ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พาราเรล ออนไลน์ [ online ]

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 7 กิ่งไม้กลายเป็นดาบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.14K
      4
      13 ม.ค. 56

    ตอนที่ 7 กิ่งไม้กลายเป็นดาบ

        ห้องล่าสุดเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยาวอย่างน่าประหลาด ความกว้างเพียงสองเมตร แต่ด้านยาวเกือบกิโล ณ สุดปลายทางยังมีแสงไฟสีม่วงสว่างเรืองรอง เด็กหญิงเห็นเป็นแค่จุดเล็กๆ เพราะมันไกลลิบ เวลานี้ มิเชลกำลังเอาตัวกั้นภูติทำรองเท้าทั้งหกให้อยู่ห่างจากกลุ่มเพื่อน คู่พี่น้องเรวินเรเชลเองก็พยายามยืนขวางฝูงกระต่ายเขากวางไว้

        สัตว์อสูรทั้งสองกลุ่มพยายามแก้แค้นแทนเพื่อนที่โดนฆ่าตาย เธอกับเรวินต้องช่วยกันขวางผู้ช่วยของใครของมัน เพราะภูติทำรองเท้าเตรียมเอากรรไกรไปแทงเรวิน ส่วนกระต่ายเขากวางคิดจะเล่นงานมิเชล

        ภูติทำรองเท้านั้นผิวคล้ำ สวมเอี๊ยมน้ำเงินหมวกแดง สูงแค่เอว ดูคล้ายซานตาคลอสผิวสีที่ไร้หนวดเครา พวกมันยืนล้อมมิเชลเป็นวง ผลัดกันยิ้มโชว์ฟันแหลมๆ พร้อมกับชูแขนสองข้างและกระทืบเท้าทำท่าฮึกเหิม ด้านเรวินก็อยู่กลางฝูงกระต่ายขนเหลืองหกตัวที่แลบลิ้นขึ้นแตะกันในอากาศ ทำเหมือนนักกีฬาจับมือเพื่อนร่วมทีมก่อนแข่ง

        “ท่านนักเวทและผู้ติดตาม โปรดดูที่กำแพง เห็นตัวเลขบอกระยะทางหรือไม่”

        “เห็น” เรวินตอบอย่างรวดเร็ว บนกำแพงอิฐสองฝั่งมีตัวเลขสีขาวแปะอยู่ ข้างตัวพวกเขาเป็นเลขศูนย์ ไล่ไปเรื่อยๆ ก็เลข 1...2...3 ตามลำดับ

        “กรุณาคิดว่ามันคือหลักกิโลที่มีหน่วยเป็นเมตร ถ้าไปถึงเลขหนึ่งพันก็คือหนึ่งกิโลเมตร ที่นั่นจะเป็นจุดหมายปลายทาง”

        “ผมพร้อมแล้ว” เรเชลบอกเธอกับเรวิน นักดาบหนุ่มน้อยใช้สองมือกำดาบเล่มใหญ่ ขากางยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

        “เดี๋ยว! มิเชล.. ออกจากกลุ่มเดิมซะ ฉันจะเชิญนายเข้ากลุ่ม” เรวินกำลังเอานิ้วจิ้มหน้าต่างข้อมูลที่ลอยอยู่กลางอากาศ

        “อ๋อ ได้ๆ” เธอกดออกจากกลุ่ม ‘โทนี่’ และเข้ากลุ่ม ‘เซ็กซี่บอมเบอร์’

        “บอกก่อนนะว่าฉันไม่ใช่คนตั้งชื่อ” นักบวชขาวรีบพูด

        มิเชลกดดูรายละเอียดในกลุ่ม จั๊งค์เป็นหัวหน้า เรวินรองหัวหน้า เรเชลก็รองหัวหน้าอันดับสอง เธอเดาได้ทันทีว่าใครคิดชื่อนี้

        “ท่านนักเวทจะมีผู้ช่วยฝ่ายละหก ภูติทำรองเท้าทั้งหกตอนนี้ไม่ได้มีค่าพลังชีวิตหนึ่งล้าน หรือติดสถานะฟื้นฟูเหมือนเมื่อครู่แล้ว กรุณาใช้งานให้คุ้มค่าที่สุด”

        เสียงนกหวีดดังขึ้น เป็นอันรู้กันว่ามันคือสัญญาณเริ่ม

        ทั้งสามตั้งหน้าวิ่งเต็มพิกัด ต่างคนต่างอยู่ให้ห่างผู้ช่วยของอีกฝ่าย มิเชลโดดหลบเวลาโดนฝูงกระต่ายเขากวางขวิด เธอใช้กิ่งไม้ปัดลิ้นน่าเกลียดที่ยื่นเข้ามา ฝั่งเรวินนั้นมีสองคน นักบวชขาวเอาน้องชายป้องกันตัวจากภูติทำรองเท้าบ้าเลือด พอสบโอกาสก็ร่ายเวทมนตร์อมรอไว้ในปาก

        เมื่อวิ่งถึงหลักเมตรที่สิบ ก้อนอิฐจากกำแพงสองฝั่งหลุดออกมาหนึ่งก้อน เปิดช่องเห็นป้อมปืนใหญ่สีดำและเริ่มต้นยิง ภูติทำรองเท้าพยายามปกป้องเด็กหญิง พวกมันล้วงกระเป๋า หยิบค้อนสำหรับตอกส้นรองเท้าขึ้นมาทุบลูกกระสุนทิ้ง ส่วนกระต่ายเขากวางช่วยเรวินด้วยการตวัดลิ้นเขมือบลงท้องทุกนัด แล้วยังฉวยโอกาสฉกมิเชลตอนเผลอ แต่เธอหลบทัน

        ป้อมปืนมุดออกจากกำแพงทุกตารางเมตรที่วิ่งผ่าน และถึงวิ่งผ่านไปแล้ว มันก็หันหัวกระบอกยิงไล่หลังอยู่ดี ห่ากระสุนชุดใหญ่พุ่งตรงใส่เธอกับเรวิน เด็กหญิงจ้ำอ้าวสาวเท้าสุดชีวิต ทุกคนรู้ว่าไม่มีทางหนีความเร็วลูกกระสุนพ้น เลยหันกลับมาตั้งท่าเตรียมพร้อม มือกำอาวุธแน่น

        เรเชลใช้สันดาบฟาดกระสุนลงพื้นได้หลายนัด มิเชลพยายามเอากิ่งไม้ตีบ้าง แต่แทบไม่โดนเพราะกิ่งไม้เป็นอาวุธที่เล็กเกินไป มีหลายนัดหลุดทะลวงแนวป้องกันทั้งคู่เข้ามา ภูติทำรองเท้ากับกระต่ายเขากวางจะช่วยรับหน้าให้ ส่วนนักบวชขาวมีอยู่หน้าที่เดียวคือร่ายมนตร์รักษาพรรคพวก

        “พี่ครับ แบบนี้เราจะไปไม่ถึงไหนนะ” เรเชลท้วง ทั้งสามติดอยู่แถวๆ หลักเมตรที่ยี่สิบ แต่ถ้าหันหลังให้กระสุนมันจะพุ่งเจาะตัวพวกเขาพอดี เลยไปต่อไม่ได้

        นักบวชขาวไม่ตอบ เขาเองก็นึกอะไรไม่ออกเหมือนกัน ชายหนุ่มเหลือบมองมิเชล เผื่อว่ามีข้อเสนอดีๆ แต่เด็กหญิงกำลังวุ่นวายกับการรับลูกกระสุนด้วยกิ่งไม้เรียวๆ และสนใจอยู่แค่นี้เองจริงๆ สุดท้าย ร่างเล็กอ้วมป้อมร่างหนึ่งล้มลงกระแทกพื้นเสียงดัง ภูติทำรองเท้าตัวนั้นถูกยิงจนพรุนเพราะเอาตัวบังเธอ

        นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มชะงัก ฉุกคิดได้ว่าทำแบบนี้ต่อต้องไม่รอดแน่ ภูติทำรองเท้าอีกห้าตัวพยายามขวางทางกระสุนให้เธอปลอดภัย ค่าพลังชีวิตพวกมันกำลังลดลงเรื่อยๆ เด็กหญิงตัดสินใจหันหลังกลับแล้ววิ่งต่อ จากนั้นตะโกนเรียกสองพี่น้องให้ตามมา

        มิเชลเห็นว่าป้อมปืนใหญ่โผล่ออกมาเวลามีผู้เล่นวิ่งผ่านหลักเมตรนั้น เธอออกคำสั่ง บอกให้ภูติทำรองเท้าแซงไปไกลๆ ไม่ต้องรอ และเหลือไว้ล่อเป้าหนึ่งตัวด้านหลังตัวเองกับพรรคพวก มันจึงโดนยิงจนพรุน นักดาบหนุ่มทำท่าอยากช่วยแต่เธอห้าม

        ภูติทำรองเท้าสี่ตัวแรกวิ่งนำหน้า ปืนโผล่ออกจากกำแพงทั้งสองด้านเฉพาะเวลาที่นักเวทหรือผู้ติดตามผ่านเท่านั้น เรวินกับเรเชลยอมเชื่อตามคำมิเชล พวกเขาไล่หลังเธอไปติดๆ ส่วนกระต่ายเขากวางยังมีชีวิตรอดอยู่ครบฝูง พอต้องวิ่งขนาบข้างด้วยกัน เด็กหญิงก็รู้สึกเสียววาบแบบบอกไม่ถูก

        เมื่อวิ่งจนไล่ตัวเลขบนกำแพงขึ้นมาถึงหลักร้อย ภูติทำรองเท้าที่โดนยิงเละก็ล้มลงจนได้ เด็กหญิงเรียกอีกตัวเข้าไปแทนตำแหน่งนั้น นักบวชหนุ่มกับมือดาบร่างยักษ์มองเธอ ทั้งคู่เริ่มเข้าใจ มิเชลเอาพวกมันใช้แทนโล่ดื้อๆ นี่แหละ

        “พี่มิเชล ไม่สงสารมันหรือครับ..” เรเชลถามระหว่างวิ่งอยู่

        “ทำไมล่ะ มันไม่ใช่คนนี่”

        “แต่ว่า...ท่าทางมันจะเจ็บ”

        “พ่อ.. เคยบอกว่าจัดการได้เต็มที่เลย.. พวกมันถูกโปรแกรมให้ทำหน้าตาเจ็บปวด แต่ไม่เจ็บจริงหรอก” เธอนึกย้อนถึงตอนที่พ่อกำลังสอนเล่นเกม ส่วนขาก็พยายามวิ่ง

        “ได้ยิน... ชัดๆ แล้วใช่ไหม” เรวินเสริม เสียงของเขาหอบแฮ่ก “นายก็เลิกสงสารสัตว์อสูรที่มีรูปร่างเป็นคนสักทีเหอะ คนแคระยังไม่เว้น”

        มิเชลสงสัยว่านักดาบหนุ่มจะงอน เขาเงียบไปเลย ไม่แม้แต่มองหน้าพี่ชาย

        พอวิ่งถึงหลักเมตรที่สามร้อย ภูติทำรองเท้าเหลือแค่ตัวเดียวเพราะเธอสละชีพพวกมันมาตลอดทาง เรวินเริ่มส่งกระต่ายเขากวางไปอยู่ตำแหน่งนั้นบ้าง ตอนนี้ เจ้าลิ้นยาวจึงกลายเป็นเจ้าลิ้นพรุน

        “แบบนี้ไปไม่ถึงไหน...หรอก... เสียผู้ช่วยไปแล้วห้าตัว ผู้ช่วยน่าจะทำได้มากกว่าเป็นเป้ารับกระสุน มันอาจจะมีวิธี...ใช้งานแบบอื่น” เรวินพูดเสียงหอบ และเธอก็เห็นด้วย

        “ลองถามมันดูก็ได้มั้ง” เธอหันไปหาผู้ช่วยของตัวเอง “โทษทีที่ทำเพื่อนพวกนายตาย แต่พวกนายทำอะไรได้บ้าง ช่วยบอกทีนะ”

        ผู้ช่วยของมิเชลเปลี่ยนมาวิ่งกระต่ายขาเดียว มันพยายามถอดรองเท้าทั้งๆ ที่อยู่ในท่าวิ่ง พอถอดเสร็จก็เขวี้ยงใส่หน้าเธอทันที เด็กหญิงต้องรีบเอากิ่งไม้ปัดออก รองเท้ากระเด็นไปตกกลางโซนป้อมปืน

        “หวายย โกรธด้วยเหรอ..!”

        ภูติทำรองเท้ารีบพุ่งกลับทางเก่าเพื่อเก็บรองเท้าแล้วโยนใส่เธออีกครั้ง คราวนี้มิเชลเอามือคว้าไว้ เด็กหญิงไม่อยากเห็นผู้ช่วยตัวพรุนเพราะไปอยู่กลางดงลูกกระสุนนัก เส้นชัยยังอีกไกล อะไรถนอมได้ก็ต้องถนอม

        "ฉันว่ามันบอกให้นายใส่มากกว่า"

        "เหยย.. รองเท้าข้างเดียวเนี่ยนะ" มิเชลเหวอ มันคนละสี คนละทรงกับคู่ที่ใส่อยู่ชัดๆ

        ถึงจะประหลาด แต่มิเชลก็ยอมใส่ มันเป็นรองเท้าหนังข้างซ้ายที่เย็บคลุมด้วยขนสีเหลือง สีเดียวกับกระต่ายเขากวาง สงสัยจะทำจากหนังกระต่ายในเกมที่แล้ว เธอถอดคู่เก่าออกและเปลี่ยนมาสวมอันใหม่ ภูติทำรองเท้าฉีกยิ้มโชว์ฟันปลาฉลาม มือยกขึ้นสูงแล้วตบแปะๆ เพื่อบอกว่าดีใจสุดๆ เห็นแบบนั้น เรวินเลยลองถามผู้ช่วยตัวเองดูว่ามีอะไรให้ยืมบ้างหรือเปล่า

        แต่แล้ว กระต่ายเขากวางตัวหนึ่งกระโดดใส่เรวิน ทำท่าขออุ้มประหนึ่งเด็กน้อย

        "นอกจากตัวของนายแล้ว ไม่มีอะไรให้รึไง..." เขาตอบรับแบบเซ็งๆ แต่ก็ยอมอุ้มมันตามคำขอ เจ้ากระต่ายมุดหัวคลอเคลียชายหนุ่ม

        ตอนนี้พวกเขาวิ่งผ่านหลักเมตรที่สี่ร้อย กระต่ายลิ้นยาวเหลือสี่ตัว กระสุนก็ยังระดมยิงอยู่ มิเชลกำลังลองวิ่งดูหลายๆ แบบ ทั้งตะแคงข้าง ถอยหลัง เผื่อว่ารองเท้าจะมีอะไรวิเศษ ถ้าตีลังกาเป็นคงทำไปแล้ว  พอเรเชลเห็นเธอ เขาหลุดหัวเราะพรืด

        "พี่ก็ทำมั่งสิ"

        "ไร้สาระน่า" นักบวชขาวตัดบท ทำท่าจะโยนสัตว์อสูรในมือทิ้ง แต่บังเอิญเผลอจับมันหันหัวไปทางปืนใหญ่ด้านหลังพอดี สายฟ้าพุ่งออกจากเขากวางของกระต่ายลิ้นยาว เกิดเสียงระเบิดดังตู้มต้ามพร้อมเศษป้อมปืนใหญ่สีดำร่วงกระจายเต็มพื้น

        เรวิน เรเชล มิเชลหยุดวิ่งและหันหลังมองพร้อมกัน ป้อมปืนใหญ่ถล่ม ซากของมันกองหมดสภาพ นักบวชหนุ่มจับเขากวางส่องไปยังป้อมปืนข้างๆ จากนั้นเกิดเสียงระเบิดแบบเดิมซ้ำ ฝูงกระต่ายบนพื้นกระโดดโลดเต้นดีใจกับผลงาน

        มิเชลยกขาข้างที่ใส่รองเท้าจากพวกภูติชี้ดูบ้าง แต่จู่ๆ เท้าข้างนั้นลอยเองได้ มันบินหาป้อมปืน ลากตัวคนสวมทะยานไปด้วยกันแล้วพุ่งทะลวงทำลายเป้าหมาย เด็กหญิงหล่นก้นกระแทกพื้น เธอไอสองสามทีเพราะฝุ่นผงของซากป้อม และพบว่าตนนั่งอยู่ในโซนอันตราย ทุกกระบอกหันมาเล็งเธอ!

        "อย่าอยู่กับที่!! ขยับสิ!" เรวินร้อง

        เธอโดนยิงจนพรุน นักบวชขาวอัดมนตร์ฟื้นพลังส่งไปให้ ส่วนคนน้องรีบวิ่งมาช่วย มิเชลพยายามคุมสติฝืนความเจ็บลุกขึ้นยืน เด็กหญิงอยู่ห่างจากกลุ่มหลักหลายสิบเมตร เวทรักษาของเรวินมีเวลาหน่วงพอสมควร เรเชลก็ไกล คงช่วยไม่ทัน

        มิเชลซดน้ำยาฟื้นพลังพร้อมยกเท้าชี้ป้อมปืน เท้าเธอพุ่งถีบทำลายป้อมเองอีกครั้ง หัวเด็กหญิงห้อยต้องแต่งกลางอากาศลอยละลิ่ว แขนไปคนละทิศละทาง พอตกลงมานอนกองบนพื้น ยังไม่ทันหายมึนก็ถูกปากกระบอกปืนเล็งใส่ เธอเลยต้องรีบบินต่อเดี๋ยวนั้น

        ร่างเธอทะยานไปทะยานมา เหาะเหินโดยมีเท้าซ้ายนำ แขนห้อยตามแรงโน้มถ่วงโลก มันล็อคเป้าเฉพาะป้อมปืนเท่านั้น มิเชลจึงไม่ได้ออกตัวเสียเปล่านัก แต่ก็เวียนหัวสุดๆ เรเชลยืนงงๆ เขาแค่ถือน้ำยาฟื้นพลังเผื่อไว้เพราะกลัวจะขวางทางบิน ส่วนเรวินเลือกใช้เวทรักษาอย่างเดียว

        สักพัก เหมือนไอพ่นรองเท้าหมด มิเชลบินต่อไม่ได้อีก หัวก็มึนจนลุกไม่ขึ้น เรเชลรีบคว้าตัวเธอไว้ เขาจับไหล่เด็กหญิงพาดบ่า พาหนีออกมาจากวง เรวินใช้จังหวะนี้หยิบเขากวางขึ้นเล็งป้อมปืนใหญ่ที่เหลือ มันทยอยระเบิดทีละอัน นักบวชขาวร่ายเวทเพิ่มพลังป้องกันเผื่อให้ทั้งคู่ด้วย

        “รองเท้า...ไม่ทำงานแล้ว” เธอยกแขนออกจากเรเชลแล้วหล่นลงนั่ง ขาเหยียดกับพื้น ภูติทำรองเท้าตัวสุดท้ายวิ่งมาขวางทางกระสุนให้ แต่เรวินส่งกระต่ายเขากวางอีกตัวออกไปแทน เขาบอกว่าเหลือตัวเดียวต้องรักษาไว้ เผื่อมีประโยชน์ที่ต่างจากพวกกระต่าย

        เรวินเอาสายฟ้ายิงทำลายกระบอกปืนต่อ มิเชลหมดแรงเลยได้แต่ใช้น้ำยาฟื้นพลังช่วยเพื่อน นักดาบร่างยักษ์ยังยกดาบปัดลูกกระสุนให้พี่ชายเหมือนเดิม ส่วนภูติทำรองเท้าย้ายมานั่งตักเธอ มันลูบรองเท้าข้างนั้นอย่างมีความสุข ทำหน้าตากรุ้มกริ่ม ดูๆ ไปเด็กหญิงเริ่มจะเห็นว่าน่ารักดี ตัวอวบอ้วนเล็กๆ ใส่เอี๊ยมอีกต่างหาก ฟันปลาฉลามชักไม่หลอนเท่าไหร่แล้ว

        นักบวชหนุ่มพังไปเกือบสามสิบกว่าป้อมที่มีระยะยิงถึงตัวพวกเขา จากนั้นค่อยวางกระต่ายลง

        “อ้าว? หยุดทำไม หรือว่ากระต่ายเขากวางไม่ทำงานแล้วเหมือนกัน”

        “พลังเวทฉันเหลือน้อย ต้องเก็บไว้สำหรับฟื้นพลังบ้าง” เขาบอกเธอ สักพักก็ทำหน้าเหมือนฉุกคิดอะไรได้ “มิเชล นายไม่รู้หรือว่าพวกนี้ใช้พลังเวทพวกเรา”

        เธอไม่ตอบ แต่รีบกดปุ่มบนกำไลเพื่อเช็คพลังเวทตัวเอง

        “เวลาสู้ห้ามซ่อนแถบพลังชีวิตกับพลังเวทมนตร์อีก!” นักบวชหนุ่มเสียงแข็ง เขาไม่พอใจเพราะมันเป็นเรื่องสุดงี่เง่าที่เคยเห็นตั้งแต่เล่นเกมมา

        “อ..อื้ม” มิเชลตอบรับ เธอปรับอารมณ์ตามไม่ทัน บางครั้งก็พูดดีด้วย แต่บางครั้งก็โมโหง่ายเกิน

        “เหลือป้อมปืนที่ยิงพวกเราอีกสี่อัน ให้ผมทำไงดี?” เรเชลยังเอาสันดาบช่วยปัดลูกกระสุนอยู่ “มันฟันไม่เข้า เมื่อกี้ที่ไปช่วยพี่มิเชลออกมาผมลองแล้ว”

        “ถ่วงเวลาให้ที รอพลังเวทของฉันกับมิเชลฟื้น น่าจะสักสิบนาที”

        “โอเค”

        ทั้งคู่ไม่เคยพกไอเทมสำหรับเติมพลังเวทมนตร์ นักบวชขาวเล่าว่าเคยเห็นขายในเมืองตายาย แต่ราคาแพงนรกแตก ซื้อยาฟื้นพลังเล็กได้ตั้งสิบขวด ระหว่างพูดคุย มิเชลค่อยๆ ไถลตัวราบลงกับพื้น  ส่วนเรวินนั่งชันขา วางหัวไว้บนเข่า การอยู่เฉยๆ คือวิธีฟื้นพลังเวทที่เร็วที่สุด เมื่อกำแพงเต็มไปด้วยเศษซากป้อมปืน จึงต้องนอนกลางทางเดินเพราะเอนหลังพิงไม่ได้

        เรเชลช่วยรับลูกกระสุนให้อยู่สิบนาที พอพลังเวทส่วนหนึ่งของมิเชลกับเรวินฟื้นคืนมา ทั้งคู่ใช้รองเท้าขนเหลืองและเขากวางจัดการป้อมที่เหลือ หลังจากนั้นก็นั่งพักต่อ แต่คราวนี้พักยาวเป็นชั่วโมง เพราะตั้งใจรอจนกว่าพลังเวทจะเต็มหลอด

        ระหว่างพัก เรเชลชวนมิเชลคุยเล่นเป็นส่วนใหญ่ เขาพาถกเรื่องประเภทอาวุธ เด็กชายชอบดาบเล่มใหญ่เพราะมันเล็งง่ายดี จากนั้นถามถึงความคล่องตัวเป็นพิเศษของเธอ เธอไม่แน่ใจเลยแค่ส่ายหัวแทนคำตอบ แต่ก็แอบเดาว่าระบบประสาทสัมผัสเคยชินอยู่กับวิช่วลเวิร์ล จึงตอบสนองเร็วกว่าคนอื่น บางที ถ้าเล่นเกมนี้สักห้าหกปี คงเร็วได้เหมือนกัน

        ส่วนเรวินหลับสนิท มือดึงฮู้ดจากชุดคลุมขาวลงมาปิดหน้าปิดตา แขนกอดไม้เท้าอันใหญ่ใช้แทนหมอนข้าง เป้สะพายหลังก็ถอดวางบนพื้นสำหรับหนุนคอ ชายหนุ่มตั้งใจจะฟื้นพลังเวทให้มากที่สุด เรวินยังตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่กำไลด้วย เขาคำนวณแล้วว่าต้องนอนนานแค่ไหน

        มิเชลไม่ได้มีแต้มพลังเวทมากเท่าเรวิน เวทเธอจึงเต็มหลอดก่อนนักบวชหนุ่มตื่น พอเสียงนาฬิกาปลุกของเขาดัง ทั้งหมดก็ลุกขึ้นเตรียมตัวไปต่อ ตอนนี้หยุดอยู่ที่หลักเมตร 358 เด็กหญิงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เธอต้องยอมเหาะเหินด้วยเท้าอีกรอบ

        ทั้งสามก้าวไปที่หลักเมตร 359 ป้อมปืนใหญ่ผลุบออกจากกำแพงสองข้าง เรวินจัดการป้อมซ้ายด้วยสายฟ้า ส่วนเธอยกเท้าถีบป้อมขวาพัง จากนั้นมิเชลจะร่วงลงมากระแทกพื้น พวกเขาทำแบบเดียวกันกับหลักเมตรถัดไป และถัดไป พอเวทหมดก็นั่งพัก เวทเต็มก็ลุยต่อ

        “เจ็บ..” เธอโอดครวญ และจำไม่ได้แล้วว่าก้นกระแทกกับพื้นไปกี่รอบ

        “ช่างน่าเบื่อเสียจริง”

        เสียงกวนประสาทเจ้าเก่าดังก้องในหัวทุกคน ทั้งกลุ่มหยุดยืน แสดงอาการไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรโผล่มาอีก

        “เมื่อใดหรือที่ท่านนักเวทและผู้ติดตามจะมาถึงที่หมาย”

        “การไปช้าไม่ได้รวมอยู่ในกฎข้อบังคับ” เรวินเถียง

        “แต่ข้าเบื่อ”

        “นั่นไม่เกี่ยวกับพวกเรา”

        “เกี่ยวสิ เพราะข้าเป็นกรรมการ ข้าอยากให้มันตื่นเต้นมากกว่านี้อีกหน่อย ให้สมกับเป็นเกมที่นานๆ จะมีนักเวทหลงมาสักครั้ง”

        “ทำให้จิ๊กซอว์สามมิตินั่นต่อง่ายขึ้น เดี๋ยวก็มีนักเวทหลงมาเยอะๆ เอง” มิเชลเถียงบ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะโทนี่ ก็คงไม่มีใครเข้าเล่นเกมนี้ได้ตลอดกาล

        “ถ้าท่านนักเวทยังไม่เปลี่ยนวิธีจนถึงหลักเมตร 500 พวกท่านต้องเสียใจ”

        คำพูดสุดท้ายก่อกวนใจเรวิน ด้านมิเชลเป็นคนคิดน้อยจึงทำตัวสบายๆ ประมาณว่าไปถึงเดี๋ยวรู้เอง ส่วนเรเชล สภาพจิตใจเขาเหมือนจะปรับตามคนอื่น ถ้าบอกว่าดีก็ดี บอกว่าไม่ดีก็ไม่ดี นักดาบหนุ่มจึงสับสนว่าควรปรับอารมณ์ตามใครระหว่างคนคิดน้อยกับคนคิดเยอะ

        เรื่อยๆ มาเรียงๆ สุดท้ายก็หยุดที่หลักเมตร 499 ทั้งสามใช้เวลาไปหลายชั่วโมง นักบวชขาวไม่ยอมขยับ เขายืนยันเสียงแข็งว่าต้องตรวจสอบให้ดีก่อน มิเชลเริ่มเห็นภาพโทนี่ซ้อนกับเรวิน ทั้งคู่รอบคอบและเจ้าระเบียบพอๆ กัน

        นอกจากนั้น ยังเหมือนโทนี่เรื่องตรวจเช็คนาน เขาเอาไม้เท้าแหย่ไปแล้วแหย่กลับ มือพยายามคลำหารอยแตกบนพื้น แต่ก็ไม่กล้าเอาขาหย่อนเข้าหลักเมตร 500 มิเชลยอมเบื่อรอเพื่อเรวิน เธอเกรงใจเพราะพึ่งรู้จักกัน ถ้าเป็นโทนี่ คงไม่สนแล้ว

        ทว่าถึงเกรงใจ ความเบื่อก็มีจำกัด มิเชลรอได้แค่ยี่สิบนาที หลังจากนั้นเธอก้าวเข้าหลักเมตร 500 เนิบๆ ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น เรวินตาค้าง เขารีบอุ้มกระต่ายเขากวาง ปากพ่นคำบ่นออกมายาวเหยียด แต่เด็กหญิงแกล้งไม่ฟัง ยังคงสาวเท้าเดินต่อ ป้อมปืนใหญ่สีดำกับสีแดงผุดจากกำแพง อันสีดำยิงกระสุน ส่วนอันสีแดงยิงก้อนเหล็กทรงกลมใส่

        ลูกเหล็กขนาดเท่าลูกกอล์ฟ มีตัวเลขเขียนว่า 60 ล้อมด้วยขอบเงิน มิเชลหันหลังก้มหัวหลบ มันเกาะติดหลังเธอหลายอัน เสียงติ๊กต่อกเหมือนเข็มนาฬิกาดังพร้อมกับตัวเลขที่ค่อยๆ ลดลง จาก 60 เป็น 59... 58.. 57..

        “ระเบิดเวลา” เรวินสรุปให้ “ถอยออกมาเดี๋ยวนี้”

        นักบวชหนุ่มพังป้อมปืนสีดำ ส่วนอันสีแดงเขาทำอะไรไม่ได้ มันยังพ่นลูกเหล็กทรงกลมออกมาเพิ่ม คราวนี้ตัวทุกคนเลยเต็มไปด้วยระเบิดเวลา ยกเว้นภูติทำรองเท้ากับกระต่ายเขากวาง

        ทั้งสามวิ่งย้อนทางเก่าออกมายืนห่างจากระยะป้อมปืนสีแดง มีภูติทำรองเท้ากับกระต่ายสี่ตัววิ่งตาม พวกเขาพยายามช่วยกันแกะระเบิด มันติดหนึบบนเสื้อผ้า สุดท้ายเลยถอดออกซะ ตอนแรกมิเชลไม่กล้าเปลือยครึ่งบน ถึงร่างเป็นชายแต่ใจยังเป็นหญิง ทว่า พอเห็นตัวเลขเริ่มแตะหลักหน่วยจึงยอม

        มิเชลยกมือปิดหน้าอก หน้าอกผู้ชายที่แบนราบ... พลางทำตัวงอๆ หลังค่อม เธอรู้สึกหวิวชอบกล ตอนนี้ใส่เพียงกางเกงสีดำยาวถึงเข่า มันเป็นชุดของนักผจญภัยฝึกหัด ด้านเรวิน พอถอดชุดคลุมนักบวชก็ยังมีเสื้อผ้าข้างใน แต่เรเชลต้องถอดหมดเหลือแค่บ็อกเซอร์

        “มีแผลตรงไหนรึเปล่าครับ แต่พี่ชายผมฟื้นพลังไปให้แล้วนี่” เรเชลทักเพราะเธอเอามือกุมหน้าอก ท่าทางประหลาดไม่เป็นธรรมชาติ

        “เปล่า...” มิเชลสาบานกับตัวเองว่าจะเก็บเรื่องที่เป็นผู้หญิงไปจนบริษัทเกมเจ๊ง ห้ามเรวินกับเรเชลที่เคยเห็นเธอโป๊ครึ่งบนรู้เด็ดขาด...

        พวกเขาโยนเสื้อผ้ากลับไปที่ป้อมปืนสีแดง หวังให้มันระเบิดทำลายกันเอง แต่พอตัวเลขแตะเลขศูนย์ มันกลับขยายใหญ่ งอกป้อมปืนสีดำออกมาเพิ่ม ปากกระบอกหันเล็งมายังทั้งสาม

        “ทำให้ข้าได้สนุกสักหน่อยสิท่านนักเวท” เสียงปริศนาดังกวนอยู่ในหัว

        เรวินสบถใส่

        “เรวิน ต้องทำแบบที่เขาบอกแล้ว” มิเชลชี้ให้ดูว่าเจ้าป้อมปืนสีแดงกำลังพ่นลูกกลมๆ ลงพื้นไม่หยุด อีกไม่กี่นาที ทั้งกลุ่มอาจจะต้องรบกับปืนหลายร้อยกระบอก “ไม่รีบวิ่งตอนนี้ไม่ทันแน่ มันกำลังถมปิดเส้นทาง”

        นักบวชขาวหัวแทบระเบิด เขาพยายามคิดคำนวณหาทางรอด ถ้าต้องวิ่งต่ออีกครึ่งกิโลผ่านดงกระสุนโดยไม่พักมันเป็นไปไม่ได้ ทั้งกลุ่มจะต้องตายกันหมด และทุกอย่างที่อุตส่าห์ฝ่าฟันมาคงหายวับ มิเชลเห็นเรวินยืนนิ่ง เรียกก็ไม่ขยับ เลยบอกเรเชลให้จัดการบังคับลากตัวเลย

        เรเชลแบกเรวินขึ้นพาดบ่า ใช้มือซ้ายประคองร่างพี่ชาย ส่วนมือขวากำดาบปัดลูกกระสุน มิเชลยกเท้าขึ้น และออกบินพังป้อมปืนแบบมั่วซั่วไปตลอดทาง หัวเธอหมุนติ้ว แต่ห้ามหยุด ส่วนนักบวชหนุ่มเพิ่งจะตั้งสติได้ เขาบอกให้ช่วยวางตัวเขาลง เดี๋ยวเดินต่อเอง

        “เรวินจัดการป้อมขวา ทางซ้ายเดี๋ยวจัดการให้” มิเชลตะโกนบอก เธอพูดยาวกว่านั้นไม่ได้เพราะจะเผลอกัดลิ้นตัวเองเอา

        พอวิ่งผ่านหลักเมตรที่ 600 พื้นเป็นรูโบ๋หลายรู มีแท่งหนามแทงขึ้นแทงลง กระต่ายเขากวางเหลืออยู่สามตัวและหนึ่งในนั้นสะบักสะบอมใกล้ตาย ส่วนภูติทำรองเท้ายังสบายดี มิเชลกอดมันเอาไว้แล้วออกบินไปพร้อมกัน ทั้งกลุ่มพยายามกระโดดเพื่อหลบคมหนามใต้เท้า แต่ไม่ค่อยจะพ้น เรวินเลยต้องร่ายเวทฟื้นพลังถี่กว่าเดิม

        ณ หลักเมตรที่ 700 ป้อมปืนกระบอกแดงยิงลูกกระสุนแบบใหม่ออกมา คราวนี้เป็นระเบิดของจริง แต่ไม่จับเวลา มันระเบิดบึ้มทันทีที่สัมผัส เรวินหยิบเขากวางขึ้นมาสาดสายฟ้าใส่ ส่วนมิเชลเหาะทะยานมั่วต่อไป กระต่ายเขากวางตายอีกหนึ่ง เหลือสองตัว

        ปกติป้อมปืนจะโผล่ต่อเมื่อวิ่งผ่าน แต่จู่ๆ มันผุดขึ้นมาพร้อมกันตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหนบ้าง ลูกเหล็กทรงกลมจับเวลาก็ถูกยิงออกมากองเต็มพื้น อีกไม่นาน เส้นชัยก็จะโดนถม

        “เดี๋ยวก่อน เวทนายจะหมดแล้ว” เรวินทัก เขาดูค่าพลังเวทเธอจากหน้าต่างข้อมูลของกลุ่มเซ็กซี่บอมเบอร์ “นายบินได้อีกสามครั้งเท่านั้น”

        “ทั้งคู่! เกาะแขนคนละข้างเร็ว” เธอยังกอดภูติทำรองเท้าอยู่ “บอกพวกกระต่ายให้หาที่เกาะบนตัวเรวินด้วย!”

        “พี่มิเชล.. จะไหวหรือครับ...” เรเชลพอเดาได้ว่าเธอจะทำอะไร

        “ลองดู..”

        คนพี่กอดไหล่ซ้ายมิเชล ส่วนคนน้องจองไหล่ขวา มืออุ้มภูติทำรองเท้า ด้านกระต่ายเขากวางสองตัวจับเอวเรวินไว้ เด็กหญิงยืนอยู่หลักเมตรที่ 752 แต่ยกเท้าชี้หลักเมตรที่ 800 จริงๆ แล้ว เธออยากไปให้ไกลกว่านั้นเนื่องจากพุ่งได้อีกแค่สามครั้ง แต่กลัวพลาด เลยเอาใกล้ๆ ก่อน

        เท้าซ้ายของเธอพุ่งทะยาน มีเป้าหมายยังป้อมปืนของหลักเมตรที่ 800 ทุกคนที่เกาะตัวเธอไว้ขากระเด็นตามแรงเหวี่ยง ไหล่มิเชลแทบหลุดเพราะน้ำหนักคนสองคนกับสัตว์อสูรสามตัว ป้อมปืนยิงไล่ตามหลัง เรเชลฝืนแรงลมสะบัดดาบป้องกันให้ ส่วนกระต่ายเขากวางช่วยแลบลิ้นยื่นไปรับลูกกระสุน แต่ภูติทำรองเท้าไม่มีโอกาสออกโรงเพราะเด็กหญิงกอดเอาไว้ตลอดเวลา

        แต่แล้วอะไรเหนียวๆ เปื้อนยางยืดสีดำเลื้อยมาพันขา มันเกี่ยวขามิเชลระหว่างลอยกลางอากาศ พอเท้าโดนเบี่ยงทิศ ทั้งกลุ่มก็หล่นลงกระแทกพื้นพร้อมกัน และไปไม่ถึงป้อมปืนเป้าหมาย เด็กหญิงถูกเรวินกับเรเชลทับ ทั้งคู่กำลังงงอยู่จึงยังไม่ทันลุก

        มิเชลโดนลากออกจากใต้ร่างพรรคพวก กระต่ายเขากวางเอาลิ้นรัดขาเธอ มันอ้าปากกว้าง กว้างพอจะให้ผู้ใหญ่สักคนลงไปได้ และกำลังดึงเหยื่อลงท้อง...

        พลัน ภูติทำรองเท้าขว้างค้อนกระแทกใส่ลิ้นมัน เธอจึงรอด แต่ห่าลูกกระสุนยังอยู่ มันพุ่งมาหลายนัด เรเชลคนเดียวปัดไม่ทัน เรวินต้องเอาไม้เท้าช่วยด้วย

        “ฆ่ากระต่ายไปเลย!” เรวินบอกเธอ “ไม่ต้องสนใจเรื่องผู้ช่วยแล้ว เอาตัวเองให้รอดก่อน!”

        มิเชลสาดน้ำใส่กระต่ายเขากวาง จากนั้นจุดไฟกลางอากาศโดยดูดอุณหภูมิจากน้ำ ทำให้เป็นกระต่ายแช่แข็ง เธอเร่งอุณหภูมิอีกครั้งเพื่อจุดไฟ มันจึงระเบิด ปกติ เทคนิคนี้ใช้งานลำบาก เหมาะกับเป้าหมายอยู่กับที่เพราะค่อนข้างกินเวลาในการทำน้ำแข็ง ภูติทำรองเท้าช่วยเธอจับล็อคไว้จึงง่ายขึ้น เด็กหญิงสร้างระเบิดติดต่อกัน จนแต้มพลังชีวิตมันหมด

        เธอเงยหน้าขึ้นมองพรรคพวก เรวินกำลังอุ้มกระต่ายตัวสุดท้าย เขายิงสายฟ้ารัวแบบไม่เสียดายพลังเวท ส่วนเรเชลช่วยคุ้มกันให้พี่ชาย มิเชลตะโกนบอกทุกคนว่าพร้อมบิน บรรดาเพื่อนและสัตว์อสูรจึงรีบเข้ามาเกาะไหล่เด็กหญิงอีกครั้ง
        
        มิเชลออกบิน คราวนี้เล็งหลักเมตร 900 พอยกปลายเท้าตัวก็พุ่งฉิว ลมตีหน้าหลับตาหยีกันทั้งกลุ่ม เรวินจัดแจงฟื้นพลังให้ทุกคน และไม่ลืมบอกให้เรเชลช่วยเฝ้าเจ้ากระต่ายข้างเอวด้วย เขากลัวมันทำเสียเรื่อง

        ตัวเธอลอยละล่อง เท้าขึ้นนำหน้า น้ำหนักของสองคนกับหนึ่งตัวยังหนักเหมือนเคย ภูติทำรองเท้าในแขนดิ้น มิเชลต้องสั่งมันถึงยอมอยู่นิ่งๆ ลูกกระสุนก็ยิงมาเป็นชุด เรเชลกับเจ้ากระต่ายต่างช่วยกันปัดออก

        พอลงจอด มิเชลก็รีบยกเท้าอีกรอบ ครั้งนี้คือเส้นชัย ดวงไฟสีม่วงที่ใหญ่ขึ้นเพราะใกล้กว่าเดิมกำลังเปล่งแสงอยู่ ณ​ ปลายทาง ความเหนื่อย ความล้า และความเจ็บโดนลืมทิ้งไว้เมื่อร่างทุกคนลอยจากพื้น ทั้งกลุ่มพุ่งตรงไปข้างหน้า สายตาจดจ้องอย่างมีหวัง

        ก่อนถึงเส้นชัย เรเชลคนเดียวสะบัดดาบสู้กับห่ากระสุนไม่ไหวแล้ว กระต่ายเขากวางคงจะรู้ เพราะมันคลานออกจากอ้อมแขนเรวิน เอาตัวบังนักบวชขาวพร้อมตวัดลิ้นปัดลูกกระสุน และเลือกดูแลแค่เจ้านายตัวเอง ภูติทำรองเท้าก็พยายามเลียนแบบ แต่โดนมิเชลกอดแน่นจึงดิ้นออกมาไม่ได้

        เด็กหญิงและพรรคพวกมาถึงหลักเมตร 1000 ทั้งกลุ่มลงจอดในสภาพดูไม่ได้เท่าไหร่ กระต่ายเขากวางตัวสุดท้ายกระเด็นไปไกล มันใกล้ตาย แต่ยังพยายามลุกขึ้นยืนเพื่อบังเรวินจากกระสุน นักดาบหนุ่มมองคนใจร้ายสองคนอย่างพี่ชายกับมิเชลแล้วทนไม่ไหว ต้องกระโจนเข้าไปช่วย

        “ปล่อยมัน!” คนเป็นพี่ชายใจร้ายสั่งห้าม

        “แต่...”

        “บอกแล้วว่ามันเป็นแค่โปรแกรม! นายมาช่วยยืนป้องกันพวกฉันเพื่อเพิ่มโอกาสชนะดีกว่า เกมกำลังจะจบแล้ว”

        สุดท้ายนักดาบร่างยักษ์ทำตามคำสั่งพี่ชายต้อยๆ กระต่ายเขากวางตัวสุดท้ายต้านกระสุนจนตาย มันทำหน้าที่ตนสำเร็จ เรวินปลอดภัยดี

        ภาพที่เห็นบริเวณเส้นชัยคือลูกแก้วลูกโตวางอยู่บนโต๊ะไม้เตี้ยสูงแค่เข่า ข้างในมีดวงไฟสีม่วงส่องสว่าง มิเชลเอามือจับ ลูบๆ ดูหลายรอบ สุดท้ายภูติทำรองเท้าใช้ค้อนทุบให้ มันแตกพร้อมกับก้อนดวงไฟที่กระจายออก กลายเป็นกองไฟใหญ่ลุกโชน และปรากฏขาข้างหนึ่งก้าวออกมา ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำสนิทยืนอยู่ตรงหน้า

        “ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านนักเวท... ท่านมาถึงที่หมาย” เสียงเดิมๆ ก้องอยู่ในหัว เพดานด้านหลังพวกเขาถล่มลง ลูกกระสุนทุกนัดเข้ามาไม่ได้อีก ท่าทางจะจบแล้ว

        ทั้งสามมองคนในชุดคลุมดำสนิททั้งตัว เขาซ่อนหน้าไว้ใต้ฮู้ด เห็นเพียงแค่ริมฝีปาก แต่มันไม่ขยับขึ้นลงตามจังหวะพูด ผิวของชายหนุ่มขาวจนซีด ดูได้จากปลายนิ้วที่โผล่มาจากแขนเสื้อ เรวินเรเชลยืนนิ่ง รอให้ทางโน้นเริ่มก่อน แต่พออีกฝ่ายเปิดหมวกฮู้ด โชว์เส้นผมสีฟ้าเข้มกับปลายจมูกที่งุ้มลง มิเชลรีบถามทันที

        “โจเซ่... หมอผีโจเซ่!” เธอร้อง “คนที่ให้คำแนะนำตอนออกจากเขตผู้เล่นใหม่นี่นา!!”

        ชายชุดคลุมดำเผลออ้าปากค้างแว่บหนึ่ง แล้วรีบหุบมันลง แต่เธอเห็นทัน ในเมื่อเขาพูดโดยไม่ต้องขยับปาก ทำไมถึงต้องเปิดปากแบบคนตกใจอยู่ตั้งสามวินาทีล่ะ...

        “ผิดคนแล้ว ท่านนักเวท ข้าคือผู้คุมกฎแห่งเกม ใช้ชีวิตอยู่ชั้นใต้ดินมืดๆ แห่งนี้ เพื่อรอคอยคนอย่างพวกท่านผ่านเข้ามา” เขายังพูดให้เสียงดังอยู่ในหัว ไม่ยอมเปิดปาก

        หมอผีโจเซ่คือคนที่แจกกล่องถนอมอาหาร กระบอกไม้ไผ่ แว่นขยาย กับเป้หนังแมวป่าตอนออกจากเขตผู้เล่นใหม่ แถมยังให้คำแนะนำการเล่นเกมเบื้องต้นอีกหลายอย่าง แต่ท่าทางค่อนข้างประหลาด  และติดปากพูดคำว่า เหอ เหอ ลงท้ายเกือบทุกประโยค เขาสวมชุดคลุมดำเหมือนกัน จมูกงุ้มลงเหมือนกัน ผมสีฟ้าเข้มเหมือนกัน แล้วจะไม่ใช่ได้อย่างไร

        “จริงเหรอ..” เธอยังสงสัยอยู่ และหันไปขอความเห็นจากพวกเรวิน

        “ไม่รู้หรอก ตอนนั้นพวกเราเจอป้าแก่ๆ ชื่อฟีโอ้ ไม่ใช่ผู้ชายที่ชื่อโจเซ่” เรวินยักไหล่ “อาจจะเป็นแค่ NPC ที่หน้าตาเหมือนกัน”

        “เหรอ...” เธอยังติดใจที่เขาอ้าปากค้างอยู่สามวิ บางทีอาจจะบังเอิญ

        “ต้องการรางวัลไหมล่ะท่าน”

        “ต้องการ แต่ขอเสื้อผ้าใส่ก่อนมีให้ยืมหรือเปล่า...” เธอพูดขึ้นมาในที่สุด “เอาให้เรเชลสักชุดด้วย...”

        มิเชลยังคงเปลือยท่อนบน สวมกางเกงยาวถึงเข่า เนื้อตัวเลอะเทอะดูไม่ได้ เธอยืนกอดอก พยายามปิดหน้าอกอันน้อยนิด แต่คิดว่าตนคงดีกว่านักดาบร่างยักษ์ รายนั้นใส่แค่บ็อกเซอร์และไม่รู้สึกอายอะไรเลย บุคคลที่น่าจะเป็นโจเซ่เหลือบตามองสภาพทั้งคู่

        “เป็นกะเทยตัวใหญ่แล้วยังกลัวอะไรอีก.. อ๊ะ ไม่สิ ไม่สิ มันคือสิทธิส่วนบุคคล”

        “เป็นหมอผีโจเซ่จริงๆ ด้วย...”

        เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนส่งเสียงในหัวเธออีกรอบ

        “ข้าไม่ใช่โจเซ่ เพียงแต่ท่านน่ะ ดูก็รู้ว่าไม่แมน อายอะไรกับแค่หน้าอก”

        “แล้วไม่คิดว่าจะมีคนขอเสื้อใส่เพราะหนาวบ้างรึไง” มิเชลเถียง เธอคิดว่า ถ้าไม่ใช่โจเซ่คงไม่เรียกเป็นกะเทยแน่ ตอนนี้ออกจะมาดแมน ขนาดจั๊งค์ยังสอนวิทยายุทธจีบสาวให้เลย แต่แล้ว เด็กหญิงเริ่มเอะใจ..

        หมอนั่นเรียกเป็นกะเทยต่อหน้าเรวินกับเรเชล สองคนนี้เขาจะคิดยังไงหว่า

        มิเชลเหล่มองปฏิกิริยาเพื่อนๆ ทั้งคู่ยืนนิ่ง เหมือนรอฟังคำพูดต่อไป สายตาเธอเริ่มล่อกแล่กด้วยความกังวลใจ สงสัยว่าพวกเขากำลังทบทวนเรื่องของเธออยู่หรือเปล่า...

        “อย่าได้ห่วง เฉพาะเรื่องนี้ข้าพูดในหัวท่านเพียงคนเดียว ท่านกะเทยตัวสูงหน้าหล่อ เรามาตกลงกัน ข้าจะไม่เปิดโปงท่าน แต่ท่านห้ามเปิดโปงข้า... ข้าเช็คบันทึกบทสนทนาของท่านแล้ว... ท่านเพิ่งรู้จักสองคนนั้นในเกม ขอแค่ไม่พูดเรื่องข้าเป็นใครอีก ข้าก็จะเงียบเรื่องท่าน เหยื่อผู้ชาย เอ๊ย... เพื่อนใหม่ท่านก็จะไม่รู้เรื่อง”

        “อ้าว ทำไมห้ามพูดเรื่อง..”

        “ชู่วว!! ท่านนี่ปากรั่วจริงๆ อย่าพูด” เขารีบขัด “เดี๋ยวข้าโดนตัดโบนัส  หน้าที่ข้าคือเล่นบทบาทสมมุติ ถ้าไม่สมจริงหัวหน้าบ่นข้าแน่”

        “งั้นทำไมถึงใช้หน้าตาเดิ...”

        “ชู่ว..ชู่ว..ชู่ว! ข้าบอกว่าอย่าพูด! ที่ต้องใช้ตัวละครเดิมก็เพราะพนักงานฝ่ายกราฟฟิคทำงานไม่ทันต่างหาก กฎเขาบังคับให้ NPC มีหน้าตาและเครื่องแต่งกายต่างจากผู้เล่น... มันไม่ใช่ความผิดข้าสักหน่อย!”

        “อ้าว งั้นก็ลำบากแย่สิ พนักงานก็น่าจะน้อ..”

        “ว้ากกกก! พอๆ ไม่ต้องถามต่อแล้ว ข้าเล่าทุกอย่างให้ฟังเลยก็ได้ เกมเพิ่งเปิด อยู่ในช่วงทดลอง พนักงานยังไม่พอใช้ เลยต้องใช้หน้าเดิมซ้ำไปซ้ำมา ร้ายกว่านั้นคือพนักงานแผนกกราฟฟิคทำงานไม่ทัน พวกเราเลยต้องเล่นหลายบทบาทและคอยหวังว่าจะไม่เจอผู้เล่นคนเดิม อย่างเช่นท่านเป็นต้น! ส่วนบันทึกของบทสนทนาลับที่ข้าคุยกับท่าน หลังจากนี้ข้าจะแอบลบมันออก พอใจรึยัง ห้ามถามต่อแล้วนะ!! ห้ามเล่าให้คนข้างๆ ฟังด้วย!”

        เธออมยิ้ม แต่เดิมไม่คิดจะให้เขาเล่าขนาดนั้น มิเชลก็แค่อยากรู้เพราะคิดถึงเหล่านักเต้นประจำร้านเหล้าเมืองตายาย ถ้าได้เจอกันอีกคงดี

        “พี่มิเชลคุยอะไรกับเขาน่ะ” เรเชลเห็นเธออ้าปากพูดประโยคสั้นๆ ไม่ปะติดปะต่อ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างจ้องมองชายในชุดคลุมดำ ดูแล้วรู้ทันทีว่าต้องมีการแอบคุยกันลับๆ

        “เขาบอกว่าเสื้อผ้า... อืม... ให้ไม่ได้เพราะเดี๋ยวโดนตัดโบนัส.. เอ๊ย! หมายถึงมันผิดกฎ เราต้องเสียเงินซื้อเอง” นักเวทสาวในร่างชายหนุ่มโกหกให้ จริงๆ ไม่คิดหรอกว่าเพื่อนใหม่ทั้งสองจะเชื่อเรื่องมิเชลเป็นกะเทย ยิ่งมันมาจากปาก NPC ที่ชอบแกล้งผู้เล่นด้วยแล้ว แต่โจเซ่ตลกและดูสนุกดี เธอรู้สึกถูกชะตาถึงได้ช่วย

        “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมใส่แค่นี้ได้ ยังไงก็ไม่มีผู้หญิงอยู่แถวนี้” คำตอบของเรเชลทำให้เด็กหญิงต้องฝืนปั้นรอยยิ้มแห้งๆ

        มิเชลยังกอดภูติทำรองเท้าตัวสุดท้ายอยู่ เธอยกมือขยุ้มหัวมันเล่นด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวเล็กเองก็เอาหน้าไซร้คืน ตอนนี้ฟันแหลมหลายซี่ไม่น่ากลัวแล้ว

        โจเซ่เลิกชายผ้าคลุมแล้วสะบัด ม้าตัวเล็กขนาดเท่าภูติทำรองเท้าวิ่งออกมา ตัวแรกเป็นยูนิคอร์นสีขาว ส่วนอีกตัวคือม้าขาวที่มีไฟลุกท่วม เมื่อกีบเท้าแตะพื้น ร่างก็ขยายใหญ่จนสูงพอๆ กับม้าปกติทั่วไป ทั้งคู่ยกขาหน้าขึ้น อ้าปากร้องเสียดัง จากนั้นเดินเข้าหาพวกมิเชล และเริ่มดมกลิ่น ทำจมูกฟุดฟิด

        ยูนิคอร์นขาวเอาตัวเบียดกับเรวิน นักบวชหนุ่มยืนนิ่ง จู่ๆ มันกัดดึงแขนเสื้อเขาขาดและกระโดดใส่หัวไหล่ที่เปิดโล่ง และเปลี่ยนร่างเป็นผลึกแก้วสีชมพูฝังบนเนื้อ ด้านมิเชล เจ้าม้าเพลิงสนใจแค่กิ่งไม้ของเธอ พอแลบลิ้นเลียกิ่งไม้เลเวลเก้าสองครั้ง ตัวก็โดนดูดเข้าไป ปกติกิ่งไม้จะมีลูกแก้วกลมสีใสห้าเม็ดประดับอยู่ แต่หนึ่งในนั้นได้กลายเป็นสีแดงเสมือนไฟ

        “ท่านนักเวทแห่งแสง ท่านได้เรียนรู้เวทชุบชีวิตแล้ว เวทนี้มีเวลาหน่วงนาน สิบนาทีต่อการชุบหนึ่งคนเท่านั้น คนที่ฟื้นด้วยเวทชุบชีวิตจะไม่ได้รับเลเวลที่เสียจากการตายคืน” โจเซ่ยังคงอธิบายด้วยเสียงที่ดังตรงถึงข้างในหัว เขาไม่ขยับปากแม้แต่นิดเดียว

        “หมายความว่า ชุบด้วยเวท หรือไปเกิดใหม่ ก็ค่าเท่ากัน ต่างกันแค่สถานที่เกิด?”

        “ใช่แล้ว ความต่างเรื่องสถานที่นั่นแหละที่สำคัญ เวทบทนี้หากใช้บ่อยๆ เวลาหน่วงจะลดลง โปรดฝึกฝนให้ดี”

        มิเชลอยู่ไม่สุขเพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะได้อะไร เธอจ้องหน้าอดีตหมอผีตาแป๋ว เขาทำหน้าเฉยเมย ขาก้าวเดินเข้ามาใกล้ พลางเอานิ้วกดลูกแก้วสีแดงบนกิ่งไม้เลเวลเก้าให้บุ๋มลง มันค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างและแยกออกมาเป็นสองชิ้น กลายเป็นดาบคู่ที่มีไฟลุกติดใบมีด

        ทั้งสองเล่มมีใบมีดอยู่สองด้าน เวลาจับต้องกำด้ามดาบสีแดงเข้มตรงกลาง เพราะส่วนปลายทั้งสองข้างเป็นใบมีดเงินคมวาวและติดไฟลุกโชน

        “ดาบอสูรอัคคี หากใช้ให้คล่องได้ จะพบว่านั่นเป็นสุดยอดอาวุธ”

        ระหว่างพูด ปากเขาก็ยังปิดสนิท มิเชลหยิบดาบอสูรอัคคีขึ้นเพ่งแล้วหมุนดูจนครบทุกมุม

        “สังเกตตรงกลางด้ามดาบใกล้นิ้วโป้ง จะเห็นลูกแก้วสีแดงบุ๋มลึกเข้าไปข้างใน พอท่านนักเวทกดย้ำ มันจะเด้งออกและกลับมาเป็นกิ่งไม้อันเก่า”

        “ว้าว! เท่!” เธอทำตาม มันกระเด็นมาประกบกันและกลับสู่สภาพกิ่งไม้ จากนั้นกดอีกรอบให้ลูกแก้วบุ๋มลง คราวนี้จึงแยกออกเป็นดาบสองเล่ม มีใบมีดสองด้านที่ลุกติดไฟเหมือนเดิม “แต่ถือยากนะ ดาบสองมือที่มีใบมีดสองด้าน รวมเป็นมีใบมีดตั้งสี่เล่ม! พลาดนิดเดียวต้องเผลอบาดตัวเองแน่!?”

        “ของดีมักใช้ยาก ขอเพียงฝึกให้คล่องเท่านั้น และข้าขอเตือน ทุกครั้งที่เปลี่ยนกิ่งไม้ให้เป็นอาวุธ พลังเวทของท่านก็จะถูกใช้ไป กรุณากะปริมาณไว้ดีๆด้วย”

        “แน่นอน!” มิเชลกำลังตื่นเต้น เธอออกมายืนห่างๆ พรรคพวกแล้วลองควงดู สักพักเผลอทำมันกระเด็นหลุดมือเลยต้องรีบวิ่งเก็บ โชคดีว่าไม่ได้พุ่งไปทางเรวิน เขาเป็นคนขี้โมโห เดี๋ยวจะถูกโกรธเอา

        เรวินเห็นอาวุธใหม่ของมิเชลแล้วไม่เข้าใจ อาชีพสายจอมเวท แต่อาวุธกลับเป็นดาบคู่ จึงพูดทักขึ้นมา อดีตหมอผีหรี่ตามองนักบวชหนุ่ม แล้วตอบมาเป็นเสียงที่ดังก้องในหัวอย่างเคย

        “คำว่านักเวท ไม่ได้หมายความว่าเวทมนตร์ต้องพุ่งออกจากไม้เท้าเสมอไป..  และข้าขอชมเชยท่านนักเวทที่สามารถเหลือภูติทำรองเท้าไว้ได้หนึ่งตัวด้วย ท่านจะได้รางวัลพิเศษเพิ่ม สำหรับนักมายาธาตุมันคือเวทธาตุดิน”

        “สำหรับนักมายาธาตุ? งั้นหมายความว่าถ้าเป็นนักเวทอาชีพอื่น จะได้เวทคนละบทงั้นสิ?” คราวนี้มิเชลเป็นคนถาม

        ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ อดีตหมอผียังคงปิดปากและรักษาใบหน้าไร้อารมณ์ได้อย่างดี เขากวักมือเรียกภูติทำรองเท้าในอ้อมแขนเธอ มันเอื้อมมือเพื่อแตะกิ่งไม้เลเวลเก้า ร่างเล็กต้วมเตี้ยมแว่บหายเข้าไปข้างใน ลูกแก้วอีกลูกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขาบอกให้มิเชลเอานิ้วจิ้มดู

        มิเชลจิ้มอยู่หลายครั้ง ลูกแก้วสีเหลืองเด้งขึ้นเด้งลงหลายรอบ แต่ไม่เกิดอะไรขึ้น

        “โอ้! ขอโทษ ข้าลืมตรวจสอบเลเวลของอาวุธท่าน กิ่งไม้เลเวลเก้าสามารถใช้ได้เพียงหนึ่งธาตุ ท่านนักเวทได้ใส่ธาตุไฟลงไปก่อนแล้ว จะใช้งานธาตุดินต้องรอเลเวล 18”

        เขาอธิบายต่อว่าลูกแก้วมีห้าลูก เพราะกิ่งไม้สามารถรับได้สูงสุดห้าธาตุ ธาตุที่สองต้องรอเป็นกิ่งไม้เลเวล18 ธาตุที่สามใช้กิ่งไม้เลเวล 27 ธาตุที่สี่เลเวล 36 และสุดท้ายเลเวล 45 เรียกว่าทุกๆ เก้าเลเวล จากนั้นโจเซ่เอามือแหย่เข้าไปยังกองไฟสีม่วงบนโต๊ะ มันยังไม่ดับ ชายหนุ่มทำท่าเหมือนกำลังล้วงหาอะไรข้างในนั้น

        “ข้าจะส่งพวกท่านให้ถึงเมืองท่าบรรพบุรุษ ท่านนักเวทกำลังไปที่นั่นใช่หรือไม่”

        พอมิเชลบอกไปว่าใช่ จู่ๆ พื้นก็สั่น กำแพงห้องเริ่มเขย่า เศษฝุ่นผงจากเพดานกระจายฟุ้งเพราะแรงสะเทือน เท้าทั้งสามคนชักจะไม่ติดพื้น ต่างต้องช่วยกันจับประคองร่างอีกฝ่าย เธอวางแขนพาดไหล่ของสองพี่น้อง ส่วนสองพี่น้องยืนกางขาออกกว้างๆ และทำท่าหลังค่อมเพื่อจะได้ทรงตัวง่ายๆ

        กำแพงทุกด้านถล่มลงมา และค่อยๆ พังตามกันไปเหมือนไพ่โดมิโน่ ตอนนี้เธอเลยเห็นแต่ควันฝุ่นฟุ้งกระจาย ขนาดคนยืนข้างๆ ยังมองหาไม่เจอ มิเชลกลัวเพื่อนหายจึงรีบคว้าแขนทั้งคู่เอาไว้ก่อน เรวินกับเรเชลก็พยายามพูดให้มีเสียงเพื่อบอกตำแหน่งแก่พรรคพวก พวกเขารออยู่นานมากกว่าควันจะจางลง และเผยร่างของหัวหน้ากลุ่มเซ็กซี่บอมเบอร์ที่ยืนน้ำตาคลอเบ้า

        โจรหัวฟ้าทำหน้าสุดซึ้งแล้วกระโดดกอดเรวิน จากนั้นเอาแขนกวาดคอมิเชลกับเรเชลเข้าไปด้วยกัน เขาร้องโอดครวญว่าทนอยู่ในความมืดนานจนเกือบเป็นบ้า แถมยังโดนขู่ห้ามออกจากเกม ถ้าฝืนออกจากเกม ภารกิจนักเวทบ้าบออะไรไม่รู้ของทั้งสามคนจะโดนปรับแพ้อัติโนมัติเลยต้องยอม พอปล่อยให้โวยวายตามใจ เธอก็เพิ่งสังเกตเห็นโทนี่ เด็กชายเชื้อสายจีนยิ้มแป้น แต่ไม่ได้แสดงอาการดีใจเท่าจั๊งค์

        เธอยิ้มตอบ โทนี่คุ้ยเคยกับความมืดอยู่แล้ว แถมยังมีเพื่อนพูดเก่งขนาดนั้น อย่างน้อยเขาคงเป็นคนสุดท้ายที่จะบ้า

        พอกวาดตาสำรวจทุก ‘ห้อง’ หลังจากกำแพงกั้นระหว่างกันถล่ม ค่อยพบว่ามันคือเขาวงกตดีๆ นี่เอง มีคดเคี้ยวบ้าง ตรงบ้าง บริเวณพื้นส่วนที่ขรุขระบางจุดยังสามารถเลื่อนไหลไปมาเองได้ ทำให้คนเดินในความมืดหลงเพราะเข้าใจผิด ขนาดตัวเธอผู้ถนัดเรื่องการคลำทางยังหลง มิเชลยังเห็นภูติทำรองเท้าและสัตว์อสูรมากมายนั่งชิว บ้างก็โบกมือหรือยกขาหน้าทักทาย

        พอเห็นทุกคนเอามือจับอาวุธเตรียมลุย อดีตหมอผีก็ยิ้ม เขาช่วยเป็นล่ามแปลให้ว่าพวกมันออกมายินดีกับชัยชนะของนักเวททั้งสอง มิเชลทำท่าไม่อยากเชื่อนัก สักพัก ชายชุดคลุมดำดึงฮู้ดขึ้นปิดหน้าปิดตาอีกครั้ง แล้วเริ่มปั้นน้ำเสียงจริงจัง

        “พร้อมหน้ากันแล้ว ขอเชิญพวกท่านออกเดินทาง เมืองท่าบรรพบุรุษอยู่ข้างบนหัวข้าและท่านนักเวทนี่เอง”

        ทุกคนเผลอเงยหน้าพร้อมกัน ด้านบนมีช่องโหว่สีดำ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร ร่างทั้งห้าค่อยๆ เลือนหาย กลายเป็นก้อนแสงลอยวูบขึ้นลอดผ่านรูบนเพดาน มิเชลเห็นแต่แสงสว่างจนตาพร่า สักครู่ใหญ่กว่าตาจะกลับมาเป็นปกติ เธอค่อยพบว่าตนกำลังกำลังเอาแขนพาดเกาะอยู่ที่ปากท่อระบายน้ำ ส่วนขาเหยียบบันไดท่อ สภาพใกล้ตกเต็มที

        ท้องฟ้าเบื้องบนบอกเวลากลางคืน แสงดาวระยิบระยับอยู่เหนือหัว แต่ไม่เห็นดวงจันทร์  สายลมอ่อนของเมืองนี้ยังพัดเอากลิ่นเค็มๆ ลอยมาด้วยกัน มิเชลสูดจมูกฟุดฟิด พบว่าเป็นกลิ่นเกลือจากทะเล พาให้นึกถึงชายหาด ทรายสีขาวเม็ดละเอียด เด็กหญิงเคยรู้จักแต่สัมผัสของมันยามเอาเท้าย่ำเดิน ส่วนเรื่องรูปลักษณ์ เธอมักจะจินตนาการด้วยภาพถ่ายที่อัพโหลดขึ้นวิช่วลเวิร์ลอีกที

        แต่เธอไม่ใช่เด็กอารมณ์สุนทรีย์นัก ตอนนี้คิดแค่ว่าต้องทำอะไรต่อจึงปัดเรื่องหาดทรายขาวทิ้ง มิเชลจำได้ว่าเจสสิก้าบอกให้ขึ้นเรือจากเมืองท่าไปทวีปใหม่ ที่นั่นคงมีอะไรน่าสนุกรออยู่เพราะใครๆ ก็ต่างมุ่งไปทวีปใหม่กันทั้งนั้น

        จากที่อดีตหมอผีบอก ที่นี่คือเมืองท่าบรรพบุรุษ และมีกลิ่นเกลือลอยปะปนอยู่ในกระแสลม คงต้องมีเรือมาจอดแน่นอน เธอจะขึ้นเรือจากเมืองนี้ แล้วไปทวีปใหม่

        “ท่าเรือล่ะ!? ไปขึ้นเรือกัน.. จะได้ไปทวีปใหม่!" มิเชลร้องบอกทุกคน น้ำเสียงยินดี เธอกำลังจะมาแล้ว.. ทวีปใหม่!

        “เดี๋ยววววว”

        โทนี่รีบเบรคเธอไว้

        “ขึ้นจากท่อก่อนไปทวีปใหม่เถอะ!”

















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×