลับ จอร์เจียรออีกสักพักค่อยลองใหม่แต่ยังได้ผลเหมือนเดิม เธอถอนหายใจและเก็บสมุดรายชื่อเพื่อนใส่กระเป๋า ที่ผ่านมาหญิงสาวสู้ด้วยตนเองเพียงลำพัง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเกิดความรู้สึกอยากพึ่งคนอื่นขึ้นมานะ...

        ทั้งๆ ที่เธอควรนึกถึงเขาคนนั้นมากกว่าแท้ๆ แต่ตอนนี้ภาพของมิเชลกลับเด่นชัดกว่า

        *************************************

        ด้านมิเชล เด็กหญิงกำลังนอนคว่ำหมอบติดขั้นบันไดล่องหน ส่วนมือทั้งสองข้างจับแขนเรเชลที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ นกยักษ์ดึกดำบรรพย์บินโฉบลงมาเป็นครั้งที่ห้า แรงลมทำให้ตัวเรเชลแกว่งจนเธอเกือบทำเพื่อนหลุดมือ โทนี่ล้วงเอาทวนยาวออกจากกระเป๋าแล้วรีบยื่นลงไป

        เรเชลคว้าไว้ แต่น้ำหนักตัวเขากับชุดเกราะเกือบลากมิเชลกับโทนี่หล่นลงไปด้วยกัน โชคดีว่ามิลเลอร์ช่วยดึงไว้อีกแรงจึงรอดมาได้

        ทุกคนหายใจหอบ แต่ไม่มีเวลาให้พัก นกดึกดำบรรพ์ส่งเสียงร้องดังคับฟ้าเพื่อเรียกเอาพรรคพวกมาเพิ่ม ต่อให้กลัวการเดินบนบันไดล่องหนก็ต้องเริ่มออกวิ่ง มิลเลอร์จะเอาโล่เคาะพื้นอันว่างเปล่ารอบๆ แล้วรีบก้าวขึ้นตรงที่มีขั้นบันไดซ่อนอยู่ ทั้งสามจะวิ่งตามบริเวณที่เขาเคยเหยียบแล้วไล่ตามไป

        พวกเขาเดินขึ้นมาสูงมากแล้ว อย่างน้อยก็ขอไปต่อเพื่อให้ได้เห็นปลายทางดีกว่าหนีกลับหรือตายกลับ

        นกยักษ์ดึกดำบรรพ์มีร่างกายสีม่วงเทา ผิวเรียบไร้ขนตลอดแนว แต่กรงเล็บกับจะงอยปากแหลมคมพร้อมจะกระชากเหยื่ออันโอชะ พวกมันบินวนเวียนเพื่อเล็งโฉบเอามนุษย์ทั้งสี่ที่นานๆ จะหลุดมาสักครั้งหนึ่ง

        บนบันไดล่องหน มิเชลใช้เวทกำแพงไม่ได้ เธอจึงถือดาบไฟทั้งสองมือ แล้วจับมันกวัดแกว่งโดยต้องระวังพวกเดียวกันไปด้วยเพราะทางวิ่งแคบ ระหว่างนั้น เด็กหญิงได้ยินเสียงเตือนของกำไลว่ามีคนติดต่อเข้ามา แต่เธอไม่มีเวลากดรับ และคิดว่าจะค่อยติดต่อกลับไปทีหลัง ทว่า เมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ โดยมีฝูงนกรุมประกบตลอดทาง เธอก็ลืมเรื่องนั้นโดยสนิท

        "พี่เคยมาก่อนแล้วใช่มั้ย!" มิเชลตะโกน "ตอนนั้นสู้กับเจ้าพวกนี้ยังไง!?"

        "ไม่ทำยังไงหรอก ตกไปตายตั้งแต่แรกๆ"

        "อ้าว!"

        "เยอะขนาดนั้นคิดว่าจะจัดการได้เรอะ? วิ่งให้ผ่านไปก็พอแล้ว" ชายหนุ่มตอบ ขาก็ยังวิ่งอยู่

        "แล้วทำไมถึงพาขึ้นมาทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้! ข้างบนนั่นมีอะไรอยู่?"

        "ไม่รู้หรอก แค่บังเอิญเจอเลยอยากรู้ และถ้าไม่เอาพวกเธอมาด้วย นกนั่นก็โจมตีฉันคนเดียวสิ"

        มิเชลเกิดความรู้สึกอยากฉุดขาคนข้างหน้าให้ตกบันไดเดี๋ยวนี้เลย

        แต่มันเป็นอย่างที่พี่มิลเลอร์บอก พวกเธอมากันสี่คน พอเห็นใครทำท่าไม่ดีจะสามารถช่วยไวได้้ทัน และถึงเหนื่อยแค่ไหน เมื่อถูกจะงอยปากคมๆ กับกรงเล็บแหลมๆ เฉี่ยวหัวก็ตกใจจนลืมเหนื่อยทันที

        ทว่า... อุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อมิลเลอร์โดนฉกหายขึ้นฟ้าต่อหน้าต่อตา! และคนถัดมาคือเรเชลที่กำลังตกใจ พอได้เหยื่อ ฝูงนกก็เลิกวอแวมิเชลกับโทนี่ แล้วพร้อมใจกันบินกลับคล้ายจะไปจัดปาร์ตี้ฉลองเหยื่อที่จับได้

        มิเชลกับโทนี่รีบตั้งสติ ทั้งคู่ต้องไล่ตามไป แต่เมื่อไม่มีมิลเลอร์นำทาง คราวนี้จึงกลายเป็นเด็กหญิงที่ยืนอยู่หน้าสุด และสูงขนาดนี้... จอมไม่ระวังอย่างเธอสงสัยจะพาโทนี่ตกไปด้วยกันแน่ๆ..

        พอเธอเลิ่กๆ ลั่กๆ ก้าวขาได้สองขั้นบันได โทนี่เลยต้องอาสานำแทน

        "ฉันเอง"

        "อ่านใจมิเชลได้ด้วยเหรอเนี่ย" เธอตอบรับด้วยความดีใจสุดชีวิต "ยินดีเป็นอย่างยิ่ง!"

        มิเชลนั่งยองๆ และกอดขั้นบันได้สุดชีวิตระหว่างที่รอให้โทนี่แซง การเดินสวนกันบนบันไดล่องหนที่ความสูงเลียดฟ้าไม่สนุกเลยสักนิด

        ทั้งคู่พยายามส่งข้อความหามิลเลอร์กับเรเชล แต่เสียงที่ตอบกลับมาฟังไม่รู้เรื่อง พวกเธอได้ยินเป็นคลื่นแทรกเกือบตลอดเวลา

        สักพัก ท้องฟ้าที่เงียบสงบเริ่มจะครึ้มฟ้าครึ้มฝน เมื่อฝนเริ่มตก ก็มีคำเตือนจากกำไลว่าอาจติดสถานะเป็นหวัดหากปล่อยให้ร่างกายเปียกพร้อมเสื้อผ้านานๆ ทีแรกโทนี่เอาร่มออกมา แต่สุดท้ายต้องรีบปล่อยมือให้ร่มลอยหายไปกับพายุก่อนมันจะลากเขาตกบันได

        มิเชลรู้สึกว่าฝนทำให้มองเห็นได้ง่ายขึ้น บันไดล่องหนเริ่มจะไม่ล่องหนเพราะฝนจะตกกระทบกับผิวบันได ที่เหลือต้องคอยระวังลื่นเท่านั้น และเป้าหมายของทั้งสองคือท้องฟ้าที่พรรคพวกโดนจับไป

        เธอใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะปีนบันไดขึ้นถึงยอด ปลายทางนั้นเป็นกลุ่มหมอกยักษ์ และกระเป๋าเด็กหญิงเริ่มดิ้นเองได้ มิเชลพยายามจับให้อยู่นิ่งๆ เพราะกลัวหล่นหาย พอโทนี่เห็น เขาก็รีบจับเป้ตัวเองบ้างเพราะกลัวจะเกิดอาการเดียวกัน

        ทว่า เป้ดิ้นได้เป็นแค่ของมิเชลคนเดียว และแล้วก้อนหินลูกหนึ่งก็ลอยออกมาจากกระเป๋าแล้วพุ่งใส่กลุ่มหมอก เด็กหญิงอ้าปากค้างก่อนรีบวิ่งแซงโทนี่ขึ้นไป เพราะนั่นคือหินผนึกเจ้าโมนิค มังกรหมอกของเธอ

        โทนี่ที่ห้ามไม่ทันเพราะอยากสำรวจความปลอดภัยก่อนจำใจต้องกระโดดเข้าก้อนหมอกยักษ์ตามมิเชลไปอีกทอด

        มิเชลยืนอยู่กลางกลุ่มหมอก เธอได้ยินเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของโมนิค พื้นที่เหยียบอยู่เป็นไม้และดูไม่เสี่ยงต่อการตกจากฟ้า เด็กหญิงจึงเดินตามเสียงโดยมองเท้าตัวเองไปด้วย ส่วนโทนี่เปลี่ยนมาเป็นผู้ตามแทน

        "เกิดอะไรขึ้น?"

        “มังกรที่มิเชลบอกโทนี่ไง ไม่รู้ทำไมจู่ๆ มันก็ออกจากกระเป๋าเอง"
        
        พลัน หมอกโดยรอบก็โดนลมพัดไปในทิศทางเดียวกัน ทัศนียภาพรอบข้างเริ่มชัดเจนขึ้น จนเห็นได้ว่าโมนิคยืนห่างอยู่ไม่ไกลและมันกำลังอ้าปากกว้างเพื่อสูดไอหมอกเข้าปาก

        “โมนิคหาอาหารด้วยตัวเองเพราะค่าความหิวลดต่ำกว่าเกณฑ์ โปรดระวัง หากระดับความเชื่องลดต่ำและอาจส่งผลให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงหลบหนี”

        โมนิคดุขึ้นจริงๆ มันคำรามฮื่อแฮ่เพื่อรักษาระยะห่างจากมิเชล มิเชลลืมว่าสัตว์เลี้ยงก็ต้องให้อาหาร ทว่า เจ้าตัวนี้ดูเหมือนไม่ได้กินของแบบปกติทั่วไป แต่เป็นหมอกสมชื่อมังกรหมอกพิษ แล้วเธอควรเก็บเอามาป้อนอย่างไรดี? มันจะมีอาหารเม็ดสำหรับมังกรขายบ้างไหม?

        "เจ้าตัวนั้นน่ะนะ..มังกร" โทนี่กวาดตาสำรวจ "น่ากลัวกว่าที่คิดเยอะ นึกว่าจะเป็นตัวน่ารักในแบบที่เธอชอบ"

        คงเพราะมันกำลังโมโหหิว โมนิคจึงยกปีกทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และเมื่อมันกลืนหมอกลงท้องหมด ทั้งมิเชลและโทนี่จึงค่อยเห็นว่าพวกเขายืนอยู่บนเรือไม้ขนาดใหญ่ ส่วนข้างบนหัวมีบอลลูนยักษ์สี่ลูกช่วยประคองตัวเรือให้ลอยอยู่กลางอากาศ

        เรืออยู่ในสภาพสุดโทรม ไม้เก่าขึ้นราจนผุ แถมพื้นยังทะลุหลายตำแหน่ง ส่วนท้องฟ้านั้นเริ่มสว่างหลังฝนหยุดตก แต่แสงอาทิตย์ที่สาดลงมาเป็นเพียงแดดอ่อนของเวลาใกล้ค่ำ เมื่อบวกกับการยืนอยู่ใต้เงาบอลลูน อากาศจึงทั้งเย็นทั้งชื้น

        พอโมนิคกินหมอกหมด มันก็ต่อด้วยการอาละวาดพังข้าวของใกล้ตัว เริ่มจากถังกับกล่องไม้เน่าๆ ที่วางล้มระเนระนาดอยู่ทั่วไปบนเรือ

        "นั่นเรียกว่าออกกำลังกายหลังมื้อค่ำใช่เปล่า?" โทนี่มองการอาละวาดของมังกรน้อยอยู่ห่างๆ

        "ทำไงดี มันไม่ยอมกลับเข้าหินผนึก" มิเชลชูหินผนึกอสูรให้เพื่อนซี้ดู หน้าเธอเริ่มเป็นกังวล "ระบบเตือนว่าค่าความเชื่องลดต่ำมากเพราะมิเชลลืมให้อาหาร"

        “ความโกรธของโมนิคยังไม่หยุด ระดับความเชื่องลดเหลือศูนย์”

        “โมนิคเข้าสู่สถานะสัตว์เลี้ยงหลบหนี และต้องตามกลับมาภายในสิบสองชั่วโมงก่อนจะกลายเป็นสัตว์อสูรป่า”


        บนเรือมีบันไดที่พาไปถึงชั้นท้องเรือ และลูกมังกรดำก็วิ่งลงบันไดนั้นโดยไม่ลังเล แถมยังกระทืบเท้าจนพื้นทะลุเป็นรูทิ้งไว้อีกหลายจุด

        "โมนิคหนีไปแล้ว" มิเชลร้อง "ถ้าไม่ตามกลับมา มันจะหายไปเลยจริงๆ"

        "งั้นก็ตามไปเลย"

        "แล้วจะตามโมนิคโดยทิ้งเรเชลกับพี่มิลเลอร์เหรอ?"

        "ฉันว่าทั้งสองคนก็คงอยู่ที่นี่แหละ ดูพวกเศษลังรอบๆ สิ"

        มิเชลมองตามโทนี่บอก เศษลังไม้แตกวางกระจุกอยู่เป็นหย่อมๆ และบนนั้นมีก้อนหินใหญ่กลุ่มละประมาณเจ็ดแปดก้อน พอเข้าไปใกล้ๆ จึงเห็นว่ามันคือรังของไข่ยักษ์ที่ไม่มีแม่นกเฝ้าอยู่ ส่วนเด็กชายก็หยิบไข่มายัดใส่กระเป๋าทันที

        "ขอสักสามสี่ฟองนะ!"

        พวกเขาสรุปกันเอาเองว่าพื้นเรือเป็นรังของนกดึกดำบรรพ์ เพราะขนาดของไข่ดูเหมาะสมกันดี แล้วยังได้เห็นพวกมันบินขึ้นมาทิศเดียวกับบันไดล่องหนด้วย ทั้งสองเดินลงบันไดเพื่อหาโมนิค ซึ่งตามกันง่ายๆ เนื่องจากมังกรน้อยทิ้งร่องรอยการอาละวาดไว้ตลอดทาง

        ภายในท้องเรือมืดสนิท มิเชลต้องหยิบคบเพลิงมาจุด และเมื่อลงไปไม่ถึงห้านาทีก็ต้องรีบสวมผ้าปิดปากเพราะทนสำลักฝุ่นหนาเตอะจากชั้นบรรยากาศไม่ไหว ระหว่างทาง ยังมีใยแมงมุมสีแดงขึ้นรกเป็นแผง  พอใช้ดาบตัด มันจะเหนียวติดดาบ โทนี่ได้ลองเอาคบไฟขึ้นจ่อ ปรากฏว่าไม่ละลาย สุดท้ายจึงเอานิ้วดึงออกแทน

        “ตอนแรกนึกว่าสีแดงเพราะมันสะท้อนแสงจากคบไฟ แต่ใยมันเป็นสีแดงจริงๆ” มิเชลมองดูใยแมงมุมบนมือ

        “เฮ้ มังกรเธอน่าจะไปทางนั้นนะ” โทนี่เดินนำไปล่วงหน้า แล้วยกคบไฟขึ้นส่อง “ดูสิ ใช่แน่ๆ”

        ใยแมงมุมสีแดงขาดและแหว่งออกเป็นช่องกว้าง ทั้งคู่เลยไม่ต้องเมื่อยมือปัดออกเองอีก แต่เดินตามรอยไปได้เลย

        เมื่อเดินกันอยู่ภายใต้ความมืดด้วยแสงคบไฟเกือบครึ่งชั่วโมง ใยแมงมุมที่ช่วยนำทางก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะพวกเขาได้ยินเสียงปะทะกันของสองสัตว์ร้าย มิเชลจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นโมนิคแน่นอน มังกรน้อยชอบขู่ด้วยเสียงหวีดต่ำๆ

        เธอวิ่งตามเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ อีกเสียงค่อนข้างแหลมสูง และร้องแต่คำสั้นๆ เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมแล้ว มันคงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก... เจ้าบ้านแห่งนี้

        เด็กหญิงเห็นร่างใหญ่โตของแมงมุมยักษ์ชัดเจน กลางหลังของมันติดไฟ มันเตรียมจะกินโมนิคที่ถูกใยสีแดงพันร่างจนขยับไม่ได้ มังกรน้อยตัวใหญ่กว่า แต่แพ้เพราะเพิ่งเกิดจึงมีเลเวลแค่หนึ่ง มันไม่สามารถสู้กับสัตว์อสูรที่เลเวลห่างกันขนาดนั้นได้

        มิเชลเองก็ไม่นึกว่าอย่างโมนิคจะแพ้เพราะท่าขู่และเสียงของมังกรน้อยดูน่ากลัวจริงๆ เธอลืมคิดไปว่ามันเพิ่งเกิดจากไข่ได้เพียงสัปดาห์เดียวแล้วยังโดนอดอาหารมาตลอด เด็กหญิงรีบกระโจนเข้าช่วยพร้อมโทนี่ทันที

        ปรากฏว่า ดาบไฟของมิเชลฟาดแมงมุมไม่เข้าเพราะเป็นธาตุเดียวกัน พอฟันลงไปจะกลายเป็นการเพิ่มพลังให้มันแทน พอเธอถอยหลังกลับหนึ่งก้าว โทนี่ก็รีบเสียบทันที เขากำค้อนยักษ์ด้วยสองมือแล้วกระแทกลงบนตัวสัตว์ร้ายเต็มๆ

        ตัวเลขสีแดงชุดใหญ่เด้งขึ้นเหนือหัวแสดงให้เห็นว่าได้ผล และพอทุบไปอีกสามครั้ง แมงมุมยักษ์ก็ติดสถานะมึนงงจนอยู่เป็นเป้านิ่ง มิเชลยืนมองโทนี่จัดการแมงมุมด้วยตัวคนเดียว นั่นเป็นภาพที่แปลกตาเล็กน้อย เพราะปกติจะเห็นเพื่อนฆ่าแต่สัตว์เล็กไร้พิษสงเท่านั้น

        หรือว่าจริงๆ แมงมุมยักษ์ไม่เก่ง แค่ดูน่ากลัวอย่างเดียวนะ?

        มิเชลหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องแก้ข้อสงสัยให้ตัวเอง และต้องตกใจกับค่าสถานะของมัน มันมีเลเวลสูงกว่าทั้งสองประมาณสิบห้าระดับ แต่โทนี่สามารถโจมตีได้แรงมาก ถึงไม่ใช่ธาตุไฟ แต่ด้วยแต้มพลังป้องกันที่สูงขนาดนี้ เธอคงฟังเข้าแค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น

        “เจ๋งไหมล่ะ” โทนี่หันมาอวดผลงานหลังจากฆ่ามันตาย เขาชูค้อนยักษ์ใส่หน้าเธอ

        “โทนี่ทำได้ยังไงน่ะ ทุบแรงขนาดนั้น”

        “ค้อนธาตุน้ำฝีมือฉันเอง!” เด็กชายยื่นค้อนเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ช่วงเธอหายไป ฉันลองผิดลองถูกดูเลยรู้ว่าพวกตัวที่มีพลังธาตุรุนแรง จะแพ้ทางอีกธาตุที่สวนทางกันหนักมาก”

        “โทนี่หมายถึงแมงมุมไฟตัวนี้แพ้ทางธาตุน้ำเพราะพลังไฟของมันสูง?”

        “ใช่ แต่...สนใจอาวุธฉันอย่างเดียวจะดีเรอะ มังกรเธอล่ะ”

        มิเชลรีบปรี่เข้าไปหาโมนิค เธอพยายามแกะเส้นใยสีแดงที่พันรอบตัวมังกรน้อยไว้หลายช้ันแต่ไม่ออก สุดท้ายเลยต้องยืมแรงจากโทนี่ เขาเอาค้อนธาตุน้ำแตะ และใยแมงมุมก็เริ่มละลาย สาเหตุที่ไฟเผาไม่ได้เพราะมันเป็นธาตุไฟซึ่งส่งเสริมกันเองอยู่

        โทนี่เริ่มบรรจุใยแมงมุมลงขวด เขาบอกว่าน่าจะมีประโยชน์ ส่วนมิเชลตอนนั้นสนใจเพียงช่วยโมนิคที่ยืนอยู่ตรงหน้า พอลูกมังกรได้อิสระภาพคืนมาก็แยกเขี้ยวงับเธอทันที แต่ฟันยังซี่เล็กจึงกัดไม่เข้า มันแค่สร้างรอยบุ๋มตื้นๆ ไว้บนแขนเท่านั้น

        เธอกดกำไลเพื่อเปิดดูข้อมูลสัตว์เลี้ยง ปรากฏว่ายังเป็นสถานะหลบหนีอยู่... สักพัก มังกรน้อยก็ออกวิ่งอีกครั้ง ครั้งนี้มิเชลรีบตะครุบขาได้อย่างไว โมนิคสะบัดและกัดซ้ำแต่เด็กหญิงไม่สนใจเพราะมันแทบจะไม่เจ็บเลย

        “โทนี่! โมนิคยังเป็นสัตว์เลี้ยงหลบหนีอยู่ ทำไงดี?”

        “มันเป็นสัตว์เลี้ยง ลองใจดีกับมันดู”

        “ใจดีเหรอ? ไม่เคยเลี้ยงสัตว์ด้วยสิ... จริงสิ อาหาร... ที่มันเป็นแบบนี้เพราะไม่ได้ให้อาหาร” มิเชลโพล่งขึ้น “แต่.. ตอนมันเกิดก็กินหมอก เมื่อกี้ก็กินหมอก ถ้าอาหารเป็นหมอกจะเอามาป้อนยังไงล่ะ?”

        สุดท้าย สิ่งที่ทั้งสองเลือกทำคือ เอาใยแมงมุมกลับไปพันตัวมังกรน้อยเหมือนเดิมแล้วจูงเดิน โมนิคไม่ยอมกลับเข้าหินผนึกเพราะยังเป็นสถานะหลบหนี มิเชลคิดว่าต้องหาพี่มิลเลอร์กับเรเชลให้เจอภายในสิบสองชั่วโมง ก่อนมันจะกลายเป็นสัตว์ป่าไปจริงๆ

        “ยังติดต่อทั้งคู่ไม่ได้ มันเป็นเสียงซ่า” เธอจิ้มกำไล โดยที่อีกมือจูงโมนิคอยู่ มังกรน้อยส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ

        “จะเดินไปมั่วๆ แบบนี้ก็คงไม่เจอแน่นอน” โทนี่พูด “มิเชล ตรงนี้มีมังกรที่ต้องรีบให้อาหาร พวกเราปล่อยพี่มิลเลอร์กับเรเชลให้ตายกลับเมืองเองเถอะ ขามาเดินเป็นชั่วโมง แล้วขากลับล่ะ คิดเผื่อไว้บ้างยัง”

        “เราเดินขึ้นห้าชั่วโมง ขาลงอาจจะไวหน่อย ประมาณสี่ชั่วโมง ยังพอมีเวลา”

        “แน่ใจนะ?”

        “อุตส่าห์ขึ้นมาด้วยความลำบาก โทนี่ไม่อยากลองสำรวจหน่อยเหรอ ถึงจะเป็นเรือผุๆ แบบนี้เถอะ”

        โทนี่พยักหน้ารับกับความเห็นนั้น ส่วนโมนิคยังเดินไปดิ้นไปอยู่ มิเชลรู้สึกสงสารมันขึ้นมาแว่บหนึ่ง ถึงจะเป็นสัตว์เลี้ยงในเกม แต่เธอก็เลือกเฟ้นชื่อให้ด้วยตัวเอง พอเห็นมันทำหน้าบิดเบี้ยวจึงไม่ค่อยสบายใจนัก

        ทางที่พวกเขาเดินต่อจากนั้นไม่มีใยแมงมุม และต้องพบว่าหนทางเบื้องหน้าต่อไปมีดงผีดิบชุดใหญ่รออยู่

        ************************

        เรเชลรู้สึกวูบไปหลายนาที พอลืมตาอีกครั้งก็เห็นตัวเองนอนอยู่กลางฝูงนกดึกดำพรรพ์นับร้อย เขารีบลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจเพราะนึกว่าตายแล้วและอยู่ในร่างวิญญาณ ทว่า บนตัวเขายังมีของอยู่ครบ ทั้งกระเป๋าสะพายหลังกับดาบเล่มยาวที่กำไว้แน่นติดมือมาตลอดทาง

        “โอเคใช่ไหม?” มือข้างหนึ่งตบลงมาบนหัว และคนนั้นคือพี่ในเกมคนหนึ่งที่เขาเคารพ พี่มิลเลอร์ หัวหน้าสมาพันธ์เขาเอง

        “ครับ.. แล้วพวกเรา อยู่ไหน!? มันกำลังจะกินเราเหรอ? เหวอ!” เรเชลเพิ่งรู้ตัวว่าพื้นที่ยืนอยู่นั้นลื่นและไม่ใช่พื้นเรียบ มันเป็นเหมือนผ้าใบเสียมากกว่า มิลเลอร์ช่วยจับแขนเขาไว้

        “ระวัง... ตอนนี้เราอยู่บนที่ๆ เหมือนด้านบนของลูกบอลลูนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถ้าขยับมากก็จะตกนะ”

        “บอลลูนที่ลอยอยู่กลางอากาศ?”

        เรเชลหันไปมองรอบๆ แล้วเริ่มเห็นจริงตามนั้น หมอกที่ล้อมรอบตัวทั้งคู่หนามาก... มันเป็นวิวแบบเดียวกับที่มองเห็นจากหน้าต่างเครื่องบินเวลาขับผ่านเมฆ อย่าบอกนะว่า... พวกเขาก็อยู่ในเมฆด้วย?

        ฝูงนกดึกดำบรรพ์บินอยู่ตลอดเวลาแบบไม่มีเหนื่อย พวกมันล้อมกรอบมิลเลอร์กับเรเชลเอาไว้ และแรงลมจากการตีปีกยิ่งทำให้บอลลูนสั่นจนต้องใช้พยายามตั้งสมาธิเพื่อทรงตัวให้มากขึ้น ในหัวเขามีคำถามผุดขึ้นเต็มไปหมด แต่พี่มิลเลอร์ก็คงไม่รู้อะไรมากกว่ากันนัก

        “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กินพวกเรา แต่มันก็เอาเรามาปล่อยให้ติดเกาะอยู่ตรงนี้เฉยๆ” มิลเลอร์พูดต่อ “ลองทำให้บอลลูนแตกดูสิ”

        “ถ้าแตก พวกเราก็ตกสิครับ..”

        “ตอนนายหลับไป ฉันเผลอตกไปแล้วหนึ่งรอบ นกพวกนั้นก็พาฉันกลับมาที่เดิมแล้วไม่ทำอะไร ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

        “ถ้างั้น พี่หมายความว่าถ้าเจาะบอลลูนให้แตกอาจจะช่วยอะไรได้ใช่ไหมครับ” สีหน้าของเรเชลเริ่มมีความหวัง

        “แต่ก็อาจจะตกไปตายด้วยนะ.. เรเชล นายเคยมีประสบการณ์ตายในเกมมาบ้างยัง”

        เรเชลพยักหน้าเบาๆ เขาเคยตายครั้งเดียวตอนอยู่ทวีปเริ่มต้น มันเป็นประสบการณ์แบบที่สนุกดี... แต่หลังจากมาทวีปหลักก็ไม่อยากได้อีกเท่าไหร่ ถ้าต้องแลกกับเลเวลสิบเปอร์เซ็นต์และอุปกรณ์สวมใส่ทั้งหมดเรียกว่าไม่คุ้มเลย

        “นึกว่าอย่างนายจะไม่เคยเจอเพราะอยู่กับเรวินตลอด ส่วนฉันน่ะเจอไปหลายครั้งแล้ว” มิลเลอร์หัวเราะ “เรามาลองเสี่ยงเจาะบอลลูนกันดู.. ถ้าตกไปตายก็ไม่เป็นไร เพราะติดอยู่แบบนี้ก็ไม่ต่างกันนักหรอก”

        “ครับ ก็ดีเหมือนกัน”

        จริงๆ แล้ว เขาเห็นด้วยกับทุกความคิดพี่มิลเลอร์แต่ไหนแต่ไร อะไรที่พี่มิลเลอร์วางแผนไว้จะคำนวณเพื่อเลือกหนทางปลอดภัยมากสุดเสมอ หรือถ้าต้องเสี่ยง เขาก็มักเลือกเสี่ยงกับสิ่งที่จับต้องได้เท่านั้น

        แต่พี่มิลเลอร์ค่อนข้างบ้าระห่ำ ที่เขาบอกว่าตายแล้วตายอีก นั่นก็คงเพราะเขาได้ทดลองทำสิ่งพิลึกพิลั่นในพาราเรลออนไลน์มาเกือบครบแล้วแน่นอน... อย่างเช่นกระโดดลงทะเล หรือดิ่งหน้าผาเล่น พี่มิลเลอร์น่าจะคิดว่าการเอาคนเลเวลต่ำอย่างตัวเองมาเสี่ยงทดสอบนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รู้เพิ่ม

        ทว่า หลายครั้งที่ทำ พี่มิลเลอร์ไม่เคยปรึกษาใครก่อนเพราะกลัวถูกห้าม สุดท้ายจึงได้เห็นพี่เรวินโกรธจนหน้าแดงอยู่บ่อยๆ ส่วนเขาต้องคอยรับหน้าช่วยปกปิดให้ เรเชลรู้สึกเหมือนตนกลายเป็นเด็กผู้ร่วมกระทำเรื่องแสบๆ ลับหลังผู้ใหญ่ และมันก็ตื่นเต้นสุดๆ

        พอเรเชลจับดาบข่วนบอลลูนก็ต้องตกใจกับความหนา ดาบเขาเป็นของราคาแพงสุดในร้านแต่กลับกรีดบอลลูนไม่ขาด หรือบอลลูนลูกนี้มีพลังป้องกันแบบเดียวกับพวกตึกหรืออาคารในเมืองที่อาวุธทำอะไรไม่ได้? เด็กชายลองใส่แรงอีกครั้ง แต่ยังเหมือนเดิม

        มิลเลอร์ยิ้มบางๆ ชายหนุ่มทดลองมาหมดทุกอย่างแล้วในระหว่างที่อีกฝ่ายหลับ แต่นั่นเพราะเขาเลเวลต่ำ พลังโจมตีน้อย เลยนึกว่าอาจจะแค่ตัวเองเท่านั้นที่ไม่มีแรงกรีดลูกบอลลูน ส่วนเรเชลคือนักดาบเลเวลสูงมากคนหนึ่ง ดังนั้นมันคงมาจากสาเหตุอื่น

        “ตอนที่ตกลงไป นกมันจะช่วยเราขึ้นมาใช่ไหมครับ? ถ้าฆ่ามันตอนนั้นล่ะ?”

        “ทำไม่ได้หรอก ผิวมันก็ไม่ต่างจากบอลลูน ฟันไม่เข้าเลย”

        “งั้นหรือครับ..” เรเชลถอนหายใจ

        “ลองเอานี่แทนดู”

        มิลเลอร์หยิบนาฬิกาดิจิตอลเรือนหนึ่งให้ดู เรเชลหยีตาแล้วมองใหม่ ก่อนจะพบว่านั่นคือระเบิดแบบตั้งเวลา... ตัวระเบิดเป็นแท่งสีแดงยาวๆ สามชิ้นมัดติดกัน มีสายไฟระโยงระยางเชื่อมต่อไปยังนาฬิกาดิจิตอลเรือนนั้น

        “ไม่แรงหรอก ของห่วยๆ น่ะ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าบอลลูนพวกนี้มีหลายลูก ระเบิดทิ้งสักอันดูก่อน”

        มิลเลอร์คลานไปบอลลูนลูกข้างเคียงอย่างระมัดระวัง เขาตั้งเวลาที่หนึ่งนาทีแล้วถอยหลังกลับมา จากนั้นจึงรอเฉยๆ และถัดมาก็เกิดเสียงระเบิดดังตูมใหญ่โดยไม่สร้างค่าความเสียหายใดๆ ทิ้งไว้เลย แต่ฝูงนกกลับออกอาการประหลาด พวกมันกระพือปีกอย่างบ้าคลั่งจนกระแสลมปั่นป่วน ทำเอาทั้งคู่เกือบตกลูกบอลลูน

        “ท่าทางพวกมันจะไม่ชอบเสียงระเบิด” เรเชลพูดขึ้น

        ระหว่างนั้น นกตัวหนึ่งก็บินมายังจุดเกิดระเบิด แล้วพยายามเอาปากไล่จิกซากที่เหลือเพียงด้วยท่าทางโมโห มันเขี่ยจนซากไหม้ๆ กองนั้นหล่น จากนั้นจึงบินกลับเข้าฝูงเหมือนเดิม

        “น่าจะเข้าขั้นเกลียดเสียงระเบิดเลยล่ะ” มิลเลอร์ต่อท้าย

        “ระเบิดไม่ได้ผลเลยครับ พี่มีอย่างอื่นในกระเป๋าอีกหรือเปล่า พี่น่าจะเก็บของไว้เยอะ”

        “มีเยอะนะ แต่ก็เป็นขยะซะส่วนใหญ่” เขาตอบพร้อมกลับคลานไปดูซากระเบิดกองนั้น มิลเลอร์อยากดูให้แน่ใจก่อนว่ามันทำอะไรบอลลูนไม่ได้จริงๆ หรือ

        บนนั้นไม่มีแม้กระทั่งรอยไหม้ใดๆ ยกเว้นคราบสีดำจากเศษซากระเบิดเท่านั้น ชายหนุ่มเริ่มยอมรับว่าบอลลูนเป็นของแบบเดียวกับตึกหรืออาคารที่ทำลายด้วยทักษะผู้เล่นไม่ได้... ทว่า จู่ๆ สายตาเขาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง มิลเลอร์รีบเอามือปัดคราบฝุ่นสีดำนั่นออกทันที

        รอยข่วนเล็กๆ สองขีดที่ดูขัดตากับผิวบอลลูนส่วนอื่นค่อนข้างเด่นชัด เขาเอานิ้วลูบรอยนั้นและมองขึ้น จากนั้นจึงวางไอเทมทิ้งไว้อีกหลายชิ้นแล้วคลานกลับไปหาเรเชล

        “พี่มิลเลอร์วางผิดรึเปล่าครับ? นั่นมันประทัด”

        “ระเบิดมันแพงไป เราต้องการแค่เสียง” มิลเลอร์ยิ้มร่า

        ไฟที่จุดปลายประทัดเริ่มลุกไหม้ และไล่ไปจนถึงโคน จากนั้นก็ส่งเสียงดังติดๆ กัน ฝูงนกบ้าคลั่งอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ตัวเดียว แต่โถมลงใส่กองประทัดแทบทั้งฝูง พวกมันรุมจิกซากประทัดเหมือนโกรธเคืองกันมาจากชาติก่อน

        “ระเบิดทำอะไรมันไม่ได้ แต่ปากนกพวกนั้นทำได้” มิลเลอร์อธิบาย

        ก่อนลูกบอลลูนจะแตก ร่างพวกเขาก็ถูกเทไปเทมาอยู่บนนั้น เพราะฝูงนกไล่จิกไล่ผลักจนบอลลูนเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และนั่นย่อมกระทบถึงคนที่กำลังเดินอยู่ใต้บอลลูนอย่างมิเชลกับโทนี่

        มิเชลผูกโมนิคไว้กับเสาไม้ ขณะที่กำลังจะบรรเลงฝีมือไม่ให้แพ้โทนี่ผู้ไปยกระดับอาวุธตัวเองมาใหม่ จู่ๆ พื้นก็เอียงกะทันหัน ร่างเธอเซและล้มใส่ผีดิบเน่าตรงหน้า เด็กหญิงรีบผละออกแล้วเอามือปัดเนื้อตัวด้วยความขยะแขยง จากนั้นจึงจัดการฟันศัตรูที่ทำให้ต้องรู้สึกแย่ทิ้งทันที

        การสั่นสะเทือนมีระลอกสองและสาม โทนี่เอามีดพลังศักสิทธิ์ของตัวเองปักกับพื้นเพื่อไม่ให้ตัวไหลไปตามแรงเหวี่ยง ส่วนมิเชลกระโจนเข้าไปเกาะเสาไม้ที่ใช้ผูกโมนิค

        “เกิดอะไรขึ้น!? แผ่นดินไหว? พายุ?”

        “เราอยู่กลางอากาศ พายุมั้ง” โทนี่ตอบเธอ “ระวังมังกรเธอด้วย ไปอยู่ใกล้มากมันเลยจ้องจะเล่นงานเธออยู่”

        “ไม่เป็นไร มันกัดไม่เจ็บ”

        ระลอกสี่ ห้า หก เจ็ดตามมาหลังจากนั้น มันทั้งยาวนานและรุนแรง เป็นเพราะมิลเลอร์กับเรเชลยังคงช่วยกันวางประทัดไว้ในตำแหน่งเดิม

        ผีดิบแม้ถูกแรงเหวี่ยงก็ยังโจมตีต่อได้ มิเชลเลยต้องสู้ไปด้วยโดยมีมือข้างหนึ่งกอดเสาราวกับเป็นของรักของหวง ส่วนโทนี่พยายามหมอบคลานกับพื้นแล้วฆ่าผีดิบที่เข้ามาในระยะเท่านั้น


    ***************************************

    อาทิตย์ก่อนดอง ตอนนี้ก็เลยจัดไปเต็มตอนชดเชย ><"



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×