สุดยอดนักกวดวิชาเมืองไทย - สุดยอดนักกวดวิชาเมืองไทย นิยาย สุดยอดนักกวดวิชาเมืองไทย : Dek-D.com - Writer

    สุดยอดนักกวดวิชาเมืองไทย

    โดย Tabo_0

    อาจารย์ปิง มือหนึ่งสังคม-ไทย,เคมีต้องยกให้อาจารย์อุ๊, น.พ.ประกิตเผ่า เจ้าพ่อฟิสิกส์, ติวอังกฤษแนวใหม่กับครูพี่แนน

    ผู้เข้าชมรวม

    947

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    947

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ม.ค. 50 / 11:31 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สุดยอดนักกวดวิชาเมืองไทย

      เพิ่งเริ่มต้นภาคเรียนใหม่เพียงไม่กี่วัน แต่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ดูเหมือนภาระทางการศึกษาจะไม่ใช่แค่การเริ่มต้นธรรมดาเหมือนทุกๆ เทอมที่ผ่านมา เพราะอีกไม่กี่เดือนพวกเขา ก็จะต้องเข้าสู่สนามสอบเอนทรานซ์ครั้งแรกในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ดังนั้น ในภาคเรียนนี้จึงต้องเร่งทบทวนบทเรียนย้อนหลังตั้งแต่ ม.4 ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งใจเรียนในชั้นเรียนควบคู่กันไปด้วย

      ทางออกทางหนึ่งสำหรับนักเรียนที่ตั้งใจเดินเข้าสู่สนามเอนทรานซ์ โดยมีคณะและมหาวิทยาลัยในฝันเป็นเป้าหมายนั้น คือ "โรงเรียนกวดวิชา" ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดความตึงเครียดจากการเอนทรานซ์โดยการเพิ่มคะแนนเฉลี่ยสะสมหรือจีพีเอในการคิดคะแนน แต่ยิ่งดูเหมือนจะทำให้โรงเรียนกวดวิชาได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก เพราะเด็กจำนวนไม่น้อยยังคงวิ่งหาโรงเรียนกวดวิชาเพื่อให้ผลการเรียนของตนดีขึ้นและนับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป คือเรื่องราวของเหล่าสุดยอดนักกวดวิชาที่ได้รับความนิยมและโด่งดังที่สุดในสังคมไทย

      อาจารย์ปิง มือหนึ่งสังคม-ไทย

      "กิติวุฒิ เจริญศิริวัฒน์" พูดถึงชื่อนี้หลายคนคงจะขมวดคิ้วนิ่วหน้า ว่าเขาคือใคร แต่หากบอก "อาจารย์ปิงแห่งสถาบัน davance" รับรองว่าเสียงร้อง...อ๋อ คงตามมาเป็นละลอก อาจารย์ปิงถือเป็นสุดยอดฝีมือในวิชาสังคมและภาษาไทย ที่นักเรียนวัยไต่บันไดเอนทรานซ์ต้องนึกถึงเป็นอันต้นๆ ความนิยมในการเข้าเรียนกวดวิชากับสถาบัน davance คงไม่ได้เกิดจากโชคชะตาหรือความบังเอิญเป็นแน่ เคล็ดไม่ลับที่ยากจะเลียนแบบของอาจารย์ปิงอยู่ที่ "ใจล้วนๆ"

      อาจารย์ปิงเปิดเผยเคล็ดวิชาที่ดึงดูดให้นักเรียนทั้งหลายต่างมุ่งมากวดวิชาที่ davance ว่า การสอนทุกชั่วโมงล้วนออกมาจากใจ เกิดจากความทุ่มเทที่ต้องการให้ลูกศิษย์ได้ความรู้ โดยตัดทอนวิธีการสอนที่เข้าใจยากออกไป ใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่ "สนุก" ทำให้บรรยากาศการเรียนไม่น่าเบื่อ

      "คำพูดที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของลูกศิษย์จะต้องไม่มี สอนโดยการเล่าเรื่อง สอดแทรกเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เรื่องที่เด็กกำลังสนใจ เช่น ความรักลงไปบ้าง ให้เด็กได้มีอารมณ์ที่หลากหลายและไม่อัดแน่นเฉพาะวิชาการ การพูดคุยกับทุกคนในชั้นเรียนเป็นไปโดยที่เราจะไม่ทำให้เด็กรู้สึกว่า ครูเก่งอยู่คนเดียวในห้อง รู้อยู่คนเดียว แบบนี้เด็กก็เรียนไม่สนุก ครูจะสอนโดยให้ความเป็นกันเอง ทำให้เด็กไม่เกร็ง การสอนหนังสือก็เหมือนกับฉีดยา หากเด็กเกร็งทิ่มเข็มฉีดยาลงไปยังไงมันก็ไม่เข้า"

      นอกจากนั้นแล้วจุ ดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำหน้าที่ "ครู" ที่เห็นเด็กๆ ทุกคนในห้องคือ "ลูกศิษย์" ไม่ใช่ "ลูกค้า" ที่เสียเงินแล้วก็มาเรียน ดังนั้น แม้จะเป็นสถาบันที่เด็กวิ่งเข้าหา แต่รับรองได้ว่าไม่มีการโก่งค่าวิชาแน่นอน

      ทั้งนี้ สิ่งที่อาจารย์ปิงปรารถนาคือต้องการจะเป็น "ครู" ตลอดชีวิต สอนไปจนรุ่นลูก รุ่นหลาน(รุ่นเหลนหากยังไหว)

      สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนกับอาจารย์ปิง ต้องมาสมัครเรียนที่สถาบัน davance ที่เปิดทำการอยู่เท่านั้น เพราะอาจารย์ปิงไม่รับสอนตามบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดอภิสิทธิ์กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้น ที่สำคัญ ลูกศิษย์ของอาจารย์ปิงควรได้รู้จักกัน เพื่อได้ช่วยเหลือกันและกัน

      "สถาบัน davance เกิดจากความหวังดี และไม่ใช่ระบบธุรกิจ เพียงแต่ต้องมีระบบการบริหารจัดการ ซึ่งมันมีค่าใช้จ่าย สิ่งที่ทำให้ davance อยู่ได้ คือความเป็น ครู กับ ลูกศิษย์ ไม่ใช่ ลูกค้า จึงมีเด็กที่เรียนกวดวิชาออกไปแล้วจำนวนมากกลับมาที่สถาบันฯ อีก โดยเฉพาะช่วงที่ครูออกหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คจะมีลูกศิษย์จำนวนมากมีกระแสตอบรับกลับมา บางคนพับดาวให้ แค่เด็กหรือผู้ปกครองยิ้มให้ ก็มีค่าสำหรับเรามากกว่าเงินแล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้คือกำลังใจสำหรับครู และทำให้ davance อยู่ได้ถึงปัจจุบัน"

      เคมีต้องยกให้อาจารย์อุ๊

      ถัดจาก อ.ปิง ก็มาถึงวิชาเคมี ซึ่งที่สุดของสุดยอดต้องยกให้ "อาจารย์อุ๊" อุไรวรรณ ศิวะกุล เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง"เคมีอาจารย์อุ๊" เรียกได้ว่าไม่มีเด็กคนไหนไม่รู้จัก ด้วยชื่อเสียงโด่งดังที่สั่งสมมายาวนานนับ 10 ปี ทำให้โรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงมากที่สุดพร้อมกับการเป็นสถาบันกวดวิชาอันดับ 1 เจ้าของสถิติการเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่มีนักเรียนเข้าเรียนมากที่สุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

      ที่สำคัญยังไม่มีใครสามารถล้มแชมป์ได้

      อาจารย์อุ๊ เผยเคล็ดไม่ลับการเป็นโรงเรียนกวดวิชายอดนิยมของเด็กๆ ว่า จุดสำคัญที่สุดอยู่ที่การเรียนการสอน เด็กๆ มักจะบอกว่า อาจารย์สอนเข้าใจง่ายมาก เทคนิคการสอนเยี่ยม การใช้ศัพท์ที่สื่อกันได้ ลำดับขั้นตอนการสอนจากง่ายไปยาก ชวนน่าติดตาม เนื้อหาที่จะค่อยๆ ยากขึ้นๆ ทำให้พวกเขาอยากจะเสาะหาอยากที่จะรู้ และอีกเรื่องที่ขาดไม่ได้เช่นกันคือ บุคลิกที่ดีจะเป็นการเติมเต็มให้การสอนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเด็กๆ มักจะบอกว่าบุคลิกอาจารย์น่าเชื่อถือ ใจดี แต่ไม่ตามใจ มีการวางตัว การแต่งกายเหมาะสม เด็กจะไม่ได้มองว่าใครก็ได้ที่มาสอน ซึ่งถือว่าบุคลิกเป็นสิ่งแรกที่สร้างความประทับใจให้กับเด็ก

      อาจารย์อุ๊อธิบายหลักในการสอนอย่างอารมณ์ดีว่า เวลาสอนเรื่องอะไรต้องเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด มองภาพกว้างของมันก่อน ไม่ใช่สอนไปเรื่อยๆ โดยที่เด็กไม่เห็นจุดมุ่งหมายปลายทางไม่เห็นถึงประโยชน์ตรงนี้ โดยชี้ให้เห็นว่าหนูจะต้องเรียนไปทำไม เพื่ออะไร ต้องชักเขาเข้ามาก่อนจูงใจว่าน่าเรียน

      ขณะเดียวกันลำดับขั้นตอนในการสอนถือว่าสำคัญมาก ครูจะสอนจากง่ายไปยาก จนยากขึ้นเรื่อยๆ โดยยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดประกอบ ซึ่งทุกคนในห้องทำได้หมด เหมือนเป็นการสร้างกำลังใจ เพราะในห้องมีทั้งเด็กเก่งที่สุดในประเทศและเด็กที่อ่อนมากๆ รวมอยู่ด้วยกัน อย่ามองแต่เด็กเก่งหรือจะช่วยแต่เด็กอ่อนที่จะทำให้เด็กเก่งเบื่อมาก เรียกว่าเป็นการสอนที่ยากทีเดียว การวางแผนการสอนให้ดีจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ

      ส่วนเวลาคำพูดก็ใช้คำพูดง่ายๆ เพื่ออธิบายทฤษฎี อย่าใช้คำพูดที่ฟังดูเป็นวิชาการเกินไป เพราะจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อทันที

      "เวลายกตัวอย่างพยายามยกให้ใกล้ตัว สมมุติสิ่งที่อยู่ไกลตัว อธิบายให้เห็นภาพ พยายามสร้างเป็นเรื่องให้เข้าใจง่าย สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้มีความสุข และทุกครั้งขณะที่สอนจะใช้แบบถาม-ตอบและมองตาเด็กซึ่งก็จะรู้ทันทีว่าเด็กคนไหนเข้าใจไม่เข้าใจ วิธีที่ง่ายที่สุดคือสอนประโยคนั้น ซักไปซักมา พยายามให้เหมือนการพูดคุย ดึงเข้าให้มีส่วนร่วมในการสอน โดยจะไม่ชี้เป็นคนๆ เพราะเด็กจะกลัวทั้งกลัวตอบไม่ได้กลัวอายเพื่อน มันไม่มีความสุข คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลา กลัว ครูจะเน้นให้ตอบพร้อมกัน แล้วจะบอกว่าตอบผิดก็ไม่เป็นไรเพราะชอบคนแสดงความคิดเห็นเวลาเขาตอบก็จะให้กำลังใจและที่สำคัญอย่าพูดว่ามันผิดนะ เพราะต่อไปเขาจะไม่ตอบคำถามอีก ครูจะพยายามบอกกับเด็กว่า ถ้าเรียนแล้วเงียบไม่แสดงความคิดเห็นเราจะหลุดไปหลายช่วง รับสิ่งที่ครูสอนประมาณ 25% ถ้าฟังและตอบผิดก็จะรู้เพราะตามเรื่องนักเรียนก็จะได้ 75% ถ้าคนไหนไม่ตอบพอตอบก็ต้องชมพูดแบบลอยๆ นั่นคือสิ่งที่เราต้องมี"อาจารย์อุ๊ให้ภาพ

      จากนั้นเมื่อเด็กเข้าใจดีแล้ว ก็ต้องสรุปให้อีกครั้งเพื่อทบทวนพร้อมกับมีการประเมินผลโดยการทำแบบฝึกหัดทุกช่วง ซึ่งครูจะบอกเด็กตลอดเหมือนกันว่า อันไหนไม่ได้อย่ารอไม่มีประโยชน์ ผิดก็ผิด จะได้รู้ว่าผิดคืออะไรถูกคืออะไร จากนั้นก็จะประเมินผลตัวเองและนำมาปรับแก้จุดที่บกพร่องตลอดเวลา

      อาจารย์อุ๊บอกอีกว่า การที่โรงเรียนมีชื่อเสียงมานานเพราะรักษาคุณภาพมาตรฐานการสอน ทุ่มเทให้กับงาน พัฒนาให้ดีที่สุด ชื่อเสียงที่มีก็ตกต่ำได้ถ้าหยุดการพัฒนา หากเชื่อว่าตัวเราแน่ สอนดี เทคนิคดี แต่ถ้ามีความประมาททุกอย่างก็จบ

      "กระทรวงศึกษาฯ เขาไม่สนับสนุนโรงเรียนกวดวิชา เพราะทำให้เด็กเครียดไม่มีวันหยุดซึ่งเป็นเรื่องจริง เหนื่อยมาก แต่ทางแก้ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุโดยการปิดโรงเรียนกวดวิชาแต่ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ถ้าปรับการเรียนการสอนในโรงเรียนให้ดีเชื่อว่าไม่มีใครที่ยากเรียนซ้ำซากในเนื้อหาที่เหมือนกันและดีระดับเดียวกันอยู่แล้ว"

      "สำหรับสิ่งที่ต้องปรับคือคุณภาพครู คุณภาพการสอนจุดไหนไม่ดีแก้ตรงนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก อีกเรื่องคือปรับกระบวนการเอนทรานซ์ เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีโรงเรียนกวดวิชาอย่างเคมีอาจารย์อุ๊ก็ได้"อาจารย์อุ๊บอกและย้ำด้วยว่าโรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้หากครูเลิกทำก็คงไม่มีตัวแทนที่จะมาทำต่อ ทุกอย่างก็จะจบเหลือไว้แต่ความทรงจำที่ดี

      น.พ.ประกิตเผ่า เจ้าพ่อฟิสิกส์

      ชื่อของแอพพลายด์ ฟิสิกส์เป็นที่รู้จักกันดีมานับ 10 ปี ในหมู่นักเรียนระดับ ม.ปลาย ตั้งแต่รุ่นบุกเบิกยุคอาจารย์ช่วง ชมทิตชงค์ ผู้พ่อ จนปัจจุบัน น.พ.ประกิตเผ่า บุตรชายเข้ามารับหน้าที่ในการบริหารจัดการแทน แต่พ่อลูกต่างก็ยังคงทำหน้าที่สอนด้วยตนเอง ความนิยมในการกวดวิชาที่นี่ในยุคหนึ่งว่ากันว่า เปิดรับสมัครตอนเที่ยง เด็กมานั่งรอตั้งแต่ตี 5 เพื่อให้ได้ที่เรียนกวดวิชา

      น.พ.ประกิตเผ่า ซีอีโอแห่งแอพพลายด์ฟิสิกส์ ไขสาเหตุแห่งความนิยม ว่า เน้นการสอนด้วยความเข้าใจ ไม่ใช้สูตรลัด ไม่ท่องจำ มีอุปกรณ์การสอนประกอบเพื่อให้เข้าใจง่าย ขณะที่โรงเรียนกวดวิชาหลายแห่งจะใช้สูตรลัด แต่ที่นี่จะไม่ใช้ เพราะวิชาฟิสิกส์ไม่เหมือนวิชาอื่น เป็นวิชาที่มักเอาหลายๆ เรื่องมาปะปะกัน ซึ่งหากทำให้หากเด็กเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของวิชาฟิสิกส์ ถามอะไรก็ตอบได้ แต่หากใช้วิธีการท่องจำ พอเจอข้อสอบพลิกแพลงเด็กจะทำข้อสอบไม่ได้ ข้อดีของสูตรลัดคือไว แต่ถ้ารู้ไม่จริงจะทำข้อสอบไม่ได้

      "เด็กส่วนใหญ่จะจำสูตร จำนิยามได้ แต่ไม่รู้ว่าจะไปใช้เมื่อไหร่ 10 นาทีแรกเราจะให้สูตร ให้นิยาม ที่เหลือจะเป็นการฝึกทำโจทย์ ทำการทดลองให้ดูประมาณ 3 นาที การทดลองบางอย่างเอามาจากต่างประเทศ เพื่อให้เด็กเห็นเป็นภาพพจน์ เพราะหากเด็กไม่เคยเห็นเลย โอกาสที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจมันยาก บางอย่างที่ทดลองในห้องไม่ได้ก็จะเปิดวิดีโอไว้ให้เด็กดูการทดลอง"น.พ.ประกิตเผ่าเผย

      เด็กที่มาเรียนที่แอพพลายด์ฯ ทั้งหมดจะมีพื้นความรู้เรื่องฟิสิกส์จากในโรงเรียนมาแล้ว แต่มาได้ความรู้เพิ่มเติมจากการกวดวิชา ซึ่งการเรียนในห้องเรียนนั้น คุณหมอหนุ่มที่หันหลังให้อาชีพหมอ จะคอยดูสีหน้าเด็กเพราะผ่านไปครึ่งชั่วโมง จะเป็นต้องมีอะไรให้เด็กๆ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะเพราะหากเรียนตลอดเวลารับรองว่าเด็กจะมีอาการมึนงง แต่ก็จะไม่สอนไปหัวเราะไป เพียงแค่ให้เด็กได้เปลี่ยนบรรยากาศ โดยการคุยเล่นบ้าง แซวบ้าง แกล้งวาดรูปการ์ตูนน่ารักมาประกอบบ้าง แค่นี้เด็กก็ได้ผ่อนคลายแล้ว

      นอกจากการสอนที่มุ่งไปที่ความเข้าใจ เพื่อให้เด็กนำความรู้ไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์แล้ว ตำราของแอพพลายด์ฟิสิกส์ นพ.ประกิตเผ่าลงมือพัฒนาขึ้นเอง เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนต่างๆ ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีภาพประกอบที่จะช่วยย้ำความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ให้แม่นยำขึ้นด้วย

      "มีเด็กๆ มาบอกเหมือนกันว่า ตำราของที่นี่ถูกเลียนแบบไปใช้สอนในโรงเรียนบ้าง คู่แข่งเอาไปใช้บ้าง เพราะเนื้อหาทั้งหมดครอบคลุมแต่ละเรื่อง และเข้าใจง่าย ที่สำคัญผมเทียบจากตำราต่างประเทศด้วย ทุกอย่างสามารถอ้างอิงได้"

      เมื่อถูกถามว่าราคาค่าเรียนกวดวิชาในปัจจุบันแพงไปหรือไม่ นพ.ประกิตเผ่าให้คำตอบว่า "ค่าเรียนไม่ได้แพงเลย 50 บาท ต่อคนต่อชั่วโมง กินแฮมเบอร์เกอร์กับโค้กก็ 50 บาทแล้ว

      "ตั้งแต่เปิดมายังไม่เคยเจอปัญหาขอเงินคืนสักครั้ง ส่วนเรื่องการให้เด็กเรียนกับวิดีโอนั้น เด็กสามารถเลือกเรียนในรอบสอนสดก็ได้ ราคาก็จะต่ำกว่า ทำไมให้เด็กเรียนกับดาวเทียม บอกว่าเป็นการกระจายการศึกษาให้เด็ก แต่พอโรงเรียนกวดวิชาสอนด้วยทีวี บอกไม่เป็นธรรมต้องมองด้วยใจเป็นกลางบ้าง"

      "สิ่งที่ทำเด็กต้องมาเรียนเพราะเขาไม่อิ่มกับความรู้ที่เรียน ครูอาจจะสอนดี แต่เขารับได้ไม่หมด ก็เลยมาหาความรู้เพิ่มเติม และสิ่งที่เราให้เด็กตรงกับความต้องการของเขา ทำให้เกิดการบอกต่อปากต่อปาก และผมต้องพัฒนาตัวเองเรื่องความรู้ตลอดเพื่อให้ความรู้ทันสมัย การแต่งกายต้องสุภาพเวลาเข้าสอน ผมอาจจะให้ความเป็นกันเองกับเด็กมากกว่าครูในห้องเรียน แต่เมื่อไหร่ที่เราดุ เค้าก็จะกลัว เพราะครูก็ยังเป็นครูที่เด็กให้ความเคารพ"

      ก่อนจากกัน คุณหมอฝากถึงน้องๆ ว่า "เอนทรานซ์เป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต คนหลายคนเอนทรานซ์ไม่ติดแต่ก็ประสบความสำเร็จได้"

      ติวอังกฤษแนวใหม่กับครูพี่แนน

      I don't give a shit about the result. I just do my best and there'll be no regrets.ฉันไม่สนใจหรอกว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ขอให้ทำให้ดีที่สุด แล้วจะไม่มีคำว่าเสียดาย ครูพี่แนน อริสรา ธนาปกิจ ครูแนว EDUTAINER (Education + Entertainer)ของคนรุ่นใหม่ไฟแรงแห่ง"ENCONCEPT" สถาบันภาษาอันดับหนึ่งของประเทศ มักจะบอกและให้กำลังใจกับเด็กนักเรียนของเธอเสมอๆ เธอมักจะบอกว่า ภาษาอังกฤษไม่ยาก สามารถทำความเข้าใจได้โดยไม่จำเป็นต้องท่องจำอย่างเดียว แต่ที่สำคัญจะต้องนำมาใช้บ่อยๆ อย่าลืมว่าภาษาอังกฤษไม่ได้ยากเกินความสามารถของเรา

      ครูพี่แนน บอกเทคนิคง่ายๆ ที่ทำได้ไม่ง่ายเลยว่า หัวใจสำคัญในการสอนของที่นี่ยึด 3 Fs ซึ่งประกอบด้วย Fun คือ เรียนอย่างมีความสุขสนุก Firm Foundation คือได้สาระ พื้นฐานแน่น และ Friendship คือ มีความเป็นกันเอง โดยอาศัยสื่อการสอนที่จับต้องได้และเป็นรูปธรรม ห้องเรียนถูกเปลี่ยนให้เป็นสตูดิโอมัลติมีเดีย เพิ่มสีสันในการสอน สร้างความแตกต่างที่ไม่เหมือนใครได้อย่างโดดเด่น ด้วยบทเพลงง่ายๆ ที่น่าจดจำ หรือที่หลายคนเรียกว่า Memolody ทฤษฎีการเรียนแนวใหม่ที่ใช้ท่วงทำนองช่วยสร้างความเข้าใจ และการจดจำคำศัพท์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

      "พอเรามีสื่อ ทำให้เรามีลูกเล่นได้เยอะมาก มีมิวสิกวิดีโอและแคสติ้ง ให้น้องๆได้มีส่วนร่วม เอาเขามาเป็นนางเอกมิวสิก สร้างความเป็นกันเองแน่นอนว่า Memolody สามารถตอบสนอง 3 Fs ได้ทั้งหมด คือ มีความสุข ได้สาระ สร้างความมีส่วนร่วม ทำให้อยากที่เรียนรู้ ทั้งที่เหมือนไม่ได้เรียนแต่ได้สาระกลับไปเพียบ"ครูพี่แนนพูดอย่างอารมณ์ดี

      นอกจาก Memolody แล้ว "ENCONCEPT"ยังมีเทคนิคการสอนอย่างอื่นอีกเรียกว่า โครงสร้างเชิงกลยุทธ์ เป็นการสอนวิเคราะห์โครงสร้างประโยค เพราะการรู้ศัพท์อย่างเดียวไม่สามารถพิชิตภาษาอังกฤษได้ แต่ต้องเข้าใจประโยค ดูว่าจะสื่ออะไร อ่านจับใจความสำคัญของเนื้อหา เพียงแค่นั้นไม่ว่าประโยคจะซับซ้อนแค่ไหน เราก็เข้าใจได้

      "ส่วนTree Tactics คือ การสอนให้คิดเป็นระบบ ในเชิงต้นไม้ โดยการตั้งคำถามให้เป็นระบบไปเรื่อยๆจนเจอคำตอบ ซึ่งทั้งหมดเป็นการประยุกต์ใช้ อย่างเพลงก็มีอยู่แล้วแต่จะเชยและไม่เกี่ยวกับชีวิตเรา ก็มาแต่งใหม่ให้มีทั้งป็อปบ ร๊อค แร็พ แหล่ ลูกทุ่ง ฯลฯ Strategic Structure ก็เป็นวิชาที่เรียนในมหา'ลัยแต่ซับซ้อนและยากกว่า ซึ่งเรานำมาปรับใช้กับน้องๆ ให้สามารถเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น แถมเรายังมีหนังฝรั่งให้ดู ได้เห็นบนสนทนาที่เขาใช้กันจริงๆ ได้ฟังเพลงที่กำลังฮอดฮิต เราไม่ได้ยัดเยียดแต่ Memolody ให้"ครูพี่แนนบอกอย่างหมดเปลือก

      เรียกว่าครูพี่แนนมีกลเม็ดอะไรก็ใส่ให้เต็มที่จึงทำให้เด็กรักภาษาอังกฤษ และรู้ว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญกับเขา ไม่ใช่เน้นการเอนทรานซ์เท่านั้น ทำไมเราต้องให้การเอนทรานซ์มาวัดคุณค่าของตัวเราเอง เราควรค้นหาตัวเองเรียนอย่างมีจุดมุ่งหมาย เรียนที่เนื้อหาจริงๆ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบหรือเป็นแฟชั่น

      ส่วนสิ่งที่ทำให้"ENCONCEPT"ต่างจากทุกสถาบัน อกจากการเรียนการสอนแล้ว ก็คือความใกล้ชิด ความอบอุ่น เป็นกันเอง ครูเป็นที่ปรึกษาปัญหาเกือบทุกเรื่อง ทำให้เขารู้สึกว่า"ENCONCEPT"เป็นครอบครัวที่ 3 ต่อจากบ้านและโรงเรียน ความทุ่มเทและบุคลิกส่วนตัวของครูพี่แนนก็เป็นอีกอย่างที่นำให้เด็กติดอกติดใจ เธอเป็นครูที่เข้าใจเด็ก ดูน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันก็ทำตัวให้เป็นพวกเดียวกันด้วยใจจริง

      "ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จหรือยัง บอกได้เลยว่าแค่นี้ก็มีความสุขและไม่ต้องการอะไรแล้วในชีวิตทำเพื่อเด็ก มีส่วนร่วมแบ่งปันรอยยิ้ม ความภาคภูมิใจ อนาคตไม่รู้โรงเรียนจะเป็นอย่างไร เพราะทุกอย่างไม่เที่ยงทุกอาชีพมีขึ้นมีลง ไม่เป็นอันดับ 1 ตลอดกาล แต่ตราบใดที่ไม่หยุดทำสิ่งดี ๆ หรือยังมีความสุขกับสิ่งที่ทำนั้นก็คือประสบความสำเร็จแล้ว" ครูพี่แนนพูดทิ้งท้าย

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×